รักษาหลุมสิว
Sep 11, 2025
0
min read

เปรียบเทียบ juvelook vs rejuran ควรฉีดตัวไหน ช่วยอะไร

เปรียบเทียบ juvelook vs rejuran ควรฉีดตัวไหน ช่วยอะไร

ในปัจจุบัน การดูแลผิวหน้าด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่มีให้เลือกมากมาย โดยเฉพาะสกินบูสเตอร์อย่าง Juvelook และ Rejuran ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในวงการความงามค่ะ ทั้งสองตัวเลือกนี้ล้วนมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งการเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการและสภาพผิวของแต่ละบุคคลจึงเป็นสิ่งสำคัญค่ะ

สรุปสาระสำคัญ

  • Juvelook และ Rejuran เป็นสกินบูสเตอร์ที่ทั้งให้ความชุ่มชื้นและปรับปรุงคุณภาพผิว
  • Juvelook ประกอบด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด และ PDLLA
  • Rejuran ประกอบด้วยสารโพลีนิวคลีโอไทด์ (PN) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของ DNA ปลาแซลมอน
  • Juvelook โดดเด่นในด้านการยกกระชับ ในขณะที่ Rejuran โดดเด่นเรื่องปรับสภาพผิวให้ดูอ่อนวัย
  • ทั้ง Juvelook และ Rejuran เป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงต่ำ และไม่จำเป็นต้องใช้เวลาพักฟื้น

Juvelook คืออะไร

Juvelook หรือ ไหมน้ำ คือ สกินบูสเตอร์ที่ประกอบด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid หรือ HA) และ โพลีดีแลคติก แอซิด (Poly-d,l-lactic acid หรือ PDLLA) ค่ะ โดยจะให้ผลลัพธ์แบบ 2in1 คือ 1. ให้ความชุ่มชื้นกับผิวล้ำลึก และ 2. กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเส้นใยโครงสร้างผิวต่าง ๆ ในระยะยาวค่ะ 

การทำงานของ Juvelook

เพื่อให้เข้าใจการคุณสมบัติและข้อดีของ Juvelook มากขึ้น หมออธิบายการทำงานของ Juvelook แบ่งตามส่วนประกอบหลักทั้ง 2 ตัวค่ะ

ไฮยาลูรอนิก แอซิด 

ไฮยาลูรอนิก แอซิดใน Juvelook ทำหน้าที่เติมความชุ่มชื้นให้กับผิวค่ะ โดยจะสัมผัสได้ว่าผิวมีความฉ่ำน้ำตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด ซึ่งตัวไฮยาใน Juvelook จะเป็นแบบNon-crosslinked ซึ่งต่างกับไฮยาในฟิลเลอร์ กล่าวคือ มีความเป็นของเหลวมากกว่า ไม่จับตัวเป็นก้อน และไม่ขึ้นรูป หรือเปลี่ยนรูปหน้าของเราค่ะ หรือให้พูดง่าย ๆ ก็คือ ไฮยาใน Juvelook จะแค่เติมความชุ่มชื้นแต่ไม่เติมปริมาตรให้ผิวค่ะ

Poly-d,l-lactic acid หรือ PDLLA

PDLLA ใน Juvelook เป็นตัวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ออกฤทธิ์ในระยะยาวค่ะ เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะทำหน้าที่โครงสร้างตาข่ายให้ชั้นผิว ก่อนออกฤทธิ์กระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ให้ผลิตคอลลาเจน (โดยเฉพาะคอลลาเจน Type I) และสารเคลือบเซลล์ (Extracellular Matrix หรือ ECM) ออกมา 

ในช่วง 2 สัปดาห์หลังฉีดแล้ว มวลคอลลาเจนในผิวจะเริ่มเพิ่มขึ้น และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อตลอดช่วงเวลาช่วง 6 เดือนหลังฉีดค่ะ ผิวของเราจึงจะเริ่มแน่นและกระชับขึ้น ในขณะที่ PDLLA ค่อย ๆ สลายตัวไปตามกลไกธรรมชาติ ซึ่งการกระตุ้นคอลลาเจนก็ยังคงดำเนินอยู่อย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่า PDLLA จะสลายไปแล้วค่ะ

Juvelook ช่วยเรื่องอะไร

Juvelook ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเติมความชุ่มชื้นให้ผิวในตัวเดียว ช่วยลดเลือนริ้วรอย รูขุมขนกว้าง และหลุมสิว ให้ผิวแน่นกระชับ ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาว โดยมีอายุผลลัพธ์เฉลี่ยที่ 12-18 เดือนค่ะ   

Rejuran คืออะไร

Rejuran หรือ รีจูรัน คือ สารโพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide) ซึ่งอาจเรียกกันย่อ ๆ ว่า PN หรือ PDRN ค่ะ ซึ่งสารนี้เป็นชิ้นส่วน DNA ของปลาแซลมอน มีสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจน และกระตุ้นกระบวนการต่าง ๆ ลึกถึงระดับ DNA เพื่อฟื้นฟูผิวให้ดูเปล่งปลั่ง เรียบเนียน และอ่อนเยาว์ โดยได้ชื่อว่าเป็น  "Baby Skin Injection" ในวงการความงามค่ะ

การทำงานของ Rejuran

เมื่อฉีดเข้าชั้นผิวแล้ว สารโพลีนิวคลีโอไทด์จะเข้าไปช่วยซัพพอร์ตโครงสร้างของสารเคลือบเซลล์ (Extracellular matrix หรือ ECM) และกระตุ้นการผลิตคอลลเจนพร้อมเส้นใยต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นค่ะ

สารโพลีนิวคลีโอไทด์ยังกระตุ้นกระบวนการสมานแผล (Wound Healing) และการสร้างเซลล์ผิวใหม่ (Skin Regeneration) ส่งผลให้ผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) มีความหนาตัวขึ้น ซึ่งเป็นการเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงยิ่งขึ้นค่ะ

นอกจากนี้ สารโพลีนิวคลีโอไทด์ยังกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่ (Angiogenesis) ซึ่งช่วยในการการไหลเวียนของเลือด ส่งผลให้เซลล์ทำงานได้อย่างเต็มที่ค่ะ

โดยผลิตภัณฑ์ Rejuran จะแบ่งออกเป็น 3 ตัว ดังนี้ค่ะ

  • Rejuran Healer ฉีดเพื่อฟื้นฟูผิว กู้ผิวที่โทรมให้กลับมามีสุขภาพดี
  • Rejuran I ออกแบบมาเพื่อฉีดบริเวณใต้ตา และรอบดวงตา ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยและถุงใต้ตาคล้ำ
  • Rejuran S ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหารอยแผลเป็นและหลุมสิว เนื้อมีความหนืด สามารถใช้ควบคู่กับการรักษาหลุมสิวอื่น ๆ ได้ เช่น เลเซอร์ Viva Venus MD 

Rejuran ช่วยเรื่องอะไร

Rejuran ช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมโทรมจากสิ่งเร้า เช่น แสงแดดและมลภาวะ ลดการอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวบอบบาง แพ้ง่าย หรือมีรอยแดง รอยสิว อีกทั้งช่วยปรับผิวให้เรียบเนียน ชุ่มชื้น และแข็งแรงขึ้นซึ่งช่วยชะลอการแก่ตัวของผิว อายุผลลัพธ์ของ Rejuran อยู่ที่ 6-12 เดือนค่ะ

Juvelook vs Rejuran แตกต่างกันอย่างไร เลือกฉีดตัวไหนดี

เมื่อพูดถึงกาารกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวรอบด้าน ทั้ง Juvelook และ Rejuran ต่างก็เป็นสกินบูสเตอร์ที่ได้รับความนิยมสูงในกลุ่คนรักผิว แต่หลายคนอาจสงสัยว่า สองตัวนี้ต่างกันอย่างไร? และแบบไหนเหมาะกับสภาพผิวหรือความต้องการของตนเองมากกว่า? มาดูการเปรียบเทียบในแต่ละด้านกันเลยค่ะ

 

Juvelook

Rejuran

ส่วนประกอบ

กรดไฮยาลูรอนิก (HA) + Poly-D,L-lactic acid (PDLLA)

Polydeoxyribonucleotide (PDRN) จาก DNA ปลาแซลมอน

การทำงาน

เติมความชุ่มชื้นทันที + กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว

สมานแผลและสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ลดอาการอักเสบของผิว พร้อมเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง

ปัญหาผิว

ยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย ให้ผิวมีความแน่นและอิ่มฟูยิ่งขึ้น

ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน เสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ลดรอยแผลเป็น และชะลอการแก่ตัวของผิว

อายุของผลลัพธ์

12-18 เดือน; ผิวดูชุ่มชื้น ฉ่ำน้ำทันทีหลังฉีดครั้งแรก และกระตุ้นคอลลาเจน ใช้เวลาประมาณ 1 เดือนก่อนจะเริ่มผล

6-12 เดือน; ฟื้นฟูสุขภาพผิวจากภายใน เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่สัปดาห์แรก และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนในช่วง 3-4 สัปดาห์หลังฉีด

จำนวนครั้งการฉีด

2-3 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 3-4 สัปดาห์

อย่างน้อย 3-5 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 3-4 สัปดาห์

ผลข้างเคียง

อาการบวมแดงช้ำจากเข็ม บรรเทาลงไปเองภายใน 2-3 วัน

อาการบวมแดงช้ำจากเข็ม บรรเทาลงไปเองภายใน 2-3 วัน

ความพิเศษ

สามารถฉีดได้ทั้งทั่วใบหน้าเพื่อปรับคุณภาพผิวโดยรวม และฉีดเฉพาะจุดเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย หลุมสิว และรอยแผลเป็น 

ผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น 3 ตัวซึ่งออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์ต่างกัน: Rejuran Healer ปรับปรุงคุณภาพผิวทั่วใบหน้า, Rejuran I ฟื้นฟูผิวรอบดวงตา, Rejuran S ลดเลือนหลุมสิวและรอยแผลเป็น

ต้องบอกว่า ทั้ง Juvelook และ Rejuran ช่วยฟื้นฟูและแก้ปัญหาผิวได้อย่างหลากหลายค่ะ แต่หากต้องสรุปจริง หมอขอสรุปว่า Juvelook เหมาะสำหรับคนที่อยากยกกระชับ โดยโดดเด่นในด้านแก้ปัญหาผิวหย่อนคล่อยและริ้วรอยแห่งวัย ในขณะที่ Rejuran เหมาะสำหรับคนที่มีผิวอักเสบแพ้ง่าย ผิวมันง่ายหรือแห้งกร้าน และคนที่ต้องการกู้ที่ผิวเสื่อมโทรมจากแสงแดดและมลภาวะค่ะ 

ข้อดี-ข้อเสียของ Juvelook vs Rejuran

ข้อดีของ Juvelook

  • ผลลัพธ์ยาวนานได้ถึง 2 ปี ด้วยคุณสมบัติการกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาวของ PDLLA
  • ฉีดแล้วให้ความชุ่มชื้นกับผิวทันทีด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด
  • โดดเด่นเรื่องแก้ปัญหาความหย่อนคล้อย และริ้วรอย
  • ฉีดทั่วหน้า หรือเฉพาะจุดก็ได้ และสามารถฉีดบริเวณอื่นของร่างกายได้ เช่น แขน ขา หรือสะโพก
  • จำนวนครั้งในการรักษาน้อย ต้องฉีดเพียง 2-3 ครั้งติดต่อกัน

ข้อเสียของ Juvelook

  • ราคาสูงต่อครั้งการรักษา
  • PDLLA อาจกระตุ้นให้เกิดการอาการแพ้ในคุณบางกลุ่มได้ 

ข้อดีของ Rejuran

  • ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิวตามกระบวนการธรรมชาติของร่างกายค่ะ
  • เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย 
  • ปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม ช่วยกู้ผิวโทรมไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผลลัพธ์ดูธรรมชาติ
  • สามารถเลือกใช้ Rejuran Healer, Rejuran I หรือ Rejuran S ก็ได้ เพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาผิว

ข้อเสียของ Rejuran

  • อาจต้องทำหลายครั้งติดต่อกัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
  • ใช้เวลาเห็นผลนาน โดยจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนหลังจาก 3-4 สัปดาห์ หลังฉีด
  • ไม่เหมาะสำหรับคนที่ประวัติแพ้ปลาแซลมอน หรืออาหารทะเล

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Juvelook และ Rejuran

Juvelook vs Rejuran อันไหนเห็นผลเร็วกว่ากัน?

Juvelook เห็นผลเร็วกว่า Rejuran ค่ะ โดย Juvelook ช่วยเติมความชุ่มชื้นอิ่มน้ำให้ผิวทันที จากนั้นค่อยเห็นผลของการกระตุ้นคอลลาเจน ในขณะที่ Rejuran จะเริ่มเห็นผลภายใน 3-4 สัปดาห์ ค่ะ

ถ้าต้องเลือกเพียงหนึ่งอย่าง ควรเริ่มฉีด Juvelook หรือ Rejuran?

ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละบุคคลค่ะ โดยหากต้องการกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย และรูขุมขนกว้าง Juvelook จะเหมาะกว่า แต่ถ้าต้องการฟื้นฟูผิวแพ้ง่าย ผิวแห้งกร้าน หรือผิวโทรม Rejuran จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าค่ะ 

ฉีด Juvelook และ Rejuran สลับกันได้ไหม?

Juvelook และ Rejuran สามารถฉีดสลับกันได้ แต่ควรอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์ค่ะ 

Juvelook กับ Rejuran ทำร่วมกับเลเซอร์หรือทรีตเมนต์อื่นได้หรือไม่?

ทั้ง Juvelook และ Rejuran สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ ซึ่งโดยทั่วไป จะแนะนำให้ทำเลเซอร์ก่อนแล้วเว้นระยะประมาณ 1–2 สัปดาห์ ก่อนฉีด Juvelook หรือ Rejuran และควรปรึกษาแพทย์ในการทำหัตถการร่วมกันเสมอค่ะ

ผิวผู้ชายเหมาะกับ Juvelook หรือ Rejuran มากกว่า?

สำหรับผู้ชายที่มีผิวมัน รูขุมขนกว้าง Juvelook จะช่วยให้ผิวกระชับและเนียนขึ้น แต่ถ้าเป็นผิวแพ้ง่าย หยาบกร้าน หรือผิวโทรมจากแสงแดดและมลภาวะ Rejuran จะตอบโจทย์มากกว่าค่ะ อย่างไรก็ดี ควรให้แพทย์ประเมินสภาพผิวก่อนตัดสินใจค่ะ

Juvelook vs Rejuran เลือกตัวไหนดี ? ปรึกษาได้ที่ EY Clinic

การเลือกหัตถการที่เหมาะสม ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ แต่ยังขึ้นอยู่กับสภาพผิว ปัญหาที่ต้องการแก้ไข และเป้าหมายของแต่ละคนค่ะ หากคุณยังลังเลระหว่าง Juvelook ที่เน้นการกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว หรือ Rejuran ที่ช่วยซ่อมแซมผิว คืนความอ่อนวัย และลดการอักเสบ EY Clinic พร้อมให้คำปรึกษาค่ะ โดยเรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะวิเคราะห์ปัญหาผิว ก่อนออกแบบการรักษาให้เหมาะกับตัวบุคคล ที่สำคัญ ไม่มีการยัดเยียดการรักษาที่ไม่จำเป็นแน่นอนค่ะ 

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ โรคผิวหนัง

ที่ ey clinic เราเชื่อว่าการดูแลผิวที่ดี เริ่มต้นจากความเข้าใจในปัญหาของแต่ละคน ทีมแพทย์ของเรานำโดย พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์ (หมอผึ้ง) แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง จากสถาบันโรคผิวหนัง พร้อมด้วยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี* ในการดูแลปัญหาผิวหลากหลายรูปแบบ ทั้งสิว หลุมสิว ฝ้า ปรับรูปหน้า และ โรคผิวหนัง

เราให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล โดยอิงจากหลักวิชาการทางการแพทย์เป็นหลัก ไม่ใช้การโฆษณาเกินจริง และไม่แนะนำสิ่งที่เกินความจำเป็น

คุณหมอและทีมให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา ดูแลอย่างต่อเนื่อง พร้อมติดตามผลเพื่อให้ผิวของคุณแข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ภายใต้บรรยากาศที่เป็นกันเอง สะดวก และเชื่อถือได้

Review การฉีด Juvelook ที่ EY Clinic

Review การฉีด Rejuran ที่ EY Clinic

acne & acne scar expert
เรามีทรีตเมนต์หลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของคุณ ตั้งแต่การดูแลผิวไปจนถึงโภชนาการ เรามีทุกสิ่งที่คุณต้องการเพื่อให้คุณรู้สึกดีที่สุด