รักษาหลุมสิว

รักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์, subcision,TCA, PRP injection, Rejuran S
TCA หลุมสิว ลอกผิวหน้าด้วยกรดผลไม้ ทำให้หน้าเนียนได้อย่างไร
รักษาหลุมสิว
TCA หลุมสิว ลอกผิวหน้าด้วยกรดผลไม้ ทำให้หน้าเนียนได้อย่างไร
การทำ TCA เป็นหัตถการในการฟื้นฟูผิวที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและอยู่กับวงการผิวมายาวนานค่ะ การทำ TCA หลุมสิว ถือเป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ TCA ยังสามารถช่วยเพิ่มกระจ่างใสให้ผิวได้อีกด้วยค่ะ

การทำ TCA เป็นหัตถการในการฟื้นฟูผิวที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและอยู่กับวงการผิวมายาวนานค่ะ การทำ TCA หลุมสิว ถือเป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ TCA ยังสามารถช่วยเพิ่มกระจ่างใสให้ผิวได้อีกด้วยค่ะ

สรุปใจความสำคัญ

  • การทำ TCA คือการใช้กรดผลไม้ในการแก้ปัญหาผิว เช่น ริ้วรอย ฝ้า หรือรอยหลุมสิว
  • เราสามารถใช้กรด TCA ทั้งกับผิวหน้า และผิวกาย
  • กรด TCA มีสรรพคุณในการผลัดเซลล์ผิว หรือลอกผิว เพื่อเผยผิวใหม่ที่กระจ่างใส และเรียบเนียนกว่าเดิม
  • กรด TCA ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้น
  • ผลข้างเคียงที่น่ากังวลที่สุดของการทำ TCA หลุมสิวและ TCA ลอกผิว คือ ผิวเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ และการใช้บริการกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน

การทำ TCA หลุมสิว คืออะไร

การทำ TCA หลุมสิว คือ การใช้กรดผลไม้ (Trichloroacetic acid หรือ TCA) ในรักษาหลุมสิวและฟื้นฟูสภาพผิวค่ะ โดยเราจะแบ่งการทำ TCA หลุมสิวได้ออกเป็น 2 วิธีหลัก ๆ ดังนี้ค่ะ

TCA Chemical Peeling

TCA Chemical Peeling หรือ TCA Peel คือ การลอกผิวด้วยกรด TCA ที่ความเข้มข้น 10%-30% ค่ะ โดย TCA Peel จะทำให้ผลัดเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้า และกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมา การรักษานี้จะช่วยแก้ปัญหาผิวคล้ำเสียจากแสงแดด ฝ้า ริ้วรอย และช่วยควบคุมความมันได้ดี รวมถึงสามารถช่วยทำให้หลุมสิวที่ไม่รุนแรงมาก ดูตื้นขึ้นได้ด้วยค่ะ

นอกจากการลอกผิวหน้าแล้ว TCA Peel ก็สามารถทำกับผิวกายได้ด้วยค่ะ โดยจะเป็นตัวเลือกที่เพิ่มความกระจ่างใส ลดความหยาบกร้านของผิว และลดขนคุดได้ดีค่ะ

TCA CROSS

TCA CROSS หรือ TCA Chemical Reconstruction Of Skin Scar คือ การแต้มกรด TCA ลงไปด้านในของหลุมสิวหรือแผลเป็น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการผลิตคอลลาเจนและทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น ซึ่งแตกต่างกับ TCA Peel ที่เป็นการลอกผิวทั้งใบหน้าค่ะ

แพทย์แต่ละคนก็จะมีเทคนิคในการแต้มลงไปในหลุมสิว บางคนอาจจะใช้เป็น เข็มปลายทู่ หรือ บางคนอาจจะใช้เป็นไม้จิ้มฟันค่ะ

TCA CROSS จะใช้กรด TCA ที่ความเข้มข้นสูง 70%-100% ซึ่งมีประสิทธิภาพกับทั้งหลุมสิวประเภท Ice pick, rolling และ boxcar โดยเฉพาะกับหลุมสิวประเภท icepick ที่มีลักษณะเป็นหลุมสิวปากแคบแต่ลึก ซึ่งไม่ค่อยสนองต่อการรักษาวิธีอื่นค่ะ

เราสามารถสรุปอย่างสั้น ๆ ได้ว่า TCA Peel จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคนที่อยากปรับสีผิวและสภาพผิวโดยรวม (ทั้งผิวหน้าและผิวกาย) ในขณะที่ TCA Cross คือ การทำ TCA เพื่อรักษาหลุมสิวโดยเฉพาะค่ะ

TCA หลุมสิว ทำแล้วเจ็บไหม

ระหว่างทำ TCA หลุมสิว หรือ TCA Peel เราจะรู้สึกแสบหรือระคายเคืองเล็กน้อยค่ะ เมื่อทำเสร็จ ผิวบริเวณที่รักษาจะเกิดเป็นฝ้าขาว ๆ (Frosting) ซึ่งเกิดจากการที่กรด TCA ทำปฏิกิริยากับโปรตีนบนชั้นผิวค่ะ ฝ้าขาว ๆ ตรงนี้จะหายไปเองภายใน 3-4 ชั่วโมง หลังจากนั้นผิวจะเริ่มแดง อาจจะมีสะเก็ดเป็นสีเข้ม และลอกออกไปเองตามลำดับค่ะ

หลังทำ TCA หลุมสิว ควรดูแลตัวเองอย่างไร

ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังทำ TCA แล้ว ผิวของเราจะมีความแดง มีสะเก็ดเป็นจุด ๆ (โดยเฉพาะหลังทำ TCA Cross รักษาหลุมสิว) และมีความบอบบางเป็นพิเศษค่ะ เราสามารถดูแลผิวหลังทำ TCA ได้ดังนี้ค่ะ

  • หลีกเลี่ยงการล้างหน้า หรือการอาบน้ำ (ในกรณีทำ TCA ลอกผิวกาย) 4-6 ชั่วโมงหลังทำ
  • ไม่แกะหรือเกาสะเก็ดที่เกิดขึ้น และปล่อยให้สะเก็ดหลุดออกไปเอง
  • บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าและบำรุงผิวที่อ่อนโยน
  • หลีกเลี่ยงการใช้สกินแคร์ที่มีสรรพคุณในการผลัดเซลล์ผิว เช่น Retinol หรือ BHA อย่างน้อย 7-10 วันหลังทำ
  • หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์อื่น ๆ เช่น เลเซอร์ แว็กซ์ หรือสครับ อย่างน้อย 7-10 วันหลังทำ
  • หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดโดยตรง และใช้ครีมกันแดดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการเกิดผิวคล้ำหลังทำหัตถการ (Post Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH)
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย และกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น การอบซาวน่า หรือการแช่ออนเซ็น อย่างน้อย 3-4 วันหลังทำ

ทำไมทำ TCA แล้วผิวกลายเป็นสีคล้ำ หรือเป็นรอยดำด่าง

อาการผิวคล้ำหลังทำหัตถการ (Post Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) เป็นผลข้างเคียงของ TCA หลุมสิว ที่หลาย ๆ คนกังวลค่ะ ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้เกิดผิวคล้ำหลังทำ TCA มีดังนี้ค่ะ

  • ความเข้มของสีผิว คนที่มีโทนผิวสีเข้ม จะมีเสี่ยงต่อการเกิดผิวคล้ำมากกว่าคนที่มีผิวสีอ่อน
  • ความเข้มข้นของกรด หากแพทย์เลือกใช้ TCA ที่เข้มข้นมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดผิวคล้ำได้ค่ะ
  • การออกแดด ในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังทำ TCA ลอกผิว หรือ TCA หลุมสิว เป็นช่วงเวลาที่ผิวมีความไวต่อแสงแดดมาก ๆ ค่ะ การโดนแดด และไม่ใช้ครีมกันแดดในช่วงเวลานี้ จึงอาจทำให้เกิดผิวคล้ำได้ค่ะ
  • กรดทำปฏิกิริยากับผิวรุนแรงเกินไป ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ขึ้นอยู่กับสุขภาพผิวของแต่ละบุคคลค่ะ แพทย์จึงต้องพิจารณาผิวของเราก่อนที่จะเริ่มทำ เพื่อดูว่า TCA เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับเราหรือไม่ค่ะ

TCA ลอกผิว หรือ TCA หลุมสิว ทำเองที่บ้านได้ไหม

สำหรับคนที่กำลังอยากลองซื้อกรด TCA มาแต้มหลุมสิวเอง หรือลอกผิวที่บ้าน หมอขอแนะนำว่า ไม่ควรทำค่ะ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ค่ะ เช่น ผิวไหม้เป็นด่าง ๆ สิวเห่อ หรือผิวอักเสบรุนแรงจนเกิดตุ่มพุพองและติดเชื้อค่ะ หากต้องการรักษาหลุมสิว หรือปัญหาผิวใด ๆ แนะนำให้เลือกใช้บริการกับคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยดีกว่าค่ะ

ฟื้นฟูผิว รักษาหลุมสิวด้วย TCA ที่ EY Clinic

หมอหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ความรู้ในเรื่องของการทำ TCA หลุมสิวให้กับทุกคนมากขึ้นค่ะ อย่าลืมว่า ไม่ว่าจะทำหัตถการตัวไหน เราควรจะศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน และเลือกรับบริการกับคลินิกที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ค่ะ หากใครยังไม่แน่ใจว่า ปัญหาหลุมผิวของตัวเองต้องแก้ไขอย่างไร เข้ามาปรึกษากับเราที่ EY Clinic ได้ค่ะ

TCA หลุมสิว ราคาเท่าไร

แพ็กเกจ TCA ที่ EY Clinic มีให้บริการมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ

  • TCA acne scar หลุมสิว 1,999 ต่อ 1 ครั้ง หรือ 9,995 ต่อ 6 ครั้ง (คิดเป็นครั้งละ 1,666)

โดยเราจะมีการติดตามและประเมินผลการรักษาอย่างใส่ใจ เพื่อการันตีผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจให้กับคุณค่ะ

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

TCA หลุมสิว ลอกผิวหน้าด้วยกรดผลไม้ ทำให้หน้าเนียนได้อย่างไร
Dr. Patnapa Vejanurug
Jul 8, 2024
A-Z เลเซอร์หลุมสิว ต่างกันยังไงบ้าง?
รักษาหลุมสิว
A-Z เลเซอร์หลุมสิว ต่างกันยังไงบ้าง?
วันนี้หมอผึ้งตั้งใจว่าจะช่วยคลี่คลายข้อสงสัยและคำถามต่างๆเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิวให้ทุกคนที่กำลังมองหาวิธีการรักษาอยู่

สวัสดีค่ะ วันนี้หมอผึ้งตั้งใจว่าจะช่วยคลี่คลายข้อสงสัยและคำถามต่างๆเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิวให้ทุกคนที่กำลังมองหาวิธีการรักษาอยู่ หวังว่าทุกคนจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากข้อมูลนี้นะคะ ถ้าหากมีคอมเมนท์หรือคำถามอะไร สามารถทักเข้ามาสอบถามหมอได้เลยนะคะ

Part 1: ว่าด้วยเรื่องหลุมสิว

หลุมสิวคืออะไร?

หลุมสิวเกิดจากการอักเสบในชั้นหนังแท้ที่เกิดจากสิว เมื่อรูขุมขนบวมขึ้นจะทำให้ผนังรูขุมขนแตกออก รอยสิวบางชนิดมีขนาดเล็กและรอยแผลเป็นตื้นจึงหายเร็ว อย่างไรก็ตาม บางครั้งสิวอาจทำให้เนื้อเยื่อโดยรอบเสียหายและเกิดหลุมสิวลึก ผิวหนังพยายามซ่อมแซมความเสียหายนี้ด้วยการสร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่ แต่ผลลัพธ์มักจะเป็นผิวที่ไม่เรียบเนียนเหมือนเดิม

ความสำคัญของการรักษาหลุมสิว

หลุมสิวสามารถส่งผลกระทบต่อความภาคภูมิใจในตนเองและคุณภาพชีวิตได้มาก ทำให้เกิดความทุกข์ทางอารมณ์ การแยกตัวจากสังคม (Social Isolation) และความรู้สึกมั่นใจที่ลดลง การรักษาหลุมสิวไม่เพียงช่วยปรับปรุงลักษณะทางกายภาพของผิว แต่ยังช่วยฟื้นฟูอารมณ์และเพิ่มความมั่นใจในตนเอง

ภาพรวมของวิวัฒนาการการรักษา

การรักษาหลุมสิวได้พัฒนาไปอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การรักษาที่บ้านและการใช้สมุนไพรไปจนถึงขั้นตอนทางการแพทย์ที่ซับซ้อน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีผลข้างเคียงน้อยลง วิวัฒนาการนี้สะท้อนถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับชีววิทยาของผิวหนังและความพยายามในการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านความงาม

การรักษาในระยะเริ่มแรกโดยส่วนใหญ่จะค่อนข้างผิวเผิน เช่น การขัดผิวด้วยกลไก (Mechanical Exfoliation) และการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling) เมื่อเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าไป การรักษาที่แม่นยำและตรงเป้าหมายมากขึ้น เช่น การใช้ไมโครนีดดิ้งและการรักษาด้วยเลเซอร์ก็เกิดขึ้น ในปัจจุบัน วิธีการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่น Fractional RF และการรักษาด้วย Stem Cell ให้ผลลัพธ์ที่น่าตื่นเต้นโดยมี Downtime และผลข้างเคียงน้อยที่สุด

หัวข้อต่อๆ ไปจะเจาะลึกแต่ละขั้นตอนของวิวัฒนาการนี้ สำรวจการพัฒนา ประสิทธิภาพ และผลกระทบของการรักษาหลุมสิวต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป

Part 2: วิธีการรักษาหลุมสิวในระยะเริ่มแรก

การรักษาที่บ้านและการรักษาตามธรรมชาติ

ก่อนที่จะมีการรักษาทางการแพทย์สมัยใหม่ ผู้คนพึ่งพาการรักษาที่บ้านและการรักษาตามธรรมชาติเพื่อจัดการกับหลุมสิว วิธีการเหล่านี้รวมถึงการใช้ส่วนผสมต่างๆ เช่น น้ำผึ้ง ว่านหางจระเข้ น้ำมะนาว และน้ำมันหอมระเหยต่างๆ เชื่อกันว่าสารธรรมชาติเหล่านี้มีคุณสมบัติในการรักษา สามารถลดการอักเสบและส่งเสริมการสร้างผิวใหม่ แม้ว่าบางคนจะพบว่าการรักษาเหล่านี้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ประสิทธิผลของพวกเขามักถูกจำกัดและไม่สอดคล้องกัน

การขัดผิวด้วยกลไก (Mechanical Exfoliation) และ Dermabrasion

การขัดผิวด้วยกลไกและการกรอผิวด้วยผิวหนัง (Derbabrasion) ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญประการแรกๆ ในการรักษาหลุมสิว เทคนิคเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการขจัดชั้นผิวด้านนอกออกทางกายภาพเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของผิวใหม่และลดการเกิดรอยแผลเป็น

  • การขัดผิวด้วยกลไกการทำงาน : วิธีนี้รวมถึงการใช้วัสดุที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เช่น สครับที่มีไมโครบีดส์ (Micro-beads) หรือสารขัดผิวตามธรรมชาติ เช่น เมล็ดแอปริคอทบด เป้าหมายหลักคือการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและปรับปรุงผิว อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเพียงผิวเผิน และวิธีนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าสำหรับผิวที่มีรอยเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าที่จะเป็นหลุมสิวที่ลึก
  • การกรอผิว :
    • ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการ: Dermabrasion ถือเป็นวิธีการผลัดผิวแบบเข้มข้นมากขึ้น มันเกี่ยวข้องกับการใช้แปรงหรือล้อหมุนความเร็วสูงเพื่อขจัดชั้นนอกของผิวหนัง ขั้นตอนนี้ได้รับการพัฒนาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และได้รับความนิยมในการรักษาโรคผิวหนังต่างๆ รวมถึงหลุมสิว
    • ประสิทธิผลและข้อจำกัด : Dermabrasion สามารถปรับปรุงลักษณะของรอยแผลเป็นตื้น ๆ และความผิดปกติของผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ต้องใช้แพทย์ที่มีทักษะเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ แผลเป็น และสีผิวที่เปลี่ยนไป ขั้นตอนนี้มักเกี่ยวข้องกับ Downtime มากและรู้สึกไม่สบายระหว่างการพักฟื้น

การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling)

การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีกลายเป็นวิธีการยอดนิยมในการรักษาหลุมสิว โดยเป็นวิธีควบคุมการขัดผิวโดยใช้สารเคมี

  • ประวัติความเป็นมา : การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีมีการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีบันทึกทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าหญิงชาวอียิปต์ใช้นมเปรี้ยว (ที่มีกรดแลคติค) เพื่อปรับปรุงผิวของตน การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีสมัยใหม่ได้รับการพัฒนาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นวิธีการขัดผิวที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น
  • ประเภทของการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี
    • การผลัดเซลล์ผิวชั้นตื้น : ใช้กรดอ่อนๆ เช่น กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (AHA) เพื่อขัดผิวชั้นนอกอย่างอ่อนโยน มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงความไม่สมบูรณ์ของผิวเล็กน้อยและการเปลี่ยนสี แต่มีผลกระทบจำกัดต่อรอยแผลเป็นลึก
    • การผลัดเซลล์ผิวชั้นกลาง : สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับกรดที่แรงกว่า เช่น กรดไตรคลอโรอะซิติก (TCA) ซึ่งเจาะลึกเข้าไปในผิวหนังเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่เสียหาย การผลัดเซลล์ผิวปานกลางสามารถรักษาหลุมสิวในระดับปานกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนมากกว่าการผลัดเซลล์ผิวแบบตื้น
    • การผลัดเซลล์ผิวชั้นลึก : การใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์แรง เช่น ฟีนอล การผลัดเซลล์ผิวแบบล้ำลึกจะให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งโดยการขจัดชั้นผิวหนังหลายชั้น มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวอย่างรุนแรง แต่มีความเสี่ยงสูง เช่น ใช้เวลาฟื้นตัวนาน มีโอกาสเกิดการติดเชื้อ และสีผิวเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร
  • ข้อดีและข้อเสีย : การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีให้ประโยชน์หลายประการ รวมถึงการปรับปรุงสภาพผิว การเปลี่ยนสีผิวที่ลดลง และรูปลักษณ์ที่ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น รอยแดง ผิวลอก และอาการแพ้ง่าย ความลึกของการผลัดเซลล์จะเป็นตัวกำหนดความรุนแรงของผลข้างเคียงและระยะเวลาการฟื้นตัว

บทสรุปของวิธีการเบื้องต้น

แม้ว่าวิธีการรักษาหลุมสิวในระยะเริ่มแรก เช่น การรักษาที่บ้าน การขัดผิวด้วยกลไกและการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีช่วยบรรเทาอาการได้ แต่ก็มักจะแทบไม่มีประสิทธิผลเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแผลเป็นที่อยู่ลึกกว่านั้น การรักษาเหล่านี้วางรากฐานสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถรักษาสาเหตุของหลุมสิวได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขั้นต่อไปของเทคโนโลยีการรักษาหลุมสิวจะนำมาซึ่งความก้าวหน้าที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการใช้ Microneedling และการรักษาด้วยเลเซอร์

Part 3: Microneedling

การคิดค้น Microneedling

Microneedling หรือที่เรียกว่าการรักษาด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เป็นวิธีการรักษาที่ค่อนข้างทันสมัยซึ่งได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต้นกำเนิดของไมโครนีดดิ้งเริ่มจากในสมัยโบราณที่มีการใช้เข็มขนาดเล็กในการแพทย์แผนจีนสำหรับแก้ปัญหาสภาพผิวต่างๆ อย่างไรก็ตาม แนวทางปฏิบัติสมัยใหม่ของการใช้ไมโครนีดดิ้งได้รับการพัฒนาในช่วงต้นทศวรรษ 1990 โดยดร. เดสมอนด์ เฟอร์นันเดส (Dr. Desmond Fernandes) ศัลยแพทย์พลาสติกชาวแอฟริกาใต้ เขาเป็นผู้บุกเบิกการใช้เข็มเพื่อรักษาริ้วรอยและรอยแผลเป็น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาอุปกรณ์ไมโครนีดลิ่งต่างๆ

กลไกการทำงานการออกฤทธิ์

Microneedling คือเทคโนโลยีที่ใช้เข็มขนาดเล็กสร้างการบาดเจ็บขนาดจิ๋วที่ควบคุมได้ (Micro-injuries) บนผิว การเจาะเล็กๆ เหล่านี้ช่วยกระตุ้นกระบวนการสมานแผลตามธรรมชาติของร่างกาย กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน กระบวนการนี้ช่วยให้:

  • ส่งเสริมการฟื้นฟูผิว : การบาดเจ็บระดับจุลภาคจะกระตุ้นให้ผิวสร้างเซลล์ใหม่ ส่งผลให้เนื้อผิวเรียบเนียนและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น
  • เพิ่มการดูดซึมเซรั่ม : ช่องไมโครที่สร้างขึ้นโดยเข็มช่วยให้การรักษาเฉพาะที่เจาะลึกเข้าไปในผิวหนัง เพิ่มประสิทธิภาพใครการดูดซึมของเซรั่มที่ใช้ร่วมกับการรักษา

วิวัฒนาการตามกาลเวลา

นับตั้งแต่เริ่มคิดค้น ไมโครนีดลิ่งก็มีการพัฒนาไปอย่างมาก อุปกรณ์แบบแมนนวลในยุคแรกถูกแทนที่ด้วยอุปกรณ์อัตโนมัติที่ให้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอยิ่งขึ้นและลดความรู้สึกไม่สบายให้เหลือน้อยที่สุด การพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ :

  • ปากกาไมโครนีดลิ่งอัตโนมัติ : อุปกรณ์เหล่านี้มีความยาวเข็มที่ปรับได้และการเคลื่อนไหวแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ควบคุมความลึกและพื้นที่การรักษาได้อย่างแม่นยำ
  • Radiofrequency Microneedling (RF Microneedling) : การผสมผสาน microneedling เข้ากับพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ เทคนิคนี้จะส่งความร้อนไปยังชั้นผิวที่ลึกกว่า เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และเพิ่มความกระชับให้ผิว

ความนิยมและการนำไปใช้ในปัจจุบัน

Microneedling กลายเป็นวิธีการรักษายอดนิยมสำหรับปัญหาผิวต่างๆ เนื่องจากมีประสิทธิภาพและมี Downtime น้อยที่สุด มักใช้สำหรับ:

  • หลุมสิว : มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแผลเป็นแกร็น microneedling ช่วยสลายเนื้อเยื่อแผลเป็นและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ปรับปรุง Texture ของผิว
  • ริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น : ผลการกระตุ้นคอลลาเจนของ microneedling ทำให้การรักษาต่อต้านริ้วรอยยอดนิยม
  • รอยดำและฝ้า : Microneedling สามารถช่วยลดปัญหาผิวคล้ำโดยส่งเสริมการหมุนเวียนของเซลล์ผิว
  • รอยแตกลาย : ด้วยการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน microneedling สามารถปรับปรุงลักษณะที่ปรากฏของรอยแตกลายเมื่อเวลาผ่านไป

ข้อดีและข้อจำกัด

ข้อดี:

  • ระยะ Downtime น้อยที่สุด : เมื่อเทียบกับการรักษาแบบรุกล้ำมากขึ้น microneedling มีระยะเวลาการฟื้นตัวค่อนข้างสั้น โดยปกติแล้วจะมีอาการแดงและบวมเล็กน้อยเพียง 2-3 วัน
  • ความเหมาะสมกับสภาพผิว : เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและทุกสีผิว microneedling สามารถตอบสนองปัญหาผิวได้หลากหลายเลยทีเดียว
  • ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ : การผลิตคอลลาเจนอย่างค่อยเป็นค่อยไปนำไปสู่การปรับปรุง Texture และโทนสีผิวอย่างเป็นธรรมชาติและยาวนาน

ข้อจำกัด:

  • ต้องทำหลายครั้ง : ผลลัพธ์ที่สำคัญมักต้องใช้การรักษาหลายครั้ง โดยทั่วไปจะเว้นระยะห่างกัน 2-3 สัปดาห์
  • ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : แม้ว่าโดยทั่วไปจะปลอดภัย แต่การใช้ไมโครนีดดิ้งอาจทำให้เกิดรอยแดง บวม และรอยช้ำเล็กน้อยชั่วคราวได้ การติดเชื้อเกิดขึ้นได้ยากแต่เป็นไปได้หากไม่ปฏิบัติตามการดูแลหลังการรักษาอย่างเหมาะสม

บทสรุปของ Microneedling

Microneedling เป็นหนึ่งในความก้าวหน้าที่สำคัญในการรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุดสำหรับการปรับปรุงพื้นผิวและลักษณะที่ปรากฏของผิว วิวัฒนาการจากลูกกลิ้งเข็มธรรมดาไปจนถึงอุปกรณ์อัตโนมัติและความถี่วิทยุที่ซับซ้อนได้ขยายการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพ การพัฒนาและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องของเทคนิคไมโครนีดลิ่งรับประกันผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการลดหลุมสิวและความไม่สมบูรณ์ของผิวอื่นๆ ในขณะที่เราก้าวไปข้างหน้า 

ต่อไปหมอจะเล่าให้ฟังถึงการใช้เลเซอร์เข้ามารักษาหลุมสิว

Part 4: การรักษาด้วยเลเซอร์

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีเลเซอร์

การรักษาด้วยเลเซอร์ได้ปฏิวัติวงการผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาหลุมสิว คำว่า "LASER" ย่อมาจาก Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ลำแสงที่มีความเข้มข้นเพื่อกำหนดเป้าหมายและรักษาปัญหาผิวที่เฉพาะเจาะจง เทคโนโลยีเลเซอร์ให้การควบคุมที่แม่นยำ ช่วยให้สามารถรักษาเนื้อเยื่อแผลเป็นได้อย่างตรงเป้าหมาย ในขณะเดียวกันก็ลดความเสียหายต่อผิวหนังโดยรอบให้เหลือน้อยที่สุด

1st Generation: Full-Field Ablative Laser

ความก้าวหน้าครั้งสำคัญครั้งแรกของการรักษาด้วยเลเซอร์สำหรับหลุมสิวมาพร้อมกับการพัฒนาเลเซอร์ Ablative ชนิด Full-Field เลเซอร์เหล่านี้ทำงานโดยการลอกของผิวชั้นบนออก (Ablate) ส่งเสริมการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่มีสุขภาพดีและการผลิตคอลลาเจน

  • เลเซอร์ CO2 :
    • ประวัติความเป็นมาและการพัฒนา : เลเซอร์ CO2 เป็นหนึ่งในเลเซอร์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ใช้สำหรับการผลัดผิว CO2 ทำหน้าที่ปล่อยแสงอินฟราเรดที่ถูกดูดซับโดยน้ำในผิวหนัง ส่งผลทำให้น้ำระเหยและเนื้อเยื่อเป้าหมายถูกกำจัดออก
    • ประสิทธิผล : เลเซอร์ CO2 มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวลึก สามารถปรับปรุง Texture และโทนสีผิวได้อย่างมาก มีผลลัพธ์ที่ดีมากระดับหนึ่ง
    • ข้อจำกัด : การทำเลเซอร์ CO2 นั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก โดยใช้เวลาพักฟื้นนานและอาจมีผลข้างเคียง เช่น รอยแดง บวม และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ การรักษายังสามารถทำให้เกิดรอยดำได้ โดยเฉพาะในโทนสีผิวเข้มของคนไทย
  • เลเซอร์ Erbium-YAG :
  • ประวัติความเป็นมาและการพัฒนา : เลเซอร์ Erbium-YAG ซึ่งเป็นทางเลือกแทนเลเซอร์ CO2 ทำหน้าที่โดยการปล่อยแสงที่ถูกดูดซับโดยน้ำในผิวหนัง โดยจะทำงานที่ความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน ทำให้สามารถควบคุมการกำจัดเนื้อเยื่อได้แม่นยำยิ่งขึ้น
  • ประสิทธิผล : เลเซอร์ Erbium-YAG มีผลกับรอยแผลเป็นทั้งชั้นตื้นและลึกปานกลาง ส่งผลให้เนื้อเยื่อโดยรอบได้รับความเสียหายจากความร้อนน้อยลง เมื่อเทียบกับเลเซอร์ CO2
  • ข้อจำกัด : แม้ว่าระยะเวลาการฟื้นตัวจะสั้นกว่าและผลข้างเคียงจะรุนแรงน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 แต่ผลลัพธ์อาจไม่น่าทึ่งสำหรับรอยแผลเป็นที่ลึกมาก

การลอกผิวคือการสร้างแผล ซึ่งหากทำมากไปอาจเกิดแผลเป็นนูนและรอยดำได้ หากลอกน้อยไปก็อาจไม่ได้ผลเพราะกระตุ้นคอลลาเจนไม่เพียงพอ ดังนั้น เลเซอร์รักษาหลุมสิวจึงพัฒนาขึ้นโดยยึดหลักการนี้ เลเซอร์ที่ดีต้องกระตุ้นการรักษาหลุมสิวได้ดีและมีผลข้างเคียงน้อย เช่น แผลเป็นหรือรอยดำหลังทำ

2nd Generation: Non-Ablative Laser

เพื่อจัดการกับข้อจำกัดของ Full-Field Ablative Laser จึงได้มีการพัฒนา Non-Ablative Laser ขึ้นมา เลเซอร์เหล่านี้ทำงานโดยการให้ความร้อนแก่เนื้อเยื่อผิวหนังที่อยู่ด้านล่างโดยไม่ต้อง Ablate ผิวชั้นตื้นออก สามรถกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและปรับปรุง Skin Texture โดยมี Downtime น้อยที่สุด

  • Erbium Glass Laser
    • กลไกการทำงาน : เลเซอร์เหล่านี้จะทำความร้อนให้กับน้ำในผิวหนังเพื่อสร้างความร้อนแก่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพื้นผิวอย่างมีนัยสำคัญ
    • ประสิทธิผล : เหมาะสำหรับหลุมสิวเล็กน้อยถึงปานกลาง เลเซอร์แก้วเออร์เบียมมีการปรับปรุงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีผลข้างเคียงและ Downtime น้อยที่สุด
    • ข้อจำกัด : ผลลัพธ์ที่ได้จะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเลเซอร์ระเหย และมักต้องทำหลายครั้ง
  • เลเซอร์ Nd:YAG
    • กลไกการทำงาน : เลเซอร์ Nd:YAG ทำหน้าที่เจาะลึกเข้าไปในผิวหนัง เพื่อยิงทั้งน้ำและเมลานิน มีประโยชน์หลากหลาย ใช้สำหรับสภาพผิวต่างๆ รวมถึงหลุมสิว
    • ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพในการลดรอยแดงและปรับปรุงผิว เลเซอร์เหล่านี้ปลอดภัยสำหรับทุกสภาพผิว
    • ข้อจำกัด : เช่นเดียวกับเลเซอร์แบบไม่ทำลายอื่นๆ จำเป็นต้องมีการรักษาหลายครั้ง และผลลัพธ์ที่ได้จะละเอียดกว่า

3rd Generation: Fractional Laser

เทคโนโลยี Fractional Laser แสดงถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการรักษาหลุมสิว โดยผสมผสานคุณประโยชน์ของเลเซอร์ทั้งแบบ Ablative และ Non-Ablative 

Fractional Laser จะรักษาผิวหนังเพียงบริเวณเล็กบริเวณเดียวในแต่ละครั้ง ทำให้เกิดการบาดเจ็บขนาดเล็ก (Micro-Injuries) ที่รายล้อมไปด้วยเนื้อเยื่อที่มีสุขภาพดี ซึ่งจะช่วยเร่งการรักษาและลด Downtime 

  • เลเซอร์ Fractional CO2 :
  • กลไกการทำงาน : เลเซอร์ Fractional CO2 จะส่งลำแสงที่โฟกัสซึ่งจะสร้างคอลัมน์เนื้อเยื่อที่เสียหายเล็กๆ และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในขณะที่เนื้อเยื่อโดยรอบไม่เสียหาย
  • ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่อยู่ลึก โดยช่วยทำ Texture และโทนสีผิวให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • ข้อจำกัด : แม้ว่า Downtime จะลดลงเมื่อเทียบกับ Full-Field Ablative Laser แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เช่น รอยแดง บวม และรอยดำ โดยเฉพาะในสีผิวที่เข้มกว่าเช่นผิวคนไทยเป็นต้น
  • Fractional Erbium-YAG
    • กลไกการทำงาน : เลเซอร์เหล่านี้สร้างการบาดเจ็บขนาดเล็กคล้ายกับเลเซอร์ Fractional CO2 แต่สร้างความเสียหายจากความร้อนน้อยกว่า
    • ประสิทธิผล : เหมาะสำหรับหลุสิวตื้นถึงลึกปานกลาง ให้ผลลัพธ์ที่ดี ใช้เวลาพักฟื้นสั้นกว่า
    • ข้อจำกัด : ผลลัพธ์อาจไม่เด่นชัดเท่ากับเลเซอร์ CO2 แบบเศษส่วน และยังคงมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรง

4th Generation: Fractional RF (RF)

ความก้าวหน้าล่าสุดในการรักษาหลุมสิว ได้แก่ Fractional RF ซึ่งใช้พลังงานคลื่นวิทยุเพื่อให้ความร้อนแก่ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยไม่ต้องใช้แสงเลเซอร์

  • Fractional RF (เช่น eMatrix, Venus Viva)
    • กลไกการทำงาน : Fractional RF ทำงานโดยสร้างการบาดเจ็บขนาดเล็กในผิวหนังโดยใช้พลังงานคลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและกระชับผิว
    • ประสิทธิผล : ใช้ได้กับหลุมสิวหลายประเภท รวมถึงหลุมสิวแบบลึก Fractional RF เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยดำน้อยที่สุดในกลุ่มเทคโนโลยีในยุคนี้
    • ข้อดี : ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ใช้ Downtime น้อยที่สุด และสามารถรักษารอยแผลเป็นที่อยู่ลึกลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • Microneedle RF (เช่น Fractora, Scarlet)
    • กลไกการทำงาน : ผสมผสาน microneedling เข้ากับพลังงาน Fractional RF ให้การรักษาที่ตรงเป้าหมายลึกลงสู่ผิว
    • ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่รุนแรงและลึก โดยให้การปรับปรุง Texture และสีผิวอย่างมีนัยสำคัญ
    • ข้อดี : ควบคุมความลึกของการรักษาได้อย่างแม่นยำ Downtime น้อย และลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเลเซอร์

บทสรุปของการรักษาด้วยเลเซอร์

การรักษาด้วยเลเซอร์ทำให้การรักษาหลุมสิวก้าวหน้าไปอย่างมาก โดยมีตัวเลือกมากมายเพื่อให้เหมาะกับประเภทของหลุมสิวและสภาพผิวที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ Full-Field Ablative Laser ในยุคแรกๆ ไปจนถึง Fractional RF ล่าสุด แต่ละรุ่นได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า ทำให้มีตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและผลข้างเคียงน้อยลง การพัฒนาเทคโนโลยีเลเซอร์อย่างต่อเนื่องเป็นผลดีสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาหลุมสิวและทำให้ผิวเรียบเนียนและมีสุขภาพดีขึ้น หัวข้อถัดไปจะกล่าวถึงการผสมผสานวิธีการรักษาต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มผลลัพธ์และจัดการกับหลุมสิวประเภทต่างๆ อย่างครอบคลุม

Part 5: การรักษาแบบผสมผสาน

ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการรักษาแบบผสมผสาน

เนื่องจากความเข้าใจเกี่ยวกับหลุมสิวและการนำเสนอที่หลากหลายมากขึ้น แพทย์ผิวหนังจึงหันมาผสมผสานวิธีการรักษาที่แตกต่างกันมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การรักษาแบบผสมผสานสามารถจัดการกับรอยแผลเป็นในด้านต่างๆ ได้ โดยนำเสนอแนวทางการรักษาและฟื้นฟูผิวที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Subcision + Laser

หนึ่งในการผสมผสานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการรักษา Rolling Scar และ Boxcar Scar บางประเภทคือการทำ subcision ตามด้วยการรักษาด้วยเลเซอร์

  • Subcision
    • กลไกการทำงาน : Subcision คือการใช้เข็มตัดเนื้อเยื่อที่ยึดผิวหนังและทำให้เกิดหลุมให้หลุดออก โดยจะสร้างการบาดเจ็บที่ควบคุมได้ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและช่วยให้ผิวยกขึ้น
    • ขั้นตอนการรักษา : เริ่มด้วยการแปะยาชาเฉพาะที่ให้คนไข้ หลังจากนั้นก็ใช้เข็มเล็กๆ สอดเข้าไปใต้แผลเป็นแล้วตัดเนื้อเยื่อที่ยึดหลุมออก
    • ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Rolling Scar โดยการ Subcision หลังทำแล้วจะเห็นผลทันที
  • Subcison + Laser
    • กลไกการทำงาน : หลังจากการ Subcision สามารถใช้การรักษาด้วยเลเซอร์ เช่น Fractional CO2 หรือ Erbium-YAG เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและผลัดผิวใหม่
    • ประสิทธิผล : การผสมผสานระหว่างการ Subcision และการรักษาด้วยเลเซอร์ทำให้เกิดผลเสริมฤทธิ์กัน ทำให้ผลลัพธ์โดยรวมดีขึ้น และรักษาหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการรักษาด้วยวิธีเดียว

Subcison + Fractional RF

การรักษาหลุมสิวแบบผสมผสานที่ได้ผลดีอีกชนิดหนึ่งคือการทำ Subcision คู่กับ Fractional RF โดยเฉพาะเมื่อเลือกทำกับ Rolling Scar

  • Fractional RF (เช่น Venus Viva)
    • กลไกการทำงาน : Fractional RF ใช้ microneedles เพื่อส่งพลังงาน RF ลึกเข้าไปในผิวหนัง สร้างการบาดเจ็บจากความร้อนที่ควบคุมได้ ซึ่งกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการกระชับผิว
    • ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพสำหรับรอยแผลเป็นทั้งตื้นและลึก Fractional RF ช่วยเพิ่มเนื้อผิวและส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงคอลลาเจนอย่างมีนัยสำคัญ
  • Fractional RF + Subcision
    • กลไกการทำงาน : แพทย์ส่วนใหญ่จะเลือกทำ Subcision ก่อนเพื่อตัดพังผืดที่ยึดหลุมอยู่ออก จากนั้นจึงใช้ Fractional RF เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและทำให้ผิวกระชับ
    • ประสิทธิผล : การรักษาร่วมกันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดของทั้งสองวิธี โดย subcision จะให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดทันที ส่วน RF จะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในระยะยาว

TCA Cross + Laser

TCA CROSS (การสร้างรอยแผลเป็นจากผิวหนังโดยใช้กรดไตรคลอโรอะซิติก) เป็นเทคนิคหลักที่ใช้ในการรักษารอยแผลเป็นชนิด ice pick ซึ่งมีความลึกเกินกว่าจะรักษาด้วยเลเซอร์เพียงอย่างเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

TCA Cross:

  • กลไกการทำงาน: TCA ที่มีความเข้มข้นสูงจะถูกทาลงบนแผลเป็นโดยตรง ทำให้เกิดการบาดเจ็บแบบควบคุม จากสารเคมีซึ่งช่วยส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนและการผลัดเซลล์ผิว
  • ขั้นตอน: ใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กทา TCA ลงบนแผลเป็นอย่างแม่นยำ บริเวณนั้นอาจเกิดเปลือกและหลุดลอกเป็นเวลาหลายวัน
  • ประสิทธิผล: TCA CROSS มีประสิทธิภาพสูงในการรักษารอยแผลเป็นชนิด ice pick สามารถลดความลึกและการมองเห็นของรอยแผลเป็นได้อย่างมาก

การใช้ร่วมกับเลเซอร์:

  • กลไกการทำงาน: หลังจากทำ TCA CROSS แล้วก็ต่อด้วยการรักษาด้วย Fractional Laser สามารถใช้เพื่อทำให้ผิวเรียบเนียนและส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนต่อไป
  • ประสิทธิผล: การผสมผสานนี้ช่วยแก้ไขทั้งความลึกและพื้นผิวของรอยแผลเป็นชนิด ice pick ทำให้มีการปรับปรุงที่ครอบคลุมมากขึ้น

บทสรุปของการรักษาแบบผสมผสาน

การผสมผสานวิธีการรักษาที่แตกต่างกันช่วยให้การรักษาหลุมสิวมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถจัดการกับรอยแผลเป็นประเภทต่าง ๆ และปรับปรุงผลลัพธ์โดยรวมได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ subcision ร่วมกับเลเซอร์หรือ Fractional RF, TCA CROSS, microneedling ด้วย PRP และการผสมผสานระหว่างเลเซอร์และการใช้ยาทา ล้วนเป็นวิธีการผสมผสานที่มีประสิทธิภาพสูง การรักษาเสริมฤทธิ์กันเหล่านี้ช่วยปรับปรุง Skin Texture โทนสี และรูปลักษณ์ภายนอกได้อย่างครอบคลุม ทำให้บุคคลที่ต้องเผชิญกับปัญหาหลุมสิวได้รับความหวังและความมั่นใจ 

หัวข้อถัดไปจะเจาะลึกถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเน้นความก้าวหน้าล่าสุดและทิศทางในอนาคตของการรักษาหลุมสิว

Part 6: เทคโนโลยีใหม่

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่

ในขณะที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง การรักษาหลุมสิวก็เกิดขึ้นใหม่และเป็นนวัตกรรมใหม่ แนวทางที่ล้ำหน้าเหล่านี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าคาดหวังโดยมีผลข้างเคียงน้อยลงและใช้เวลาฟื้นตัวสั้นลง ในส่วนนี้จะสำรวจการพัฒนาล่าสุดบางส่วนในเทคโนโลยีการรักษาหลุมสิว

การผลัดเซลล์ผิวด้วยพลาสม่า (Plasma Skin Resurfacing)

การผลัดเซลล์ผิวด้วยพลาสม่าเป็นเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่ใช้พลังงานพลาสม่าเพื่อฟื้นฟูผิวและรักษาหลุมสิว

  • กลไกการทำงาน : การผลัดผิวด้วยพลาสมาเกี่ยวข้องกับการใช้อุปกรณ์ที่สร้างพลังงานพลาสม่าเพื่อส่งความร้อนที่ควบคุมไปยังพื้นผิว พลังงานนี้สร้างอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการฟื้นฟูผิว
  • ขั้นตอน : อุปกรณ์ถูกส่งผ่านผิวหนัง และพลังงานพลาสมาจะถูกส่งไปในชุดของพัลส์ที่ควบคุม สามารถปรับแต่งการรักษาให้เหมาะกับพื้นที่และความลึกเฉพาะได้
  • ประสิทธิผล : การผลัดผิวด้วยพลาสมามีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นและปรับปรุงสีผิวโดยรวม
  • ข้อดี : ใช้ Downtime น้อยที่สุดและลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำ เมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเลเซอร์แบบดั้งเดิม เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

Cryotherapy รักษาหลุมสิว

Cryotherapy ซึ่งแต่เดิมใช้ในการขจัดหูดและรักษาสภาพผิวบางชนิด ปัจจุบันได้ถูกทำมาวิจัยเพื่อใช้รักษาหลุมสิว

  • กลไกการทำงาน : Cryotherapy คือการใช้ความเย็นจัดส่งไปยังบริเวณผิวเป้าหมาย กระบวนการนี้ทำให้เกิดความเสียหายที่ควบคุมได้ต่อเนื้อเยื่อแผลเป็น และส่งเสริมการเจริญเติบโตของผิวใหม่ที่มีสุขภาพดี
  • ขั้นตอน : นำไนโตรเจนเหลวหรือสารแช่แข็งอื่นๆ มาใช้กับบริเวณที่เกิดแผลเป็นโดยใช้อุปกรณ์พิเศษ นับว่าเป็นการรักษาที่ไม่เจ็บมาก
  • ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพในการลดการปรากฏของรอยแผลเป็นนูนและรอยนูนมากเกินไป นอกจากนี้ยังสามารถปรับปรุง Texture และโทนสีผิวได้อีกด้วย
  • ข้อดี : ผลข้างเคียงน้อย และมี Downtime น้อยที่สุด มีขั้นตอนที่รวดเร็วและไม่เจ็บปวด

การรักษาด้วย Stem Cell และ Growth Factor

การรักษาด้วย Stem Cell และการใช้ Growth Factor ถือเป็นขอบเขตที่มีแนวโน้มในการรักษาหลุมสิว โดยใช้ประโยชน์จากกลไกการทำงานการรักษาตามธรรมชาติของร่างกาย

  •  Stem Cell
    • กลไกการทำงาน : เซลล์ต้นกำเนิดมีความสามารถในการแยกแยะเซลล์ประเภทต่างๆ และส่งเสริมการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ในการรักษาหลุมสิว มีการใช้ Stem Cell เพื่อกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่และคอลลาเจน
    • ขั้นตอน : สามารถเก็บ Stem Cell จากเนื้อเยื่อไขมันหรือไขกระดูกของคนไข้เอง แล้วฉีดเข้าไปบริเวณที่เป็นแผลเป็น อีกทางเลือกหนึ่ง สามารถใช้เซรั่มที่ได้มาจาก Stem Cell เฉพาะที่ก็ได้
    • ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงเนื้อผิว ลดความลึกของแผลเป็น และส่งเสริมการฟื้นฟูผิวโดยรวม
    • ข้อดี : การรักษาตามธรรมชาติและเข้ากันได้ทางชีวภาพพร้อมศักยภาพในการให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน
  • Growth Factor
    • กลไกการทำงาน : Growth Factor คือโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตของเซลล์ การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และการผลิตคอลลาเจน สามารถใช้ทาหรือฉีดเพื่อเพิ่มการรักษาและการฟื้นฟูผิว
    • ขั้นตอน : Growth Factor สามารถหาได้จากเลือดของคนไข้ (PRP) หรือสังเคราะห์ในห้องแลป โดยจะนำไปใช้กับผิวหนังในระหว่างการรักษา เช่น การฉีดไมโครนีดดิ้งหรือการรักษาด้วยเลเซอร์
    • ประสิทธิผล : ช่วยให้การรักษาเร็วขึ้น ลดการอักเสบ และเพิ่มการผลิตคอลลาเจน ส่งผลให้เนื้อผิวดีขึ้น และลดลักษณะรอยแผลเป็น
    • ข้อดี : ช่วยเพิ่มผลของการรักษาอื่นๆ และเร่งกระบวนการฟื้นฟูให้เร็วขึ้น

การรักษาด้วยแสง LED

การรักษาด้วยแสง LED เป็นการรักษาแบบ Non-Invasive ซึ่งใช้ความยาวคลื่นแสงที่แตกต่างกันเพื่อแก้ปัญหาผิวต่างๆ รวมถึงหลุมสิว

  • กลไกการทำงาน : การรักษาด้วยแสง LED เกี่ยวข้องกับการใช้ไดโอดเปล่งแสงเพื่อส่งความยาวคลื่นเฉพาะของแสงไปยังผิวหนัง ความยาวคลื่นที่แตกต่างกันจะแทรกซึมเข้าสู่ผิวที่ระดับความลึกที่แตกต่างกัน และมีหน้าที่ส่งเสริมการรักษาและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
  • ขั้นตอน : คนไข้นั่งหรือนอนใต้อุปกรณ์ไฟ LED และโดยทั่วไปการรักษาจะไม่เจ็บปวดและผ่อนคลาย แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที
  • ประสิทธิผล : มีผลกับหลุมสิวเล็กน้อยและการฟื้นฟูผิวโดยรวม ช่วยลดการอักเสบ ปรับสภาพผิว และส่งเสริมการผลิตคอลลาเจน
  • ข้อดี :  Non-Invasive โดยสิ้นเชิงและไม่มี Downtime  เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและสามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

บทสรุปของเทคโนโลยีเกิดใหม่

เทคโนโลยีใหม่ในการรักษาหลุมสิวนำเสนอโอกาสใหม่ ๆ สำหรับคนไข้ที่มองหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด การผลัดผิวด้วยพลาสมา การรักษาด้วยความเย็นจัด การรักษาด้วยสเต็มเซลล์ และการรักษาด้วยแสง LED เป็นความก้าวหน้าล่าสุด แต่ละวิธีมีกลไกการทำงานและประโยชน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เมื่อการวิจัยและพัฒนาดำเนินต่อไป นวัตกรรมเหล่านี้สัญญาว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น นำไปสู่การรักษาหลุมสิวที่มีความเป็นส่วนตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

หัวข้อถัดไปจะเปรียบเทียบเทคโนโลยีรักษาหลุมสิวเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อช่วยให้ทุกคนมีข้อมูลในการตัดสินใจเกี่ยวกับตัวเลือกการรักษาของตัวเอง

Part 7: การเปรียบเทียบเทคโนโลยีหลุมสิวต่างๆ

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเปรียบเทียบเทคโนโลยีหลุมสิว

การเลือกการรักษาหลุมสิวที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายเมื่อพิจารณาจากเทคโนโลยีที่มีอยู่มากมาย ในส่วนนี้จะแสดงการเปรียบเทียบการรักษาหลุมสิวแบบต่างๆ อย่างครอบคลุม โดยเน้นที่ประสิทธิภาพ ระยะ Downtime  ผลข้างเคียง ต้นทุน และความเหมาะสมสำหรับสภาพผิวและความรุนแรงของแผลเป็นต่างๆ แต่ละหมวดหมู่จะมีคะแนนตั้งแต่ 0 ถึง 10 โดย 0 คือแย่ที่สุด และ 10 คือดีที่สุด

ตารางเปรียบเทียบการรักษาหลุมสิว

คำอธิบายการเปรียบเทียบ

ประสิทธิผล

  • Fractional CO2 Lasers: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่อยู่ลึก ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนอย่างมีนัยสำคัญและการผลัดผิวใหม่ เหมาะสำหรับแผลเป็นตีบอย่างรุนแรง รวมถึงรอยแผลเป็นจากรถลากและไม้ Icepick คะแนน: 4
  • Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): มีประสิทธิภาพมากกับรอยแผลเป็นทั้งตื้นและลึก กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและกระชับผิว ปรับปรุงทันทีพร้อมสิทธิประโยชน์อย่างต่อเนื่อง คะแนน: 4.5
  • Fractional Erbium-YAG Lasers: มีประสิทธิภาพสำหรับหลุมสิวปานกลางและมีความเสียหายจากความร้อนน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นตื้นๆ ถึงลึกปานกลาง คะแนน: 4
  • Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนและปรับปรุงผิว เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นเล็กน้อยถึงปานกลาง คะแนน: 4.5

Downtime และ Recovery

  • Fractional RF (เช่น Venus Viva): ใช้ Downtime น้อยที่สุดถึงปานกลาง โดยมีรอยแดงและบวมเล็กน้อยนานสองสามวัน คะแนน: 4.5
  • Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): Downtime ปานกลาง โดยทั่วไปจะมีอาการแดงและบวมสองสามวัน คะแนน: 4
  • Fractional Erbium-YAG Lasers: ระยะ Downtime สั้นกว่าเลเซอร์ CO2 ซึ่งปกติจะใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ คะแนน: 3
  • Fractional CO2 Lasers: ระยะ Downtime ยาวนานที่สุด โดยมีรอยแดงและการหลุดลอกอย่างเห็นได้ชัดยาวนานถึงสองสัปดาห์ คะแนน: 2

ผลข้างเคียงและความเสี่ยง

  • Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำและการติดเชื้อ โดยจะมีรอยแดงและบวมชั่วคราว คะแนน: 4.5
  • Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำและการติดเชื้อ โดยมีรอยแดงและบวมชั่วคราว คะแนน: 4
  • Erbium-YAG Lasers: มีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 โดยมีรอยแดงและลอกชั่วคราว คะแนน: 3.5
  • Fractional CO2 Lasers: มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดรอยดำ การติดเชื้อ และรอยแดงเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในสีผิวที่เข้มกว่า คะแนน: 2

ค่าใช้จ่าย

  • Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): ต้นทุนปานกลาง สะท้อนถึงประสิทธิภาพและเทคโนโลยีขั้นสูง คะแนน: 4
  • เลเซอร์ Erbium-YAG: ต้นทุนปานกลาง โดยทั่วไปแล้วจะถูกกว่าเลเซอร์ CO2 คะแนน: 3.5
  • Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): ต้นทุนสูงปานกลาง สะท้อนถึงเทคโนโลยีขั้นสูงและประสิทธิผล คะแนน: 3
  • เลเซอร์ Fractional CO2: โดยปกติแล้วค่าใช้จ่ายจะต่ำกว่าตัวอื่นๆ คะแนน: 5

ความเหมาะสมกับสภาพผิวต่างๆ และความรุนแรงของแผลเป็น

  • Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ใช้ได้กับแผลเป็นทุกระดับ อีกทั้งยังช่วยผลัดผิวให้ขาวขึ้น คะแนน: 4.5
  • Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ใช้ได้กับแผลเป็นทุกระดับ คะแนน: 4
  • Erbium-YAG Lasers: เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นปานกลาง และสีผิวสีอ่อนถึงปานกลาง คะแนน: 3.5
  • Fractional CO2 Lasers: เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นที่รุนแรงและสีผิวที่สว่างกว่า ข้อควรระวังสำหรับผิวคล้ำเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการสร้างเม็ดสี คะแนน: 2.5

สรุปการเปรียบเทียบ

การรักษาหลุมสิวแต่ละวิธีมีจุดแข็งและข้อจำกัดของตัวเอง การเลือกวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล เช่น ความรุนแรงของแผลเป็น ประเภทของผิว ความทนทานต่อ Downtime และงบประมาณ

  • Fractional CO2 Lasers: ดีที่สุดสำหรับรอยแผลเป็นที่รุนแรง แต่มาพร้อมกับ Downtime อย่างมาก ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และความเสี่ยง ทำให้ไม่เหมาะกับสีผิวคล้ำ
  • Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): มีประสิทธิภาพมากสำหรับแผลเป็นประเภทต่างๆ โดยให้ความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพ ระยะ Downtime และผลข้างเคียงที่รับได้
  • Fractional Erbium-YAG Lasers: มีประสิทธิภาพสำหรับรอยแผลเป็นระดับปานกลาง โดยมีผลข้างเคียงและ Downtime น้อยกว่าเลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวสว่างถึงปานกลาง
  • Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): โดยรวมแล้วดีที่สุด ด้วยคะแนนด้านประสิทธิผลสูง ระยะ Downtime น้อยที่สุด ความเสี่ยงต่ำ และเหมาะสมกับทุกสภาพผิว อีกทั้งยังช่วยปรับ Texture ผิวอีกด้วย ทำให้เป็นตัวเลือกที่ทำได้หลากหลายและเป็นที่แนะนำมากที่สุด

เทคโนโลยีที่หมอเลือกในปี 2024

เมื่อพิจารณาคะแนนและการเปรียบเทียบ การรักษาด้วย Fractional RF เช่น Venus Viva ถือเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในการรักษาหลุมสิวหลายประเภท มีความสมดุลในด้านประสิทธิผล Downtime ที่น้อย และความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ลดลง ทำให้เหมาะกับคนไข้ส่วนใหญ่ สำหรับผู้ที่มองหาการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ใช้เวลาฟื้นตัวน้อย และมีความเสี่ยงน้อย Fractional RF เป็นตัวเลือกที่แนะนำ 

อย่างไรก็ตามการปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการรักษานี้เหมาะสมกับความต้องการและประเภทผิวของเราเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

Part 8: การเลือกการรักษาที่เหมาะสม

ปัจจัยที่ต้องพิจารณา

การเลือกการรักษาหลุมสิวที่ดีที่สุดนั้นเกี่ยวข้องกับการประเมินปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยทางการแพทย์ต่างๆ เพื่อให้มั่นใจถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความพึงพอใจของคนไข้ ข้อควรพิจารณาที่สำคัญมีดังนี้:

  1. ประเภทของหลุมสิว
  1. ประเภทของหลุมสิว
    • หลุมสิวทั่วไป : ได้แก่ Ice Pick Scar Boxcar Scar และ Rolling Scar  การรักษาที่แตกต่างกันจะได้ผลดีกับแผลเป็นประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะsome text
      • Icepick Scars : รักษาได้ดีที่สุดด้วย TCA Cross หรือ Fractional CO2 lasers
      • Boxcar และ Rolling Scars : Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ Fractional RF ที่มี microneedle (เช่น Fractora) เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพ
    • รอยแผลเป็น Hypertrophic และ คีลอยด์ : รอยแผลเป็นนูนเหล่านี้อาจต้องได้รับการรักษาที่แตกต่างกัน เช่น การฉีดสเตียรอยด์หรือการใช้แผ่นซิลิโคน
  2. ประเภทผิว
  1. โทนสีผิว
    • สีผิวอ่อน : การรักษาด้วยเลเซอร์ส่วนใหญ่ รวมถึง Fractional CO2 และ Erbium-YAG จะมีความเหมาะสมมากกว่า
    • สีผิวที่เข้มกว่า : แนะนำให้ใช้การรักษาด้วย Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ RF ด้วย microneedle (เช่น Fractora) เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดเม็ดสีมากเกินไปน้อยกว่า
  1. ความรุนแรงของหลุมสิว
    • หลุมชนิดตื้นถึงปานกลาง : เลเซอร์ Fractional RF และ Erbium-YAG มีประสิทธิภาพโดยใช้ Downtime น้อยที่สุด
    • หลุมลึก : เลเซอร์ Fractional CO2 และ Fractional RF พร้อม microneedle จะเหมาะสมที่สุด แต่ต้องใช้ระยะเวลาการพักฟื้นนานกว่า
  2. Downtime
    •  Downtime น้อยที่สุด : Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ TCA CROSS ใช้เวลาฟื้นตัวสั้นกว่า
    •  Downtime ปานกลางถึงยาวนาน : เลเซอร์ Fractional CO2 และ Fractional RF พร้อม microneedle อาจต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า
  1. ค่ารักษา
    • ค่ารักษาต่ำกว่า : TCA Cross จะคุ้มค่ามากแต่อาจต้องรักษาหลายครั้ง และต้องทำกับแพทย์ผู้เชียวชาญเพื่อลดความเสี่ยง
    • ค่ารักษาปานกลาง : Fractional RF (เช่น Venus Viva) ให้ความสมดุลระหว่างต้นทุนและประสิทธิผล
    • ค่ารักษาสูง : Microneedle RF มักจะมีราคาแพงกว่าเนื่องจากต้นทุนเครื่องที่สูงกว่า
  2. ผลข้างเคียง
    • ผลข้างเคียงต่ำ : Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ RF พร้อมการรักษาด้วย microneedle จะมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงน้อยกว่า
    • ผลข้างเคียงที่สูงขึ้น : เลเซอร์ Fractional CO2 มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียง โดยเฉพาะในสีผิวที่เข้มกว่า

การปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

การปรึกษาอย่างละเอียดกับแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรอง (Board-Certified Dermatologist) เป็นสิ่งสำคัญในการประเมินความต้องการและประวัติการรักษาของแต่ละบุคคล แพทย์ผิวหนังจะตรวจสอบประเภทและความรุนแรงของหลุมสิว ประเภทของผิว และสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อแนะนำการรักษาที่เหมาะสมที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่คาดหวัง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และจำนวนครั้งที่ต้องการในการรักษา

แผนการรักษาเฉพาะบุคคล

แพทย์ผิวหนังอาจแนะนำให้รวมการรักษาต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น:

  • Subcision + Fractional RF : สำหรับ Rolling Scar การรวม Subcision เข้ากับ Fractional RF (เช่น Venus Viva) สามารถทำร่วมกันเพื่อให้ได้ผลดีมากขึ้นได้
  • TCA CROSS + Fractional CO2 : สำหรับหลุมสิวชนิด Ice Pick การใช้ TCA CROSS ตามด้วยการรักษาด้วยเลเซอร์ Fractional CO2 จะช่วยเพิ่มผลลัพธ์ได้

การตั้งความคาดหวังที่สมจริง

การทำความเข้าใจผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นและข้อจำกัดของการรักษาแต่ละครั้งเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าการรักษาบางอย่างจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นมาก แต่การมีผิวที่ปราศจากรอยแผลเป็นอย่างสมบูรณ์อาจเป็นไปไม่ได้ การตั้งเป้าหมายที่สมจริงและมีความอดทนต่อกระบวนการรักษาจะนำไปสู่ความพึงพอใจที่ดีขึ้น ส่วนใหญ่การรักษาแต่ละครั้งจะสามารถทำให้หลุมสิวดีขึ้นประมาณ 20-30% เท่านั้น

การบำรุงรักษาและการดูแลหลังรักษา

การดูแลหลังการรักษามีความสำคัญอย่างยิ่งในการให้ผลลัพธ์สูงสุดและป้องกันภาวะแทรกซ้อน แพทย์ผิวหนังจะให้คำแนะนำการดูแลหลังการรักษาโดยเฉพาะ ซึ่งอาจรวมถึง:

  • หลีกเลี่ยงแสงแดด : เพื่อป้องกันการเกิดรอยดำและปกป้องการรักษาผิว
  • การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสูตรอ่อนโยน : เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองและส่งเสริมการรักษา
  • การนัดหมายติดตาม ผล : เพื่อติดตามความคืบหน้าและปรับเปลี่ยนแผนการรักษาตามที่จำเป็น

บทสรุป

การเลือกการรักษาหลุมสิวที่เหมาะสมนั้นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบจากหลายปัจจัย รวมถึงชนิดและความรุนแรงของรอยแผลเป็น ประเภทของผิว ความทนทานต่อ Downtime งบประมาณ และการยอมรับความเสี่ยง การรักษาด้วย Fractional RF เช่น Venus Viva และ eMatrix โดดเด่นในฐานะตัวเลือกที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ โดยให้ประสิทธิภาพที่ดี Downtime น้อย และมีความเสี่ยงต่ำ การปรึกษากับแพทย์ผิวหนังเพื่อพัฒนาแผนการรักษาเฉพาะบุคคลจะช่วยให้มั่นใจได้ถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ช่วยให้แต่ละบุคคลมีผิวที่เรียบเนียน มีสุขภาพดีขึ้น และเพิ่มความมั่นใจ

Part 9: บทสรุปและทิศทางในอนาคต

สรุปการรักษาหลุมสิว

การรักษาหลุมสิวได้รับการพัฒนาอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยจะมีหลายทางเลือกที่ดีเพื่อจัดการกับหลุมสิวประเภทและความรุนแรงที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้เป็นบทสรุปโดยย่อของการรักษาที่กล่าวถึง:

  • Fractional CO2 Lasers: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่ลึก เช่น Ice Pick Scar แต่ต้องหยุดทำงานอย่างมีนัยสำคัญและมีความเสี่ยงสูงกว่า ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวสีอ่อนกว่าเป็นหลัก
  • Fractional RF พร้อม Microneedle (เช่น Fractora): เป็นการรักษาที่เหมาะสำหรับหลุมสิวประเภทต่างๆ โดยมี Downtime และความเสี่ยงปานกลาง ทำให้เป็นตัวเลือกที่ค่อนข้าง versatile
  • Fractional Erbium-YAG Lasers: มีประสิทธิภาพสำหรับรอยแผลเป็นระดับปานกลางโดยมี Downtime สั้นกว่าและมีความเสี่ยงน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับผิวสีอ่อนถึงปานกลาง
  • Fractional RF (เช่น Venus Viva): มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวประเภท Rolling Scar และ Boxcar Scar  โดยมี Downtime น้อยที่สุดและความเสี่ยงต่ำ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและความรุนแรงของแผลเป็น นอกจากนี้ การใช้ร่วมกับ subcision ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาแผลเป็นลึกได้อย่างดี
  • TCA CROSS: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับแผลเป็นที่อยู่ลึกและตรงเป้าหมาย เช่น Ice Pick Scar โดยใช้ Downtime น้อยที่สุดถึงปานกลางและมีค่าใช้จ่ายน้อย เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

การเลือกการรักษาที่เหมาะสม

การเลือกการรักษาที่เหมาะสมเกี่ยวข้องกับการพิจารณาปัจจัยส่วนบุคคล เช่น ประเภทของแผลเป็น ประเภทของผิว ความรุนแรง ความทนทานต่อ Downtime  งบประมาณ และการยอมรับความเสี่ยง การปรึกษาหารือกับแพทย์ผิวหนังถือเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาแผนการรักษาเฉพาะบุคคลเพื่อเพิ่มผลลัพธ์สูงสุดและลดความเสี่ยง

ทิศทางในอนาคตของการรักษาหลุมสิว

การรักษาหลุมสิวมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยการวิจัยและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ต่อไปนี้เป็นแนวทางในอนาคตที่น่าหวัง:

  1. เทคนิค Microneedling สมัยใหม่
    • Automated Microneedling : ให้ความแม่นยำและการควบคุมมากขึ้น ลดความรู้สึกไม่สบายและปรับปรุงผลลัพธ์
    • Microneedling พร้อมสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive Agents) : ผสมผสาน Growth Factor เปปไทด์ และสารประกอบออกฤทธิ์ทางชีวภาพอื่นๆ เพื่อเพิ่มการฟื้นฟูและการรักษาผิว
  2. การรักษาด้วย Stem Cell และ Growth Factor
    • การรักษาด้วย Stem Cell : การใช้ Stem Cell เพื่อส่งเสริมการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจช่วยรักษาแผลเป็นที่รุนแรงได้ในระยะยาว
    • การฉีด Growth Factor : การใช้ Growth Factor เข้มข้นเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเร่งการรักษา ซึ่งอาจช่วยเพิ่มผลลัพธ์ของการรักษาอื่นๆ
  3. พลาสมาและ Cryotherapy
    • Plasma Skin Resurfacing : ใช้พลังงานพลาสม่าเพื่อฟื้นฟูผิวโดยเสียหายจากความร้อนน้อยที่สุด เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มีสีผิวคล้ำหรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำมากกว่า
    • Cryotherapy : การใช้ความเย็นจัดเพื่อคัดเลือกทำลายเนื้อเยื่อแผลเป็นและส่งเสริมการสร้างผิวใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแผลเป็นที่มีไขมันมากเกินไปและแผลเป็นคีลอยด์
  4. การรักษาแบบ Non-Invasive
    • HIFU : กำหนดเป้าหมายชั้นผิวที่ลึกลงไปเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นผิว ซึ่งอาจเสนอทางเลือกที่ Non-Invasive สำหรับการปรับปรุงรอยแผลเป็น
    • Radiofrequency (RF) Microneedling : การผสมผสานพลังงาน RF เข้ากับ microneedling เพื่อเพิ่มการกระตุ้นคอลลาเจนและการกระชับผิว ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพโดยใช้ Downtime น้อยที่สุด

ความสำคัญของแผนการรักษาเฉพาะบุคคล

เมื่อมีเทคโนโลยีและการรักษาใหม่ๆ เกิดขึ้น ความสำคัญของแผนการรักษาเฉพาะบุคคลจึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น แพทย์ผิวหนังสามารถปรับการผสมผสานการรักษาขั้นสูงเหล่านี้ให้เข้ากับสภาพผิวที่เฉพาะเจาะจงและความต้องการของคนไข้แต่ละราย เพื่อให้มั่นใจถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การตั้งความคาดหวังที่สมจริง

แม้ว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการรักษาหลุมสิวจะมีแนวโน้มที่ดี แต่คนไข้จะต้องตั้งความคาดหวังตามความเป็นจริง การบรรลุผิวที่ปราศจากรอยแผลเป็นอย่างสมบูรณ์อาจเป็นไปไม่ได้ แต่การปรับปรุงเนื้อผิว โทนสี และรูปลักษณ์โดยรวมอย่างมีนัยสำคัญจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก

ทิ้งท้าย

หนทางสู่ผิวที่เรียบเนียนและสุขภาพดีขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องพิจารณาหลายอย่าง ด้วยตัวเลือกการรักษาที่หลากหลายและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน ทำให้เรามีวิธีจัดการกับหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญเพื่อหาแผนการรักษาที่เหมาะสมเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้ผลลัพธ์ดีและคืนความมั่นใจ ในขณะที่การวิจัยและการพัฒนาวิธีรักษาใหม่ๆ ยังคงดำเนินต่อไป อนาคตของการรักษาหลุมสิวก็ยิ่งดูดีขึ้น มอบความหวังและผลลัพธ์ที่ดีขึ้นสำหรับคนที่มีปัญหาผิวนี้

Part 10: แหล่งข้อมูลการรักษาหลุมสิวในประเทศไทย

ค้นหาแพทย์ผิวหนังที่ผ่านการรับรอง (Board-Certified Dermatologist)

การเลือกแพทย์ผิวหนังที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาหลุมสิวให้เห็นผล นี่คือขั้นตอนในการค้นหาผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในประเทศไทย:

  1. การวิจัยและการอ้างอิง
    • ขอคำแนะนำจากเพื่อน ครอบครัว หรือแพทย์ประจำของเรา
    • มองหาแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการซึ่งเชี่ยวชาญด้านการรักษาหลุมสิวในประเทศไทย
    • สามารถเช็ครหัสจากชื่อและนามสกุลได้ที่แพทยสภา https://checkmd.tmc.or.th/
  2. หนังสือรับรองและประสบการณ์ของแพทย์
    • ตรวจสอบข้อมูลรับรองของแพทย์ผิวหนัง รวมถึงใบรับรองจากคณะกรรมการ การศึกษา และการฝึกอบรม
    • ทบทวนประสบการณ์ของพวกเขากับการรักษาเฉพาะที่เรากำลังพิจารณา
  3. การให้คำปรึกษาและการสื่อสาร
    • นัดเวลารับคำปรึกษาเพื่อหารือเกี่ยวกับข้อกังวล ทางเลือกการรักษา และเป้าหมายของเรา
    • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแพทย์ผิวหนังรับฟังความต้องการของคุณ อธิบายขั้นตอนต่างๆ อย่างชัดเจน และตั้งความคาดหวังตามความเป็นจริง
  4. บทวิจารณ์และ Review
    • อ่าน Review ของคนไข้และคำรับรองเพื่อวัดความพึงพอใจของคนไข้รายเดิม
    • พิจารณาภาพถ่ายก่อนและหลังเพื่อประเมินผลลัพธ์ของแพทย์ผิวหนัง

Review การรักษาหลุมสิวที่ EY Clinic

การเตรียมตัวสำหรับการนัดหมายของเรา

การเตรียมตัวเป็นกุญแจสำคัญในการใช้ประโยชน์สูงสุดจากการนัดหมายด้านผิวหนังของเรา คำแนะนำบางประการมีดังนี้:

  1. รวบรวมข้อมูล
    • บันทึกประวัติหลุมสิวของเรา รวมถึงการรักษาที่เราได้ลองใช้และผลลัพธ์ที่ได้
    • ระบุยาหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เรากำลังใช้อยู่
  2. ถามคำถาม
    • เตรียมรายการคำถามเกี่ยวกับการรักษา ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการฟื้นตัว
    • ถามเกี่ยวกับประสบการณ์ของแพทย์ผิวหนังเกี่ยวกับการรักษาเฉพาะทางและวิธีการดูแลหลังการรักษา
  3. ตั้งเป้าหมาย
    • กำหนดเป้าหมายและความคาดหวังของเราสำหรับการรักษาอย่างชัดเจน
    • พูดคุยถึงผลลัพธ์ที่เป็นจริงโดยพิจารณาจากประเภทหลุมสิวและสภาพผิวของเรา

การพิจารณาทางการเงินและการประกันภัย

การทำความเข้าใจด้านการเงินของการรักษาหลุมสิวถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวางแผน คำแนะนำบางประการมีดังนี้:

  1. ค่ารักษา
    • รับข้อมูลประมาณการค่าใช้จ่ายโดยละเอียดสำหรับแผนการรักษาที่แนะนำ รวมถึงช่วงติดตามผลที่อาจเกิดขึ้น
    • เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างแพทย์ผิวหนังต่างๆ หากเป็นไปได้
  2. การกำหนดงบประมาณ
    • วางแผนงบประมาณของเราเพื่อรองรับต้นทุนการรักษา โดยพิจารณาถึงความจำเป็นที่อาจเกิดขึ้นสำหรับการรักษาหลายครั้ง
    • คำนึงถึงต้นทุนสำหรับผลิตภัณฑ์หลังการดูแลและการนัดตรวจติดตามผล

การสนับสนุนทางอารมณ์และจิตวิทยา

หลุมสิวสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อความภาคภูมิใจในตนเองและความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์ การขอความช่วยเหลืออาจเป็นประโยชน์:

  1. กลุ่มสนับสนุนและ community ต่างๆ
    • เข้าร่วมฟอรัมออนไลน์หรือกลุ่มสนับสนุนในพื้นที่ซึ่งเราสามารถแบ่งปันประสบการณ์และรับกำลังใจจากผู้อื่นที่เผชิญกับความท้าทายที่คล้ายกัน
  2. การให้คำปรึกษาและการรักษา
    • พิจารณาการให้คำปรึกษาหรือการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อจัดการกับความทุกข์ทางอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพผิวของเรา
    • ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตสามารถช่วยเราพัฒนากลยุทธ์ในการรับมือและปรับปรุงภาพลักษณ์ของตนเองได้
  3. การดูแลตัวเองและความมั่นใจ
    • ฝึกฝนกิจวัตรการดูแลตัวเองที่ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง เช่น การดูแลผิว การออกกำลังกาย และงานอดิเรก
    • มุ่งเน้นไปที่จุดแข็งและความสำเร็จของเราเพื่อสร้างความมั่นใจนอกเหนือจากรูปลักษณ์ภายนอกของเรา

แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

รับข่าวสารเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิวผ่านแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ:

  1. องค์กรวิชาชีพ
    • สมาคมโรคผิวหนังไทย: thaiderma.or.th
    • การประชุมและเวิร์คช็อปโรคผิวหนังนานาชาติ
  2. วารสารและสิ่งพิมพ์ทางการแพทย์
    • เข้าถึงบทความวิจัยและการวิจารณ์ในวารสารโรคผิวหนังเพื่อดูความก้าวหน้าล่าสุดและการรักษาตามหลักฐานเชิงประจักษ์
  3. เว็บไซต์สุขภาพที่เชื่อถือได้
    • สถาบันโรคผิวหนัง: https://www.iod.go.th
    • โรงพยาบาลศิริราช: https://si.mahidol.ac.th
    • โรงพยาบาลรามาธิบดี: https://www.rama.mahidol.ac.th
    • โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์: https://chulalongkornhospital.go.th

การดูแลหลังการรักษาและการบำรุงรักษา

การดูแลหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและรักษาสุขภาพผิวของเรา:

  1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผิวหนัง :
    • ปฏิบัติตามแนวทางการดูแลหลังการรักษาโดยแพทย์ผิวหนังของเราอย่างเคร่งครัด
    • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่แนะนำเพื่อช่วยในการรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
  2. การติดตามผลเป็นประจำ :
    • กำหนดเวลาและเข้าร่วมการนัดหมายติดตามผลเพื่อติดตามความคืบหน้าของเราและแก้ไขข้อกังวลใด ๆ
    • ปรึกษาปัญหาใหม่หรือปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับแพทย์ผิวหนังของเราทันที
  3. ปกป้องผิวของเรา :
    • ใช้ครีมกันแดดทุกวันเพื่อปกป้องผิวจากความเสียหายจากรังสียูวีและป้องกันการเกิดรอยดำ
    • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่รุนแรงและการรักษาที่อาจทำให้ผิวของเราระคายเคือง

บทสรุป

การรักษาหลุมสิวนั้นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ การตัดสินใจอย่างมีข้อมูล และการหาการสนับสนุนที่เหมาะสม การค้นหาแพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญ การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการนัดหมาย และการทำความเข้าใจเรื่องการเงินและอารมณ์ จะช่วยให้เราเลือกวิธีที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพผิวของเราได้ ติดตามข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และปฏิบัติตามแนวทางการดูแลหลังการรักษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โปรดจำไว้ว่าหนทางสู่ผิวที่เรียบเนียนขึ้นนั้นเป็นประสบการณ์ส่วนตัว และด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เราจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและเพิ่มความมั่นใจในตัวเองได้

อ้างอิง

  1. Thai Dermatological Society. Thai Dermatological Society. Accessed May 18, 2024. http://www.thaiderma.or.th
  2. International Dermatology Conferences and Workshops. Accessed May 18, 2024.
  3. Siriraj Hospital. Siriraj Hospital. Accessed May 18, 2024. http://www.si.mahidol.ac.th
  4. Bangkok Hospital. Bangkok Hospital. Accessed May 18, 2024. https://www.bangkokhospital.com

A-Z เลเซอร์หลุมสิว ต่างกันยังไงบ้าง?
Dr. Patnapa Vejanurug
Jun 10, 2024
ทำความรู้จัก “Subcision หลุมสิว” ตัวช่วยรักษารอยแผลเป็นสิว
รักษาหลุมสิว
ทำความรู้จัก “Subcision หลุมสิว” ตัวช่วยรักษารอยแผลเป็นสิว
ในบทความนี้ หมอผึ้งจะพาไปรู้จักกับการทำ Subcision หลุมสิว ซึ่งเป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อ แต่ก็เป็นวิธีรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพสูง มีผลข้างเคียงน้อยและน่าสนใจตัวนึงค่ะ

ในบทความนี้ หมอผึ้งจะพาไปรู้จักกับการทำ Subcision หลุมสิว ซึ่งเป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อ แต่ก็เป็นวิธีรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพสูง มีผลข้างเคียงน้อยและน่าสนใจตัวนึงค่ะ

สรุปใจความสำคัญ

  • Subcision หลุมสิว คือ การตัดพังผืดใต้หลุมสิวโดยใช้เข็มขนาดเล็ก สามารถช่วยแก้ปัญหาหลุมสิวได้ดีสำหรับหลุมสิวชนิด rolling
  • Subcision หลุมสิว นิยมทำคู่กับหัตถการรักษาหลุมสิวตัวอื่น ๆ เพราะสามารถเพื่อประสิทธิภาพการรักษาโดยรวมได้เป็นอย่างดี
  • Subcision หลุมสิว เป็นการรักษาที่อาศัยความชำนาญของแพทย์ โดยแพทย์แต่ละคนอาจจะมีเทคนิคการทำที่ต่างกัน ซึ่งคุณสามารถเรียนรู้เทคนิคเฉพาะของหมอผึ้ง ได้ในบทความนี้

Subcision หลุมสิว คืออะไร รักษาหลุมสิวได้อย่างไร

หลังจากที่สิวหาย ร่างกายของเราก็จะเข้าสู่กระบวนการสมานแผลซึ่งทำให้เกิดการสร้างพังผืด (Fibrous tissue) ที่ว่าก็คือเนื้อเยื่อที่ร่างกายสร้างขึ้นมาระหว่างการสมานแผล ซึ่งพังผืดเหล่านี้อาจกลายเป็นตัวการที่ดึงรั้งผิวบริเวณฐานของหลุมสิวของเราไว้ ทำให้หลุมสิวรักษาได้ยาก การทำ Subcision หลุมสิว ก็คือ การตัดเอาเนื้อเยื่อพังผืดเหล่านี้ออก และวิธีนี้ยังกระตุ้นให้ผิวผลิตคอลลาเจนในบริเวณหลุมสิวอีกด้วยค่ะ

การทำ Subcision หลุมสิว ยังนิยมทำคู่กับหัตถการรักษาหลุมสิวตัวอื่น ๆ อย่าง เลเซอร์ สารกระตุ้นคอลลาเจนและฟิลเลอร์ เมื่อทำร่วมกันแล้ว ยิ่งจะทำให้ผลของการรักษาออกมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมค่ะ

เราควรทำ Subcision หลุมสิว ดีไหม - Subcision หลุมสิว เหมาะกับใคร

ได้รู้จักหลักการของหัตถการ Subsicion หลุมสิวไปแล้ว เราอาจจะมีคำถามว่า แล้วการทำ Subcision หลุมสิวนั้นเหมาะกับใครบ้าง

  • คนที่มีหลุมสิวแบบลึกและตื้น โดยจะได้ผลดีที่สุดกับหลุมสิวประเภท Rolling scar
  • คนมีปัญหาหลุมสิวแบบ Boxcar ที่มีลักษณะเป็นเหมือนกล่อง มีขอบชัดเจน ปากหลุมและก้นหลุมที่กว้างเท่า ๆ กัน
  • คนที่อยู่ในคอร์สรักษาหลุมสิวด้วยวิธีอื่น (เช่น เลเซอร์ ฟิลเลอร์ หรือ TCA) และต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา

หมอผึ้งขอเสริมค่ะว่า การทำ Subcision หลุมสิวจะได้ผลดีกว่าเมื่อทำร่วมกับหัตถการอื่น เพราะในบางกรณีการตัดพังผืดหลุมสิวอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ

ยกตัวอย่างจากข้อมูลของงานวิจัยจากในปี 2023 จาก Clinical Cosmetic and Investigational Dermatology ที่ระบุว่า การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวร่วมกับการทำ Subsicion ให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจใน 94% ของผู้รับการรักษา ในขณะที่การทำ Subsicion หลุมสิวอย่างเดียวให้ผลลัพธ์ที่ดีเพียง 67% ของผู้รับการรักษาค่ะ

ฉะนั้น หากเลือกใช้ Subsicion หลุมสิวเป็นการรักษาร่วมกับทรีตเมนต์อื่น ๆ ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ

ขั้นตอนการรักษา Subcision หลุมสิว ทำได้อย่างไร

  1. เริ่มต้นจากการทำความสะอาดผิวหน้าในบริเวณที่จะหัตถการ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  2. แพทย์อาจทำเครื่องหมายบนใบหน้าบริเวณที่จะมีการทำ Subcision โดยใช้ปากกาสำหรับระบุตำแหน่งบนผิวหนัง
  3. ฉีดหรือแปะยาชาตรงบริเวณที่จะทำการตัดพังผืดหลุมสิว ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าควรให้ยาชาประเภทไหน
  4. แพทย์ทำการสอดเข็มขนาดเล็กเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ก่อนจะทำการเลาะพังผืดที่อยู่ใต้หลุมสิวออก
  5. ระหว่างการทำ Subsicion หลุมสิว จะมีการซับเลือดและประคบเย็นเพื่อลดความเจ็บปวดและอาการบวม
  6. หลังทำ Subcision หลุมสิวแล้ว ผู้รับการรักษาอาจมีอาการบวมช้ำบริเวณที่ทำหัตถการ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่ปกติของหัตถการ และสามารถประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการได้
  7. แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตัวเองหลังทำหัตถการ และนัดหมายเพื่อติดตามผลการรักษาครั้งต่อไป

หมอผึ้งขอย้ำว่า ก่อนทำทรีตเมนต์ที่ EY Clinic เราจะมีการให้ประเมินสภาพผิวและให้คำปรึกษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้การรักษาที่เหมาะสมที่สุด และเพื่อการันตีผลลัพธ์ที่อยากได้ค่ะ

เทคนิค Subcision หลุมสิว ของหมอผึ้ง

แพทย์ผิวหนังแต่ละท่านอาจจะมีเทคนิควิธีการทำ Subcision ที่ต่างกัน โดยที่ EY Clinic หมอผึ้งจะมีเทคนิคใช้อยู่ 3 เทคนิคดังนี้ค่ะ

ClearPath - เทคนิคการตัดพังผืดหลุมสิวโดยใช้เข็ม 2 ประเภท: เข็มทู่ Blunt cannula และ เข็มแหลม Sharp needle ซึ่งจะทำให้ตัดพังผืดได้อย่างแม่นยำตามที่ต้องการ และไม่ทำร้ายผิวบริเวณรอบข้างค่ะ

PainShield - หมอผึ้งจะมีเทคนิคในการฉีดยาชาแบบพิเศษ ซึ่งจะทำให้ยาชากระจายตัวทั่วชั้นผิว dermis เพื่อให้ผู้รับการรักษารู้สึกเจ็บน้อยที่สุดระหว่างการทำ Subsicion หลุมสิวค่ะ

MultiPlane - ตัดพังผืดหลุมสิวจากหลายระนาบ เพื่อให้มั่นใจว่า ได้ตัดเอาพังผืดหลุมสิวออกอย่างหมดจด เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุดค่ะ

ย้ำกันนิดนึงค่ะ ว่าการทำ Subcision หลุมสิว เป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ ซึ่งแพทย์ผู้ดำเนินการควรจะเป็นแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการฝึกหัดในการทำหัตถการค่ะ ฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะเลือกทำ Subcision หลุมสิวกับคลินิกไหน อย่าลืมเช็กให้แน่ใจว่า คลินิกนั้น ๆ มีแพทย์เฉพาะทาง และเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐานค่ะ

Subcision หลุมสิว ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล

โดยทั่วไปแล้ว การทำ Subcision หลุมสิวควรทำอย่างน้อย 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 4 สัปดาห์ต่อครั้ง เพื่อให้ผลการรักษาที่ชัดเจนและดีที่สุดค่ะ

ข้อดีของ Subcision หลุมสิว

  • มีความเสี่ยงต่ำ ไม่ต้องมีเวลาพักฟื้น
  • ให้ผลการรักษาที่ถาวร และไม่มีผลข้างเคียงในระยะยาว
  • ไม่มีรอยแผลจากการทำหัตถการ มีเพียงอาการบวมและห้อเลือดเล็กน้อย
  • ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นไม่แพง

ข้อเสียของ Subcision หลุมสิว

  • เหมาะกับหลุมสิวบางประเภทเท่านั้น และให้ผลดีที่สุดกับหลุมสิวประเภท Rolling
  • เป็นหัตถการที่อาศัยความชำนาญจากแพทย์สูง

ทำ Subcision หลุมสิวกับ EY Clinic ดีอย่างไร

อย่างที่ได้กล่าวไปค่ะว่า Subcision หลุมสิว คือหัตถการทำต้องอาศัยความชำนาญและควรทำโดยแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น ซึ่งที่ EY Clinic มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง การันตีความปลอดภัย ความสบายใจ และผลลัพธ์ที่คุณอยากได้ค่ะ โดยแพ็กเกจรักษาหลุมสิวที่ EY Clinic มีดังนี้ค่ะ

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size S (4,999.-)

  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size M (8,999.-)

  • Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size L (18,999.-)

  • Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน
  • Rejuran S รุ่นเฉพาะหลุมสิว (1cc)

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย


เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะมาพูดคุย ปรึกษาปัญหาผิวกับหมอผึ้งได้ที่ EY Clinic ค่ะ

อ้างอิงข้อมูล:

Vempati, A. et al. (2023) Subcision for atrophic acne scarring: A comprehensive review of surgical instruments and combinatorial treatments, Clinical, cosmetic and investigational dermatology: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC9868281 

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

ทำความรู้จัก “Subcision หลุมสิว” ตัวช่วยรักษารอยแผลเป็นสิว
Dr. Patnapa Vejanurug
May 28, 2024
เจาะลึก “เลเซอร์รักษาหลุมสิว” มีกี่แบบ ทำงานยังไง
รักษาหลุมสิว
เจาะลึก “เลเซอร์รักษาหลุมสิว” มีกี่แบบ ทำงานยังไง
ในบทความนี้ หมอผึ้งได้รวบรวมเอาเรื่องควรรู้เกี่ยวกับ “เลเซอร์รักษาหลุมสิว” อย่าง Pico laser, Fractional CO2 laser, และ Fractional RF laser ซึ่งหมอได้สรุปวิธีการทำงาน ข้อดี และข้อจำกัดของเลเซอร์รักษาหลุมสิวแต่ละแบบ มาให้ทุกคนที่มีปัญหา “หลุมสิว” ได้อ่านก่อนตัดสินใจเลือกการรักษาค่ะ

ในบทความนี้ หมอผึ้งได้รวบรวมเอาเรื่องควรรู้เกี่ยวกับ “เลเซอร์รักษาหลุมสิว” อย่าง Pico laser, Fractional CO2 laser, และ Fractional RF laser ซึ่งหมอได้สรุปวิธีการทำงาน ข้อดี และข้อจำกัดของเลเซอร์รักษาหลุมสิวแต่ละแบบ มาให้ทุกคนที่มีปัญหา “หลุมสิว” ได้อ่านก่อนตัดสินใจเลือกการรักษาค่ะ

สรุปใจความสำคัญ

  • หลุมสิว คือรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว มีลักษณะเป็นแอ่งหรือหลุม ซึ่งรักษาได้ยาก
  • เลเซอร์ เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาหลุมสิวที่ความเสี่ยงต่ำ และมีประสิทธิภาพสูง
  • เลเซอร์รักษาหลุมสิวด้วยการใช้ความร้อนเพื่อกระตุ้นให้ผิวเข้าสู่กระบวนการสมานแผล ทำให้ผิวผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ออกมา ซึ่งช่วยทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น
  • เลเซอร์ยังสามารถแก้ปัญหาผิวอื่น ๆ เช่น สิว ฝ้า กระ และช่วยปรับสีผิวให้เสมอกัน
  • เลเซอร์รักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันได้แก่ Venus Viva MD, Fractional RF, Frational CO2, Fotona, และ eMatrix ค่ะ

หลุมสิว คืออะไร

หลุมสิว (Atrophic acne scar) คือ แผลเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดที่มากับปัญหาสิว หลุมสิวเกิดจากการที่เซลล์ผิวไม่สามารถผลิตคอลลาเจนและเนื้อเยื่อมาทดแทนส่วนที่เป็นสิวอักเสบได้ จึงทิ้งเป็นรอยแผลเป็นที่มีลักษณะเหมือนรอยบุ๋มหรือหลุม และส่งผลให้ใบหน้าของเราดูไม่เรียบเนียนค่ะ

เราสามารถแบ่งประเภทของหลุมสิวออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ค่ะ

  • Ice pick หรือ หลุมสิวแบบจิก เป็นประเภทที่พบมากที่สุด (60-70% ของแผลเป็นจากสิว) และรักษายากที่สุด มีความลึกประมาณ 2 มิลลิเมตร ลักษณะจะเป็นแผลปากแคบ หลุมลึกและแหลม
  • Rolling หรือ หลุมสิวแอ่งกระทะ มีลักษณะเป็นแอ่งตื้น ไม่มีขอบที่ชัดเจน มักเกิดที่บริเวณแก้ม และสามารถกินพื้นที่ได้ถึง 5 มิลลิเมตร หลุมสิวประเภทพบได้ไม่บ่อยเมื่อเทียบกับอีกสองประเภทแต่เป็นประเภทที่รักษาได้ง่ายที่สุด
  • Boxcar หรือ หลุมสิวแบบกล่อง มีลักษณะเป็นกล่องหรือบ่อกว้างที่มีขอบชัดเจน ความกว้างอยู่ที่ 1.5 - 4 มิลลิเมตร ซึ่งนอกจากสิวแล้ว แผลจากตุ่มโรคอีสุกอีใสก็มักทำให้เกิดเป็นแผลแบบ Boxcar ได้

เลเซอร์รักษาหลุมสิว ทำงานอย่างไร ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้จริงไหม

หมอขอสรุปง่าย ๆ ว่า เลเซอร์รักษาหลุมสิวได้ด้วยการกระตุ้นกระบวนการสมานแผล (Wound Healing) ในร่างกายของเราค่ะ ซึ่งเรามีกลไกการทำงานได้คร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ

  • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนด้วยความร้อน (Collagen Stimulation) : เมื่อแสงเลเซอร์ถูกส่งผ่านเข้าไปในขั้นผิวหนังแล้ว แสงเลเซอร์จะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อน ซึ่งความร้อนนี้จะกระตุ้นให้เซลล์ผลิตคอลลาเจนมากขึ้นและเกิดการปรับโครงสร้างของเส้นใยคอลลาเจน (Collagen remodeling) ที่ช่วยให้ผิวเน้นฟูขึ้น และทำให้หลุมสิวเริ่มจางลง
  • ทำลายเนื้อเยื่อส่วนแผลเป็น (Scar Tissue Vaporization) : เลเซอร์บางตัว เช่น เลเซอร์ CO2 สามารถทำให้เนื้อเยื่อแผลเป็นบางส่วน “ระเหย” หายไปได้ค่ะ ซึ่งการระเหยตรงนี้ก็จะทำให้เซลล์บริเวณนั้นเข้าสู่วงจรการผลัดเซลล์ผิว (Cell Turnover) ส่งผลให้ผิวเรียบเนียนมากขึ้นค่ะ
  • ขจัดผิวเก่าและเผยผิวใหม่ (Ablative Resurfacing) : เลเซอร์บางตัวที่มี Ablative technology จะสามารถขจัดเอาผิวชั้นนอกสุดออก ซึ่งช่วยให้ร่างกายได้ผลัดเซลล์ผิวและสร้างคอลลาเจนเพิ่ม ซึ่งจะช่วยเติมเต็มหลุมสิวและปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้นค่ะ

นอกจากนี้ เลเซอร์ยังรักษาได้มากกว่าหลุมสิว: เลเซอร์ที่ใช้รักษาหลุมสิวสามารถช่วยแก้ไขปัญหารอยดำ รอยแดง ริ้วรอยและปรับโทนสีผิวให้เสมอกันได้ด้วยค่ะ

และเมื่อเทียบกับทรีตเมนต์อื่นๆเลเซอร์รักษาหลุมสิว ถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย ทำได้ง่าย มีความเสี่ยงต่ำ และเห็นผลไวด้วยค่ะ

เลเซอร์รักษาหลุมสิว มีอะไรบ้าง

ในปัจจุบัน เทคโนโลยีเลเซอร์ให้เราเลือกอยู่มากมายค่ะ หมอผึ้งจึงขอยกตัวอย่าง 3 เลเซอร์รักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยมมาก มีประสิทธิภาพสูง พร้อมข้อดี-ข้อเสียของแต่ละตัวค่ะ

เลเซอร์รักษาหลุมสิว Venus Viva MD

Venus Viva MD เป็นการรักษาหลุมสิวด้วยเทคโนโลยี NanoFractional™ Radiofrequency ค่ะ ซึ่งเทคโนโลยีตัวนี้โดดเด่นในเรื่องของ Skin Resurfacing เจ้าเลเซอร์ตัวนี้รักษาหลุมสิวด้วย คลื่นความถี่วิทยุที่ส่งผ่านเข้าสู่ชั้นผิวด้วยเข็มที่มีขนาดเล็กเพียงประมาณ 300 นาโนเมตร (1 นาโนเมตร เท่ากับ 1 ในสิบล้านเซนติเมตร) ค่ะ

แล้วเข็มเล็กนาโนแบบนี้ดีอย่างไร เข็มขนาดเล็กเหล่านี้เข้าสู่ชั้นผิวได้ลึก (สูงสุดที่ความลึก 800 µm) กระจายคลื่นวิทยุเข้าสู่เนื้อเยื่อได้อย่างสม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพสูง โดยที่ไม่สร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง และยังไม่สร้างความเจ็บปวดระหว่างการรักษาด้วยค่ะ

Venus Viva MD การันตีเรื่องความสบายหน้าระหว่างการรักษาค่ะ โดยงานวิจัยของ Journal of Cosmetic Dermatology ในปี 2021 ระบุไว้ว่า ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว 30 คนที่ได้ทำเลเซอร์รักษาหลุมสิวตัวนี้ ให้คะแนนความเจ็บปวดระหว่างการทำ เพียง 3 ใน 10 (0 =ไม่เจ็บเลย และ 10 = เจ็บมาก) และที่สำคัญ หลังการรักษาก็ไม่มีผลข้างเคียงระยะยาวใด ๆ ด้วยค่ะ

คลื่นวิทยุที่ถูกส่งผ่านเข้าไปในชั้นผิวด้วยเข็มขนาดเล็กเหล่านี้ จะทำความร้อนเป็นจุดเล็ก ๆ (เรียกว่า Microthermal zone) ซึ่งกระตุ้นกระบวนการสมานแผลของเซลล์ในบริเวณที่เราต้องการค่ะ

นอกจาก เทคโนโลยีเข็มจิ๋ว แล้วเลเซอร์รักษาหลุมสิว Venus Viva MD ยังมีเทคโนโลยี SmartScan™ ซึ่งจะสามารถปรับเปลี่ยนแพตเทิร์นในการปล่อยคลื่นวิทยุได้ตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล ทำให้เลเซอร์รักษาหลุมสิวตัวนี้มีความยืดหยุ่น ปลอดภัยต่อผู้รับการรักษามากขึ้น และยังลดโอกาสเกิดผิวไหม้คล้ำ (Hyperpigmentation) หลังทำเลเซอร์ด้วยค่ะ

ข้อดี:

  • เหมาะกับหลุมสิวประเภท rolling และ boxcar
  • จุดเด่นคือเป็น Fractional RF ชนิด Ablative ที่สร้างความร้อนถึงจุดที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวด้านบนได้ ทำให้ได้เซลล์ผิวใหม่ที่มาพร้อมกับ Skin Texture ที่ดีขึ้น
  • ได้ในเรื่องของ Patient Comfort ระหว่างการรักษาเพราะปล่อยพลังงานจากหัว pin ขนาดจิ๋ว
  • โอกาสการเกิดรอยไหม้ หรือ รอยคล้ำ หลังทำการรักษาต่ำ ด้วยเทคโนโลยี SmartScan™
  • ปลอดภัยกับผิวทุกประเภท

ข้อเสีย:

  • มีเวลาพักฟื้นประมาณ 2-3 วัน
  • การปล่อยพลังงานจะเป็นการปล่อยผ่านหัว pin ซึ่งอาจจะทำให้พลังงานลงลึกเท่าเครื่องที่ใช้ Microneedle ปล่อยไม่ได้

เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional RF

เลเซอร์หลุมสิว Fractional RF (Fractional Radiofrequency) คือการใช้คลื่นความถี่วิทยุในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งคลื่นวิทยุนี้พอเข้าสู่ชั้นผิวแล้วจะทำให้เกิดความร้อน ซึ่งผลักดันให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ โดยเลเซอร์ Fractional RF มีทั้งแบบ Ablative และ Non-Ablative ซึ่งแพทย์จะเป็นคนพิจารณาว่าจะใช้แบบไหนค่ะ 

ที่ EY Clinic จะมีการใช้เลเซอร์ Fractional RF ชนิด Microneedling ค่ะ เทคนิคนี้คือ การใช้เข็มขนาดเล็ก (ขนาด 0.5-3 มิลลิเมตร ซึ่งใหญ่กว่าเข็มของ Venus Viva MD) ทิ่มเข้าไปในชั้นผิวเพื่อสร้างแผลเป็นจุดเล็ก ๆ ที่จะกระตุ้นกระบวนการสมานแผล และยังช่วยให้คลื่น RF เข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกและทั่วถึงมากขึ้นด้วยค่ะ

ข้อดี:

  • สามารถรักษาหลุมสิวในบริเวณที่ผิวมีความบอบบางได้ดี
  • เทคนิค Microneedling ช่วยให้คลื่น RF เข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกมากกว่า Pico laser
  • ผลข้างเคียงน้อย เมื่อเทียบกับเลเซอร์ตัวอื่น

ข้อเสีย:

  • ไม่เหมาะกับคนที่มีหลุมสิวที่ลึกและรุนแรง
  • อาจต้องทำทรีตเมนต์หลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน

บริการเลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional RF มีรายละเอียดดังนี้ค่ะ

  • Fractional RF (size S) 1 ครั้ง ราคา 4,999.-
  • Fractional RF (size M) 2 ครั้ง  ราคา 8,999.- 
  • Fractional RF (size L) ทั่วหน้า 5 ครั้งแถม 1 ครั้ง ราคา 24,995.- 

เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional CO2

เลเซอร์ Fractional CO2 ปล่อยแสงเลเซอร์ที่ความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร ใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวกลางในการแทรกตัวเข้าสู่เซลล์ผิว ซึ่งที่ EY Clinic ก็มีบริการเลเซอร์หลุมสิว Fractional CO2 โดยใช้ชื่อว่า “Smooth X” ค่ะ

เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional CO2 เป็นเลเซอร์ประเภท Ablative มีหลักการทำงานดังนี้ค่ะ:

เมื่อยิงเลเซอร์เข้าสู่ผิวหนังแล้ว ความร้อนของเลเซอร์จะเข้าไปทำให้น้ำในเนื้อเยื่อร้อนขึ้น ทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการผลิตคอลลาเจน ผลัดเซลล์ผิว และเร่งผลิตเซลล์ผิวใหม่ค่ะ ซึ่งเราก็ไม่ต้องกลัวว่า ผิวหน้าส่วนอื่นจะได้รับความร้อนสูงเข้าไปด้วย เพราะ Fractional CO2 จะให้ความร้อนเป็นจุดเล็ก ๆ และไม่ให้เนื้อเยื่อบริเวณรอบข้างเสียแน่นอนค่ะ

สำหรับที่ EY Clinic หลังทำเลเซอร์ Fractional CO2 เสร็จแล้ว บริเวณที่ทำจะมีแผลเล็ก ๆ พร้อมกับสะเก็ดแผลเล็กน้อย 

ข้อดี:

  • รักษาหลุมสิวที่ลึกได้ดี โดยเฉพาะหลุมสิวประเภท rolling และ boxcar
  • มีความยืดหยุ่นในการรักษา แก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย เช่น กระ สิวข้าวสาร สิวอุดตันหัวปิด และช่วยลบเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณ หน้าผาก รอบดวงตา แก้ม และรอบปากได้ด้วยค่ะ
  • ช่วยกระชับรูขุมขน

ข้อเสีย:

  • อาจมีผลข้างเคียงหลังทำเสร็จ (อาการบวมแดง หรือสะเก็ดแผล) ที่มากกว่าเมื่อเทียบกับเลเซอร์ตัวอื่น
  • มีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยคล้ำ (Hyperpigmentation) หลังทำ หากแพทย์ไม่มีความชำนาญหรือเครื่องมือไม่ได้มาตรฐาน

ซึ่งเลเซอร์รักษาหลุมสิว Smooth X ที่มีให้บริการที่ EY Clinic มีรายละเอียดราคาดังนี้ค่ะ

  • SmoothX หลุมสิวที่แก้ม 3,499.- ต่อครั้ง และมีแพ็กเกจ 17,495.- ต่อ 6 ครั้ง
  • SmoothX หลุมสิวทั่วหน้า 3,999.- ต่อครั้ง และมีแพ็กเกจ 19,995.- ต่อ 6 ครั้ง

เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fotona

Fotona เป็นเลเซอร์ YAG ซึ่งเลเซอร์ YAG ใช้ในการรักษาหลุมสิวคือ Er:YAG มีกลไกในการกระตุ้นกระบวนการสมานแผล และช่วยปรับผิวให้เรียบเนียนค่ะ ซึ่งเลเซอร์ Fotona ก็มีทั้งแบบ Ablative ที่ช่วยผลัดเซลล์ได้ และ Non-ablative ที่ไม่ทำให้หน้าบาง แต่การเลือกใช้ก็จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ผู้ดูแลค่ะ

ข้อดี:

  • มีความแม่นยำ ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สามารถรักษาปัญหาผิวอื่น ๆ นอกจากหลุมสิวได้ เช่น ช่วยลบเลือนริ้วรอย
  • ให้ผลลัพธ์ที่นาน

ข้อเสีย:

  • หลังทำแล้ว ผิวอาจมีอาการบวมแดง ระคายเคือง หรือเกิดเป็นรอยคล้ำ (Hyperpigmentation)

เลเซอร์รักษาหลุมสิว eMatrix

eMatrix ใช้คลื่น RF ในการรักษาหลุมสิว เหมือนกับ Venus Via MD และ Fractional RF ค่ะ แต่ eMatrix จะใช้เทคโนโลยี Sublative™ ที่เป็นการโฟกัสคลื่นวิทยุไปยังผิวชั้นหนังแท้ เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยจะปล่อยคลื่นออกมาในรูปแบบพีรามิด ที่ไม่ทำร้ายหรือผิวชั้นหนังกำพร้าค่ะ

ข้อดี:

  • แก้ปัญหาผิวได้หลายข้อ เช่น จุดด่างดำ ริ้วรอย หรือ รอยดำจากแดด
  • ไม่ทำให้หน้าบาง หรือเกิดรอยคล้ำไหม้
  • ช่วยกระชับรูขุมขน และปรับสีผิวให้เสมอกันได้

ข้อเสีย:

  • หัวของ eMatrix จะปล่อยพลังงานในรูปแบบ stamping ทำให้เกิดสะเก็ดที่ใหญ่ถึง 59,000 ไมครอน^2 ใหญ่กว่าของ Venus Viva ถึง 20 เท่า ตอนทำอาจจะรู้สึกเจ็บกว่า
  • ความสามารถในการทะลุผ่านเนื้อเยื่อยังตื้นกว่าและมีความแม่นยำน้อยกว่า Venus Viva
  • เห็นผลช้า อาจต้องทำทรีตเมนต์หลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน

เลเซอร์รักษาหลุมสิว Pico

Pico laser น่าจะเป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิวที่หลาย ๆ คนคุ้นชื่อ ซึ่ง ‘Pico’ นั้นมาจากคำว่า ‘Picosecond’ (แปลว่า 1ล้านล้านของวินาที) ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการยิงแสงเลเซอร์ในจังหวะที่สั้นและเร็ว ลำแสงเลเซอร์พลังงานสูงจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในบริเวณที่ต้องการได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพค่ะ

โดยในปัจจุบัน Pico สามารถปล่อยเลเซอร์ได้ที่หลายความยาวคลื่น (532, 730, 755, 785 และ 1064 นาโนเมตร) ซึ่งแต่ละความยาวคลื่นก็จะมีข้อบ่งชี้ในการใช้ที่ต่างกันค่ะ

Pico laser หลุมสิว ยังเป็นเลเซอร์แบบ Non-ablative หรือก็คือ ไม่มีการลอกผิวชั้นนอก และยังขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการทำลายเม็ดสีเมลานิน ช่วยแก้ปัญหาฝ้ากระได้ดี และยังเป็นเลเซอร์ที่ใช้ลบรอยสักด้วยค่ะ

ข้อดี:

  • ไม่ทำให้หน้าบางลง
  • เห็นผลลัพธ์รวดเร็วและชัดเจนในกลุ่มคนที่ปัญหาหลุมสิวไม่รุนแรง

ข้อเสีย:

  • ผิวหน้าอาจตกสะเก็ดหลังทำ
  • ไม่เหมาะกับคนที่มีหลุมสิวจำนวนมากและรุนแรง
  • Pico laser ถูกผลิตมาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องของเม็ดสี แต่มี side effects คือช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ถูกนำมารักษาหลุมสิวได้ แต่ผลอาจจะไม่สม่ำเสมอเท่าเครื่องอื่นๆ
  • ด้วยต้นทุนที่สูง อาจทำให้มีราคาเริ่มต้นที่สูงเมื่อเทียบกับเลเซอร์รักษาหลุมสิวตัวอื่น ๆ

เลเซอร์รักษาหลุมสิวต้องทำกี่ครั้ง ถึงจะเห็นผล

โดยทั่วไปแล้ว ผลที่ชัดเจนที่สุดจะเห็นได้หลังทำเลเซอร์รักษาหลุมสิวได้ 3-5 ครั้งค่ะ อย่างไรก็ดี จำนวนครั้งและผลลัพธ์ย่อมขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลและชนิดของหลุมสิวด้วยค่ะ

วิธีการเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์หลุมสิว

การทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว เราควรมีการวางแผนและเตรียมตัวดังนี้ค่ะ

  • งดสครับผิวหน้า อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์
  • งดใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ Retinol, Glycolic acid, Salicylic acid หรือส่วนประกอบใดที่มีสรรพคุณในการผลัดเซลล์ผิว
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 3-5 วัน ก่อนการทำเลเซอร์
  • ไม่แต่งหน้าในก่อนเข้าทำเลเซอร์
  • ศึกษาหาข้อมูล และรีวิวของคลินิกที่จะใช้บริการก่อนตัดสินใจทำเสมอ เพราะไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิว ฟิลเลอร์ หรือฉีดสิว ก็ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยของเราค่ะ

วิธีการดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว

เมื่อทำเลเซอร์รักษาหลุมสิวแล้ว เราควรมีการดูแลตัวเองเพื่อลดความรุนแรงของผลข้างเคียง และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ

  • หลีกเลี่ยงไม่ให้บริเวณที่เพิ่งยิงเลเซอร์มาโดนน้ำเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง
  • เมื่อผ่าน 24 ชั่วโมงไปแล้ว สามารถล้างหน้าได้ตามปกติ แต่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิว
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และกิจกรรมออกแดดในช่วง 24-48 ชั่วโมง หลังทำเสร็จ เนื่องจากเป็นช่วงที่ผิวจะคล้ำได้ง่ายกว่าปกติ
  • งดการใช้เครื่องสำอางอย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังทำเลเซอร์เสร็จ
  • งดสครับหน้าจนกว่าอาการบวมแดงหรือสะเก็ดจะหายไป
  • หากมีสะเก็ดแผล ไม่ควรแกะหรือเกาเพราะอาจจะทำให้เกิดรอยแผลเป็น
  • ทามอยเจอร์ไรเซอร์ และครีมกันแดด เพื่อบำรุงและสร้างเกราะป้องกันให้ผิว

รักษาหลุมสิวที่ EY Clinic ดีอย่างไร

อย่างที่กล่าวไปค่ะว่า ไม่ว่าจะเป็นหัตถการประเภทไหน เราก็ควรเลือกเข้ารับบริการกับคลินิกที่มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ และมีใบอนุญาตที่ถูกกฎหมาย ซึ่งหากคุณกำลังมองหาคลินิกที่จะช่วยดูแลสุขภาพผิวของคุณ เข้ามาพูดคุยกับเราที่ EY Clinic ได้ค่ะ เราคือผู้เชี่ยวชาญทางด้านสิว หลุมสิว และปัญหาผิวรอบด้าน นำทีมโดย นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) เป็นแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง เชี่ยวชาญด้าน Dermatosurgery โดยหมอจะมีการประเมินสภาพผิวและพูดคุยกับคุณก่อนที่จะวางแผนการรักษา เพื่อออกแบบทรีตเมนต์ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับคุณโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ยังมีการติดตามผลการรักษา ให้แน่ใจว่าได้ผลลัพธ์ที่คุณพึงพอใจค่ะ

สำหรับคนที่กำลังมองหาแพ็กเกจการรักษาหลุมสิว และฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน ที่ Ey Clinic มีแพ็กเกจให้บริการดังนี้ค่ะ

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size S (4,999.-)

  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size M (8,999.-)

  • Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size L (18,999.-)

  • Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน
  • Rejuran S รุ่นเฉพาะหลุมสิว (1cc)

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

หมอหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเลเซอร์รักษาหลุมสิวกับคนที่สนใจและต้องการดูแลผิวของตนเองได้ไม่มากก็น้อยค่ะ อย่างไรก็ดี หากมีข้อสงสัยสามารถแวะเข้ามาปรึกษาหมอผึ้งได้ที่ EY Clinic ค่ะ

อ้างอิงข้อมูล: 

Arruda, Suleima, et al. (2021) Subject Satisfaction Following Treatment with Nanofractional Radiofrequency for the Treatment and Reduction of Acne Scarring and Rhytids: A Prospective Study, Journal of Cosmetic Dermatology: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/34559923/ 

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

เจาะลึก “เลเซอร์รักษาหลุมสิว” มีกี่แบบ ทำงานยังไง
Dr. Patnapa Vejanurug
May 28, 2024
ฟิลเลอร์ฉีดหลุมสิว vs Rejuran S ตัวไหนดีกว่ากัน
รักษาหลุมสิว
ฟิลเลอร์ฉีดหลุมสิว vs Rejuran S ตัวไหนดีกว่ากัน
ในปัจจุบันเรามีวิธีการรักษาหลุมสิวให้เลือกอยู่มากมาย และแน่นอนว่า การฉีดหลุมสิว ก็เป็นวิธีที่หลายคนกำลังให้ความสนใจค่ะ ในบทความนี้ หมอผึ้งจะพาไปทำความรู้จักกับการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ และ Rejuran S ไปดูกันว่าแต่ละวิธี มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร และอันไหนจะเหมาะกับคุณที่สุดค่ะ

ในปัจจุบันเรามีวิธีการรักษาหลุมสิวให้เลือกอยู่มากมาย และแน่นอนว่า การฉีดหลุมสิว ก็เป็นวิธีที่หลายคนกำลังให้ความสนใจค่ะ ในบทความนี้ หมอผึ้งจะพาไปทำความรู้จักกับการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ และ Rejuran S ไปดูกันว่าแต่ละวิธี มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร และอันไหนจะเหมาะกับคุณที่สุดค่ะ

สรุปใจความสำคัญ

  • การฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ เป็นการฉีดสารไฮยาลูรอนิก แอซิด ในการเติมเต็มปริมาตรของผิวบริเวณหลุมสิว
  • การฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S เป็นการฉีดสารสกัดที่ได้จากปลาแซลมอนเข้าสู่ชั้นผิว 
  • Rejuran S เป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาหลุมสิว และรอยแผลเป็นโดยเฉพาะ
  • ฟิลเลอร์หลุมสิว ให้ผลการรักษาที่รวดเร็ว ในขณะที่ Rejuran S ให้ผลการรักษาที่ช้ากว่า แต่ถาวร
  • การฉีดหลุมสิวสามารถทำร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ได้ เช่น การตัดพังผืด และเลเซอร์หลุมสิวได้ โดยเมื่อทำร่วมกันแล้ว จะเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้น

การฉีดหลุมสิว ด้วยฟิลเลอร์

การฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ คือ การใช้สารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) ในการเติมเต็ม หรือทดแทนเนื้อเยื่อที่หายไปบริเวณหลุมสิวค่ะ ฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดหลุมสิวก็เป็นฟิลเลอร์ชนิดเดียวกับที่ใช้ฉีดเพื่อลดริ้วรอยให้หน้าดูอิ่มฟู อ่อนวัย โดยสารไฮยาลูรอนิก แอซิดเป็นสารที่พบได้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มีหน้าที่ในการอุ้มน้ำและเพิ่มความยืดหยุ่นในอวัยวะต่าง ๆ เมื่อฉีดแล้ว สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีค่ะ โดยจะเห็นว่าหลุมสิวจางลง ผิวมีความเต่งตึง และเรียบเนียนค่ะ นอกจากนี้ ตัวสารไฮยาลูรอนิก แอซิดยังมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนด้วยค่ะ

การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว เป็นวิธีแก้ปัญหาหลุมสิวที่ทำได้ง่าย เห็นผลได้ไว และไม่ต้องการเวลาพักฟื้นค่ะ 

ใครเหมาะกับการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์

  • คนที่มีหลุมสิวแบบ Boxcar หรือ Rolling ที่มีระดับความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง
  • คนที่มีหลุมสิวจำนวนน้อย
  • คนที่ต้องการการรักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว และไม่ยุ่งยาก
  • คนที่มีต้องการการรักษาที่ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
  • คนที่มีรอยแผลเป็นจากโรคอีสุกอีใส

ผลลัพธ์ของการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์จะอยู่ได้ตั้งแต่ 6-12 เดือน (หรือนานกว่านั้น) ตามอายุของฟิลเลอร์ที่ใช้ค่ะ โดยฟิลเลอร์จะสลายตัวไปตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย และไม่ทิ้งสารตกค้างใด ๆ ในร่างกายค่ะ 

นอกจากนี้ การฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์มักนิยมทำควบคู่กับการตัดพังผืด (Subcision) เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นค่ะ

ข้อควรระวัง: การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว เป็นวิธีการรักษาหลุมสิวที่อาศัยเทคนิคและความชำนาญของแพทย์สูงค่ะ เนื่องจากแพทย์จะต้องมีการประเมินว่าจะต้องฉีดตำแหน่งไหน และใช้ปริมาณฟิลเลอร์เท่าไรต่อหลุมสิว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและเป็นธรรมชาติที่สุดค่ะ

การฉีดหลุมสิว ด้วย Rejuran S

Rejuran S คือ สารโพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide หรือ PN) สกัดจากปลาแซลมอนที่พัฒนามาเพื่อแก้ปัญหาแผลเป็นและหลุมสิวโดยเฉพาะ โดย Rejuran S จะมีความเข้มข้นมากกว่า Rejuran Healer ที่ใช้เพื่อบำรุงและคืนความอ่อนวัย (Rejuvenation) อย่างล้ำลึกให้ผิวโดยรวมค่ะ โดยกระบวนการทำงานของ Rejuran S มีดังนี้ค่ะ

  • โพลีนิวคลีโอไทด์จากปลาแซลมอนทำงานในระดับดีเอ็นเอในการกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่และการหลั่งสาร Growth Factor ที่ช่วยสร้างเนื่อเยื่อใหม่
  • โพลีนิวคลีโอไทด์ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอย (Angiogenesis) ซึ่งเพิ่มการกำจัดของเสียเซลล์ที่ตายแล้วและช่วยในการทำงานของเซลล์
  • โพลีนิวคลีโอไทด์ยังมีสรรพคุณในการลดการอักเสบของเซลล์ (Anti-inflammatory effects) และลดแผลของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
  • Rejuran S ยังช่วยเสริมโครงสร้างให้สารที่เคลือบเซลล์ (Extracellular matrix หรือ ECM) ซึ่งทำให้ผิวยืดหยุ่นและแข็งแรงยิ่งขึ้น

ซึ่งสารสกัดโพลีนิวคลีโอไทด์ที่ได้มาจากปลาแซลมอนใน Rejuran S นับเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Stimulator) ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพ (Biocompatibility) กับดีเอ็นเอของมนุษย์ สามารถทำงานในเซลล์ของเราได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย และสามารถย่อยสลายได้ตามกลไกธรรมชาติค่ะ

ใครที่เหมาะกับการฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S

  • คนที่มีหลุมสิวแบบ Boxcar หรือ Rolling ที่มีระดับความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง
  • คนที่ต้องการการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
  • คนที่มีปัญหาแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรอยบุ๋ม

เมื่อพูดถึงผลลัพธ์ เราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง 2-3 สัปดาห์หลังฉีด Rejuran S  ครั้งแรกเพราะ Rejuran S ทำงานที่ลึกถึงระดับดีเอ็นเอในการผลักผิวเข้าสู่กระบวนการสมานแผลและฟื้นฟูเซลล์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่อย่างถาวรค่ะ

หมอขอแนะนำให้เริ่มต้นการรักษาที่การฉีด Rejuran S จำนวน 3-5 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 เดือนค่ะ เมื่อเริ่มฉีดแล้ว หลุมสิวจะเริ่มจางลงเรื่อย ๆ ประกอบกับผิวจากมีความกระชับและเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ นอกจากนี้ การฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S ก็สามารถทำร่วมกับการตัดพังผืด หรือเลเซอร์หลุมสิวได้ เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ

ข้อควรระวัง: เนื่องจาก Rejuran S มีเป็นสารสกัดที่ได้มาจากปลาแซลมอน การฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S จึงไม่เหมาะกับคนที่มีประวัติปลาทะเล หรือมีประวัติแพ้ผลิตภัณฑ์ Rejuran ตัวอื่นมาก่อนค่ะ

เปรียบเทียบการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ และ Rejuran S

การฉีดหลุมสิวทั้งด้วยฟิลเลอร์และ Rejuran S เป็นการรักษาที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีประสิทธิภาพค่ะ

ฟิลเลอร์ vs Rejuran S

ฟิลเลอร์เป็นสารไฮยาลูรอนิก แอซิด ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดเดียวกันกับที่พบได้ตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ ในขณะที่ Rejuran S คือสารโพลีนิวคลีโอไทด์หรือชิ้นส่วนดีเอ็นเอที่ได้มาจากปลาแซลมอนค่ะ ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยต่อร่างกายมนุษย์ สามารถใช้ในหัตถการการรักษาหลุมสิวได้โดยไม่ทิ้งสารตกค้างและไม่เป็นอันตรายค่ะ

การทำงานของฟิลเลอร์ vs Rejuran S

ฟิลเลอร์หลุมสิว เมื่อฉีดแล้วจะเข้าไปเติมเต็มปริมาตร หรือ ทดแทนเนื้อเยื้อส่วนที่หายไปบริเวณหลุมสิว หลังฉีดแล้วจึงสามารถเห็นผลได้ทันทีว่า หลุมสิวดูจางลงค่ะ แต่ Rejuran S จะมีการทำงานที่ซับซ้อนกว่า กล่าวคือ ตัวสารโพลีนิวคลีโอไทด์จะเข้าไปกระตุ้นกระบวนการสมานแผลและผลิตเซลล์ผิวใหม่ของร่างกายผ่านการทำงานระดับดีเอ็นเอ จึงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ก่อนจะเห็นความเปลี่ยนแปลงค่ะ

ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ vs Rejuran S

การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวเป็นการรักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์ได้เร็วค่ะ จึงเหมาะกับคนที่ต้องรักษาหลุมสิวแบบเร่งด่วน และฉีดเพิ่มเติม 3-5 ครั้ง ติดต่อกันได้ และทำควบคู่กับการตัดพังผืด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นค่ะ

โดยผลของการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวจะคงอยู่ได้ราว ๆ 6-12 เดือน หรือมากกว่านั้น ตามอายุของฟิลเลอร์ที่ใช้ค่ะ เมื่อเวลาผ่านไป ฟิลเลอร์จะค่อย ๆ สลายตัวไปทางกลไกธรรมชาติของร่างกายค่ะ

ในทางกลับกันผลลัพธ์ของ Rejuran S จะใช้เวลาสักระยะหนึ่ง โดยควรฉีดติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 3-4 สัปดาห์ โดยเราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงเรื่อย ๆ จนเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ซึ่งจะคงอยู่อย่างถาวรค่ะ

ฟิลเลอร์ฉีดหลุมสิว vs Rejuran S ตัวไหนดีกว่ากัน

หมอคิดว่า หัตถการทั้งสองตัวมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันค่ะ ฉะนั้นถ้าถามว่า ตัวไหนดีกว่า หมอขอตอบว่า ขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพผิวของแต่ละบุคคลค่ะ นอกจากนี้ เราก็ยังมีวิธีการรักษาหลุมสิวอีกมากมาย ซึ่งไม่ว่าคุณจะเลือกฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ หรือ Rejuran S สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้ค่ะ เพื่อความปลอดภัยของคุณค่ะ

การรักษาหลุมสิวด้วยวิธีต่าง ๆ

นอกจากการฉีดฟิลเลอร์และ Rejuran S เพื่อรักษาหลุมสิวแล้ว ในปัจจุบัน เรายังมีวิธีการรักษาอีกมากมายที่จะช่วยคืนความเรียบเนียนให้ผิวหน้าของคุณได้ค่ะ โดยในบทความนี้ หมอจะขอยกตัวอย่างวิธีการรักษาที่ได้มีความเสี่ยงต่ำ และได้รับความนิยมสูงค่ะ ได้แก่ การใช้เรตินอยด์ การตัดพังผืด เลเซอร์ และ PRP ค่ะ

การใช้เรตินอยด์ (Retinoid)

สารกลุ่มเรตินอยด์ คือ อนุพันธ์ของวิตามินเอค่ะ ซึ่งสารกลุ่มเรตินอยด์ที่เราน่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง ได้แก่ Retinol, Tretinoin และ Isotretinoin สารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ในการเร่งการผลิตเซลล์ผิวใหม่ ทำให้หลุมสิวจางลง และช่วยปรับให้ผิวเรียบเนียนค่ะ

แต่แน่นอนว่า การรักษาหลุมสิวใช้เรตินอยด์จะใช้เวลานานกว่าการรักษาแบบอื่น และจำเป็นต้องใช้อย่างสม่ำเสมอ วิธีนี้จึงไม่เหมาะคนที่ต้องการการรักษาแบบเร่งด่วน และไม่เหมาะกับคนที่มีผิวแพ้ง่ายด้วยค่ะ

การตัดพังผืด (Subcision)

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นค่ะว่า การฉีดหลุมสิวสามารถทำควบคู่กับการตัดพังผืดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาได้ โดยการทำ Subcision ก็คือการใช้เข็มขนาดเล็กสอดเข้าไปใต้หลุมสิวเพื่อเลาะเอาเนื้อเยื่อส่วนที่ดึงรั้งบริเวณฐานหลุมสิวออก วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเข้าสู่กระบวนการสมานแผลและสร้างคอลลาเจนใหม่ค่ะ

เลเซอร์รักษาหลุมสิว

เลเซอร์เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ทำร่วมกับการฉีดหลุมสิวได้ เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุดค่ะ โดยเลเซอร์ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่

เลเซอร์ Venus Viva MD

เลเซอร์รักษาหลุมสิวที่มีเทคโนโลยี NanoFractional™ Radiofrequency หรือการส่งคลื่นวิทยุผ่านเข้าสู่ชั้นผิวด้วยเข็มที่มีขนาดเล็กเพียงประมาณ 300 นาโนเมตร ซึ่งไม่สร้างความเจ็บปวดระหว่างการรักษาซึ่งต่างจากเลเซอร์ตัวอื่นค่ะ และยังลดโอกาสเกิดผิวไหม้คล้ำ (Hyperpigmentation) หลังทำเลเซอร์ด้วยค่ะ

คลื่นวิทยุที่ถูกส่งผ่านเข้าไปในชั้นผิวด้วยเข็มขนาดเล็กเหล่านี้ จะทำความร้อนเป็นจุดเล็ก ๆ (เรียกว่า Microthermal zone) ซึ่งกระตุ้นกระบวนการสมานแผลของเซลล์ในบริเวณหลุมสิวของเราค่ะ

เลเซอร์ Fractional RF

เลเซอร์ Fractional RF เป็นเลเซอร์อีกหนึ่งตัวที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการสร้างเซลล์ผิวใหม่ค่ะ โดยที่ EY Clinic จะใช้เลเซอร์ Fractional RF ด้วยเทคนิค Microneedling ค่ะ เทคนิคนี้คือ การใช้เข็มขนาดเล็ก (ขนาด 0.5-3 มิลลิเมตร ซึ่งใหญ่กว่าเข็มของ Venus Viva MD) ทิ่มเข้าไปในชั้นผิวเพื่อสร้างแผลเป็นจุดเล็ก ๆ ที่จะกระตุ้นกระบวนการสมานแผล และยังช่วยให้คลื่น RF เข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกและทั่วถึงมากขึ้นด้วยค่ะ

บริการเลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional RF ที่ EY Clinic มีรายละเอียดดังนี้ค่ะ

  • Fractional RF (size S) 1 ครั้ง ราคา 4,999.-
  • Fractional RF (size M) 2 ครั้ง ราคา 8,999.-
  • Fractional RF (size L) ทั่วหน้า 5 ครั้งแถม 1 ครั้ง ราคา 24,995.-

เลเซอร์ Fractional CO2

Fractional CO2 คือเลเซอร์ที่ความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร โดยใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวกลางในการแทรกตัวเข้าสู่เซลล์ผิวค่ะ เมื่อเข้าสู่ผิวหนังแล้ว ความร้อนของเลเซอร์จะเข้าไปทำให้น้ำในเนื้อเยื่อร้อนขึ้น ทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการผลิตคอลลาเจน ผลัดเซลล์ผิว และเร่งผลิตเซลล์ผิวใหม่ค่ะ

นอกจากหลุมสิวแล้ว เลเซอร์ Fractional CO2 ยังช่วยแก้ไขปัญหาผิวอย่าง กระ สิวข้าวสาร สิวอุดตันหัวปิดและลบเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณ หน้าผาก รอบดวงตา แก้ม และรอบปากได้ด้วยค่ะ

EY Clinic จะใช้เครื่องเลเซอร์ Fractional CO2 ที่ชื่อว่า “Smooth X” ค่ะ

  • SmoothX หลุมสิวที่แก้ม 3,499.- ต่อครั้ง และมีแพ็กเกจ 17,495.- ต่อ 6 ครั้ง
  • SmoothX หลุมสิวทั่วหน้า 3,999.- ต่อครั้ง และมีแพ็กเกจ 19,995.- ต่อ 6 ครั้ง

หลังทำเลเซอร์ Fractional CO2 เสร็จแล้ว บริเวณที่ทำจะมีแผลเล็ก ๆ พร้อมกับสะเก็ดแผลเล็กน้อย โดยแพทย์จะทายาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น

PRP รักษาหลุมสิว

PRP หรือ Plasma-Rich Platelet เป็นการใช้สารสกัดจากเกล็ดเลือดของตัวเราในการฟื้นบำรุงผิวหน้าค่ะ โดยในเกล็ดเลือดของเราจะมีโปรตีนที่เรียกว่า Growth factor ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน อีลาสติน และเร่งการสมานแผล โดยแพทย์จะเจาะเลือดของเราเพื่อนำไปปั่นและสกัดเกล็ดเลือดออกมา จากนั้นจะฉีดเกล็ดเลือดฉีดเข้าชั้นผิวหนังคล้ายกับการฉีดเมโสหน้าใสค่ะ ซึ่งวิธีนี้นอกจากจะรักษาหลุมสิวได้แล้ว ยังเพิ่มความอ่อนวัย กระชับ และเสริมความแข็งแรงให้กับผิวหน้าได้ด้วยค่ะ

เตรียมตัวก่อนฉีดหลุมสิว

ทั้งการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ และ Rejuran S เป็นการรักษาที่มีความเสี่ยงต่ำ ทำได้ง่ายและไม่ต้องการเวลาพักฟื้นค่ะ ซึ่งก่อนเข้ารับการฉีดหลุมสิว เราสามารถเตรียมตัวได้ตามวิธีต่อไปนี้ค่ะ

ก่อนตัดสินใจฉีดหลุมสิว:

  • เลือกคลินิกที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ โดยอ่านรีวิวจากผู้เข้ารับบริการจริงและเช็กข้อมูลของคลินิก - เนื่องจากในปัจจุบัน เราสามารถเจอมิจฉาชีพในรูปแบบของหมอกระเป๋า ฟิลเลอร์ปลอม หรือคลินิกที่ไม่ต่อใบอนุญาต ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยควรศึกษาข้อมูลเหล่านี้ก่อนค่ะ
  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดหลุมสิว - เพื่อให้มั่นใจว่า เรารู้ถึงข้อจำกัด ราคา วิธีการทำหัตถการ และวิธีดูแลตัวเอง ก่อน-หลัง การรักษาค่ะ
  • พูดคุยกับแพทย์ถึงผลลัพธ์ที่คาดหวัง - เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเราที่สุดค่ะ
  • แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัวและยาที่ใช้เสมอ

เตรียมตัวก่อนไปฉีดหลุมสิว:

  • หยุดใช้ยาที่มีผลทำให้เลือดแข็งตัวช้า เช่น ยากลุ่ม NSAIDS, กลุ่มยาแก้ปวด คลายกล้ามเนื้อ หรืออาหารเสริมต่าง ๆ ในช่วง 3-4 วันก่อนฉีดหลุมสิว เพื่อลดโอกาสการเกิดอาการบวมช้ำจากเข็มหลังการรักษาค่ะ
  • งดการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงก่อนฉีดหลุมสิว เนื่องจากแอลกอฮอล์อาจทำให้มีอาการบวมช้ำเข็มรุนแรงขึ้นค่ะ
  • งดการทำหัตถการอื่น ๆ เช่น การสครับใบหน้า เลเซอร์ หรือการรักษาอื่น ๆ อย่างน้อย 3 วันก่อนฉีดหลุมสิว

ขั้นตอนการฉีดหลุมสิว

การฉีดหลุมสิวทั้งด้วยฟิลเลอร์และ Rejuran S จะมีขั้นตอนคล้าย ๆ กันค่ะ โดยจะเริ่มจากการแปะยาชาหรือประคบเย็น ก่อนจะเริ่มฉีดค่ะ ซึ่งก่อนฉีด แพทย์ควรจะนำกล่องฟิลเลอร์หรือกล่อง Rejuran S ให้เราดูก่อนที่จะแกะ เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่กำลังจะใช้เป็นผลิตภัณฑ์ของแท้ค่ะ

ผลข้างเคียงหลังฉีดหลุมสิว

ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังฉีดหลุมสิว คือ อาการบวม แดง ช้ำ จากเข็มค่ะ ซึ่งอาการเหล่านี้จะบรรเทาลงไปเองภายใน 2-3 วันหลังการรักษาค่ะ

วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดหลุมสิว

หลังฉีดหลุมสิวแล้ว เราสามารถดูแลตัวเองได้อย่างง่าย ๆ ด้วยวิธีการต่อไปนี้ค่ะ

  • ทำความสะอาดใบหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว แต่ควรรอหลังฉีด 4-6 ชั่วโมงก่อนจะล้างหรือเช็ดหน้า
  • งดใช้เครื่องสำอางเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อปกป้องกันติดเชื้อ
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย กิจกรรมออกแดด การอบซาวน่า หรือกิจกรรมใด ๆ ที่ทำให้เลือดสูบฉีดเป็นเวลา 48-72 ชั่วโมงหลังฉีด เพื่อลดการบวมแดงจากเข็ม

ฉีดหลุมสิว ถาวร ต้องฉีดตัวไหน?

สำหรับคนที่ต้องการการฉีดหลุมสิวที่มีผลลัพธ์ถาวร หมอจะแนะนำเป็นตัว Rejuran S ค่ะ เนื่องจาก Rejuran S เป็นสาร Polynucleotide เข้าไปที่กระตุ้นการกระบวนซ่อมแซมหลุมสิวตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นผลลัพธ์ที่ถาวร แต่จะใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เมื่อเทียบกับการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวค่ะ

โดยทั่วไปแล้วการฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S ควรจะเริ่มต้นที่ อย่างน้อย 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 3-4 สัปดาห์ และหลังจากนั้น สามารถฉีดกระตุ้นได้ทุก ๆ 6-12 เดือนค่ะ

ในทางกลับกัน การฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์สามารถให้ผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่เป็นผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร เนื่องจากฟิลเลอร์เป็นเพียงสารไฮยาลูรอนิก แอซิดที่เข้าไปเติมเต็มปริมาตรของหลุมสิวค่ะ ผลลัพธ์จึงจะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือนตามอายุของฟิลเลอร์ค่ะ

รักษาหลุมสิว คืนความเรียบเนียนให้ผิวหน้า ที่ EY Clinic

ที่ EY Clinic เราเข้าใจถึงความท้อใจกับปัญหาหน้าขรุขระ ไม่เรียบเนียนค่ะ เราจึงมุ่งมั่นที่จะคืนความมั่นใจให้คุณผ่านการดูแลรักษาที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล โดยไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็น โดยแพ็กเกจรักษาหลุมสิวที่ EY Clinic มีดังนี้ค่ะ

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size S (4,999.-)

  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size M (8,999.-)

  • Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size L (18,999.-)

  • Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน
  • Rejuran S รุ่นเฉพาะหลุมสิว (1cc)

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะมาพูดคุย ปรึกษาปัญหาผิวกับหมอผึ้ง หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

ฟิลเลอร์ฉีดหลุมสิว vs Rejuran S ตัวไหนดีกว่ากัน
Dr. Patnapa Vejanurug
May 28, 2024
acne & acne scar expert
เรามีทรีตเมนต์หลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของคุณ ตั้งแต่การดูแลผิวไปจนถึงโภชนาการ เรามีทุกสิ่งที่คุณต้องการเพื่อให้คุณรู้สึกดีที่สุด