รักษาหลุมสิว
สวัสดีค่ะ วันนี้หมอผึ้งตั้งใจว่าจะช่วยคลี่คลายข้อสงสัยและคำถามต่างๆเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิวให้ทุกคนที่กำลังมองหาวิธีการรักษาอยู่ หวังว่าทุกคนจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากข้อมูลนี้นะคะ ถ้าหากมีคอมเมนท์หรือคำถามอะไร สามารถทักเข้ามาสอบถามหมอได้เลยนะคะ
Fractional RFPart 1: ว่าด้วยเรื่องหลุมสิว

หลุมสิวคืออะไร?
หลุมสิวเกิดจากการอักเสบในชั้นหนังแท้ที่เกิดจากสิว เมื่อรูขุมขนบวมขึ้นจะทำให้ผนังรูขุมขนแตกออก รอยสิวบางชนิดมีขนาดเล็กและรอยแผลเป็นตื้นจึงหายเร็ว อย่างไรก็ตาม บางครั้งสิวอาจทำให้เนื้อเยื่อโดยรอบเสียหายและเกิดหลุมสิวลึก ผิวหนังพยายามซ่อมแซมความเสียหายนี้ด้วยการสร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่ แต่ผลลัพธ์มักจะเป็นผิวที่ไม่เรียบเนียนเหมือนเดิม
ความสำคัญของการรักษาหลุมสิว
หลุมสิวสามารถส่งผลกระทบต่อความภาคภูมิใจในตนเองและคุณภาพชีวิตได้มาก ทำให้เกิดความทุกข์ทางอารมณ์ การแยกตัวจากสังคม (Social Isolation) และความรู้สึกมั่นใจที่ลดลง การรักษาหลุมสิวไม่เพียงช่วยปรับปรุงลักษณะทางกายภาพของผิว แต่ยังช่วยฟื้นฟูอารมณ์และเพิ่มความมั่นใจในตนเอง
ภาพรวมของวิวัฒนาการการรักษา
การรักษาหลุมสิวได้พัฒนาไปอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การรักษาที่บ้านและการใช้สมุนไพรไปจนถึงขั้นตอนทางการแพทย์ที่ซับซ้อน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีผลข้างเคียงน้อยลง วิวัฒนาการนี้สะท้อนถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับชีววิทยาของผิวหนังและความพยายามในการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านความงาม
การรักษาในระยะเริ่มแรกโดยส่วนใหญ่จะค่อนข้างผิวเผิน เช่น การขัดผิวด้วยกลไก (Mechanical Exfoliation) และการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling) เมื่อเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าไป การรักษาที่แม่นยำและตรงเป้าหมายมากขึ้น เช่น การใช้ไมโครนีดดิ้งและการรักษาด้วยเลเซอร์ก็เกิดขึ้น ในปัจจุบัน วิธีการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่น เลเซอร์หลุมสิว Fractional RF และการรักษาด้วย Stem Cell ให้ผลลัพธ์ที่น่าตื่นเต้นโดยมี Downtime และผลข้างเคียงน้อยที่สุด
หัวข้อต่อๆ ไปจะเจาะลึกแต่ละขั้นตอนของวิวัฒนาการนี้ สำรวจการพัฒนา ประสิทธิภาพ และผลกระทบของการรักษาหลุมสิวต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป
Part 2: วิธีการรักษาหลุมสิวในระยะเริ่มแรก
การรักษาที่บ้านและการรักษาตามธรรมชาติ

ก่อนที่จะมีการรักษาทางการแพทย์สมัยใหม่ ผู้คนพึ่งพาการรักษาที่บ้านและการรักษาตามธรรมชาติเพื่อจัดการกับหลุมสิว วิธีการเหล่านี้รวมถึงการใช้ส่วนผสมต่างๆ เช่น น้ำผึ้ง ว่านหางจระเข้ น้ำมะนาว และน้ำมันหอมระเหยต่างๆ เชื่อกันว่าสารธรรมชาติเหล่านี้มีคุณสมบัติในการรักษา สามารถลดการอักเสบและส่งเสริมการสร้างผิวใหม่ แม้ว่าบางคนจะพบว่าการรักษาเหล่านี้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ประสิทธิผลของพวกเขามักถูกจำกัดและไม่สอดคล้องกัน
การขัดผิวด้วยกลไก (Mechanical Exfoliation) และ Dermabrasion

การขัดผิวด้วยกลไกและการกรอผิวด้วยผิวหนัง (Derbabrasion) ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญประการแรกๆ ในการรักษาหลุมสิว เทคนิคเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการขจัดชั้นผิวด้านนอกออกทางกายภาพเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของผิวใหม่และลดการเกิดรอยแผลเป็น
- การขัดผิวด้วยกลไกการทำงาน : วิธีนี้รวมถึงการใช้วัสดุที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เช่น สครับที่มีไมโครบีดส์ (Micro-beads) หรือสารขัดผิวตามธรรมชาติ เช่น เมล็ดแอปริคอทบด เป้าหมายหลักคือการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและปรับปรุงผิว อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเพียงผิวเผิน และวิธีนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าสำหรับผิวที่มีรอยเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าที่จะเป็นหลุมสิวที่ลึก
- การกรอผิว :
- ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการ: Dermabrasion ถือเป็นวิธีการผลัดผิวแบบเข้มข้นมากขึ้น มันเกี่ยวข้องกับการใช้แปรงหรือล้อหมุนความเร็วสูงเพื่อขจัดชั้นนอกของผิวหนัง ขั้นตอนนี้ได้รับการพัฒนาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และได้รับความนิยมในการรักษาโรคผิวหนังต่างๆ รวมถึงหลุมสิว
- ประสิทธิผลและข้อจำกัด : Dermabrasion สามารถปรับปรุงลักษณะของรอยแผลเป็นตื้น ๆ และความผิดปกติของผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ต้องใช้แพทย์ที่มีทักษะเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ แผลเป็น และสีผิวที่เปลี่ยนไป ขั้นตอนนี้มักเกี่ยวข้องกับ Downtime มากและรู้สึกไม่สบายระหว่างการพักฟื้น
การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling)

การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีกลายเป็นวิธีการยอดนิยมในการรักษาหลุมสิว โดยเป็นวิธีควบคุมการขัดผิวโดยใช้สารเคมี
- ประวัติความเป็นมา : การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีมีการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีบันทึกทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าหญิงชาวอียิปต์ใช้นมเปรี้ยว (ที่มีกรดแลคติค) เพื่อปรับปรุงผิวของตน การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีสมัยใหม่ได้รับการพัฒนาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นวิธีการขัดผิวที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น
- ประเภทของการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี
- การผลัดเซลล์ผิวชั้นตื้น : ใช้กรดอ่อนๆ เช่น กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (AHA) เพื่อขัดผิวชั้นนอกอย่างอ่อนโยน มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงความไม่สมบูรณ์ของผิวเล็กน้อยและการเปลี่ยนสี แต่มีผลกระทบจำกัดต่อรอยแผลเป็นลึก
- การผลัดเซลล์ผิวชั้นกลาง : สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับกรดที่แรงกว่า เช่น กรดไตรคลอโรอะซิติก (TCA) ซึ่งเจาะลึกเข้าไปในผิวหนังเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่เสียหาย การผลัดเซลล์ผิวปานกลางสามารถรักษาหลุมสิวในระดับปานกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนมากกว่าการผลัดเซลล์ผิวแบบตื้น
- การผลัดเซลล์ผิวชั้นลึก : การใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์แรง เช่น ฟีนอล การผลัดเซลล์ผิวแบบล้ำลึกจะให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งโดยการขจัดชั้นผิวหนังหลายชั้น มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวอย่างรุนแรง แต่มีความเสี่ยงสูง เช่น ใช้เวลาฟื้นตัวนาน มีโอกาสเกิดการติดเชื้อ และสีผิวเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร
- ข้อดีและข้อเสีย : การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีให้ประโยชน์หลายประการ รวมถึงการปรับปรุงสภาพผิว การเปลี่ยนสีผิวที่ลดลง และรูปลักษณ์ที่ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น รอยแดง ผิวลอก และอาการแพ้ง่าย ความลึกของการผลัดเซลล์จะเป็นตัวกำหนดความรุนแรงของผลข้างเคียงและระยะเวลาการฟื้นตัว
บทสรุปของวิธีการเบื้องต้น
แม้ว่าวิธีการรักษาหลุมสิวในระยะเริ่มแรก เช่น การรักษาที่บ้าน การขัดผิวด้วยกลไกและการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีช่วยบรรเทาอาการได้ แต่ก็มักจะแทบไม่มีประสิทธิผลเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแผลเป็นที่อยู่ลึกกว่านั้น การรักษาเหล่านี้วางรากฐานสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถรักษาสาเหตุของหลุมสิวได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขั้นต่อไปของเทคโนโลยีการรักษาหลุมสิวจะนำมาซึ่งความก้าวหน้าที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการใช้ Microneedling และการรักษาด้วยเลเซอร์
Part 3: Microneedling

การคิดค้น Microneedling
Microneedling หรือที่เรียกว่าการรักษาด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เป็นวิธีการรักษาที่ค่อนข้างทันสมัยซึ่งได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต้นกำเนิดของไมโครนีดดิ้งเริ่มจากในสมัยโบราณที่มีการใช้เข็มขนาดเล็กในการแพทย์แผนจีนสำหรับแก้ปัญหาสภาพผิวต่างๆ อย่างไรก็ตาม แนวทางปฏิบัติสมัยใหม่ของการใช้ไมโครนีดดิ้งได้รับการพัฒนาในช่วงต้นทศวรรษ 1990 โดยดร. เดสมอนด์ เฟอร์นันเดส (Dr. Desmond Fernandes) ศัลยแพทย์พลาสติกชาวแอฟริกาใต้ เขาเป็นผู้บุกเบิกการใช้เข็มเพื่อรักษาริ้วรอยและรอยแผลเป็น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาอุปกรณ์ไมโครนีดลิ่งต่างๆ
กลไกการทำงานการออกฤทธิ์

Microneedling คือเทคโนโลยีที่ใช้เข็มขนาดเล็กสร้างการบาดเจ็บขนาดจิ๋วที่ควบคุมได้ (Micro-injuries) บนผิว การเจาะเล็กๆ เหล่านี้ช่วยกระตุ้นกระบวนการสมานแผลตามธรรมชาติของร่างกาย กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน กระบวนการนี้ช่วยให้:
- ส่งเสริมการฟื้นฟูผิว : การบาดเจ็บระดับจุลภาคจะกระตุ้นให้ผิวสร้างเซลล์ใหม่ ส่งผลให้เนื้อผิวเรียบเนียนและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น
- เพิ่มการดูดซึมเซรั่ม : ช่องไมโครที่สร้างขึ้นโดยเข็มช่วยให้การรักษาเฉพาะที่เจาะลึกเข้าไปในผิวหนัง เพิ่มประสิทธิภาพใครการดูดซึมของเซรั่มที่ใช้ร่วมกับการรักษา
วิวัฒนาการตามกาลเวลา
นับตั้งแต่เริ่มคิดค้น ไมโครนีดลิ่งก็มีการพัฒนาไปอย่างมาก อุปกรณ์แบบแมนนวลในยุคแรกถูกแทนที่ด้วยอุปกรณ์อัตโนมัติที่ให้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอยิ่งขึ้นและลดความรู้สึกไม่สบายให้เหลือน้อยที่สุด การพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ :
- ปากกาไมโครนีดลิ่งอัตโนมัติ : อุปกรณ์เหล่านี้มีความยาวเข็มที่ปรับได้และการเคลื่อนไหวแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ควบคุมความลึกและพื้นที่การรักษาได้อย่างแม่นยำ
- Radiofrequency Microneedling (RF Microneedling) : การผสมผสาน microneedling เข้ากับพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ เทคนิคนี้จะส่งความร้อนไปยังชั้นผิวที่ลึกกว่า เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และเพิ่มความกระชับให้ผิว
ความนิยมและการนำไปใช้ในปัจจุบัน

Microneedling กลายเป็นวิธีการรักษายอดนิยมสำหรับปัญหาผิวต่างๆ เนื่องจากมีประสิทธิภาพและมี Downtime น้อยที่สุด มักใช้สำหรับ:
- หลุมสิว : มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแผลเป็นแกร็น microneedling ช่วยสลายเนื้อเยื่อแผลเป็นและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ปรับปรุง Texture ของผิว
- ริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น : ผลการกระตุ้นคอลลาเจนของ microneedling ทำให้การรักษาต่อต้านริ้วรอยยอดนิยม
- รอยดำและฝ้า : Microneedling สามารถช่วยลดปัญหาผิวคล้ำโดยส่งเสริมการหมุนเวียนของเซลล์ผิว
- รอยแตกลาย : ด้วยการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน microneedling สามารถปรับปรุงลักษณะที่ปรากฏของรอยแตกลายเมื่อเวลาผ่านไป
ข้อดีและข้อจำกัด

ข้อดี:
- ระยะ Downtime น้อยที่สุด : เมื่อเทียบกับการรักษาแบบรุกล้ำมากขึ้น microneedling มีระยะเวลาการฟื้นตัวค่อนข้างสั้น โดยปกติแล้วจะมีอาการแดงและบวมเล็กน้อยเพียง 2-3 วัน
- ความเหมาะสมกับสภาพผิว : เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและทุกสีผิว microneedling สามารถตอบสนองปัญหาผิวได้หลากหลายเลยทีเดียว
- ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ : การผลิตคอลลาเจนอย่างค่อยเป็นค่อยไปนำไปสู่การปรับปรุง Texture และโทนสีผิวอย่างเป็นธรรมชาติและยาวนาน
ข้อจำกัด:
- ต้องทำหลายครั้ง : ผลลัพธ์ที่สำคัญมักต้องใช้การรักษาหลายครั้ง โดยทั่วไปจะเว้นระยะห่างกัน 2-3 สัปดาห์
- ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : แม้ว่าโดยทั่วไปจะปลอดภัย แต่การใช้ไมโครนีดดิ้งอาจทำให้เกิดรอยแดง บวม และรอยช้ำเล็กน้อยชั่วคราวได้ การติดเชื้อเกิดขึ้นได้ยากแต่เป็นไปได้หากไม่ปฏิบัติตามการดูแลหลังการรักษาอย่างเหมาะสม
บทสรุปของ Microneedling

Microneedling เป็นหนึ่งในความก้าวหน้าที่สำคัญในการรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุดสำหรับการปรับปรุงพื้นผิวและลักษณะที่ปรากฏของผิว วิวัฒนาการจากลูกกลิ้งเข็มธรรมดาไปจนถึงอุปกรณ์อัตโนมัติและความถี่วิทยุที่ซับซ้อนได้ขยายการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพ การพัฒนาและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องของเทคนิคไมโครนีดลิ่งรับประกันผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการลดหลุมสิวและความไม่สมบูรณ์ของผิวอื่นๆ ในขณะที่เราก้าวไปข้างหน้า
ต่อไปหมอจะเล่าให้ฟังถึงการใช้เลเซอร์เข้ามารักษาหลุมสิว
Part 4: การรักษาด้วยเลเซอร์

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีเลเซอร์
การรักษาด้วยเลเซอร์ได้ปฏิวัติวงการผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาหลุมสิว คำว่า "LASER" ย่อมาจาก Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ลำแสงที่มีความเข้มข้นเพื่อกำหนดเป้าหมายและรักษาปัญหาผิวที่เฉพาะเจาะจง เทคโนโลยีเลเซอร์ให้การควบคุมที่แม่นยำ ช่วยให้สามารถรักษาเนื้อเยื่อแผลเป็นได้อย่างตรงเป้าหมาย ในขณะเดียวกันก็ลดความเสียหายต่อผิวหนังโดยรอบให้เหลือน้อยที่สุด

1st Generation: Full-Field Ablative Laser

ความก้าวหน้าครั้งสำคัญครั้งแรกของการรักษาด้วยเลเซอร์สำหรับหลุมสิวมาพร้อมกับการพัฒนาเลเซอร์ Ablative ชนิด Full-Field เลเซอร์เหล่านี้ทำงานโดยการลอกของผิวชั้นบนออก (Ablate) ส่งเสริมการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่มีสุขภาพดีและการผลิตคอลลาเจน
- เลเซอร์ CO2 :
- ประวัติความเป็นมาและการพัฒนา : เลเซอร์ CO2 เป็นหนึ่งในเลเซอร์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ใช้สำหรับการผลัดผิว CO2 ทำหน้าที่ปล่อยแสงอินฟราเรดที่ถูกดูดซับโดยน้ำในผิวหนัง ส่งผลทำให้น้ำระเหยและเนื้อเยื่อเป้าหมายถูกกำจัดออก
- ประสิทธิผล : เลเซอร์ CO2 มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวลึก สามารถปรับปรุง Texture และโทนสีผิวได้อย่างมาก มีผลลัพธ์ที่ดีมากระดับหนึ่ง
- ข้อจำกัด : การทำเลเซอร์ CO2 นั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก โดยใช้เวลาพักฟื้นนานและอาจมีผลข้างเคียง เช่น รอยแดง บวม และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ การรักษายังสามารถทำให้เกิดรอยดำได้ โดยเฉพาะในโทนสีผิวเข้มของคนไทย
- เลเซอร์ Erbium-YAG :

- ประวัติความเป็นมาและการพัฒนา : เลเซอร์ Erbium-YAG ซึ่งเป็นทางเลือกแทนเลเซอร์ CO2 ทำหน้าที่โดยการปล่อยแสงที่ถูกดูดซับโดยน้ำในผิวหนัง โดยจะทำงานที่ความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน ทำให้สามารถควบคุมการกำจัดเนื้อเยื่อได้แม่นยำยิ่งขึ้น
- ประสิทธิผล : เลเซอร์ Erbium-YAG มีผลกับรอยแผลเป็นทั้งชั้นตื้นและลึกปานกลาง ส่งผลให้เนื้อเยื่อโดยรอบได้รับความเสียหายจากความร้อนน้อยลง เมื่อเทียบกับเลเซอร์ CO2
- ข้อจำกัด : แม้ว่าระยะเวลาการฟื้นตัวจะสั้นกว่าและผลข้างเคียงจะรุนแรงน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 แต่ผลลัพธ์อาจไม่น่าทึ่งสำหรับรอยแผลเป็นที่ลึกมาก
การลอกผิวคือการสร้างแผล ซึ่งหากทำมากไปอาจเกิดแผลเป็นนูนและรอยดำได้ หากลอกน้อยไปก็อาจไม่ได้ผลเพราะกระตุ้นคอลลาเจนไม่เพียงพอ ดังนั้น เลเซอร์รักษาหลุมสิวจึงพัฒนาขึ้นโดยยึดหลักการนี้ เลเซอร์ที่ดีต้องกระตุ้นการรักษาหลุมสิวได้ดีและมีผลข้างเคียงน้อย เช่น แผลเป็นหรือรอยดำหลังทำ
2nd Generation: Non-Ablative Laser

เพื่อจัดการกับข้อจำกัดของ Full-Field Ablative Laser จึงได้มีการพัฒนา Non-Ablative Laser ขึ้นมา เลเซอร์เหล่านี้ทำงานโดยการให้ความร้อนแก่เนื้อเยื่อผิวหนังที่อยู่ด้านล่างโดยไม่ต้อง Ablate ผิวชั้นตื้นออก สามรถกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและปรับปรุง Skin Texture โดยมี Downtime น้อยที่สุด
- Erbium Glass Laser
- กลไกการทำงาน : เลเซอร์เหล่านี้จะทำความร้อนให้กับน้ำในผิวหนังเพื่อสร้างความร้อนแก่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพื้นผิวอย่างมีนัยสำคัญ
- ประสิทธิผล : เหมาะสำหรับหลุมสิวเล็กน้อยถึงปานกลาง เลเซอร์แก้วเออร์เบียมมีการปรับปรุงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีผลข้างเคียงและ Downtime น้อยที่สุด
- ข้อจำกัด : ผลลัพธ์ที่ได้จะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเลเซอร์ระเหย และมักต้องทำหลายครั้ง
- เลเซอร์ Nd:YAG
- กลไกการทำงาน : เลเซอร์ Nd:YAG ทำหน้าที่เจาะลึกเข้าไปในผิวหนัง เพื่อยิงทั้งน้ำและเมลานิน มีประโยชน์หลากหลาย ใช้สำหรับสภาพผิวต่างๆ รวมถึงหลุมสิว
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพในการลดรอยแดงและปรับปรุงผิว เลเซอร์เหล่านี้ปลอดภัยสำหรับทุกสภาพผิว
- ข้อจำกัด : เช่นเดียวกับเลเซอร์แบบไม่ทำลายอื่นๆ จำเป็นต้องมีการรักษาหลายครั้ง และผลลัพธ์ที่ได้จะละเอียดกว่า
3rd Generation: Fractional Laser

เทคโนโลยี Fractional Laser แสดงถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการรักษาหลุมสิว โดยผสมผสานคุณประโยชน์ของเลเซอร์ทั้งแบบ Ablative และ Non-Ablative
Fractional Laser จะรักษาผิวหนังเพียงบริเวณเล็กบริเวณเดียวในแต่ละครั้ง ทำให้เกิดการบาดเจ็บขนาดเล็ก (Micro-Injuries) ที่รายล้อมไปด้วยเนื้อเยื่อที่มีสุขภาพดี ซึ่งจะช่วยเร่งการรักษาและลด Downtime

- กลไกการทำงาน : เลเซอร์ Fractional CO2 จะส่งลำแสงที่โฟกัสซึ่งจะสร้างคอลัมน์เนื้อเยื่อที่เสียหายเล็กๆ และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในขณะที่เนื้อเยื่อโดยรอบไม่เสียหาย
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่อยู่ลึก โดยช่วยทำ Texture และโทนสีผิวให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- ข้อจำกัด : แม้ว่า Downtime จะลดลงเมื่อเทียบกับ Full-Field Ablative Laser แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เช่น รอยแดง บวม และรอยดำ โดยเฉพาะในสีผิวที่เข้มกว่าเช่นผิวคนไทยเป็นต้น
- Fractional Erbium-YAG
- กลไกการทำงาน : เลเซอร์เหล่านี้สร้างการบาดเจ็บขนาดเล็กคล้ายกับเลเซอร์ Fractional CO2 แต่สร้างความเสียหายจากความร้อนน้อยกว่า
- ประสิทธิผล : เหมาะสำหรับหลุสิวตื้นถึงลึกปานกลาง ให้ผลลัพธ์ที่ดี ใช้เวลาพักฟื้นสั้นกว่า
- ข้อจำกัด : ผลลัพธ์อาจไม่เด่นชัดเท่ากับเลเซอร์ CO2 แบบเศษส่วน และยังคงมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรง
4th Generation: Fractional RF (RF)
ความก้าวหน้าล่าสุดในการรักษาหลุมสิว ได้แก่ Fractional RF ซึ่งใช้พลังงานคลื่นวิทยุเพื่อให้ความร้อนแก่ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยไม่ต้องใช้แสงเลเซอร์

- Fractional RF (เช่น eMatrix, Venus Viva)
- กลไกการทำงาน : Fractional RF ทำงานโดยสร้างการบาดเจ็บขนาดเล็กในผิวหนังโดยใช้พลังงานคลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและกระชับผิว
- ประสิทธิผล : ใช้ได้กับหลุมสิวหลายประเภท รวมถึงหลุมสิวแบบลึก Fractional RF เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยดำน้อยที่สุดในกลุ่มเทคโนโลยีในยุคนี้
- ข้อดี : ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ใช้ Downtime น้อยที่สุด และสามารถรักษารอยแผลเป็นที่อยู่ลึกลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- Microneedle RF (เช่น Fractora, Scarlet)
- กลไกการทำงาน : ผสมผสาน microneedling เข้ากับพลังงาน Fractional RF ให้การรักษาที่ตรงเป้าหมายลึกลงสู่ผิว
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่รุนแรงและลึก โดยให้การปรับปรุง Texture และสีผิวอย่างมีนัยสำคัญ
- ข้อดี : ควบคุมความลึกของการรักษาได้อย่างแม่นยำ Downtime น้อย และลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเลเซอร์
บทสรุปของการรักษาด้วยเลเซอร์

การรักษาด้วยเลเซอร์ทำให้การรักษาหลุมสิวก้าวหน้าไปอย่างมาก โดยมีตัวเลือกมากมายเพื่อให้เหมาะกับประเภทของหลุมสิวและสภาพผิวที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ Full-Field Ablative Laser ในยุคแรกๆ ไปจนถึง Fractional RF ล่าสุด แต่ละรุ่นได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า ทำให้มีตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและผลข้างเคียงน้อยลง การพัฒนาเทคโนโลยีเลเซอร์อย่างต่อเนื่องเป็นผลดีสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาหลุมสิวและทำให้ผิวเรียบเนียนและมีสุขภาพดีขึ้น หัวข้อถัดไปจะกล่าวถึงการผสมผสานวิธีการรักษาต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มผลลัพธ์และจัดการกับหลุมสิวประเภทต่างๆ อย่างครอบคลุม
Part 5: การรักษาแบบผสมผสาน
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการรักษาแบบผสมผสาน
เนื่องจากความเข้าใจเกี่ยวกับหลุมสิวและการนำเสนอที่หลากหลายมากขึ้น แพทย์ผิวหนังจึงหันมาผสมผสานวิธีการรักษาที่แตกต่างกันมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การรักษาแบบผสมผสานสามารถจัดการกับรอยแผลเป็นในด้านต่างๆ ได้ โดยนำเสนอแนวทางการรักษาและฟื้นฟูผิวที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Subcision + Laser
หนึ่งในการผสมผสานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการรักษา หลุมสิว Rolling Scar และ หลุมสิว Boxcar Scar บางประเภทคือการทำ subcision หลุมสิว ตามด้วยการรักษาด้วยเลเซอร์
- Subcision
- กลไกการทำงาน : Subcision คือการใช้เข็มตัดเนื้อเยื่อที่ยึดผิวหนังและทำให้เกิดหลุมให้หลุดออก โดยจะสร้างการบาดเจ็บที่ควบคุมได้ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและช่วยให้ผิวยกขึ้น
- ขั้นตอนการรักษา : เริ่มด้วยการแปะยาชาเฉพาะที่ให้คนไข้ หลังจากนั้นก็ใช้เข็มเล็กๆ สอดเข้าไปใต้แผลเป็นแล้วตัดเนื้อเยื่อที่ยึดหลุมออก
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Rolling Scar โดยการ Subcision หลังทำแล้วจะเห็นผลทันที
- Subcison + Laser
- กลไกการทำงาน : หลังจากการ Subcision สามารถใช้การรักษาด้วยเลเซอร์ เช่น Fractional CO2 หรือ Erbium-YAG เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและผลัดผิวใหม่
- ประสิทธิผล : การผสมผสานระหว่างการ Subcision และการรักษาด้วยเลเซอร์ทำให้เกิดผลเสริมฤทธิ์กัน ทำให้ผลลัพธ์โดยรวมดีขึ้น และรักษาหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการรักษาด้วยวิธีเดียว
Subcison + Fractional RF

การรักษาหลุมสิวแบบผสมผสานที่ได้ผลดีอีกชนิดหนึ่งคือการทำ Subcision คู่กับ Fractional RF โดยเฉพาะเมื่อเลือกทำกับ Rolling Scar
- Fractional RF (เช่น Venus Viva)
- กลไกการทำงาน : Fractional RF ใช้ microneedles เพื่อส่งพลังงาน RF ลึกเข้าไปในผิวหนัง สร้างการบาดเจ็บจากความร้อนที่ควบคุมได้ ซึ่งกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการกระชับผิว
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพสำหรับรอยแผลเป็นทั้งตื้นและลึก Fractional RF ช่วยเพิ่มเนื้อผิวและส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงคอลลาเจนอย่างมีนัยสำคัญ
- Fractional RF + Subcision
- กลไกการทำงาน : แพทย์ส่วนใหญ่จะเลือกทำ Subcision ก่อนเพื่อตัดพังผืดที่ยึดหลุมอยู่ออก จากนั้นจึงใช้ Fractional RF เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและทำให้ผิวกระชับ
- ประสิทธิผล : การรักษาร่วมกันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดของทั้งสองวิธี โดย subcision จะให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดทันที ส่วน RF จะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในระยะยาว
TCA Cross + Laser

TCA หลุมสิว (การสร้างรอยแผลเป็นจากผิวหนังโดยใช้กรดไตรคลอโรอะซิติก) เป็นเทคนิคหลักที่ใช้ในการรักษารอยแผลเป็นชนิด ice pick ซึ่งมีความลึกเกินกว่าจะรักษาด้วยเลเซอร์เพียงอย่างเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
TCA Cross:
- กลไกการทำงาน: TCA ที่มีความเข้มข้นสูงจะถูกทาลงบนแผลเป็นโดยตรง ทำให้เกิดการบาดเจ็บแบบควบคุม จากสารเคมีซึ่งช่วยส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนและการผลัดเซลล์ผิว
- ขั้นตอน: ใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กทา TCA ลงบนแผลเป็นอย่างแม่นยำ บริเวณนั้นอาจเกิดเปลือกและหลุดลอกเป็นเวลาหลายวัน
- ประสิทธิผล: TCA CROSS มีประสิทธิภาพสูงในการรักษารอยแผลเป็นชนิด ice pick สามารถลดความลึกและการมองเห็นของรอยแผลเป็นได้อย่างมาก
การใช้ร่วมกับเลเซอร์:
- กลไกการทำงาน: หลังจากทำ TCA CROSS แล้วก็ต่อด้วยการรักษาด้วย Fractional Laser สามารถใช้เพื่อทำให้ผิวเรียบเนียนและส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนต่อไป
- ประสิทธิผล: การผสมผสานนี้ช่วยแก้ไขทั้งความลึกและพื้นผิวของรอยแผลเป็นชนิด ice pick ทำให้มีการปรับปรุงที่ครอบคลุมมากขึ้น
บทสรุปของการรักษาแบบผสมผสาน
การผสมผสานวิธีการรักษาที่แตกต่างกันช่วยให้การรักษาหลุมสิวมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถจัดการกับรอยแผลเป็นประเภทต่าง ๆ และปรับปรุงผลลัพธ์โดยรวมได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ subcision ร่วมกับเลเซอร์หรือ Fractional RF, TCA CROSS, microneedling ด้วย PRP และการผสมผสานระหว่างเลเซอร์และการใช้ยาทา ล้วนเป็นวิธีการผสมผสานที่มีประสิทธิภาพสูง การรักษาเสริมฤทธิ์กันเหล่านี้ช่วยปรับปรุง Skin Texture โทนสี และรูปลักษณ์ภายนอกได้อย่างครอบคลุม ทำให้บุคคลที่ต้องเผชิญกับปัญหาหลุมสิวได้รับความหวังและความมั่นใจ
หัวข้อถัดไปจะเจาะลึกถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเน้นความก้าวหน้าล่าสุดและทิศทางในอนาคตของการรักษาหลุมสิว
Part 6: เทคโนโลยีใหม่
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่
ในขณะที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง การรักษาหลุมสิวก็เกิดขึ้นใหม่และเป็นนวัตกรรมใหม่ แนวทางที่ล้ำหน้าเหล่านี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าคาดหวังโดยมีผลข้างเคียงน้อยลงและใช้เวลาฟื้นตัวสั้นลง ในส่วนนี้จะสำรวจการพัฒนาล่าสุดบางส่วนในเทคโนโลยีการรักษาหลุมสิว
การผลัดเซลล์ผิวด้วยพลาสม่า (Plasma Skin Resurfacing)

การผลัดเซลล์ผิวด้วยพลาสม่าเป็นเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่ใช้พลังงานพลาสม่าเพื่อฟื้นฟูผิวและรักษาหลุมสิว
- กลไกการทำงาน : การผลัดผิวด้วยพลาสมาเกี่ยวข้องกับการใช้อุปกรณ์ที่สร้างพลังงานพลาสม่าเพื่อส่งความร้อนที่ควบคุมไปยังพื้นผิว พลังงานนี้สร้างอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการฟื้นฟูผิว
- ขั้นตอน : อุปกรณ์ถูกส่งผ่านผิวหนัง และพลังงานพลาสมาจะถูกส่งไปในชุดของพัลส์ที่ควบคุม สามารถปรับแต่งการรักษาให้เหมาะกับพื้นที่และความลึกเฉพาะได้
- ประสิทธิผล : การผลัดผิวด้วยพลาสมามีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นและปรับปรุงสีผิวโดยรวม
- ข้อดี : ใช้ Downtime น้อยที่สุดและลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำ เมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเลเซอร์แบบดั้งเดิม เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว
Cryotherapy รักษาหลุมสิว

Cryotherapy ซึ่งแต่เดิมใช้ในการขจัดหูดและรักษาสภาพผิวบางชนิด ปัจจุบันได้ถูกทำมาวิจัยเพื่อใช้รักษาหลุมสิว
- กลไกการทำงาน : Cryotherapy คือการใช้ความเย็นจัดส่งไปยังบริเวณผิวเป้าหมาย กระบวนการนี้ทำให้เกิดความเสียหายที่ควบคุมได้ต่อเนื้อเยื่อแผลเป็น และส่งเสริมการเจริญเติบโตของผิวใหม่ที่มีสุขภาพดี
- ขั้นตอน : นำไนโตรเจนเหลวหรือสารแช่แข็งอื่นๆ มาใช้กับบริเวณที่เกิดแผลเป็นโดยใช้อุปกรณ์พิเศษ นับว่าเป็นการรักษาที่ไม่เจ็บมาก
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพในการลดการปรากฏของรอยแผลเป็นนูนและรอยนูนมากเกินไป นอกจากนี้ยังสามารถปรับปรุง Texture และโทนสีผิวได้อีกด้วย
- ข้อดี : ผลข้างเคียงน้อย และมี Downtime น้อยที่สุด มีขั้นตอนที่รวดเร็วและไม่เจ็บปวด
การรักษาด้วย Stem Cell และ Growth Factor

การรักษาด้วย Stem Cell และการใช้ Growth Factor ถือเป็นขอบเขตที่มีแนวโน้มในการรักษาหลุมสิว โดยใช้ประโยชน์จากกลไกการทำงานการรักษาตามธรรมชาติของร่างกาย
- Stem Cell
- กลไกการทำงาน : เซลล์ต้นกำเนิดมีความสามารถในการแยกแยะเซลล์ประเภทต่างๆ และส่งเสริมการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ในการรักษาหลุมสิว มีการใช้ Stem Cell เพื่อกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่และคอลลาเจน
- ขั้นตอน : สามารถเก็บ Stem Cell จากเนื้อเยื่อไขมันหรือไขกระดูกของคนไข้เอง แล้วฉีดเข้าไปบริเวณที่เป็นแผลเป็น อีกทางเลือกหนึ่ง สามารถใช้เซรั่มที่ได้มาจาก Stem Cell เฉพาะที่ก็ได้
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงเนื้อผิว ลดความลึกของแผลเป็น และส่งเสริมการฟื้นฟูผิวโดยรวม
- ข้อดี : การรักษาตามธรรมชาติและเข้ากันได้ทางชีวภาพพร้อมศักยภาพในการให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน
- Growth Factor
- กลไกการทำงาน : Growth Factor คือโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตของเซลล์ การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และการผลิตคอลลาเจน สามารถใช้ทาหรือฉีดเพื่อเพิ่มการรักษาและการฟื้นฟูผิว
- ขั้นตอน : Growth Factor สามารถหาได้จากเลือดของคนไข้ (PRP) หรือสังเคราะห์ในห้องแลป โดยจะนำไปใช้กับผิวหนังในระหว่างการรักษา เช่น การฉีดไมโครนีดดิ้งหรือการรักษาด้วยเลเซอร์
- ประสิทธิผล : ช่วยให้การรักษาเร็วขึ้น ลดการอักเสบ และเพิ่มการผลิตคอลลาเจน ส่งผลให้เนื้อผิวดีขึ้น และลดลักษณะรอยแผลเป็น
- ข้อดี : ช่วยเพิ่มผลของการรักษาอื่นๆ และเร่งกระบวนการฟื้นฟูให้เร็วขึ้น
การรักษาด้วยแสง LED

การรักษาด้วยแสง LED เป็นการรักษาแบบ Non-Invasive ซึ่งใช้ความยาวคลื่นแสงที่แตกต่างกันเพื่อแก้ปัญหาผิวต่างๆ รวมถึงหลุมสิว
- กลไกการทำงาน : การรักษาด้วยแสง LED เกี่ยวข้องกับการใช้ไดโอดเปล่งแสงเพื่อส่งความยาวคลื่นเฉพาะของแสงไปยังผิวหนัง ความยาวคลื่นที่แตกต่างกันจะแทรกซึมเข้าสู่ผิวที่ระดับความลึกที่แตกต่างกัน และมีหน้าที่ส่งเสริมการรักษาและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
- ขั้นตอน : คนไข้นั่งหรือนอนใต้อุปกรณ์ไฟ LED และโดยทั่วไปการรักษาจะไม่เจ็บปวดและผ่อนคลาย แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที
- ประสิทธิผล : มีผลกับหลุมสิวเล็กน้อยและการฟื้นฟูผิวโดยรวม ช่วยลดการอักเสบ ปรับสภาพผิว และส่งเสริมการผลิตคอลลาเจน
- ข้อดี : Non-Invasive โดยสิ้นเชิงและไม่มี Downtime เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและสามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
บทสรุปของเทคโนโลยีเกิดใหม่
เทคโนโลยีใหม่ในการรักษาหลุมสิวนำเสนอโอกาสใหม่ ๆ สำหรับคนไข้ที่มองหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด การผลัดผิวด้วยพลาสมา การรักษาด้วยความเย็นจัด การรักษาด้วยสเต็มเซลล์ และการรักษาด้วยแสง LED เป็นความก้าวหน้าล่าสุด แต่ละวิธีมีกลไกการทำงานและประโยชน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เมื่อการวิจัยและพัฒนาดำเนินต่อไป นวัตกรรมเหล่านี้สัญญาว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น นำไปสู่การรักษาหลุมสิวที่มีความเป็นส่วนตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หัวข้อถัดไปจะเปรียบเทียบเทคโนโลยีรักษาหลุมสิวเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อช่วยให้ทุกคนมีข้อมูลในการตัดสินใจเกี่ยวกับตัวเลือกการรักษาของตัวเอง
Part 7: การเปรียบเทียบเทคโนโลยีหลุมสิวต่างๆ
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเปรียบเทียบเทคโนโลยีหลุมสิว
การเลือกการรักษาหลุมสิวที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายเมื่อพิจารณาจากเทคโนโลยีที่มีอยู่มากมาย ในส่วนนี้จะแสดงการเปรียบเทียบการรักษาหลุมสิวแบบต่างๆ อย่างครอบคลุม โดยเน้นที่ประสิทธิภาพ ระยะ Downtime ผลข้างเคียง ต้นทุน และความเหมาะสมสำหรับสภาพผิวและความรุนแรงของแผลเป็นต่างๆ แต่ละหมวดหมู่จะมีคะแนนตั้งแต่ 0 ถึง 10 โดย 0 คือแย่ที่สุด และ 10 คือดีที่สุด
ตารางเปรียบเทียบการรักษาหลุมสิว

คำอธิบายการเปรียบเทียบ
ประสิทธิผล
- Fractional CO2 Lasers: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่อยู่ลึก ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนอย่างมีนัยสำคัญและการผลัดผิวใหม่ เหมาะสำหรับแผลเป็นตีบอย่างรุนแรง รวมถึงรอยแผลเป็นจากรถลากและไม้ Icepick คะแนน: 4
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): มีประสิทธิภาพมากกับรอยแผลเป็นทั้งตื้นและลึก กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและกระชับผิว ปรับปรุงทันทีพร้อมสิทธิประโยชน์อย่างต่อเนื่อง คะแนน: 4.5
- Fractional Erbium-YAG Lasers: มีประสิทธิภาพสำหรับหลุมสิวปานกลางและมีความเสียหายจากความร้อนน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นตื้นๆ ถึงลึกปานกลาง คะแนน: 4
- Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนและปรับปรุงผิว เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นเล็กน้อยถึงปานกลาง คะแนน: 4.5
Downtime และ Recovery

- Fractional RF (เช่น Venus Viva): ใช้ Downtime น้อยที่สุดถึงปานกลาง โดยมีรอยแดงและบวมเล็กน้อยนานสองสามวัน คะแนน: 4.5
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): Downtime ปานกลาง โดยทั่วไปจะมีอาการแดงและบวมสองสามวัน คะแนน: 4
- Fractional Erbium-YAG Lasers: ระยะ Downtime สั้นกว่าเลเซอร์ CO2 ซึ่งปกติจะใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ คะแนน: 3
- Fractional CO2 Lasers: ระยะ Downtime ยาวนานที่สุด โดยมีรอยแดงและการหลุดลอกอย่างเห็นได้ชัดยาวนานถึงสองสัปดาห์ คะแนน: 2
ผลข้างเคียงและความเสี่ยง

- Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำและการติดเชื้อ โดยจะมีรอยแดงและบวมชั่วคราว คะแนน: 4.5
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำและการติดเชื้อ โดยมีรอยแดงและบวมชั่วคราว คะแนน: 4
- Erbium-YAG Lasers: มีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 โดยมีรอยแดงและลอกชั่วคราว คะแนน: 3.5
- Fractional CO2 Lasers: มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดรอยดำ การติดเชื้อ และรอยแดงเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในสีผิวที่เข้มกว่า คะแนน: 2
ค่าใช้จ่าย

- Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): ต้นทุนปานกลาง สะท้อนถึงประสิทธิภาพและเทคโนโลยีขั้นสูง คะแนน: 4
- เลเซอร์ Erbium-YAG: ต้นทุนปานกลาง โดยทั่วไปแล้วจะถูกกว่าเลเซอร์ CO2 คะแนน: 3.5
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): ต้นทุนสูงปานกลาง สะท้อนถึงเทคโนโลยีขั้นสูงและประสิทธิผล คะแนน: 3
- เลเซอร์ Fractional CO2: โดยปกติแล้วค่าใช้จ่ายจะต่ำกว่าตัวอื่นๆ คะแนน: 5
ความเหมาะสมกับสภาพผิวต่างๆ และความรุนแรงของแผลเป็น

- Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ใช้ได้กับแผลเป็นทุกระดับ อีกทั้งยังช่วยผลัดผิวให้ขาวขึ้น คะแนน: 4.5
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ใช้ได้กับแผลเป็นทุกระดับ คะแนน: 4
- Erbium-YAG Lasers: เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นปานกลาง และสีผิวสีอ่อนถึงปานกลาง คะแนน: 3.5
- Fractional CO2 Lasers: เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นที่รุนแรงและสีผิวที่สว่างกว่า ข้อควรระวังสำหรับผิวคล้ำเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการสร้างเม็ดสี คะแนน: 2.5
สรุปการเปรียบเทียบ
การรักษาหลุมสิวแต่ละวิธีมีจุดแข็งและข้อจำกัดของตัวเอง การเลือกวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล เช่น ความรุนแรงของแผลเป็น ประเภทของผิว ความทนทานต่อ Downtime และงบประมาณ
- Fractional CO2 Lasers: ดีที่สุดสำหรับรอยแผลเป็นที่รุนแรง แต่มาพร้อมกับ Downtime อย่างมาก ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และความเสี่ยง ทำให้ไม่เหมาะกับสีผิวคล้ำ
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): มีประสิทธิภาพมากสำหรับแผลเป็นประเภทต่างๆ โดยให้ความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพ ระยะ Downtime และผลข้างเคียงที่รับได้
- Fractional Erbium-YAG Lasers: มีประสิทธิภาพสำหรับรอยแผลเป็นระดับปานกลาง โดยมีผลข้างเคียงและ Downtime น้อยกว่าเลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวสว่างถึงปานกลาง
- Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): โดยรวมแล้วดีที่สุด ด้วยคะแนนด้านประสิทธิผลสูง ระยะ Downtime น้อยที่สุด ความเสี่ยงต่ำ และเหมาะสมกับทุกสภาพผิว อีกทั้งยังช่วยปรับ Texture ผิวอีกด้วย ทำให้เป็นตัวเลือกที่ทำได้หลากหลายและเป็นที่แนะนำมากที่สุด
เทคโนโลยีที่หมอเลือกในปี 2024
เมื่อพิจารณาคะแนนและการเปรียบเทียบ การรักษาด้วย Fractional RF เช่น Venus Viva ถือเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในการรักษาหลุมสิวหลายประเภท มีความสมดุลในด้านประสิทธิผล Downtime ที่น้อย และความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ลดลง ทำให้เหมาะกับคนไข้ส่วนใหญ่ สำหรับผู้ที่มองหาการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ใช้เวลาฟื้นตัวน้อย และมีความเสี่ยงน้อย Fractional RF เป็นตัวเลือกที่แนะนำ
อย่างไรก็ตามการปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการรักษานี้เหมาะสมกับความต้องการและประเภทผิวของเราเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Part 8: การเลือกการรักษาที่เหมาะสม
ปัจจัยที่ต้องพิจารณา
การเลือกการรักษาหลุมสิวที่ดีที่สุดนั้นเกี่ยวข้องกับการประเมินปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยทางการแพทย์ต่างๆ เพื่อให้มั่นใจถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความพึงพอใจของคนไข้ ข้อควรพิจารณาที่สำคัญมีดังนี้:
- ประเภทของหลุมสิว

- ประเภทของหลุมสิว
- หลุมสิวทั่วไป : ได้แก่ Ice Pick Scar Boxcar Scar และ Rolling Scar การรักษาที่แตกต่างกันจะได้ผลดีกับแผลเป็นประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะsome text
- Icepick Scars : รักษาได้ดีที่สุดด้วย TCA Cross หรือ Fractional CO2 lasers
- Boxcar และ Rolling Scars : Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ Fractional RF ที่มี microneedle (เช่น Fractora) เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพ
- รอยแผลเป็น Hypertrophic และ คีลอยด์ : รอยแผลเป็นนูนเหล่านี้อาจต้องได้รับการรักษาที่แตกต่างกัน เช่น การฉีดสเตียรอยด์หรือการใช้แผ่นซิลิโคน
- หลุมสิวทั่วไป : ได้แก่ Ice Pick Scar Boxcar Scar และ Rolling Scar การรักษาที่แตกต่างกันจะได้ผลดีกับแผลเป็นประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะsome text
- ประเภทผิว

- โทนสีผิว
- สีผิวอ่อน : การรักษาด้วยเลเซอร์ส่วนใหญ่ รวมถึง Fractional CO2 และ Erbium-YAG จะมีความเหมาะสมมากกว่า
- สีผิวที่เข้มกว่า : แนะนำให้ใช้การรักษาด้วย Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ RF ด้วย microneedle (เช่น Fractora) เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดเม็ดสีมากเกินไปน้อยกว่า

- ความรุนแรงของหลุมสิว
- หลุมชนิดตื้นถึงปานกลาง : เลเซอร์ Fractional RF และ Erbium-YAG มีประสิทธิภาพโดยใช้ Downtime น้อยที่สุด
- หลุมลึก : เลเซอร์ Fractional CO2 และ Fractional RF พร้อม microneedle จะเหมาะสมที่สุด แต่ต้องใช้ระยะเวลาการพักฟื้นนานกว่า
- Downtime
- Downtime น้อยที่สุด : Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ TCA CROSS ใช้เวลาฟื้นตัวสั้นกว่า
- Downtime ปานกลางถึงยาวนาน : เลเซอร์ Fractional CO2 และ Fractional RF พร้อม microneedle อาจต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า

- ค่ารักษา
- ค่ารักษาต่ำกว่า : TCA Cross จะคุ้มค่ามากแต่อาจต้องรักษาหลายครั้ง และต้องทำกับแพทย์ผู้เชียวชาญเพื่อลดความเสี่ยง
- ค่ารักษาปานกลาง : Fractional RF (เช่น Venus Viva) ให้ความสมดุลระหว่างต้นทุนและประสิทธิผล
- ค่ารักษาสูง : Microneedle RF มักจะมีราคาแพงกว่าเนื่องจากต้นทุนเครื่องที่สูงกว่า
- ผลข้างเคียง
- ผลข้างเคียงต่ำ : Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ RF พร้อมการรักษาด้วย microneedle จะมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงน้อยกว่า
- ผลข้างเคียงที่สูงขึ้น : เลเซอร์ Fractional CO2 มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียง โดยเฉพาะในสีผิวที่เข้มกว่า

การปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
การปรึกษาอย่างละเอียดกับแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรอง (Board-Certified Dermatologist) เป็นสิ่งสำคัญในการประเมินความต้องการและประวัติการรักษาของแต่ละบุคคล แพทย์ผิวหนังจะตรวจสอบประเภทและความรุนแรงของหลุมสิว ประเภทของผิว และสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อแนะนำการรักษาที่เหมาะสมที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่คาดหวัง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และจำนวนครั้งที่ต้องการในการรักษา
แผนการรักษาเฉพาะบุคคล

แพทย์ผิวหนังอาจแนะนำให้รวมการรักษาต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น:
- Subcision + Fractional RF : สำหรับ Rolling Scar การรวม Subcision เข้ากับ Fractional RF (เช่น Venus Viva) สามารถทำร่วมกันเพื่อให้ได้ผลดีมากขึ้นได้
- TCA CROSS + Fractional CO2 : สำหรับหลุมสิวชนิด Ice Pick การใช้ TCA CROSS ตามด้วยการรักษาด้วยเลเซอร์ Fractional CO2 จะช่วยเพิ่มผลลัพธ์ได้
การตั้งความคาดหวังที่สมจริง

การทำความเข้าใจผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นและข้อจำกัดของการรักษาแต่ละครั้งเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าการรักษาบางอย่างจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นมาก แต่การมีผิวที่ปราศจากรอยแผลเป็นอย่างสมบูรณ์อาจเป็นไปไม่ได้ การตั้งเป้าหมายที่สมจริงและมีความอดทนต่อกระบวนการรักษาจะนำไปสู่ความพึงพอใจที่ดีขึ้น ส่วนใหญ่การรักษาแต่ละครั้งจะสามารถทำให้หลุมสิวดีขึ้นประมาณ 20-30% เท่านั้น
การบำรุงรักษาและการดูแลหลังรักษา

การดูแลหลังการรักษามีความสำคัญอย่างยิ่งในการให้ผลลัพธ์สูงสุดและป้องกันภาวะแทรกซ้อน แพทย์ผิวหนังจะให้คำแนะนำการดูแลหลังการรักษาโดยเฉพาะ ซึ่งอาจรวมถึง:
- หลีกเลี่ยงแสงแดด : เพื่อป้องกันการเกิดรอยดำและปกป้องการรักษาผิว
- การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสูตรอ่อนโยน : เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองและส่งเสริมการรักษา
- การนัดหมายติดตาม ผล : เพื่อติดตามความคืบหน้าและปรับเปลี่ยนแผนการรักษาตามที่จำเป็น
บทสรุป
การเลือกการรักษาหลุมสิวที่เหมาะสมนั้นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบจากหลายปัจจัย รวมถึงชนิดและความรุนแรงของรอยแผลเป็น ประเภทของผิว ความทนทานต่อ Downtime งบประมาณ และการยอมรับความเสี่ยง การรักษาด้วย Fractional RF เช่น Venus Viva และ eMatrix โดดเด่นในฐานะตัวเลือกที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ โดยให้ประสิทธิภาพที่ดี Downtime น้อย และมีความเสี่ยงต่ำ การปรึกษากับแพทย์ผิวหนังเพื่อพัฒนาแผนการรักษาเฉพาะบุคคลจะช่วยให้มั่นใจได้ถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ช่วยให้แต่ละบุคคลมีผิวที่เรียบเนียน มีสุขภาพดีขึ้น และเพิ่มความมั่นใจ
Part 9: บทสรุปและทิศทางในอนาคต
สรุปการรักษาหลุมสิว

การรักษาหลุมสิวได้รับการพัฒนาอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยจะมีหลายทางเลือกที่ดีเพื่อจัดการกับหลุมสิวประเภทและความรุนแรงที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้เป็นบทสรุปโดยย่อของการรักษาที่กล่าวถึง:
- Fractional CO2 Lasers: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่ลึก เช่น Ice Pick Scar แต่ต้องหยุดทำงานอย่างมีนัยสำคัญและมีความเสี่ยงสูงกว่า ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวสีอ่อนกว่าเป็นหลัก
- Fractional RF พร้อม Microneedle (เช่น Fractora): เป็นการรักษาที่เหมาะสำหรับหลุมสิวประเภทต่างๆ โดยมี Downtime และความเสี่ยงปานกลาง ทำให้เป็นตัวเลือกที่ค่อนข้าง versatile
- Fractional Erbium-YAG Lasers: มีประสิทธิภาพสำหรับรอยแผลเป็นระดับปานกลางโดยมี Downtime สั้นกว่าและมีความเสี่ยงน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับผิวสีอ่อนถึงปานกลาง
- Fractional RF (เช่น Venus Viva): มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวประเภท Rolling Scar และ Boxcar Scar โดยมี Downtime น้อยที่สุดและความเสี่ยงต่ำ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและความรุนแรงของแผลเป็น นอกจากนี้ การใช้ร่วมกับ subcision ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาแผลเป็นลึกได้อย่างดี
- TCA CROSS: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับแผลเป็นที่อยู่ลึกและตรงเป้าหมาย เช่น Ice Pick Scar โดยใช้ Downtime น้อยที่สุดถึงปานกลางและมีค่าใช้จ่ายน้อย เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว
การเลือกการรักษาที่เหมาะสม
การเลือกการรักษาที่เหมาะสมเกี่ยวข้องกับการพิจารณาปัจจัยส่วนบุคคล เช่น ประเภทของแผลเป็น ประเภทของผิว ความรุนแรง ความทนทานต่อ Downtime งบประมาณ และการยอมรับความเสี่ยง การปรึกษาหารือกับแพทย์ผิวหนังถือเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาแผนการรักษาเฉพาะบุคคลเพื่อเพิ่มผลลัพธ์สูงสุดและลดความเสี่ยง
ทิศทางในอนาคตของการรักษาหลุมสิว

การรักษาหลุมสิวมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยการวิจัยและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ต่อไปนี้เป็นแนวทางในอนาคตที่น่าหวัง:
- เทคนิค Microneedling สมัยใหม่
- Automated Microneedling : ให้ความแม่นยำและการควบคุมมากขึ้น ลดความรู้สึกไม่สบายและปรับปรุงผลลัพธ์
- Microneedling พร้อมสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive Agents) : ผสมผสาน Growth Factor เปปไทด์ และสารประกอบออกฤทธิ์ทางชีวภาพอื่นๆ เพื่อเพิ่มการฟื้นฟูและการรักษาผิว
- การรักษาด้วย Stem Cell และ Growth Factor
- การรักษาด้วย Stem Cell : การใช้ Stem Cell เพื่อส่งเสริมการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจช่วยรักษาแผลเป็นที่รุนแรงได้ในระยะยาว
- การฉีด Growth Factor : การใช้ Growth Factor เข้มข้นเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเร่งการรักษา ซึ่งอาจช่วยเพิ่มผลลัพธ์ของการรักษาอื่นๆ
- พลาสมาและ Cryotherapy
- Plasma Skin Resurfacing : ใช้พลังงานพลาสม่าเพื่อฟื้นฟูผิวโดยเสียหายจากความร้อนน้อยที่สุด เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มีสีผิวคล้ำหรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำมากกว่า
- Cryotherapy : การใช้ความเย็นจัดเพื่อคัดเลือกทำลายเนื้อเยื่อแผลเป็นและส่งเสริมการสร้างผิวใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแผลเป็นที่มีไขมันมากเกินไปและแผลเป็นคีลอยด์
- การรักษาแบบ Non-Invasive
- HIFU : กำหนดเป้าหมายชั้นผิวที่ลึกลงไปเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นผิว ซึ่งอาจเสนอทางเลือกที่ Non-Invasive สำหรับการปรับปรุงรอยแผลเป็น
- Radiofrequency (RF) Microneedling : การผสมผสานพลังงาน RF เข้ากับ microneedling เพื่อเพิ่มการกระตุ้นคอลลาเจนและการกระชับผิว ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพโดยใช้ Downtime น้อยที่สุด
ความสำคัญของแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
เมื่อมีเทคโนโลยีและการรักษาใหม่ๆ เกิดขึ้น ความสำคัญของแผนการรักษาเฉพาะบุคคลจึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น แพทย์ผิวหนังสามารถปรับการผสมผสานการรักษาขั้นสูงเหล่านี้ให้เข้ากับสภาพผิวที่เฉพาะเจาะจงและความต้องการของคนไข้แต่ละราย เพื่อให้มั่นใจถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การตั้งความคาดหวังที่สมจริง
แม้ว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการรักษาหลุมสิวจะมีแนวโน้มที่ดี แต่คนไข้จะต้องตั้งความคาดหวังตามความเป็นจริง การบรรลุผิวที่ปราศจากรอยแผลเป็นอย่างสมบูรณ์อาจเป็นไปไม่ได้ แต่การปรับปรุงเนื้อผิว โทนสี และรูปลักษณ์โดยรวมอย่างมีนัยสำคัญจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก
ทิ้งท้าย
หนทางสู่ผิวที่เรียบเนียนและสุขภาพดีขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องพิจารณาหลายอย่าง ด้วยตัวเลือกการรักษาที่หลากหลายและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน ทำให้เรามีวิธีจัดการกับหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญเพื่อหาแผนการรักษาที่เหมาะสมเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้ผลลัพธ์ดีและคืนความมั่นใจ ในขณะที่การวิจัยและการพัฒนาวิธีรักษาใหม่ๆ ยังคงดำเนินต่อไป อนาคตของการรักษาหลุมสิวก็ยิ่งดูดีขึ้น มอบความหวังและผลลัพธ์ที่ดีขึ้นสำหรับคนที่มีปัญหาผิวนี้
Part 10: แหล่งข้อมูลการรักษาหลุมสิวในประเทศไทย
ค้นหาแพทย์ผิวหนังที่ผ่านการรับรอง (Board-Certified Dermatologist)

การเลือกแพทย์ผิวหนังที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาหลุมสิวให้เห็นผล นี่คือขั้นตอนในการค้นหาผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในประเทศไทย:
- การวิจัยและการอ้างอิง
- ขอคำแนะนำจากเพื่อน ครอบครัว หรือแพทย์ประจำของเรา
- มองหาแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการซึ่งเชี่ยวชาญด้านการรักษาหลุมสิวในประเทศไทย
- สามารถเช็ครหัสจากชื่อและนามสกุลได้ที่แพทยสภา https://checkmd.tmc.or.th/
- หนังสือรับรองและประสบการณ์ของแพทย์
- ตรวจสอบข้อมูลรับรองของแพทย์ผิวหนัง รวมถึงใบรับรองจากคณะกรรมการ การศึกษา และการฝึกอบรม
- ทบทวนประสบการณ์ของพวกเขากับการรักษาเฉพาะที่เรากำลังพิจารณา
- การให้คำปรึกษาและการสื่อสาร
- นัดเวลารับคำปรึกษาเพื่อหารือเกี่ยวกับข้อกังวล ทางเลือกการรักษา และเป้าหมายของเรา
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแพทย์ผิวหนังรับฟังความต้องการของคุณ อธิบายขั้นตอนต่างๆ อย่างชัดเจน และตั้งความคาดหวังตามความเป็นจริง
- บทวิจารณ์และ Review
- อ่าน Review ของคนไข้และคำรับรองเพื่อวัดความพึงพอใจของคนไข้รายเดิม
- พิจารณาภาพถ่ายก่อนและหลังเพื่อประเมินผลลัพธ์ของแพทย์ผิวหนัง
Review การรักษาหลุมสิวที่ EY Clinic










การเตรียมตัวสำหรับการนัดหมายของเรา

การเตรียมตัวเป็นกุญแจสำคัญในการใช้ประโยชน์สูงสุดจากการนัดหมายด้านผิวหนังของเรา คำแนะนำบางประการมีดังนี้:
- รวบรวมข้อมูล
- บันทึกประวัติหลุมสิวของเรา รวมถึงการรักษาที่เราได้ลองใช้และผลลัพธ์ที่ได้
- ระบุยาหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เรากำลังใช้อยู่
- ถามคำถาม
- เตรียมรายการคำถามเกี่ยวกับการรักษา ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการฟื้นตัว
- ถามเกี่ยวกับประสบการณ์ของแพทย์ผิวหนังเกี่ยวกับการรักษาเฉพาะทางและวิธีการดูแลหลังการรักษา
- ตั้งเป้าหมาย
- กำหนดเป้าหมายและความคาดหวังของเราสำหรับการรักษาอย่างชัดเจน
- พูดคุยถึงผลลัพธ์ที่เป็นจริงโดยพิจารณาจากประเภทหลุมสิวและสภาพผิวของเรา
การพิจารณาทางการเงินและการประกันภัย

การทำความเข้าใจด้านการเงินของการรักษาหลุมสิวถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวางแผน คำแนะนำบางประการมีดังนี้:
- ค่ารักษา
- รับข้อมูลประมาณการค่าใช้จ่ายโดยละเอียดสำหรับแผนการรักษาที่แนะนำ รวมถึงช่วงติดตามผลที่อาจเกิดขึ้น
- เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างแพทย์ผิวหนังต่างๆ หากเป็นไปได้
- การกำหนดงบประมาณ
- วางแผนงบประมาณของเราเพื่อรองรับต้นทุนการรักษา โดยพิจารณาถึงความจำเป็นที่อาจเกิดขึ้นสำหรับการรักษาหลายครั้ง
- คำนึงถึงต้นทุนสำหรับผลิตภัณฑ์หลังการดูแลและการนัดตรวจติดตามผล
การสนับสนุนทางอารมณ์และจิตวิทยา

หลุมสิวสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อความภาคภูมิใจในตนเองและความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์ การขอความช่วยเหลืออาจเป็นประโยชน์:
- กลุ่มสนับสนุนและ community ต่างๆ
- เข้าร่วมฟอรัมออนไลน์หรือกลุ่มสนับสนุนในพื้นที่ซึ่งเราสามารถแบ่งปันประสบการณ์และรับกำลังใจจากผู้อื่นที่เผชิญกับความท้าทายที่คล้ายกัน
- การให้คำปรึกษาและการรักษา
- พิจารณาการให้คำปรึกษาหรือการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อจัดการกับความทุกข์ทางอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพผิวของเรา
- ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตสามารถช่วยเราพัฒนากลยุทธ์ในการรับมือและปรับปรุงภาพลักษณ์ของตนเองได้
- การดูแลตัวเองและความมั่นใจ
- ฝึกฝนกิจวัตรการดูแลตัวเองที่ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง เช่น การดูแลผิว การออกกำลังกาย และงานอดิเรก
- มุ่งเน้นไปที่จุดแข็งและความสำเร็จของเราเพื่อสร้างความมั่นใจนอกเหนือจากรูปลักษณ์ภายนอกของเรา
แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

รับข่าวสารเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิวผ่านแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ:
- องค์กรวิชาชีพ
- สมาคมโรคผิวหนังไทย: thaiderma.or.th
- การประชุมและเวิร์คช็อปโรคผิวหนังนานาชาติ
- วารสารและสิ่งพิมพ์ทางการแพทย์
- เข้าถึงบทความวิจัยและการวิจารณ์ในวารสารโรคผิวหนังเพื่อดูความก้าวหน้าล่าสุดและการรักษาตามหลักฐานเชิงประจักษ์
- เว็บไซต์สุขภาพที่เชื่อถือได้
- สถาบันโรคผิวหนัง: https://www.iod.go.th
- โรงพยาบาลศิริราช: https://si.mahidol.ac.th
- โรงพยาบาลรามาธิบดี: https://www.rama.mahidol.ac.th
- โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์: https://chulalongkornhospital.go.th
การดูแลหลังการรักษาและการบำรุงรักษา

การดูแลหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและรักษาสุขภาพผิวของเรา:
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผิวหนัง :
- ปฏิบัติตามแนวทางการดูแลหลังการรักษาโดยแพทย์ผิวหนังของเราอย่างเคร่งครัด
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่แนะนำเพื่อช่วยในการรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
- การติดตามผลเป็นประจำ :
- กำหนดเวลาและเข้าร่วมการนัดหมายติดตามผลเพื่อติดตามความคืบหน้าของเราและแก้ไขข้อกังวลใด ๆ
- ปรึกษาปัญหาใหม่หรือปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับแพทย์ผิวหนังของเราทันที
- ปกป้องผิวของเรา :
- ใช้ครีมกันแดดทุกวันเพื่อปกป้องผิวจากความเสียหายจากรังสียูวีและป้องกันการเกิดรอยดำ
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่รุนแรงและการรักษาที่อาจทำให้ผิวของเราระคายเคือง
บทสรุป
การรักษาหลุมสิวนั้นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ การตัดสินใจอย่างมีข้อมูล และการหาการสนับสนุนที่เหมาะสม การค้นหาแพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญ การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการนัดหมาย และการทำความเข้าใจเรื่องการเงินและอารมณ์ จะช่วยให้เราเลือกวิธีที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพผิวของเราได้ ติดตามข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และปฏิบัติตามแนวทางการดูแลหลังการรักษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โปรดจำไว้ว่าหนทางสู่ผิวที่เรียบเนียนขึ้นนั้นเป็นประสบการณ์ส่วนตัว และด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เราจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและเพิ่มความมั่นใจในตัวเองได้
อ้างอิง
- Thai Dermatological Society. Thai Dermatological Society. Accessed May 18, 2024. http://www.thaiderma.or.th
- International Dermatology Conferences and Workshops. Accessed May 18, 2024.
- Siriraj Hospital. Siriraj Hospital. Accessed May 18, 2024. http://www.si.mahidol.ac.th
- Bangkok Hospital. Bangkok Hospital. Accessed May 18, 2024. https://www.bangkokhospital.com
สิวที่หายแล้วมักทิ้งรอยดำหรือแผลเป็นไว้ ซึ่งเป็นปัญหาที่รักษาได้ยากและใช้เวลานานค่ะ โดยการรักษาหลุมสิวด้วย Profhilo ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสามารถฟื้นฟูผิวหน้าที่ขรุขระให้เรียบเนียนยิ่งขึ้นได้ ซึ่ง โดย Profhilo ถือเป็น Bioremodeller ซึ่งเป็นสารที่ช่วยปรับโครงสร้างผิวที่มีประสิทธิภาพ และกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบันค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- Profhilo คือสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) ที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจน
- Profhilo กระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหายบริเวณหลุมสิวและปรับโครงสร้างผิวให้เรียบเนียน
- Profhilo จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาหลุมสิว เมื่อทำควบคู่กับหัตถการอื่น ๆ อย่างเลเซอร์หลุมสิว และการตัดพังผืด
- ผลลัพธ์ของ Profhilo อยู่ได้นาน 6-12 เดือนหลังจากฉีดเพียง 2 ครั้ง โดยสามารถฉีดเพื่อคงผลลัพธ์ได้ทุก ๆ 6 เดือน
Profhilo คืออะไร
Profhilo คือสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) ที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนและปรับโครงสร้างผิวค่ะ การฉีด Profhilo สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย ตั้งแต่ ริ้วรอย ผิวเหี่ยวย่น ผิวแห้งกร้าน ไปจนถึงรอยแผลเป็นและหลุมสิวค่ะ โดย HA ของ Profhilo ถูกผลิตด้วย NAHYCO® Technology ต่างจาก HA ในฟิลเลอร์ทั่วไป โดยมีความบริสุทธิ์และความเข้มข้นสูง และถูกออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูผิวจากภายในสู่ภายนอกค่ะ
โดย Profhilo จะไม่จับตัวเป็นก้อนในชั้นผิว และสามารถสลายตัวได้ตามกลไกธรรมชาติ โดยไม่ทิ้งสารตั้งค้างค่ะ
.png)
Profhilo ช่วยรักษาหลุมสิวได้อย่างไร
การฉีด Profhilo หลุมสิวจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (ชนิด 1, 3, และ 4) และอีลาสตินใหม่ ซึ่งเป็นการซ่อมแซมและปรับโครงสร้างผิว (Bio-remodeling) ในบริเวณที่เป็นรอยหลุมสิวและแผลเป็นค่ะ โดย Profhilo สามารถกระตุ้นเซลล์ผิวได้ทั้งในชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ ซึ่งต่างจาก Biostimulator ตัวอื่น ๆ ที่ออกฤทธิ์เฉพาะในชั้นหนังแท้ค่ะ
นอกจากกระตุ้นคอลลาเจนแล้ว Profhilo ยังให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้อย่างล้ำลึก เนื่องจาก HA ที่มีกระจายตัวได้ดี ทำให้ผิวอุ้มน้ำได้มากขึ้น การกระตุ้นเซลล์ในชั้นหนังกำพร้ายังช่วยเสริมความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิว ช่วยให้ผิวมีความเรียบเนียน กระชับ และสุขภาพดีขึ้นค่ะ
ประสิทธิภาพของ Profhilo ในการรักษาหลุมสิว
การฉีด Profhilo สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวได้ค่ะ โดยเฉพาะหลุมสิวประเภท Rolling ที่กว้างและมีขอบหลุมไม่ชัดเจน โดยงานวิจัยของ Journal of Cosmetic Dermatology ระบุว่า การฉีด Profhilo ควบคู่ไปกับ การตัดพังผืด (Subcision) ให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจต่อผู้รักษามากกว่าถึง 2 เท่า (นับจาก VAS score) เมื่อเทียบกับการรักษาด้วย Subcision เพียงอย่างเดียวค่ะ
นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้ Profhilo เป็นการรักษาร่วมกับเลเซอร์หลุมสิวอย่าง Venus Viva MD ได้อย่างปลอดภัยด้วยค่ะ โดยที่ Ey Clinic จะมีการประเมินผลและวางแผนการรักษาก่อนเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่า คุณจะได้รับผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและไม่เสียเงินกับคอร์สที่ไม่จำเป็นค่ะ
.png)
Profhilo หลุมสิว อยู่นานแค่ไหน?
ผลลัพธ์ของการฉีดหลุมสิวด้วย Profhilo สามารถอยู่ได้นาน 6-12 เดือนค่ะ (ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลหลังการรักษาของแต่ละบุคคล) โดยหากเป็นการฉีดครั้งแรก หมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 2 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 3-4 สัปดาห์ หลังจากนั้นสามารถฉีดเพื่อคงผลลัพธ์ได้ทุก ๆ 6 เดือนค่ะ
ข้อดีของ Profhilo
- ฟื้นฟูหลุมสิวจากภายใน: Profhilo รักษาหลุมสิวผ่านการกระตุ้นคอลลาเจนและซ่อมแซมผิว
- ปรับโครงสร้างผิวให้เรียบเนียน: Profhilo ช่วยปรับโครงสร้างผิวในบริเวณที่มีหลุมสิวให้เรียบเนียนและสม่ำเสมอ
- เพิ่มความชุ่มชื้น: Profhilo ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในผิวอย่างล้ำลึก ให้ผิวไม่แห้งกร้านและดูสุขภาพดี
- ผลข้างเคียงน้อย ไม่ต้องพักฟื้น: หลังฉีด Profhilo หลุมสิวแล้ว อาจมีอาการบวมหรือช้ำจากเข็มเล็กน้อย ซึ่งจะบรรเทาลงไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง และไม่ต้องพักฟื้นค่ะ
- ทำควบคู่กับหัตถการอื่น ๆ ได้: Profhilo ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาหลุมสิวได้ แต่ควรมีการวางแผนรักษาอย่างเหมาะสมค่ะ
- ผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างยาวนาน: ผลลัพธ์ของ Profhilo อยู่ได้นาน 6-12 เดือนหลังจากฉีดเพียง 2 ครั้งค่ะ
Profhilo ฉีดตรงไหนได้บ้าง
Profhilo สามารถฉีดทั้งทั่วใบหน้าและเฉพาะจุดเพื่อฟื้นฟูหลุมสิว และลดเลือนรอยแผลเป็น อีกทั้งยังฉีดบริเวณอื่น เช่น ลำคอ ต้นแขน และหน้าท้อง เพื่อแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้ด้วยค่ะ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Profhilo
Profhilo ต่างจากสารกระตุ้นคอลลาเจนทั่วไปอย่างไร?
Profhilo ใช้ไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) ชนิดพิเศษที่สามารถกระตุ้นการทำงานของเซลล์ได้ในทุกชั้นผิว ในขณะที่สารกระตุ้นคอลลาเจนทั่วไปเน้นกระตุ้นเซลล์ในชั้นหนังแท้ค่ะ
Profhilo 1 ครั้งใช้กี่ cc?
การฉีด Profhilo 1 ครั้งใช้ 2 cc โดยปกติ หมอจะแนะนำให้ฉีดอย่างน้อย 2 ครั้งค่ะ
Profhilo ต้องทำกี่ครั้ง เห็นผล?
โดยทั่วไป แนะนำให้ฉีด Profhilo ติดต่อกัน 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 3-4 สัปดาห์ เพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
หลังฉีด Profhilo ต้องพักหน้าหรือไม่?
หลังฉีด Profhilo สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ควรงดแต่งหน้าอย่างน้อย 6-24 ชั่วโมงค่ะ
รักษาหลุมสิวที่ EY Clinic
Profhilo ฟื้นฟูหลุมสิวผ่านการกระตุ้นคอลลาเจนและปรับโครงสร้างผิวค่ะ โดยเป็นทางเลือกที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาหลุมสิวได้มากยิ่งขึ้นเมื่อทำควบคู่กับหัตถการหลุมสิวอื่น ๆ อย่างไรก็ดี หลุมสิว ยังเป็นปัญหาผิวที่รักษาได้ยาก ต้องใช้เวลารักษาประกอบกับวิธีที่เหมาะสม สำหรับคนที่ยังไม่แน่ใจว่า ควรรักษาด้วย Profhilo หรือไม่ เข้ามาปรึกษาหมอที่ Ey Clinic ได้ค่ะ โดยเราเป็นคลินิกที่มียอดใช้หัวเลเซอร์ Venus Viva MD สูงสุดในประเทศไทยในปี 2024 ซึ่งเป็นการรักษาที่ถือเป็น Gold Standard ของปัญหาหลุมสิวค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ โรคผิวหนัง
.jpg)
ที่ ey clinic เราเชื่อว่าการดูแลผิวที่ดี เริ่มต้นจากความเข้าใจในปัญหาของแต่ละคน ทีมแพทย์ของเรานำโดย พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์ (หมอผึ้ง) แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง จากสถาบันโรคผิวหนัง พร้อมด้วยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี* ในการดูแลปัญหาผิวหลากหลายรูปแบบ ทั้งสิว หลุมสิว ฝ้า ปรับรูปหน้า และ โรคผิวหนัง
เราให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล โดยอิงจากหลักวิชาการทางการแพทย์เป็นหลัก ไม่ใช้การโฆษณาเกินจริง และไม่แนะนำสิ่งที่เกินความจำเป็น
คุณหมอและทีมให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา ดูแลอย่างต่อเนื่อง พร้อมติดตามผลเพื่อให้ผิวของคุณแข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ภายใต้บรรยากาศที่เป็นกันเอง สะดวก และเชื่อถือได้
Review การฉีด Profhilo ที่ EY Clinica
.png)
.png)
.png)
.png)
.png)
ในปัจจุบัน การดูแลผิวหน้าด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่มีให้เลือกมากมาย โดยเฉพาะสกินบูสเตอร์อย่าง Juvelook และ Rejuran ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในวงการความงามค่ะ ทั้งสองตัวเลือกนี้ล้วนมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งการเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการและสภาพผิวของแต่ละบุคคลจึงเป็นสิ่งสำคัญค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- Juvelook และ Rejuran เป็นสกินบูสเตอร์ที่ทั้งให้ความชุ่มชื้นและปรับปรุงคุณภาพผิว
- Juvelook ประกอบด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด และ PDLLA
- Rejuran ประกอบด้วยสารโพลีนิวคลีโอไทด์ (PN) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของ DNA ปลาแซลมอน
- Juvelook โดดเด่นในด้านการยกกระชับ ในขณะที่ Rejuran โดดเด่นเรื่องปรับสภาพผิวให้ดูอ่อนวัย
- ทั้ง Juvelook และ Rejuran เป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงต่ำ และไม่จำเป็นต้องใช้เวลาพักฟื้น
.jpg)
Juvelook คืออะไร
Juvelook หรือ ไหมน้ำ คือ สกินบูสเตอร์ที่ประกอบด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid หรือ HA) และ โพลีดีแลคติก แอซิด (Poly-d,l-lactic acid หรือ PDLLA) ค่ะ โดยจะให้ผลลัพธ์แบบ 2in1 คือ 1. ให้ความชุ่มชื้นกับผิวล้ำลึก และ 2. กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเส้นใยโครงสร้างผิวต่าง ๆ ในระยะยาวค่ะ
การทำงานของ Juvelook
เพื่อให้เข้าใจการคุณสมบัติและข้อดีของ Juvelook มากขึ้น หมออธิบายการทำงานของ Juvelook แบ่งตามส่วนประกอบหลักทั้ง 2 ตัวค่ะ
ไฮยาลูรอนิก แอซิด
ไฮยาลูรอนิก แอซิดใน Juvelook ทำหน้าที่เติมความชุ่มชื้นให้กับผิวค่ะ โดยจะสัมผัสได้ว่าผิวมีความฉ่ำน้ำตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด ซึ่งตัวไฮยาใน Juvelook จะเป็นแบบNon-crosslinked ซึ่งต่างกับไฮยาในฟิลเลอร์ กล่าวคือ มีความเป็นของเหลวมากกว่า ไม่จับตัวเป็นก้อน และไม่ขึ้นรูป หรือเปลี่ยนรูปหน้าของเราค่ะ หรือให้พูดง่าย ๆ ก็คือ ไฮยาใน Juvelook จะแค่เติมความชุ่มชื้นแต่ไม่เติมปริมาตรให้ผิวค่ะ
Poly-d,l-lactic acid หรือ PDLLA
PDLLA ใน Juvelook เป็นตัวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ออกฤทธิ์ในระยะยาวค่ะ เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะทำหน้าที่โครงสร้างตาข่ายให้ชั้นผิว ก่อนออกฤทธิ์กระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ให้ผลิตคอลลาเจน (โดยเฉพาะคอลลาเจน Type I) และสารเคลือบเซลล์ (Extracellular Matrix หรือ ECM) ออกมา
ในช่วง 2 สัปดาห์หลังฉีดแล้ว มวลคอลลาเจนในผิวจะเริ่มเพิ่มขึ้น และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อตลอดช่วงเวลาช่วง 6 เดือนหลังฉีดค่ะ ผิวของเราจึงจะเริ่มแน่นและกระชับขึ้น ในขณะที่ PDLLA ค่อย ๆ สลายตัวไปตามกลไกธรรมชาติ ซึ่งการกระตุ้นคอลลาเจนก็ยังคงดำเนินอยู่อย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่า PDLLA จะสลายไปแล้วค่ะ
Juvelook ช่วยเรื่องอะไร
Juvelook ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเติมความชุ่มชื้นให้ผิวในตัวเดียว ช่วยลดเลือนริ้วรอย รูขุมขนกว้าง และหลุมสิว ให้ผิวแน่นกระชับ ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาว โดยมีอายุผลลัพธ์เฉลี่ยที่ 12-18 เดือนค่ะ
Rejuran คืออะไร
Rejuran หรือ รีจูรัน คือ สารโพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide) ซึ่งอาจเรียกกันย่อ ๆ ว่า PN หรือ PDRN ค่ะ ซึ่งสารนี้เป็นชิ้นส่วน DNA ของปลาแซลมอน มีสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจน และกระตุ้นกระบวนการต่าง ๆ ลึกถึงระดับ DNA เพื่อฟื้นฟูผิวให้ดูเปล่งปลั่ง เรียบเนียน และอ่อนเยาว์ โดยได้ชื่อว่าเป็น "Baby Skin Injection" ในวงการความงามค่ะ
การทำงานของ Rejuran
เมื่อฉีดเข้าชั้นผิวแล้ว สารโพลีนิวคลีโอไทด์จะเข้าไปช่วยซัพพอร์ตโครงสร้างของสารเคลือบเซลล์ (Extracellular matrix หรือ ECM) และกระตุ้นการผลิตคอลลเจนพร้อมเส้นใยต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นค่ะ
สารโพลีนิวคลีโอไทด์ยังกระตุ้นกระบวนการสมานแผล (Wound Healing) และการสร้างเซลล์ผิวใหม่ (Skin Regeneration) ส่งผลให้ผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) มีความหนาตัวขึ้น ซึ่งเป็นการเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงยิ่งขึ้นค่ะ
นอกจากนี้ สารโพลีนิวคลีโอไทด์ยังกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่ (Angiogenesis) ซึ่งช่วยในการการไหลเวียนของเลือด ส่งผลให้เซลล์ทำงานได้อย่างเต็มที่ค่ะ
โดยผลิตภัณฑ์ Rejuran จะแบ่งออกเป็น 3 ตัว ดังนี้ค่ะ
- Rejuran Healer ฉีดเพื่อฟื้นฟูผิว กู้ผิวที่โทรมให้กลับมามีสุขภาพดี
- Rejuran I ออกแบบมาเพื่อฉีดบริเวณใต้ตา และรอบดวงตา ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยและถุงใต้ตาคล้ำ
- Rejuran S ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหารอยแผลเป็นและหลุมสิว เนื้อมีความหนืด สามารถใช้ควบคู่กับการรักษาหลุมสิวอื่น ๆ ได้ เช่น เลเซอร์ Viva Venus MD
.jpg)
Rejuran ช่วยเรื่องอะไร
Rejuran ช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมโทรมจากสิ่งเร้า เช่น แสงแดดและมลภาวะ ลดการอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวบอบบาง แพ้ง่าย หรือมีรอยแดง รอยสิว อีกทั้งช่วยปรับผิวให้เรียบเนียน ชุ่มชื้น และแข็งแรงขึ้นซึ่งช่วยชะลอการแก่ตัวของผิว อายุผลลัพธ์ของ Rejuran อยู่ที่ 6-12 เดือนค่ะ
Juvelook vs Rejuran แตกต่างกันอย่างไร เลือกฉีดตัวไหนดี
เมื่อพูดถึงกาารกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวรอบด้าน ทั้ง Juvelook และ Rejuran ต่างก็เป็นสกินบูสเตอร์ที่ได้รับความนิยมสูงในกลุ่คนรักผิว แต่หลายคนอาจสงสัยว่า สองตัวนี้ต่างกันอย่างไร? และแบบไหนเหมาะกับสภาพผิวหรือความต้องการของตนเองมากกว่า? มาดูการเปรียบเทียบในแต่ละด้านกันเลยค่ะ
ต้องบอกว่า ทั้ง Juvelook และ Rejuran ช่วยฟื้นฟูและแก้ปัญหาผิวได้อย่างหลากหลายค่ะ แต่หากต้องสรุปจริง หมอขอสรุปว่า Juvelook เหมาะสำหรับคนที่อยากยกกระชับ โดยโดดเด่นในด้านแก้ปัญหาผิวหย่อนคล่อยและริ้วรอยแห่งวัย ในขณะที่ Rejuran เหมาะสำหรับคนที่มีผิวอักเสบแพ้ง่าย ผิวมันง่ายหรือแห้งกร้าน และคนที่ต้องการกู้ที่ผิวเสื่อมโทรมจากแสงแดดและมลภาวะค่ะ
ข้อดี-ข้อเสียของ Juvelook vs Rejuran
ข้อดีของ Juvelook
- ผลลัพธ์ยาวนานได้ถึง 2 ปี ด้วยคุณสมบัติการกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาวของ PDLLA
- ฉีดแล้วให้ความชุ่มชื้นกับผิวทันทีด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด
- โดดเด่นเรื่องแก้ปัญหาความหย่อนคล้อย และริ้วรอย
- ฉีดทั่วหน้า หรือเฉพาะจุดก็ได้ และสามารถฉีดบริเวณอื่นของร่างกายได้ เช่น แขน ขา หรือสะโพก
- จำนวนครั้งในการรักษาน้อย ต้องฉีดเพียง 2-3 ครั้งติดต่อกัน
ข้อเสียของ Juvelook
- ราคาสูงต่อครั้งการรักษา
- PDLLA อาจกระตุ้นให้เกิดการอาการแพ้ในคุณบางกลุ่มได้
ข้อดีของ Rejuran
- ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิวตามกระบวนการธรรมชาติของร่างกายค่ะ
- เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
- ปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม ช่วยกู้ผิวโทรมไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- ผลลัพธ์ดูธรรมชาติ
- สามารถเลือกใช้ Rejuran Healer, Rejuran I หรือ Rejuran S ก็ได้ เพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาผิว
ข้อเสียของ Rejuran
- อาจต้องทำหลายครั้งติดต่อกัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
- ใช้เวลาเห็นผลนาน โดยจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนหลังจาก 3-4 สัปดาห์ หลังฉีด
- ไม่เหมาะสำหรับคนที่ประวัติแพ้ปลาแซลมอน หรืออาหารทะเล
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Juvelook และ Rejuran
Juvelook vs Rejuran อันไหนเห็นผลเร็วกว่ากัน?
Juvelook เห็นผลเร็วกว่า Rejuran ค่ะ โดย Juvelook ช่วยเติมความชุ่มชื้นอิ่มน้ำให้ผิวทันที จากนั้นค่อยเห็นผลของการกระตุ้นคอลลาเจน ในขณะที่ Rejuran จะเริ่มเห็นผลภายใน 3-4 สัปดาห์ ค่ะ
ถ้าต้องเลือกเพียงหนึ่งอย่าง ควรเริ่มฉีด Juvelook หรือ Rejuran?
ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละบุคคลค่ะ โดยหากต้องการกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย และรูขุมขนกว้าง Juvelook จะเหมาะกว่า แต่ถ้าต้องการฟื้นฟูผิวแพ้ง่าย ผิวแห้งกร้าน หรือผิวโทรม Rejuran จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าค่ะ
ฉีด Juvelook และ Rejuran สลับกันได้ไหม?
Juvelook และ Rejuran สามารถฉีดสลับกันได้ แต่ควรอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์ค่ะ
Juvelook กับ Rejuran ทำร่วมกับเลเซอร์หรือทรีตเมนต์อื่นได้หรือไม่?
ทั้ง Juvelook และ Rejuran สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ ซึ่งโดยทั่วไป จะแนะนำให้ทำเลเซอร์ก่อนแล้วเว้นระยะประมาณ 1–2 สัปดาห์ ก่อนฉีด Juvelook หรือ Rejuran และควรปรึกษาแพทย์ในการทำหัตถการร่วมกันเสมอค่ะ
ผิวผู้ชายเหมาะกับ Juvelook หรือ Rejuran มากกว่า?
สำหรับผู้ชายที่มีผิวมัน รูขุมขนกว้าง Juvelook จะช่วยให้ผิวกระชับและเนียนขึ้น แต่ถ้าเป็นผิวแพ้ง่าย หยาบกร้าน หรือผิวโทรมจากแสงแดดและมลภาวะ Rejuran จะตอบโจทย์มากกว่าค่ะ อย่างไรก็ดี ควรให้แพทย์ประเมินสภาพผิวก่อนตัดสินใจค่ะ
Juvelook vs Rejuran เลือกตัวไหนดี ? ปรึกษาได้ที่ EY Clinic
การเลือกหัตถการที่เหมาะสม ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ แต่ยังขึ้นอยู่กับสภาพผิว ปัญหาที่ต้องการแก้ไข และเป้าหมายของแต่ละคนค่ะ หากคุณยังลังเลระหว่าง Juvelook ที่เน้นการกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว หรือ Rejuran ที่ช่วยซ่อมแซมผิว คืนความอ่อนวัย และลดการอักเสบ EY Clinic พร้อมให้คำปรึกษาค่ะ โดยเรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะวิเคราะห์ปัญหาผิว ก่อนออกแบบการรักษาให้เหมาะกับตัวบุคคล ที่สำคัญ ไม่มีการยัดเยียดการรักษาที่ไม่จำเป็นแน่นอนค่ะ
.jpg)
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ โรคผิวหนัง
ที่ ey clinic เราเชื่อว่าการดูแลผิวที่ดี เริ่มต้นจากความเข้าใจในปัญหาของแต่ละคน ทีมแพทย์ของเรานำโดย พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์ (หมอผึ้ง) แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง จากสถาบันโรคผิวหนัง พร้อมด้วยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี* ในการดูแลปัญหาผิวหลากหลายรูปแบบ ทั้งสิว หลุมสิว ฝ้า ปรับรูปหน้า และ โรคผิวหนัง
เราให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล โดยอิงจากหลักวิชาการทางการแพทย์เป็นหลัก ไม่ใช้การโฆษณาเกินจริง และไม่แนะนำสิ่งที่เกินความจำเป็น
คุณหมอและทีมให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา ดูแลอย่างต่อเนื่อง พร้อมติดตามผลเพื่อให้ผิวของคุณแข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ภายใต้บรรยากาศที่เป็นกันเอง สะดวก และเชื่อถือได้
Review การฉีด Juvelook ที่ EY Clinic
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
Review การฉีด Rejuran ที่ EY Clinic
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
Profhilo คือ Bioremodeller หรือนวัตกรรมการบำรุงและฟื้นฟูผิวด้วยสารไฮยาลูโรนิก แอซิดโดยเป็นหัตถการที่ฟื้นฟูทั้งชั้นหนังแท้และหนังกำพร้า ปรับปรุงคุณภาพผิว ยกกระชับ และบูสต์ผิวให้แข็งแรงได้โดยไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- Profhilo คือ สารไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) ที่มีความบริสุทธิ์สูง มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนและปรับโครงสร้างผิว
- ไฮยาลูโรนิก แอซิดใน Profhilo ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและสุขภาพดีได้ โดยไม่จับตัวเป็นก้อนหรือเปลี่ยนรูปหน้า
- Profhilo สามารถฉีดได้ทั้งทั่วใบหน้าเพื่อปรับคุณภาพผิว และฉีดเฉพาะจุดเพื่อยกกระชับ
- ไฮยาลูโรนิก แอซิดใน Profhilo สลายตัวได้ตามกลไกธรรมชาติ โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง
- ผลลัพธ์คงอยู่แม้ไฮยาลูโรนิก แอซิดจะสลายตัวไปแล้ว โดยมีอายุอยู่ที่ 6-12 เดือน
Profhilo คืออะไร?
Profhilo เป็นสารประกอบกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ความบริสุทธิ์เข้มข้นที่ผสมผสานระหว่างโมเลกุลสายสั้น 32 มิลลิกรัมและสายยาว 32 มิลลิกรัมที่มีความคงตัวสูง (Stabilized Hybrid Cooperative Compelx of HA) ผลิตด้วยเทคโนโลยีสิทธิบัตรเฉพาะของ IBSA ที่เรียกว่า “NAHYCO Hybrid Technology” ซึ่งใช้ความร้อนในการปรับโครงสร้างของ HA ขั้นตอนนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ HA ในการฟื้นฟูและปรับโครงสร้างผิวได้อย่างมีประสิทธิผลสูงสุดและออกฤทธิ์ได้ยาวนานยิ่งขึ้น
คุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของ Profhilo
- มีความเข้มข้นของกรดไฮยาลูโรนิค (HA) สูงถึง 64mg/2ml ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและให้ผลลัพธ์ที่คงทนยาวนาน ความหนืดต่ำ ทำให้ฉีดง่าย ใช้เวลาไม่นาน
- กระจายตัวได้ดีทั่วบริเวณผิว ไม่เป็นคลื่นหลังฉีด ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนและสม่ำเสมอ
- ปราศจากสาร BDDE และสารเคมีอื่นๆ จึงปลอดภัยต่อผิว
- ผลการรักษาที่เกิดขึ้นตอบสนองต่อการอักเสบที่ต่ำ
.jpg)
Profhilo ช่วยอะไรบ้าง
- กระตุ้นคอลลาเจนและเส้นใยต่าง ๆ
เมื่อฉีดเข้าชั้นผิวแล้ว Profhilo จะส่งสัญญาณให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ซึ่งเจ้าเซลล์ตัวนี้เป็นเหมือนเซลล์หลักในการผลิตคอลลาเจน และเส้นใยโครงสร้างผิวต่าง ๆ ค่ะ
- คอลลาเจนชนิดที่ 1,3 และ 4: เสริมความแข็งแรงและความกระชับให้กับชั้นผิว
- อีลาสติน: เพิ่มความยืดหยุ่น
- สารเคลือบเซลล์ (Extracellular Matrix หรือ ECM): ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงเซลล์
- ไฮยาลูรอนิก แอซิด: เพิ่มความสามารถให้การอุ้มน้ำ รักษาสมดุลความชุ่มชื้นให้ผิว
โดย Profhilo จะกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ในทุกชั้นผิว ซึ่งต่างจาก Biostimulator ตัวอื่นที่กระตุ้นเฉพาะในผิวชั้นหนังแท้
- ปรับโครงสร้างผิว (Bio-remodelling)
การกระตุ้นคอลลาเจนจะทำให้ผิวเข้าสู่กระบวนสมานแผลและการปรับโครงสร้างใหม่ ให้ผิวมีความยืดหยุ่น แข็งแรง และเรียบเนียนยิ่งขึ้น
- ให้ความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึกและทั่วถึง
ไฮยาลูรอนิก แอซิดใน Profhilo กระจายเข้าสู่ทุกชั้นผิว โดยจะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่ช่วยดึงดูดและเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว ทั้งในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และหนังแท้ (Dermis) ซึ่งทำให้ผิวอิ่มน้ำและดูสดใส ค่ะ
- เสริมความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิว
Profhilo ช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้า ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแรงให้เกราะป้องกันทางธรรมชาติของผิว และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ และเปล่งปลั่งยิ่งขึ้นค่ะ
- ลดริ้วรอย ยกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวเหี่ยวย่น
Profhilo ช่วยให้ผิวมีความอิ่มแน่นและกระชับยิ่งขึ้น สามารถฉีดเพื่อยกกระชับผิวให้จุดที่มีความหย่อนคล้อยได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นบนใบหน้า หรือบริเวณลำคอค่ะ
ประสิทธิภาพของ Profhilo
เพื่อให้เข้าใจความสามารถของ Profhlio มากขึ้น หมอผึ้งขอพูดถึงข้อมูลจากงานวิจัยสักเล็กน้อยค่ะ โดยงานวิจัยนี้รายงานผลของการรักษาบริเวณใบหน้าและลำคอในกลุ่มผู้หญิงวัย 38-44 ปีค่ะ
โดยหลังฉีด Profhilo เพียง 3 สัปดาห์พบว่า ผิวสุขภาพดีขึ้น โดยสังเกตได้ว่ามีความชุ่มชื้นและกระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผิวเรียบเนียน ยืดหยุ่น และเปล่งปลั่ง อีกทั้นเนื้อเยื่อผิวชั้นหนังแท้มีความหนาตัวขึ้น จาก 1.1-1.3 มิลลิเมตร เป็น 1.3-1.5 มิลลิเมตรจากการกระตุ้นคอลลาเจนค่ะ
นอกจากนี้ เมื่อตรวจดูด้วยอัลตราซาวด์แล้ว ก็พบว่าไม่มีโมเลกุลไฮยาลูรอนิก แอซิดหลงเหลืออยู่ใต้ชั้นผิว แต่ผลลัพธ์ของ Profhilo ยังคงเห็นได้ชัดเจนค่ะ
[อ้างอิงข้อมูล: Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology]
Profhilo ต้องฉีดกี่ครั้ง
การฉีด Profhilo ครั้งแรก ควรทำติดต่อกัน 2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 1 เดือน เพื่อผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจที่สุดค่ะ โดยผลลัพธ์เริ่มเห็นได้ในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังฉีด และมีอายุอยู่ได้นาน 6-12 เดือนค่ะ
หลังจากฉีดครบ 2 ครั้งแล้ว สามารถฉีดกระตุ้นทุก ๆ 6 เดือนได้ เพื่อคงผลลัพธ์ค่ะ
ข้อดีของ Profhilo
- เป็นหัตถการที่ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้หน้าต่อได้เลยเมื่อทำเสร็จ
- ผลข้างเคียงน้อย โดยอาการที่พบบ่อย คือ อาการบวมแดงที่บรรเทาลงไปเองใน 2-3 วัน
- ฟื้นฟูทุกชั้นผิว ในขณะที่ Biostimulator ส่วนใหญ่ออกฤทธิ์เฉพาะได้ในชั้นหนังแท้
- บูสต์ผิวให้มีความชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง และแข็งแรงอย่างเป็นธรรมชาติ โดยผลลัพธ์ยังคงอยู่แม้สารไฮยาลูรอนิก แอซิดจะสลายตัวไปแล้ว
- สามารถรักษาควบคู่กับหัตถการอื่น เช่น การตัดพังผืด (Subcision) หรือเลเซอร์ Venus Viva MD เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวได้
- ฉีดได้ทั่วใบหน้าเพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม
- ฉีดเฉพาะจุดเพื่อยกกระชับความเหี่ยวย่นได้ เช่น ลำคอ มือ หรือแขน
.png)
Profhilo เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย และมีริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้าหรือลำคอ
- ผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น หรือผิวหยาบกร้าน
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ เสื่อมสภาพจากแสงแดดและมลภาวะ
- ผู้ที่มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ ไม่เรียบเนียน รูขุมขนกว้าง
- ผู้ที่ต้องการกระตุ้นคอลลาเจน โดยไม่ต้องการเปลี่ยนรูปหน้า
- ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว โดยการฉีด Profhilo สามารถทำร่วมกับเลเซอร์รักษาหลุมสิว เช่น Venus Viva MD เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้ค่ะ
.png)
ฉีด Profhilo ราคาเท่าไหร่
การฉีด Profhilo ที่ EY Clinic เริ่มต้นที่ 24,999.- ต่อการฉีด 1 ครั้ง (2cc) ค่ะ และมีแพ็กเกจดังนี้ค่ะ
- ฉีด Profhilo 2 ครั้ง ราคา 47,599.-
- ฉีด Profhilo 3 ครั้ง ราคา 69,599.-
- ฉีด Profhilo 4 ครั้ง ราคา 89,599.-
Profhilo ฉีดตรงไหนได้บ้าง
Profhilo สามารถฉีดได้ทั่วใบหน้าเพื่อปรับสภาพผิว ลดริ้วรอย และฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงค่ะ และยังฉีดเฉพาะจุดเช่น บริเวณลำคอ มือ แขน ขา และหน้าท้อง เพื่อแก้ปัญหาผิวเหี่ยวย่นหย่อนคล้อยได้ค่ะ
เปรียบเทียบ Profhilo กับ Sculptra, Radiesse และ Juvelook
Profhilo คือ Biostimulator หรือสารกระตุ้นคอลลาเจนอีกตัวหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูงค่ะ โดยเมื่อเทียบกับ หัตถการตัวอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมและมีคุณสมบัติเป็น Biostimulator เหมือนกัน เราสามารถสรุปความแตกต่างได้ตามตารางด้านล่างนี้ค่ะ
จากตารางนี้ หมอผึ้งขอสรุปว่า หัตถการแต่ละตัวนั้นมีวิธีการทำงานและจุดประสงค์ที่ต่างกันค่ะ หากถามว่า Profhilo ดีไหม หรือควรฉีด Profhilo ไหม ก็ต้องตอบว่า ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่มีและผลลัพธ์ที่คาดหวังค่ะ โดยก่อนตัดสินใจทำหัตถการ ควรมีการปรึกษาแพทย์และวางแผนรักษาเพื่อให้เหมาะสมกับตัวเราที่สุดค่ะ
สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่า Profhilo จะเหมาะกับผิวของเราไหม สามารถเข้ามาปรึกษาหมอผึ้งได้ดีที่ EY Clinic
Profhilo มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย (ตั้งแต่ปี 2015)
Profhilo มีการฉีดสะสมมากกว่า 4.3 ล้านครั้งตั้งแต่ปี 2015 ใช้ในมากกว่า 80 ประเทศ (ด้านล่าง: แผนที่แสดงพื้นที่ที่ได้ใช้งาน) และได้รับรางวัลอุตสาหกรรมความงามหลายรายการในช่วงปี 2015–2019
.png)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Profhilo
ฉีด Profhilo กี่วันเห็นผล?
Profhilo จะใช้เวลา 1-2 เดือนก่อนจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนค่ะ จะเข้าไปกระตุ้นคอลลาเจนในทุกชั้นผิว เพื่อปรับโครงสร้าง เพิ่มความชุ่มชื้น และกระชับผิว โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน 6-12 เดือนค่ะ
ฉีด Profhilo มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
ผลข้างเคียงของการฉีด Profhilo ที่พบได้บ่อย คือ อาการบวมช้ำจากเข็มเพียงเล็กน้อยค่ะ โดยจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง และไม่มีผลข้างเคียงในระยะยาวค่ะ
ฉีด Profhilo เจ็บไหม?
ระหว่างฉีด Profhilo อาจรู้สึกเจ็บหรือแสบตึงบริเวณที่ฉีดเล็กน้อยค่ะ
Profhilo ปลอดภัยไหม?
Profhilo เป็นหัตถการที่ปลอดภัย มีความเสี่ยงต่ำ และมีผลข้างเคียงน้อยค่ะ โดยได้ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย สหรัฐอเมริกา และมาตรฐานยุโรป (CE Mark) เมื่อฉีดแล้ว จะสลายตัวไปตามกลไกธรรมชาติโดยไม่ทิ้งสารตกค้างค่ะ นอกจากนี้ Profhilo ถูกใช้ในวงการความงามมาตั้งแต่ปี 2015 และมีรายงานอาการแพ้ (Allergic Reaction) น้อยมากค่ะ
Profhilo ราคาเท่าไหร่?
ราคา Profhilo ที่ EY Clinic เริ่มต้นที่ 24,999 บาท ต่อ 1 ครั้ง (2 cc) ค่ะ และมีแพ็กเกจ Profhilo 2 ครั้ง 47,599 บาท และ 3 ครั้ง 69,599 บาทค่ะ
ฟื้นฟูคุณภาพผิวด้วย Profhilo ที่ Ey Clinic
Profhilo คือ ทางเลือกในการฟื้นฟูผิวและยกกระชับที่มีประสิทธิภาพมากค่ะ และยังสามารถทำควบคู่หัตถการอื่น ๆ ได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งยังมีผลข้างเคียงที่น้อยและไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นด้วยค่ะ แต่อย่างไรก็ดี ถึงแม้ Profhilo จะเป็นหัตถการความเสี่ยงต่ำ เราก็ควรเลือกฉีดที่คลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบรับรองชัดเจน และมีแพทย์เป็นผู้ดำเนินหัตถการค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ โรคผิวหนัง
.jpg)
ที่ ey clinic เราเชื่อว่าการดูแลผิวที่ดี เริ่มต้นจากความเข้าใจในปัญหาของแต่ละคน ทีมแพทย์ของเรานำโดย พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์ (หมอผึ้ง) แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง จากสถาบันโรคผิวหนัง พร้อมด้วยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี* ในการดูแลปัญหาผิวหลากหลายรูปแบบ ทั้งสิว หลุมสิว ฝ้า ปรับรูปหน้า และ โรคผิวหนัง
เราให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล โดยอิงจากหลักวิชาการทางการแพทย์เป็นหลัก ไม่ใช้การโฆษณาเกินจริง และไม่แนะนำสิ่งที่เกินความจำเป็น
คุณหมอและทีมให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา ดูแลอย่างต่อเนื่อง พร้อมติดตามผลเพื่อให้ผิวของคุณแข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ภายใต้บรรยากาศที่เป็นกันเอง สะดวก และเชื่อถือได้
(*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลของแต่ละบุคคล)
แวะเข้ามาปรึกษาคุณหมอ ได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ LINE @EYClinicTH ค่ะ
Review การฉีด Profhilo ที่ EY Clinic
.png)
.png)
.png)
.png)
.png)
Juvelook เป็นตัวช่วยในการฟื้นฟูผิวให้กลับมาอิ่มแน่น เต่งตึง และอ่อนวัยที่กำลังมาแรงในตอนนี้ค่ะ สำหรับคนที่กำลังสนใจ ในบทความนี้ หมอผึ้งได้รวบรวมวิธีการเตรียมตัวและวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด Juvelook เอาไว้ให้แล้วค่ะ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการรับหัตถการได้ดีขึ้นค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- Juvelook เป็นตัวเลือกในการกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวในระยะยาว
- หลังฉีด Juvelook แล้วสามารถใช้หน้าต่อได้เลยโดยไม่ต้องมีเวลาพักฟื้น
- หลังฉีด Juvelook ควรงดแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- ก่อนฉีด Juvelook ควรงดอาหารทะเลและแอลกอฮอล์ เพื่อลดอาการบวมแดง
- หากทำ Juvelook ร่วมกับหัตถการอื่น เช่น เลเซอร์ ควรเลือกทำหัตถการนั้น ๆ ก่อนฉีด Juvelook
ก่อนไปดูคำแนะนำก่อน-หลังการฉีด Juvelook เรามาทวนความเข้าใจว่า Juvelook คืออะไรกันค่ะ

Juvelook คืออะไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
Juvelook หรือ ไหมน้ำ ประกอบด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid หรือ HA) และ โพลีดีแลคติก แอซิด (Poly-d,l-lactic acid หรือ PDLLA) ค่ะ โดยไหมน้ำนี้จะให้ผลลัพธ์เป็นทั้ง Skin Booster ที่เติมความชุ่มชื้นให้ผิว และ Biostimulator ที่กระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาวค่ะ
เมื่อฉีด Juvelook เข้าสู่ชั้นผิวแล้ว ตัวไฮยาลูรอนิก แอชิดจะเข้าไปเติมความชุ่มชื้นให้ผิวค่ะ โดยไฮยาใน Juvelook จะเป็นแบบ Non crosslinked ซึ่งต่างจากไฮยาในฟิลเลอร์ทั่วไปโดยมีความเหลวและกระจายตัวได้ดีกว่า จึงไม่เปลี่ยนรูปหน้าหลังฉีดค่ะ
ส่วน PDLLA จะอยู่ในรูปแบบ Microspheres เมื่อฉีดแล้วจะเข้าไปทำหน้าที่เหมือนโครงสร้างตาข่ายก่อนจะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเส้นใยต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้ผิวมีความแข็งแรง อิ่มฟู และแน่นขึ้นค่ะ โดยการทำงานของ PDLLA จะเริ่มให้ผลลัพธ์ในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังฉีด และเห็นผลได้ชัดเจนที่สุดหลังจาก 6 เดือนค่ะ
.jpg)
Juvelook ช่วยอะไรบ้าง
- ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างล้ำลึก แก้ปัญหาผิวแห้งกร้านขาดน้ำ
- กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ช่วยให้ผิวอิ่มฟูและกระชับขึ้น
- ช่วยกระชับรูขุมขน ปรับผิวให้เรียบเนียน
- ช่วยลดเลือนริ้วรอย แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยที่มาจากการสูญเสียคอลลาเจนเมื่ออายุมากขึ้น
- ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ช่วยฟื้นฟูผิวที่คล้ำเสียให้กลับมาสุขภาพดี
- ช่วยให้หลุมสิว รอยแผลเป็น และรอยแตกลายบนผิวหนังดูจางลง
ผลลัพธ์ของ Juvelook มีอายุเฉลี่ยที่ 12-18 เดือน และสามารถยาวนานได้ถึง 2 ปีค่ะ โดยหมอแนะนำว่าควรฉีดติดต่อกัน 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 3-4 สัปดาห์เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน หลังจากนั้นสามารถฉีดกระตุ้นได้ทุก ๆ 6-12 เดือนค่ะ
Juvelook ฉีดตรงไหน
Juvelook สามารถใช้ฉีดทั่วใบหน้าเพื่อฟื้นฟูและปรับปรุงสภาพผิวโดยรวม และฉีดเฉพาะจุดเพื่อแก้ปัญหาผิวได้ค่ะ เช่น
- หน้าแก้ม เพื่อกระชับรูขุมขน
- หน้าผาก เพื่อลดริ้วรอย
- ใต้ตา เพื่อลดเลือนร่องน้ำตา แก้ปัญหาใต้ตาหย่อนและใต้ตาคล้ำ
- บริเวณหลุมสิว รอยแผลเป็น หรือรอยแตกลาย เพื่อให้รอยแผลดูจางลง
Juvelook เหมาะกับใครบ้าง
Juvelook เป็นหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาผิวได้มากมาย โดยเหมาะกับกลุ่มคนดังนี้ค่ะ
- คนที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป เนื่องจากเริ่มสูญเสียความสามารถในการผลิตคอลลาเจน
- คนที่มีปัญหาริ้วรอย เช่น ริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก ร่องแก้ม
- คนที่มีผิวหน้าแห้ง ผิวขาดน้ำ ลอกเป็นขุย และต้องการเติมความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก
- คนที่มีผิวหมองคล้ำ ขาดการดูแล สีผิวไม่สม่ำเสมอ ไม่เรียบเนียน
- คนที่มีปัญหาหลุมสิวหรือรอยแผลเป็น
- คนที่มีปัญหาผิวแตกลาย เช่น บริเวณหน้าท้อง ต้นแขน หรือต้นขา
- คนที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้กระชับอ่อนวัยอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่เปลี่ยนรูปหน้า และไม่ต้องการผ่าตัด
Juvelook ยังสามารถทำควบคู่กับหัตถการอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้ค่ะ เช่น คนที่ปัญหาหลุมสิวและกำลังรักษาด้วยเลเซอร์ก็สามารถฉีด Juvelook คู่กันไปได้ค่ะ
.png)
ภาพโครงสร้างของโมเลกุล Juvelook จากภายนอก (ซ้าย) และภายใน (ขวา)
ข้อควรรู้ก่อนฉีด Juvelook
1. Juvelook ปลอดภัยไหม?
การฉีด Juvelook ถือเป็นหัตถการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากในการแก้ปัญหาผิวค่ะ โดย Juvelook ถูกรับรองทั้งจาก US FDA และ CE โดยสาร PDLLA มีคุณสมบัติ Biocompatibility หรือมีสามารถทำงานกับร่างกายมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย และยังสลายตัวได้ตามกลไกธรรมชาติโดยไม่ทิ้งสารตกค้างด้วยค่ะ
2. ฉีด Juvelook ใช้เวลานานแค่ไหน?
การฉีด Juvelook จะใช้เวลาประมาณ 30–45 นาที ต่อครั้งค่ะ ถือว่าเป็นหัตถการที่รวดเร็วและปลอดภัยค่ะ
3. หลังฉีด Juvelook ใช้หน้าต่อเลยได้ไหม?
หลังฉีด Juvelook เราสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติ โดยไม่ต้องมีเวลาพักฟื้นค่ะ เพียงแต่จะแนะนำให้งดแต่งหน้าเป็นเวลา 24 ชั่วโมง และล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยนค่ะ
4. เลือกฉีด Juvelook กับคลินิกไหนถึงจะปลอดภัย?
หมอผึ้งจะเน้นในเรื่องความปลอดภัยเสมอค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหัตถการแบบไหน โดยสำหรับคนที่กำลังพิจารณา Juvelook ก่อนฉีดสามารถเช็กสอบคลินิกที่ได้มาตรฐานผ่านเว็บไซต์ https://juvetekglobal.com/clinic เพื่อเลือกคลินิกที่ใกล้เคียงและสะดวกกับเราที่สุดค่ะ
.jpg)
ก่อนฉีด Juvelook ควรเตรียมตัวอย่างไร?
การเตรียมตัวก่อนฉีด Juvelook เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผลลัพธ์หลังการรักษาออกมาดีที่สุดค่ะ และจะช่วยลดความเสี่ยงของอาการข้างเคียงได้ด้วย หมอขอแนะนำวิธีเตรียมตัวก่อนฉีด Juvelook ตามนี้ค่ะ
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว หัตถการที่เคยทำ และยาที่ใช้
- งดยาและวิตามินที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน E, น้ำมันตับปลา โดยเราสามารถสอบถามคำแนะนำคุณหมอที่ดูแลเคสของเราได้เลยค่ะ
- งดอาหารทะเลอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่อาจกระตุ้นอาการบวมแดง
- งดดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 3-5 วันก่อนฉีด Juvelook เนื่องจากแอลกอฮอล์อาจกระตุ้นอาการบวมแดง
- บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์เป็นประจำ ทั้งก่อนและหลังการฉีด Juvelook เพื่อเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิวและช่วยลดการระคายเคือง
สำหรับคนฉีด Juvelook ร่วมกับหัตถการอื่น ๆ เช่น Ultherapy หรือเลเซอร์ จะสามารถทำในวันเดียวกันได้ค่ะ แต่ควรเริ่มที่หัตถการอื่นก่อน แล้วค่อยฉีด Juvelook ค่ะ
.jpg)
หลังฉีด Juvelook แล้วมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
หลังฉีด Juvelook แล้วผิวบริเวณที่ฉีดจะมีอาการบวมแดงจากเข็มเล็กน้อยค่ะ โดยอาการนี้จะหายไปเองใน 1-2 วันค่ะ
หลังฉีด Juvelook ต้องดูแลผิวอย่างไร?
การดูแลผิวหลังฉีด Juvelook ก็ทำได้ไม่ยากค่ะ โดยวิธีดูแลเหล่านี้จะช่วยลดอาการบวมแดง และลดโอกาสการติดเชื้อบริเวณที่ฉีด สามารถทำตามได้ดังนี้ค่ะ
- งดการแต่งหน้า 24 ชั่วโมงหลังฉีด Juvelook เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้ความร้อน เช่น ซาวน่า หรือโยคะร้อน ในช่วง 1-2 วันแรกหลังฉีด Juvelook เพื่อลดอาการบวมแดง
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังในช่วง 1-2 วันหลังฉีด Juvelook
- หลังจากฉีด Juvelook สามารถล้างหน้าตามปกติ โดยแนะนำให้ล้างด้วยน้ำสะอาดและใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน
- บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์
บูสต์ผิว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนด้วย Juvelook ที่ EY Clinic
เรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีเตรียมตัวก่อนฉีด และวิธีดูแลผิวหลังฉีด Juvelook ไปแล้ว หมอผึ้งคิดว่าอีกหนึ่งสิ่งที่อยากฝากทุกคนไว้ก็คือ ถึง Juvelook จะเป็นหัตถการที่มีช่วยแก้ปัญหาผิวที่หลากหลาย ขั้นตอนการประเมินสภาพผิวก่อนเริ่มหัตถการก็ถือเป็นเรื่องสำคัญมากค่ะ เพราะบางทีตัวเราอาจจะเหมาะกับหัตถการตัวอื่นมากกว่า หรือมีหัตถการอื่น ๆ ที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากกว่า Juvelook ค่ะ โดยที่ ey clinic เราจะมีการประเมินสภาพผิวเพื่อวางแผนการรักษาเริ่มทุกครั้งค่ะ เพื่อให้ได้แผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล และจะไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็นแน่นอนค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ โรคผิวหนัง
.jpg)
ที่ ey clinic เราเชื่อว่าการดูแลผิวที่ดี เริ่มต้นจากความเข้าใจในปัญหาของแต่ละคน ทีมแพทย์ของเรานำโดย พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์ (หมอผึ้ง) แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง จากสถาบันโรคผิวหนัง พร้อมด้วยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี* ในการดูแลปัญหาผิวหลากหลายรูปแบบ ทั้งสิว หลุมสิว ฝ้า ปรับรูปหน้า และ โรคผิวหนัง
เราให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล โดยอิงจากหลักวิชาการทางการแพทย์เป็นหลัก ไม่ใช้การโฆษณาเกินจริง และไม่แนะนำสิ่งที่เกินความจำเป็น
คุณหมอและทีมให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา ดูแลอย่างต่อเนื่อง พร้อมติดตามผลเพื่อให้ผิวของคุณแข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ภายใต้บรรยากาศที่เป็นกันเอง สะดวก และเชื่อถือได้
วิธีเช็ค Juvelook ว่าเป็นของแท้
.png)
วิธีเช็ค Juvelook
- ตรวจสอบ QR Code ซึ่งต้องขูดก่อนเพื่อทำสแกน QR Code บนสติ๊กเกอร์ฮาโลแกรมที่ติดด้านข้างกล่อง เมื่อสแกนแล้วจะขึ้นรูปภาพเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และมีเครื่องหมายติ๊กถูก หากเป็นกล่องที่สแกนซ้ำจะขึ้นเป็นรูปกากบาท ไม่ควรใช้บริการ
- กล่องเป็นแพ็กเกจใหม่ที่ออกแบบสำหรับจำหน่ายภายในประเทศไทยเท่านั้น เพื่อให้ผู้รับบริการสังเกตผลิตภัณฑ์ของแท้ได้สะดวกมากขึ้น
- ด้านข้างกล่องต้องมีโลโก้ บริษัท จูวีเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
- ด้านข้างกล่องต้องระบุวิธีการเก็บรักษา คำเตือน ชื่อและที่ตั้ง สถานที่นำเข้าเป็นภาษาไทย อย่างชัดเจน
- ด้านข้างกล่องต้องระบุใบอนุญาตขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์
- สามารถตรวจสอบคลินิกที่ได้มารตฐานผ่านเว็บไซต์ https://juvetekglobal.com/clinic
Review การฉีด Juvelook ที่ EY Clinic
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
นอกจากหัตถการเลเซอร์แล้ว Juvelook ยังเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยรักษาหลุมสิวได้ค่ะ โดย Juvelook ช่วยลดเลือนหลุมสิวผ่านการกระตุ้นคอลลาเจน ช่วยให้ผิวมีความกระชับ แข็งแรง และเรียบเนียนยิ่งขึ้นค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- Juvelook ประกอบได้ด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด และ PDLLA
- PDLLA ใน Juvelook ทำหน้าที่กระตุ้นคอลลาเจนและการสร้างผิวใหม่ (Skin Regeneration) ทำให้หลุมสิวดูจางลง
- การรักษาหลุมสิวด้วย Juvelook สามารถทำควบคู่กับเลเซอร์หลุมสิว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้
- ผลการรักษาหลุมสิวด้วย Juvelook จะเริ่มเห็นได้ในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังฉีด และเห็นได้ชัดเจนที่สุดหลัง 6 เดือน

Juvelook คืออะไร
Juvelook คือ Hybrid Biostimulator ที่ประกอบไปด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid หรือ HA) และ โพลีดีแลคติก แอซิด (Poly-d,l-lactic acid หรือ PDLLA) ค่ะ โดยจะให้ผลลัพธ์เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ 1. ให้ความชุ่มชื้นกับผิวทันที ด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด 2. กระตุ้นคอลลาเจนแบบค่อยเป็นค่อยไปในระยะยาวด้วย PDLLA ซึ่งโดยปกติแล้ว Juvelook จะถูกใช้เป็นเหมือน Skin Booster ที่ช่วยปรับสภาพผิวโดยรวม แต่การฉีดเฉพาะจุดเพื่อแก้ปัญหาหลุมสิว Juvelook ก็สามารถช่วยได้ค่ะ
Juvelook หลุมสิว ไม่เหมือนฟิลเลอร์หลุมสิว
หลายคนเห็นว่ามีไฮยา อาจจะเข้าใจว่า Juvelook เติมหลุมสิวได้เหมือนฟิลเลอร์ แต่หมอขอชี้แจงว่า ไฮยาใน Juvelook แตกต่างกับไฮยาในฟิลเลอร์ค่ะ โดยไฮยาของ Juvelook จะมีหน้าที่หลักเป็นการเติมความชุ่มชื้นให้ผิวและไม่ขึ้นรูป ส่วนไฮยาที่เป็นฟิลเลอร์จะเป็นตัวเติม “ปริมาตร” ผิว
.jpg)
Juvelook รักษาหลุมสิวได้อย่างไร
Juvelook รักษาหลุมสิวผ่านการกระตุ้นคอลลาเจนและการสร้างผิวใหม่ (Skin Regeneration) โดยสาร PDLLA จะเข้าไปกระตุ้นเซลล์ผิวให้ผลิตคอลลาเจน อีลาสติน และสารเคลือบเซลล์ (Extracellular Matrix หรือ ECM) มากขึ้น รวมถึงช่วยผลิตเซลล์ใหม่ ทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดมีความแข็งแรง กระชับ และเรียบเนียนมากขึ้นค่ะ
โดยงานวิจัย Poly-d,l-lactic Acid (PDLLA) Application in Dermatology เผยว่าคนที่ประสบปัญหาหลุมสิว หลังฉีดด้วย Juvelook แล้ว เห็นได้ว่าผิวมีความยืดหยุ่น แน่นขึ้น และหลุมสิวดูตื้นขึ้น การรักษาด้วย Juvelook มีความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องมีเวลาพักฟื้น และให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานถึง 2 ปีค่ะ (โดยเฉลี่ยอายุผลลัพธ์อยู่ที่ 12-18 เดือน)
ส่วนสาร PDLLA จะกระตุ้นคอลลาเจนแบบค่อยเป็นค่อยไป และจะสลายตัวไปเองตามกลไกธรรมชาติโดยไม่ทิ้งสารตกค้างค่ะ
.png)
ภาพโครงสร้างของโมเลกุล Juvelook จากภายนอก (ซ้าย) และภายใน (ขวา)
ผลการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างยั่งยืน
ด้วยโครงสร้าง PDLLA ที่จดสิทธิบัตรของ Juvelook
โครงสร้างภายนอก – รูปทรงกลมคล้ายฟอง
- ลดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง
- ลดการเกิดก้อนนูน ช่วยให้รักษาบริเวณบอบบางได้แม่นยำ
โครงสร้างภายใน – โครงสร้างตาข่ายพรุน
- เพิ่มความเข้ากันได้ทางชีวภาพและย่อยสลายได้ดีขึ้น ช่วยให้ดูดซึมเร็ว
- การสลายตัวอย่างช้า ๆ จากด้านใน ลดความเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดรอบอนุภาค
.jpg)
การฉีด Juvelook หลุมสิว (ซ้าย) และ การทำเลเซอร์หลุมสิว (ขวา)
Juvelook หลุมสิวจะให้ประสิทธิภาพสูงกว่าเมื่อทำคู่กับเลเซอร์หลุมสิว
สำหรับคนรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์อย่าง Venus Viva MD อยู่แล้ว สามารถใช้ Juvelook เป็นการรักษาควบคู่กันได้ค่ะ โดยการรักษาร่วมกันจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ช่วยมอบผิวที่ดูเรียบเนียน หลุมสิวดูจางลง และคืนความมั่นใจให้ตัวเราได้ค่ะ
ทั้งนี้แผนการรักษาหลุมสิวของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป ตามสภาพผิวและความรุนแรงของปัญหาค่ะ อย่างไรก็ดี เราควรมีการปรึกษาแพทย์เรื่องแผนการรักษาให้ชัดเจน และเว้นรวมถึงระยะเวลาระหว่างการทำเลเซอร์และ Juvelook ให้เหมาะสมค่ะ
Juvelook หลุมสิวต้องฉีดกี่ครั้ง กี่วันเห็นผล
จำนวนครั้งของการฉีด Juvelook รักษาหลุมสิวย่อมขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลค่ะ แต่โดยทั่วไปแล้ว จะแนะนำให้ทำติดต่อกัน 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4 สัปดาห์เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนค่ะ
ผลลัพธ์ของ Juvelook จะเริ่มเห็นได้ตั้งแต่วันแรกที่ฉีดค่ะ โดยบริเวณหลุมสิวจะตื้นขึ้นเล็กน้อยด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิดที่เข้าไปเติมน้ำให้ผิว จากนั้น 2-4 สัปดาห์ ร่างกายจะเริ่มผลิตคอลลาเจนซึ่งเป็นผลของ PDLLA ทำให้หลุมสิวเริ่มตื้นขึ้นเรื่อย ๆ และจะเห็นผลได้ชัดเจนที่ในช่วง 3 เดือนค่ะ
นอกจากหลุมสิวแล้ว Juvelook ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
Juvelook เป็นทางเลือกในการรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพ แต่ด้วยกลไกการกระตุ้นคอลลาเจนของ PDLLA Juvelook ก็สามารถแก้ปัญหาผิวอื่นได้เช่นกัน ดังนี้ค่ะ
- กระชับรูขุมขน โดยคอลลาเจนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้รูขุมขนที่กว้างดูกระชับ ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
- ลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากการแก่ตัวของผิว
- แก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา ร่องน้ำตา ใต้ตาคล้ำ และถุงตาหย่อน
- แก้ปัญหารอยแผลเป็น และผิวแตกลาย
- ฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพจากแสงแดดและมลภาวะ ช่วยลดความหมองคล่ำ
- ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ให้ผิวมีความกระจ่างใส
- กู้ผิวแห้งกร้าน แตกลอก ด้วยไฮยาลูรอนิกที่เติมความชุ่มชื้นให้ผิว
แพ็กเกจฉีด Juvelook ที่ EY clinic
- Juvelook 1cc ราคา 3,999
- Juvelook 3cc ราคา 8,999
- Juvelook 6cc ราคา 15,999
เตรียมตัวก่อนฉีด Juvelook หลุมสิว
ก่อนฉีด Juvelook หลุมสิว เราสามารถเตรียมผิวให้พร้อมกับหัตถการได้ตามคำแนะนำเหล่านี้ค่ะ
- งดยาและวิตามินที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน E, น้ำมันตับปลา โดยเราสามารถสอบถามคำแนะนำคุณหมอที่ดูแลเคสของเราได้เลยค่ะ
- งดอาหารทะเลอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่อาจกระตุ้นอาการบวมแดง
- งดดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 3-5 วันก่อนฉีด Juvelook เนื่องจากแอลกอฮอล์อาจกระตุ้นอาการบวมแดง
- บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์เป็นประจำ ทั้งก่อนและหลังการฉีด Juvelook เพื่อเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิวและช่วยลดการระคายเคือง
นอกจากนี้ เราควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว หัตถการที่เคยทำ และยาที่ใช้ก่อนทำหัตถการ เพื่อความปลอดภัยค่ะ
ดูแลผิวหลังฉีด Juvelook หลุมสิว
หลังฉีด Juvelook หลุมสิวแล้ว การดูแลผิวอย่างถูกวิธีจะลดผลข้างเคียง และมอบผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจให้กับเราค่ะ โดยวิธีดูแลผิวหลังฉีด มีดังนี้ค่ะ
- หลังจากฉีด Juvelook สามารถล้างหน้าตามปกติ โดยแนะนำให้ล้างด้วยน้ำสะอาดและใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน
- งดการแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังฉีด Juvelook เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังในช่วง 1-2 วันหลังฉีด Juvelook
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้ความร้อน เช่น ซาวน่า หรือโยคะร้อน ในช่วง 1-2 วันแรกหลังฉีด Juvelook เพื่อลดอาการบวมแดง
- บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อคงความชุ่มชื้นให้ผิวอยู่เสมอ
รักษาหลุมสิวที่ต้นเหตุที่ EY Clinic
สำหรับคนที่กำลังกลุ้มใจกับใบหน้าที่ไม่เรียบเนียนเพราะมีหลุมสิวเยอะ แต่งหน้าเท่าไหร่ก็ปิดไม่มิดสักที สามารถเข้ามาปรึกษาหมอผึ้งที่ ey clinic ได้เลยค่ะ โดยคลินิกของเรามียอดการใช้หัวเลเซอร์ Venus Viva MD ในการรักษาหลุมสิวที่สูงที่สุดในประเทศไทยในปี 2024 และออกแบบแผนการรักษาตามความเหมาะสมของบุคคล และจะไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็นแน่นอนค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ โรคผิวหนัง
.jpg)
ที่ ey clinic เราเชื่อว่าการดูแลผิวที่ดี เริ่มต้นจากความเข้าใจในปัญหาของแต่ละคน ทีมแพทย์ของเรานำโดย พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์ (หมอผึ้ง) แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง จากสถาบันโรคผิวหนัง พร้อมด้วยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี* ในการดูแลปัญหาผิวหลากหลายรูปแบบ ทั้งสิว หลุมสิว ฝ้า ปรับรูปหน้า และ โรคผิวหนัง
เราให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล โดยอิงจากหลักวิชาการทางการแพทย์เป็นหลัก ไม่ใช้การโฆษณาเกินจริง และไม่แนะนำสิ่งที่เกินความจำเป็น
คุณหมอและทีมให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา ดูแลอย่างต่อเนื่อง พร้อมติดตามผลเพื่อให้ผิวของคุณแข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ภายใต้บรรยากาศที่เป็นกันเอง สะดวก และเชื่อถือได้
วิธีเช็ค Juvelook ว่าเป็นของแท้
.png)
วิธีเช็ค Juvelook
- ตรวจสอบ QR Code ซึ่งต้องขูดก่อนเพื่อทำสแกน QR Code บนสติ๊กเกอร์ฮาโลแกรมที่ติดด้านข้างกล่อง เมื่อสแกนแล้วจะขึ้นรูปภาพเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และมีเครื่องหมายติ๊กถูก หากเป็นกล่องที่สแกนซ้ำจะขึ้นเป็นรูปกากบาท ไม่ควรใช้บริการ
- กล่องเป็นแพ็กเกจใหม่ที่ออกแบบสำหรับจำหน่ายภายในประเทศไทยเท่านั้น เพื่อให้ผู้รับบริการสังเกตผลิตภัณฑ์ของแท้ได้สะดวกมากขึ้น
- ด้านข้างกล่องต้องมีโลโก้ บริษัท จูวีเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
- ด้านข้างกล่องต้องระบุวิธีการเก็บรักษา คำเตือน ชื่อและที่ตั้ง สถานที่นำเข้าเป็นภาษาไทย อย่างชัดเจน
- ด้านข้างกล่องต้องระบุใบอนุญาตขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์
- สามารถตรวจสอบคลินิกที่ได้มารตฐานผ่านเว็บไซต์ https://juvetekglobal.com/clinic
Review การฉีด Juvelook หลุมสิวที่ EY Clinic
ภาพเคส ที่ 1
.png)
.png)
.png)
.png)
.png)
ภาพเคส ที่ 2
.png)
.png)
.png)
.png)
.png)
หมอเชื่อว่า คนที่กำลังอยากดูแลผิวทุกคนจะรู้จัก Juvelook ในฐานะของ Skin Booster หรือ Hybrid Biostimulator แล้ว Juvelook ช่วยอะไรบ้าง แก้ปัญหาผิวแบบไหน และฉีดตรงไหนได้บ้าง หมอได้สรุปไว้ในบทความนี้แล้วค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- Juvelook ประกอบด้วย ไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) และ PDLLA
- Juvelook ช่วยแก้ปัญหาผิวแบบ 2in1: เติมความชุ่มชื้นให้ผิวทันที และกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวในระยะยาว
- PDLLA ใน Juvelook ทำหน้าที่เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีประสิทธิภาพ และสามารถสลายตัวได้ตามกลไกธรรมชาติ โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง
- Juvelook ช่วยแก้ได้ทั้งปัญหาผิวโดยรวม และเฉพาะจุด เช่น การฉีด Juvelook ใต้ตาหรือหน้าแก้ม
- Juvelook ช่วยให้ผิวอิ่มฟู แข็งแรง และอ่อนวัยได้ยาวนานถึง 24 เดือน
Juvelook คืออะไร
Juvelook หรือ ไหมน้ำ คือ สารกระตุ้นคอลลาเจนที่ประกอบด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid หรือ HA) และ โพลีดีแลคติก แอซิด (Poly-d,l-lactic acid หรือ PDLLA) ค่ะ โดยจะให้ผลลัพธ์เป็น 2 รูปแบบ คือ ให้ความชุ่มชื้นกับผิวทันทีที่ฉีด และ กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเส้นใยโครงสร้างผิวในระยะยาวค่ะ ทำให้ผิวมีความแข็งแรงและอิ่มฟูอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ

PDLLA ใน Juvelook คืออะไร
PDLLA ใน Juvelook เป็นสารช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนค่ะ โดยเจ้าสารตัวนี้จะอยู่ในรูปแบบ Microspheres หรืออนุภาคทรงกลมที่มีรูพรุนรอบตัวค่ะ เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะทำหน้าที่โครงสร้างตาข่ายให้ชั้นผิว ก่อนออกฤทธิ์กระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ให้ผลิตคอลลาเจน (โดยเฉพาะคอลลาเจน Type I) และสารเคลือบเซลล์ (Extracellular Matrix หรือ ECM) ค่ะ
โดยมวลคอลลาเจนจะเริ่มเพิ่มขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์หลังฉีด และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนหลังฉีดค่ะ ให้ผลลัพธ์เป็นผิวที่อิ่มแน่น กระชับ และดูอ่อนวัยอย่างเป็นธรรมชาติในระยะยาวค่ะ ส่วนตัว PDLLA จะค่อยสลายตัวไปเองตามกลไกของร่ายกายโดยไม่ทิ้งสารตกค้างค่ะ
ส่วนไฮยาลูรอนิก แอซิดใน Juvelook จะช่วยเติมความชุ่มชื้นกับผิวตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีดค่ะ แต่ไม่ต้องกลัวว่าฉีด Juvelook แล้วจะทำให้หน้าเปลี่ยนเหมือนฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากโมเลกุลไฮยาของ Juvelook จะเป็นแบบ Non-crosslinked หรือไม่มีพันธะเชื่อมโยงกัน ทำให้มีเนื้อเหลว ไม่ขึ้นรูป สามารถฉีดในพื้นที่บอบบางอย่างใต้ตาได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะดูบวมค่ะ

Juvelook ช่วยอะไรบ้าง
Juvelook เป็นทั้ง Skin Booster ที่ให้ความชุ่มชื้นและ Biostimulator ที่กระตุ้นคอลลาเจนค่ะ โดยสามารถชวยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย ดังนี้ค่ะ
- Juvelook ช่วยแก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน ด้วยไฮยาลูรอนิกที่เติมความชุ่มชื้นให้ผิว
- Juvelook ช่วยกระชับรูขุมขน โดยคอลลาเจนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้รูขุมขนที่กว้างดูกระชับ ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
- Juvelook ช่วยลดเลือนริ้วรอยที่มากับอายุ พร้อมฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพจากแสงแดดและมลภาวะ
- Juvelook ช่วยแก้ปัญหาหลุมสิวและรอยแผลเป็น โดยกระบวนการกระตุ้นคอลลาเจนจะช่วยซ่อมแซมผิว
- Juvelook ช่วยแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
ผลลัพธ์ของ Juvelook มีอายุเฉลี่ยที่ 12-18 เดือน และสามารถยาวนานได้ถึง 2 ปีค่ะ โดยหมอแนะนำว่าควรฉีดติดต่อกัน 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 3-4 สัปดาห์เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน หลังจากนั้นสามารถฉีดกระตุ้นได้ทุก ๆ 6-12 เดือนค่ะ

Juvelook ฉีดตรงไหนได้บ้าง
เห็นกันไปแล้วว่า Juvelook ช่วยอะไรได้บ้าง หมอขอเสริมว่า นอกจากฉีดทั่วใบหน้าแล้ว Juvelook ยังช่วยแก้ปัญหาผิวเฉพาะจุดได้ด้วย ดังนี้ค่ะ
- ฉีด Juvelook ทั่วใบหน้า ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและปรับสภาพผิวโดยรวม
- ฉีด Juvelook หน้าแก้ม ช่วยแก้ปัญหารูขมขนกว้าง
- ฉีด Juvelook หน้าผาก ช่วยให้ผิวมีความเรียบเนียน ใบหน้าดูอ่อนวัย
- ฉีด Juvelook ใต้ตา ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย ร่องน้ำตา ใต้ตาหย่อน และใต้ตาคล้ำ
- ฉีด Juvelook บริเวณหลุมสิว ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมผิว ให้หลุมสิวดูจางลง โดยสามารถทำควบคู่กับการรักษาอย่าง เลเซอร์ Venus Viva MD เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้ด้วยค่ะ
- ฉีด Juvelook เฉพาะจุดเพื่อลดรอยแผลเป็นและผิวแตกลาย
Juvelook เหมาะกับใครบ้าง
Juvelook เป็นหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาผิวได้มากมาย โดยเหมาะกับกลุ่มคนดังนี้ค่ะ
- คนที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป เนื่องจากจะเริ่มสูญเสียความสามารถในการผลิตคอลลาเจน
- คนที่มีปัญหาริ้วรอย เช่น ริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก ร่องแก้ม
- คนที่มีผิวหน้าแห้ง ผิวขาดน้ำ ลอกเป็นขุย และต้องการเติมความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก
- คนที่มีผิวหมองคล้ำ ขาดการดูแล สีผิวไม่สม่ำเสมอ ไม่เรียบเนียน
- คนที่มีปัญหาหลุมสิวหรือรอยแผลเป็น
- คนที่มีปัญหาผิวแตกลาย เช่น บริเวณหน้าท้อง ต้นแขน หรือต้นขา
- คนที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้กระชับอ่อนวัยอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่เปลี่ยนรูปหน้า และไม่ต้องการผ่าตัด
เลือกฉีด Juvelook ที่ EY Clinic
- Juvelook 1cc ราคา 3,999
- Juvelook 3cc ราคา 8,999
- Juvelook 6cc ราคา 15,999
หมอหวังว่าบทความนี้จะช่วยตอบคำถามว่า Juvelook ช่วยอะไร ฉีดตรงไหน และเหมาะกับใครให้ผู้อ่านทุกคนค่ะ โดยหมออยากฝากให้สักนิดว่า ถึงจะเป็นหัตถการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง เราก็ยังควรจะเลือกรับบริการจากคลินิกที่เชื่อถือได้ มีใบรับรองชัดเจน และมีแพทย์เป็นผู้ดำเนินการค่ะ เพราะถึงแม้ Juvelook จะแก้ปัญหาผิวได้มากมายก็จริง แต่หากได้รับการฉีดที่ผิดตำแหน่งชั้นผิว ปริมาณไม่เหมาะสม หรือได้รับตัวยาของปลอม อาจจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ โรคผิวหนัง

ที่ ey clinic เราเชื่อว่าการดูแลผิวที่ดี เริ่มต้นจากความเข้าใจในปัญหาของแต่ละคน ทีมแพทย์ของเรานำโดย พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์ (หมอผึ้ง) แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง จากสถาบันโรคผิวหนัง พร้อมด้วยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี* ในการดูแลปัญหาผิวหลากหลายรูปแบบ ทั้งสิว หลุมสิว ฝ้า ปรับรูปหน้า และ โรคผิวหนัง
เราให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล โดยอิงจากหลักวิชาการทางการแพทย์เป็นหลัก ไม่ใช้การโฆษณาเกินจริง และไม่แนะนำสิ่งที่เกินความจำเป็น
คุณหมอและทีมให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา ดูแลอย่างต่อเนื่อง พร้อมติดตามผลเพื่อให้ผิวของคุณแข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ภายใต้บรรยากาศที่เป็นกันเอง สะดวก และเชื่อถือได้
วิธีเช็ค Juvelook ว่าเป็นของแท้

วิธีเช็ค Juvelook
- ตรวจสอบ QR Code ซึ่งต้องขูดก่อนเพื่อทำสแกน QR Code บนสติ๊กเกอร์ฮาโลแกรมที่ติดด้านข้างกล่อง เมื่อสแกนแล้วจะขึ้นรูปภาพเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และมีเครื่องหมายติ๊กถูก หากเป็นกล่องที่สแกนซ้ำจะขึ้นเป็นรูปกากบาท ไม่ควรใช้บริการ
- กล่องเป็นแพ็กเกจใหม่ที่ออกแบบสำหรับจำหน่ายภายในประเทศไทยเท่านั้น เพื่อให้ผู้รับบริการสังเกตผลิตภัณฑ์ของแท้ได้สะดวกมากขึ้น
- ด้านข้างกล่องต้องมีโลโก้ บริษัท จูวีเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
- ด้านข้างกล่องต้องระบุวิธีการเก็บรักษา คำเตือน ชื่อและที่ตั้ง สถานที่นำเข้าเป็นภาษาไทย อย่างชัดเจน
- ด้านข้างกล่องต้องระบุใบอนุญาตขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์
- สามารถตรวจสอบคลินิกที่ได้มารตฐานผ่านเว็บไซต์ https://juvetekglobal.com/clinic
Review การฉีด Juvelook ที่ EY Clinic




Profhilo และ Juvelook เป็นสองนวัตกรรม Skin Booster ที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบันค่ะ โดยแต่ละตัวต่างก็มีจุดเด่นและจุดประสงค์การรักษาที่ต่างกันออกไป ในบทความนี้ หมอจะอธิบายถึงองค์ประกอบ กลไกการทำงาน และผลลัพธ์ของทั้ง Profhilo และ Juvelook เรามาดูกันว่า ตัวไหนทำงานอย่างไรเพื่อประกอบการตัดสินใจกันค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- Profhilo และ Juvelook มีความสามารถในการให้ความชุ่มชื้นและกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกัน
- Profhilo คือ HA ไฮยาลูรอนิก แอซิดชนิดพิเศษ (Non-Crosslinked) ในขณะที่ Juvelook คือ PDLLA ผสมกับ HA ไฮยาลูรอนิก แอซิด
- Profhilo จะโดดเด่นด้วยความสามารถในการยกกระชับผิวและลดเลือนริ้วรอย
- Juvelook ช่วยให้ผิวมีความอิ่มน้ำและฉ่ำวาวได้ทันที และกระตุ้นคอลลาเจนแบบค่อยเป็นค่อยไป เหมาะสำหรับรักษาหลุมสิว
- ผลลัพธ์ของ Profhilo มีอายุถึง 12 เดือน ในขณะที่ Juvelook อยู่ได้นานถึง 24 เดือน
Profhilo คืออะไร ทำงานอย่างไร
Profhilo คือการฟื้นฟูผิวด้วยสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) ที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนและปรับโครงสร้างผิว (Bioremodelling) ซึ่งช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ผิวแห้งกร้านคล้ำเสีย หรือรอยแผลเป็นและหลุมสิวค่ะ
ไฮยาลูรอนิก แอซิดใน Profhilo ผลิตด้วย NAHYCO® Technology โดยมีลักษณะโมเลกุลเป็นแบบ Non-crosslinked ส่งผลให้สารสามารถกระจายตัวได้ดีไม่จับตัวเป็นก้อน ซึ่งแตกต่างจากไฮยาในฟิลเลอร์ที่ฉีดเพิ่มเติมปริมาตรให้ผิวค่ะ
.jpg)
การทำงานของ Profhilo
- เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวแล้ว Profhilo จะส่งสัญญาณกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้ผลิตสร้างคอลลาเจน (ชนิดที่ 1,3 และ 4) รวมถึงอีลาสตินและสารเคลือบเซลล์ค่ะ
- ช่วยให้เกิดการปรับโครงสร้างผิว และการสมานแผล
- Profhilo กระตุ้นเซลล์เคราติโนไซต์ (Keratinocytes) ในชั้นหนังกำพร้า ทำให้เกราะป้องกันผิวมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น
- ไฮยาลูรอนิก แอซิดของ Profhilo มีเนื้อที่เหลวและกระจายตัวได้ดี ทำหน้าที่เป็นตัวเติมน้ำและล็อกความชุ่มชื้นไว้กับเซลล์ผิว
โดยงานวิจัยจาก Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology พบว่า เพียง 3 สัปดาห์หลังฉีด Profhilo ผิวมีความหนาตัวขึ้นจาก 1.1-1.3 มม. เป็น 1.3-1.5 มม. ภายใต้การกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนค่ะ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผิวมีความกระชับ แน่น และแข็งแรงมากยิ่งขึ้น และดูอ่อนวัยอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ
.png)
จุดเด่นของ Profhilo
- กระตุ้นการทำงานของเซลล์ทั้งในชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ ซึ่งต่างจากกลุ่ม Biostimulator ที่มักจะออกฤทธิ์ในชั้นหนังแท้เท่านั้น
- ฟื้นฟูผิวให้แน่นและกระชับ ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ปรับเปลี่ยนรูปหน้า
- Profhilo สามารถสลายตัวได้ตามกลไกธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้าง สามารถฉีดได้ทั้งทั่วใบหน้าและเฉพาะจุดเพื่อแก้ปัญหาผิวที่ต้องการ
- สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ เช่น ทำควบคู่กับการตัดพังผืด (Subcision) หรือ เลเซอร์ Viva Venus MD เพื่อรักษาหลุมสิว
- เป็นหัตถการที่ไม่ต้องพักฟื้น และมีความเสี่ยงต่อการแพ้ต่ำ
Profhilo ฉีดกี่ครั้ง อยู่ได้นานแค่ไหน
Profhilo ควรฉีดติดต่อกัน 2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 3-4 สัปดาห์ โดยจะให้ผลที่ชัดเจนหลังจาก 1-2 เดือน ซึ่งผลลัพธ์ของ Profhilo อยู่ได้นาน 6-12 เดือนค่ะ
Juvelook คืออะไร และทำงานอย่างไร
Juvelook หรือที่บางคนเรียกว่า “ไหมน้ำ” คือ Hybrid Biostimulator ที่ประกอบด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิดและ Poly-D,L-Lactic Acid (PDLLA) ค่ะ โดยผลลัพธ์ของ Juvelook จะออกมาในรูปแบบ 2in1 คือ 1. เติมความชุ่มชื้นให้ผิว 2. กระตุ้นคอลลาเจนและซ่อมแซมผิวในระยะยาวด้วยค่ะ
การทำงานของ Juvelook
- ไฮยาลูรอนิก แอซิดใน Juvelook ทำหน้าที่เติมความชุ่มชื้นให้กับเซลล์ผิว เมื่อฉีดแล้ว ผิวจะมีความอิ่มน้ำและเปล่งปลั่งขึ้น โดยเป็นผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันทีค่ะ
- PDLLA ใน Juvelook จะกระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบแบบอ่อน ๆ เพื่อผลักผิวให้เข้าสู่กระบวนการซ่อมแซมตัวเอง โดยจะผลิตคอลลาเจนและเส้นใยโปรตีนอื่น ๆ ออกมามากขึ้นค่ะ
การกระตุ้นคอลลาเจนของ PDLLA จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยใช้เวลาเริ่มต้นที่ 3-4 สัปดาห์ค่ะ หลังจากนั้นผิวก็จะเริ่มแน่นฟู เนียนเด้ง กระชับเรื่อย ๆ โดยพบว่า หลังฉีด Juvelook แล้ว 6 เดือน ปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวเพิ่มอย่างชัดเจน อีกทั้งยังซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนรอยแผลเป็น (Scar remodelling) ทำให้ดูจางลงค่ะ
.jpg)
จุดเด่นของ Juvelook
- เติมความชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด
- กระตุ้นคอลลาเจนแบบค่อยเป็นคอยไป ให้ผลลัพธ์ยาวนาน และเป็นธรรมชาติ
- แก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย เช่น ผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ หลุมสิว และริ้วรอย
- ฉีดได้ทั้งทั่วหน้าและเฉพาะจุด เช่น ใต้ตา แก้ม หน้าผาก
- สามารถฉีดเพื่อแก้ปัญหาหลุมสิวได้
- ผลข้างเคียงต่ำ และไม่ต้องการการพักฟื้น
Juvelook ฉีดกี่ครั้ง อยู่ได้นานแค่ไหน
การฉีด Juvelook ควรทำติดต่อกัน 3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 1 เดือนค่ะ ผลลัพธ์ของการฉีด Juvelook จะมีอายุที่ 12-18 เดือน หรืออาจอยู่นานถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลของบุคคลค่ะ
เปรียบเทียบระหว่าง Profhilo กับ Juvelook
Profhilo vs Juvelook ตัวไหนดีกว่า ปรึกษาที่ EY Clinic
ทั้งสองอย่างเป็นตัวเลือกเสริมความชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิวที่ปลอดภัย แต่ “หัวใจ” การทำงานต่างกันค่ะ
- โปรแกรม Profhilo เน้นรีเฟรชผิวทั้งใบหน้าให้ฉ่ำ นุ่ม และยืดหยุ่นขึ้น กระตุ้นคอลลาเจนแบบอ่อนโยนโดยรวม โดยไม่เพิ่มวอลลุ่มและไม่พึ่งการอักเสบ จึงเหมาะกับคนที่เริ่มมีริ้วรอย ผิวหย่อนเล็กน้อย หรืออยากให้ผิวกลับมาดูสุขภาพดีขึ้นแบบเป็นธรรมชาติทั้งหน้า
- โปรแกรม Juvelook จะตอบโจทย์เรื่องผิวไม่เรียบเนียน รูขุมขนกว้าง สีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือมีหลุมสิว เพราะออกแบบมาเพื่อ ฟื้นฟูโครงสร้างผิวและปรับ Texture เชิงลึก ผ่านกระบวนการอักเสบแบบควบคุม (controlled inflammation) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้ผิวดูแน่นและกระชับขึ้น
สรุปเพื่อให้จำง่ายๆ: Profhilo คือการ Refresh ผิวทั่วหน้าแบบไม่เพิ่ม Volume ส่วน Juvelook คือการซ่อมแซมโครงสร้างและความเรียบเนียนของผิวในระดับลึก โดยการเลือกขึ้นอยู่กับปัญหาที่อยากแก้และผลลัพธ์ที่คาดหวังของแต่ละคน ควรประเมินร่วมกับแพทย์ก่อนตัดสินใจค่ะ.
สำหรับคนที่ยังลังเลหรือไม่แน่ใจว่าควรเลือก Profhilo หรือ Juvelook สามารถเข้ามาปรึกษาหมอที่ EY Clinic ได้ค่ะ โดยเรามีการวิเคราะห์และประเมินสภาพผิวก่อน เพื่อออกแบบการรักษาให้เหมาะสมกับความต้องการ อีกทั้งยังดูแลด้วยความใส่ใจอย่างเป็นมือชีพ โดยไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็นแน่นอนค่ะ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยว Profhilo และ Juvelook
Profhilo มีผลข้างเคียงไหม?
หลังฉีด Profhilo ผิวอาจมีรอยช้ำหรือบวมแดงเล็กน้อย ซึ่งจะบรรเทาลงเองภายในไม่กี่วันค่ะ
Profhilo ปลอดภัยไหม?
Profhilo เป็นหัตถการที่ปลอดภัยค่ะ โดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ตามกลไกของร่างกาย ไม่ทิ้งสารตกค้าง และได้รับการรับรองจาก อย. ไทย สหรัฐอเมริกา และมาตรฐานยุโรป (CE Mark) ค่ะ
Juvelook ปลอดภัยไหม?
Juvelook เป็นหัตถการที่ปลอดภัยโดยผ่านการรับรองจาก อย. ไทย อย. เกาหลี (KFDA) และมาตรฐานยุโรป (CE Mark) ค่ะ นอกจากนี้ยังเป็นย่อยสลายเองได้โดยไม่ทิ้งสารตกค้างค่ะ
หลังฉีด Juvelook ต้องพักหน้าไหม แต่งหน้าได้ไหม?
หลังฉีด Juvelook ควรงดแต่งหน้า 24 ชั่วโมงเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ โรคผิวหนัง
.jpg)
ที่ ey clinic เราเชื่อว่าการดูแลผิวที่ดี เริ่มต้นจากความเข้าใจในปัญหาของแต่ละคน ทีมแพทย์ของเรานำโดย พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์ (หมอผึ้ง) แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง จากสถาบันโรคผิวหนัง พร้อมด้วยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี* ในการดูแลปัญหาผิวหลากหลายรูปแบบ ทั้งสิว หลุมสิว ฝ้า ปรับรูปหน้า และ โรคผิวหนัง
เราให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล โดยอิงจากหลักวิชาการทางการแพทย์เป็นหลัก ไม่ใช้การโฆษณาเกินจริง และไม่แนะนำสิ่งที่เกินความจำเป็น
คุณหมอและทีมให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา ดูแลอย่างต่อเนื่อง พร้อมติดตามผลเพื่อให้ผิวของคุณแข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ภายใต้บรรยากาศที่เป็นกันเอง สะดวก และเชื่อถือได้
Review การฉีด Profhilo ที่ EY Clinic
.png)
.png)
.png)
.png)
.png)
Review การฉีด Juvelook ที่ EY Clinic
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
ในปัจจุบันการดูแลผิวด้วยหัตถการแบบฉีดเป็นที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ค่ะ โดยเฉพาะ Profhilo และ Filler ที่สามารถช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ได้ แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่า Profhilo กับ Filler แตกต่างกันอย่างไร เหมาะกับปัญหาผิวแบบไหน ในบทความนี้ หมอจะพาไปรู้จักข้อแตกต่างของหัตถการทั้งสองตัว เพื่อช่วยให้เราตัดสินใจเลือกได้อย่างเหมาะสมกับสภาพผิวของตนเองขึ้นค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- Profhilo และฟิลเลอร์ มีส่วนประกอบหลักเป็นไฮยาลูรอนิก แอซิด เหมือนกันแต่มีจุดประสงค์ที่ต่างกัน
- ไฮยาลูรอนิก แอซิดใน Profhilo มีความบริสุทธิ์สูง ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว
- ไฮยาลูรอนิก แอซิดในฟิลเลอร์ทั่วไป มีความหนืด ขึ้นรูปได้ดี โดยออกแบบมาเพื่อเติมวอลลุ่มให้ผิว
- ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์เห็นได้เร็วกว่า Profhilo และมีอายุเฉลี่ยที่นานกว่า
- ความแตกต่างหลักของ Profhilo กับฟิลเลอร์ คือ จุดประสงค์ของหัตถการ โดย Profhilo จะช่วยฟื้นฟูผิว ส่วนฟิลเลอร์ช่วยเติมปริมาตรและปรับรูปหน้า
Profhilo คืออะไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
Profhilo คือ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) ชนิดพิเศษ มีความบริสุทธิ์สูง และมีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนค่ะ Profhilo กำลังได้รับความนิยมโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวจากภายใน ลดริ้วรอย และกระชับผิวที่หย่อนคล้อยอย่างเป็นธรรมชาติ โดยผลลัพธ์ของ Profhilo จะเริ่มชัดเจนขึ้นในช่วง 1-2 เดือนหลังฉีด ตามกระบวนการผลิตคอลลาเจนและซ่อมแซมผิวของร่างกายค่ะ
จุดเด่นของ Profhilo:
- เป็นไฮยาลูรอนิก แอซิด แบบ Hybrid
Profhilo ประกอบด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด 2 ประเภทค่ะ: โมเลกุลสั้นและโมเลกุลยาว และมีโครงสร้างแบบ Hybrid Cooperative Complex (HCC) มีความเสถียร และออกฤทธิ์ได้ยาวนานยิ่งขึ้นค่ะ โดย Profhilo จะมีเนื้อเหลว เมื่อฉีดแล้วสามารถกระจายตัวผ่านผิวชั้นต่าง ๆ ได้ดีค่ะ
- ฟื้นฟูโครงสร้างผิวถึงระดับเซลล์ (Bio-remodeling)
Profhilo สามารถกระตุ้นการเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ที่ทำหน้าที่ผลิตคอลลาเจนได้ในทุกชั้นผิว ทำให้เกิดการจัดเรียงตัวใหม่ของโครงสร้างผิวหรือ Bio-remodeling ซึ่งช่วยปรับผิวให้แน่น กระชับ และยืดหยุ่นขึ้นค่ะ
- เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
Profhilo ช่วยกระตุ้นการทำงานเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า ทำให้ผิวมีความสมดุลและมีเกราะป้องกันผิวที่แข็งแรงขึ้น ซึ่งปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนและสม่ำเสมอมากขึ้นค่ะ
- ให้ความชุ่มชื้นอย่างทั่วถึง
ไฮยาลูรอนิก แอซิดยังมีคุณสมบัติในการดึงดูดความชุ่มชื้นในทุกชั้นผิว ทำให้ผิวอุ้มน้ำได้มากขึ้น และดูสุขภาพดีขึ้นค่ะ
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ธรรมชาติ ไม่ดูบวม และไม่เปลี่ยนรูปหน้า
เพราะไฮยาลอรูนิก แอซิดที่มีความเหลว และไม่ขึ้นรูป การฉีด Prohilo จึงช่วยฟื้นฟูผิวและทำให้ใบหน้าดูจากภายในโดยไม่เปลี่ยนรูปหน้าและไม่เติมวอลลุ่มให้ผิวค่ะ
ผลลัพธ์ของ Profhilo จะอยู่ที่ 6-12 เดือนค่ะ โดยทั่วไป หมอจะแนะนำให้ฉีด Profhilo ติดต่อกันอย่างน้อย 2 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 1 เดือนค่ะ
Filler คืออะไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
Filler หรือ ฟิลเลอร์ เช่น Neuramis หรือ Restylane คือ สารไฮยาลูรอนิก แอซิดที่มีจุดประสงค์เพื่อเติมปริมาตรให้ผิวพร้อมล็อกความชุ่มชื้นค่ะ เมื่อฉีดแล้วจะทำให้ผิวดูเต่งตึง อิ่มฟู และฉ้ำน้ำยิ่งขึ้น โดยผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะเห็นได้ภาย 2-4 สัปดาห์ค่ะ
จุดเด่นของ Filler:
- เป็นไฮยาลูรอนิก แอซิด ที่มีความเสถียรสูง
ฟิลเลอร์ที่ใช้ในคลินิกความงามส่วนใหญ่เป็นไฮยาลูรอนิก แอซิดแบบ Cross-linked ที่ให้มีความเสถียรสูงและคงตัวสูง สามารถเติมวอลลุ่มให้ผิวได้ทันและคงอยู่ได้นานค่ะ
- เติมได้หลายจุดบนใบหน้า
ฟิลเลอร์สามารถเติมได้หลายจุด เช่น ร่องแก้ม ร่องใต้ตา จมูก คาง และริมฝีปากค่ะ โดยเป็นตัวเลือกที่เสริมความมั่นได้แบบที่ไม่ต้องรอนานและไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดค่ะ
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเต็มผิว (Volumizing) หรือปรับรูปหน้า
ฟิลเลอร์จะเน้นไปทางการเติมปริมาตรให้ผิวมากกว่าการฟื้นฟูค่ะ โดยเมื่อฉีดแล้ว ไฮยาลูรอนิก แอซิดจะเข้าไปอยู่ในชั้นผิว ซึ่งจะทั้งล็อกความชุ่มชื้นและช่วยทำให้ผิวเต่งดึง กระชับ และยืดหยุ่นขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้รูปหน้าดูสมส่วนและมีมิติขึ้นด้วยค่ะ
อายุของฟิลเลอร์จะอยู่ที่ 6-18 เดือนค่ะ ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับแบรนด์ของฟิลเลอร์ บริเวณที่ฉีด และการดูแลของแต่ละบุคคลค่ะ
ความแตกต่างระหว่าง Profhilo และ Filler
ความแตกต่างของ Profhilo กับ ฟิลเลอร์ อยู่ที่ส่วนผสม วิธีการทำงาน และจุดประสงค์ของการรักษาค่ะ โดย Profhilo คือ ไฮยาลูรอนิก แอซิดเนื้อเหลวที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจน ส่วนฟิลเลอร์ คือ ไฮยาลูรอนิกเนื้อหนืด ที่จะเติมวอลลุ่มให้ผิวดูอิ่มฟูและเต่งตึงขึ้นค่ะ
เราสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของ Profhilo และ Filler ได้ชัด ๆ ในตารางนี้ค่ะ
หมอขอสรุปว่า ทั้ง Profhilo และฟิลเลอร์ต่างก็มีจุดเด่นเฉพาะตัว และจุดประสงค์ที่ต่างกันค่ะ การเลือกใช้ระหว่างสองหัตถการเนี้จึงขึ้นอยู่กับปัญหาผิว ความต้องการ และผลลัพธ์ที่เราอยากได้ค่ะ
Profhilo vs Filler เลือกตัวไหนดี
แม้ว่า Profhilo และฟิลเลอร์จะมีส่วนประกอบหลักเป็นไฮยาลูรอนิก แอซิดเหมือนกัน แต่จุดประสงค์ในการใช้งานและผลลัพธ์ที่ได้แตกต่างค่ะ การเลือกใช้อย่างถูกต้องจึงขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะบุคคลและลักษณะของผิว
- Profhilo เหมาะคนที่เริ่มมีริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย หรือผิวหมองคล้ำ และต้องการให้ผิวกลับดูสุขภาพดีผ่านการฟื้นฟูสภาพผิวจากภายใน
- ฟิลเลอร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเติมเต็มใบหน้าส่วนที่ขาดวอลลุ่ม หรือปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนและมีมิติมากขึ้น
โดยผลลัพธ์ของ Profhilo เห็นได้ในช่วง 1-2 เดือนหลังฉีด แต่ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์จะเห็นได้ (หรือเข้าที่) ภายใน 2-3 สัปดาห์ค่ะ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Profhilo และ Filler
Profhilo มีผลข้างเคียงไหม?
หลังฉีด Profhilo ผิวอาจมีอาการบวม แดง หรือรอยช้ำเล็กน้อย ซึ่งจะบรรเทาลงเองภายในไม่กี่วันค่ะ
Profhilo ปลอดภัยไหม?
Profhilo มีความปลอดภัยค่ะ โดยเทคโนโลยี NAHYCO® ในกระบวนการผลิตจะไม่ใช้สารเคมี จึงมีโอกาสแพ้ต่ำ อีกทั้งยังผ่านการรับรองจาก อย. ไทย สหรัฐอเมริกา และมาตรฐานยุโรป (CE Mark) แล้วค่ะ
ฟิลเลอร์สลายได้เองไหม?
ฟิลเลอร์ที่เป็นสารไฮยาลูรอนิก แอซิดสามารถสลายได้เองค่ะ ส่วนฟิลเลอร์ชนิดกึ่งถาวร เช่น แคลเซียม ไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) จะสลายได้เพียงบางส่วน และฟิลเลอร์ชนิดถาวรจะไม่สามารถสลายได้ค่ะ
หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถทำกิจกรรมตามปกติได้ไหม?
โดยทั่วไป หลังฉีดฟิลเลอร์แล้ว สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติค่ะ แต่ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออก หรือกิจกรรมที่ใช้ความร้อน เช่น ซาวน่า ชาบูหม้อร้อน หรือการออกกำลังกายในช่วง 2-3 วันแรก และหลีกเลี่ยงการนวด กด หรือสัมผัสบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการเคลื่อนหรือผิดรูปของฟิลเลอร์ค่ะ
เลือกสิ่งที่เหมาะกับคุณที่สุด ที่ EY Clinic
ทั้ง Profhilo และฟิลเลอร์ต่างก็เป็นหัตถการที่ปลอดภัยและมีความเสี่ยงต่ำค่ะ โดย Profhilo มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจน และปรับโครงสร้างผิว ในขณะที่ ฟิลเลอร์จะช่วยเติมวอลลุ่มให้ผิวและปรับรูปหน้าค่ะ โดยหากคุณยังไม่แน่ใจว่า สภาพผิวของตัวเหมาะกับ Profhilo หรือ ฟิลเลอร์มากกว่า สามารถเข้ามาปรึกษากับหมอที่ EY Clinic ได้เลยค่ะ โดยเราจะมีการประเมินสภาพผิว เพื่อวางแผนการดูแลผิวที่ตอบโจทย์กับคุณที่สุด โดยไม่มีการยัดเยียดการรักษาที่ไม่จำเป็นแน่นอนค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ โรคผิวหนัง
.jpg)
ที่ ey clinic เราเชื่อว่าการดูแลผิวที่ดี เริ่มต้นจากความเข้าใจในปัญหาของแต่ละคน ทีมแพทย์ของเรานำโดย พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์ (หมอผึ้ง) แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง จากสถาบันโรคผิวหนัง พร้อมด้วยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี* ในการดูแลปัญหาผิวหลากหลายรูปแบบ ทั้งสิว หลุมสิว ฝ้า ปรับรูปหน้า และ โรคผิวหนัง
เราให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล โดยอิงจากหลักวิชาการทางการแพทย์เป็นหลัก ไม่ใช้การโฆษณาเกินจริง และไม่แนะนำสิ่งที่เกินความจำเป็น
คุณหมอและทีมให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา ดูแลอย่างต่อเนื่อง พร้อมติดตามผลเพื่อให้ผิวของคุณแข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ภายใต้บรรยากาศที่เป็นกันเอง สะดวก และเชื่อถือได้
Review การฉีด Profhilo ที่ EY Clinic
.png)
.png)
.png)
.png)
.png)
Profhilo ฉีดได้ 5 ทั่วใบหน้าค่ะ ได้แก่ แก้ม กรอบหน้า ใต้ตา รอบปาก และคาง โดยเทคนิคเรียกว่า “BAP” (Bio Aesthetic Points) ค่ะ แต่นอกจาก 5 จุดนี้แล้ว Profhilo ยังสามารถใช้ฉีดเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะส่วน เช่น หลุมสิว หรือรอยแผลเป็น และฉีดเพื่อฟื้นฟูผิวในบริเวณอื่นของร่างกายได้ด้วยค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- Profhilo คือ ไฮยาลูรอนิก แอซิดที่สามารถกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวได้
- Profhilo ฉีดได้ 5 จุดบนใบหน้าแต่ละข้าง ซึ่งเป็นเทคนิคการฉีดเฉพาะตัว
- Profhilo สามารถฉีดเฉพาะจุดเพื่อแก้ปัญหาหลุมสิวและรอยแผลเป็น อีกทั้งยังฉีดตามจุดต่าง ๆ จองร่างกายเพื่อกระชับผิวได้
- Profhilo ถือเป็นหัตการที่ปลอดภัย ผลข้างเคียงน้อย และฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ปรับเปลี่ยนรูปหน้า
Profhilo คืออะไร
Profhilo คือ สารไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic acid หรือ HA) ที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนค่ะ โดยไฮยาของ Profhilo ผลิตด้วย NAHYCO® Technology และมีโมเลกุลแบบ Non-crosslinked หรือแบบไม่มีพันธะเชื่อมต่อกัน ทำให้มีเนื้อที่เหลวและกระจายตัวสู่ชั้นผิวได้ดี โดยการฉีด Profhilo ตามจุดต่าง ๆ บนใบหน้าจะไม่ใช่การเติมปริมาตรผิว หรือปรับรูปหน้าเหมือนการเติมฟิลเลอร์ แต่เป็นการฟื้นฟู ให้ความชุ่มชื้น และปรับโครงสร้างผิวจากภายในค่ะ
Profhilo ทำงานอย่างไร
Profhilo ถือเป็น Bio-remodeller ค่ะ เมื่อฉีดแล้วจะส่งสัญญาณให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ซึ่งเป็นเซลล์หลักในการผลิตคอลลาเจน (ชนิดที่ 1,3 และ 4) อีลาสติน และสารเคลือบเซลล์ (Extracellular Matrix หรือ ECM) ค่ะ โดย Profhilo กระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ในทุกชั้นผิว ซึ่งต่างจาก Biostimulator ตัวอื่นที่กระตุ้นเฉพาะในผิวชั้นหนังแท้ค่ะ
Profhilo ทำให้ผิวเกิดการปรับโครงสร้างผิว (Bio-remodelling) จากภายใน ซึ่งให้ผิวมีกระชับ ยืดหยุ่น แข็งแรง และเรียบเนียนยิ่งขึ้นค่ะ นอกจากนี้ ตัวไฮยาลูรอนิก แอซิดที่กระจายเข้าสู่ทุกชั้นผิวยังทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำ ที่ช่วยดึงดูดและเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว ทั้งในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และหนังแท้ (Dermis) ซึ่งทำให้ผิวอิ่มน้ำและดูสดใสค่ะ
ด้วยหลักการทำงานเหล่านี้ Profhilo จึงสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ผิวแห้งกร้าน ผิวคล้ำเสียจากแสงแดดและมลภาวะ ริ้วรอย หลุมสิว รอยแผลเป็น หรือผิวหย่อนคล้อยขาดความกระชับค่ะ
.jpg)
Profhilo ฉีดจุดไหน
Profhilo ฉีดได้ 5 จุดบนใบหน้าแต่ละข้าง (รวมกันเป็น 10 จุด) ดังนี้ค่ะ
- แก้มส่วนล่าง
- บริเวณใต้ตา
- รอบปาก
- กรอบหน้า (กราม)
- คาง
โดย 5 จุดนี้เรียนกว่า BAP หรือ Bio-Aesthetic Points ซึ่งเป็นจุดที่มักเห็นริ้วรอยหรือความหย่อนคล้อยได้ชัดเมื่ออายุมากขึ้น เทคนิคการฉีดแบบนี้ก็จะช่วยให้ Profhilo ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้กระชับ ชุ่ม และอ่อนวัยอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ
ซึ่งนอกจากผิวหน้าแล้ว เรายังสามารถฉีด Profhilo ในบริเวณอื่นของร่างกาย เช่น บริเวณลำคอ มือ แขน ขา และหน้าท้อง เพื่อแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย รอยแผลเป็น และรอยแตกของผิวได้ด้วยค่ะ
Profhilo ฉีดอย่างไร
การฉีด Profhilo ในแต่ละจุด จะใช้ตัวยาประมาณ 0.2 ml ต่อจุดค่ะ (รวมกันเป็น 2ml ใบหน้า) ซึ่งอาศัยเทคนิคการฉีดที่ถูกต้องและความแม่นยำสูงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ หมอจึงขอย้ำสักหน่อยว่า เราควรเลือกรับบริการกับคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ และมีแพทย์ผู้ดำเนินการเท่านั้นค่ะ
Profhilo ฉีดหลุมสิวได้ไหม
นอกจากทั้ง 5 จุด BAP บนใบหน้าแต่ละข้างแล้ว Profhilo สามารถฉีดเพื่อรักษาหลุมสิวได้อีกด้วยค่ะ โดยเฉพาะกับหลุมสิวประเภท rolling และ boxcar โดยงานวิจัยเผยว่า การฉีด Profhilo ควบคู่กับการตัดพังผืดหรือ Subsicion หลุมสิว สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาได้อย่างน่าพึงพอใจค่ะ
[อ้างอิงข้อมูล: Journal of Cosmetic Dermatology ]
.png)
Profhilo เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย และมีริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้าหรือลำคอ
- ผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น หรือผิวหยาบกร้าน
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ เสื่อมสภาพจากแสงแดดและมลภาวะ
- ผู้ที่มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ ไม่เรียบเนียน รูขุมขนกว้าง
- ผู้ที่ต้องการกระตุ้นคอลลาเจน โดยไม่ต้องการเปลี่ยนรูปหน้า
- ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว โดยการฉีด Profhilo สามารถทำร่วมกับเลเซอร์รักษาหลุมสิว เช่น Venus Viva MD เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้ค่ะ
.png)
Before & After - 3 เดือนหลังการรักษาหลุมสิวด้วยวิธีการ combined therapy: Subcision and Profhilo
Profhilo ฉีดกี่ครั้งเห็นผล
โดยทั่วไป Profhilo ควรฉีดอย่างน้อย 2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 เดือนค่ะ โดยผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะเห็นได้ในช่วง 1-2 เดือนหลังฉีด
ผลลัพธ์ของ Profhilo อยู่ได้นาน 6-12 เดือนค่ะ (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการดูแลรักษาของคนไข้ผู้เข้ารับบริการ) หลังจากนั้น เราสามารถฉีดเพื่อได้ทุก ๆ 6 เดือนคงผลลัพธ์ค่ะ
Profhilo มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง
ผลข้างเคียงของการฉีด Profhilo ที่พบได้บ่อย คือ อาการบวม หรือช้ำจากเข็มค่ะ โดยจะหายไปเองในช่วง 2-3 ชั่วโมงหลังฉีดค่ะ
Profhilo อันตรายไหม
Profhilo เป็นหัตถการที่ไม่อันตราย หากฉีดโดยผู้เชี่ยวชาญและใช้ตัวยาของแท้ค่ะ เพราะ Profhilo สามารถสลายตัวไปตามกลไกธรรมชาติโดยไม่ทิ้งสารตกค้าง และยังหัตถการที่ถูกใช้ในวงการการความงามมาตั้งแต่ปี 2015 โดยมีรายงานอาการแพ้ (Allergic Reaction) น้อยมากค่ะ
เลือกฉีด Profhilo ที่ EY Clinic
ฉีด Profhilo ที่ EY Clinic เริ่มต้นที่ 24,999.- ต่อการฉีด 1 ครั้ง (2cc)
- ฉีด Profhilo 2 ครั้ง ราคา 47,599.-
- ฉีด Profhilo 3 ครั้ง ราคา 69,599.-
- ฉีด Profhilo 4 ครั้ง ราคา 89,599.-
โดยไม่ว่าจะเป็นการฉีด Profhilo ที่ตำแหน่ง BAP 5 จุดบนใบหน้า หรือฉีดเพื่อรักษาหลุมสิว ที่ EY Clinic จะมีการประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษาก่อนเสมอค่ะ โดยแผนการรักษาจะถูกออกแบบให้เหมาะสมกับปัญหาผิวของตัวบุคคล ไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็น และใช้ตัวยาแท้พร้อมเครื่องมือที่ได้มาตรฐานในทุกหัตถการค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ โรคผิวหนัง
.jpg)
ที่ ey clinic เราเชื่อว่าการดูแลผิวที่ดี เริ่มต้นจากความเข้าใจในปัญหาของแต่ละคน ทีมแพทย์ของเรานำโดย พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์ (หมอผึ้ง) แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง จากสถาบันโรคผิวหนัง พร้อมด้วยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี* ในการดูแลปัญหาผิวหลากหลายรูปแบบ ทั้งสิว หลุมสิว ฝ้า ปรับรูปหน้า และ โรคผิวหนัง
เราให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล โดยอิงจากหลักวิชาการทางการแพทย์เป็นหลัก ไม่ใช้การโฆษณาเกินจริง และไม่แนะนำสิ่งที่เกินความจำเป็น
คุณหมอและทีมให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา ดูแลอย่างต่อเนื่อง พร้อมติดตามผลเพื่อให้ผิวของคุณแข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ภายใต้บรรยากาศที่เป็นกันเอง สะดวก และเชื่อถือได้
Review การฉีด Profhilo
.jpg)
Before & After: การฉีด Profhilo บนใบหน้า ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและกระชับ
.jpg)
Before & After: การฉีด Profhilo เพื่อปรับผิวหย่อนคล้อยและให้เส้นริ้วแนวนอนบนลำคอดูเรียบเนียน
.jpg)
Before & After: การฉีด Profhilo เพื่อปรับริ้วรอยตื้นให้เรียบเนียนกลับคืน
.jpg)
Before & After: การฟื้นฟูผิวมือด้วยการฉีด Profhilo
.png)
.png)
.png)
.png)
.png)
ภาพ Before / After Profhilo
การฉีด Juvelook เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการฟื้นฟูผิวให้อ่อนวัย (Skin Rejuvenation) ที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ จึงไม่แปลกเลยที่หลาย ๆ คนจะมีคำถามว่า ฉีด Juvelook ดีไหม? ช่วยอะไรและฉีดตรงไหนได้บ้าง? ในบทความนี้หมอผึ้งได้รวบรวมข้อมูลที่ควรรู้เกี่ยวกับ Juvelook ไว้แล้วค่ะ
ไปเรียนรู้กันว่า การฉีด Juvelook คืออะไร ดีไหม และช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างไรค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- Juvelook คือ Hybrid Biostimulator ที่ประกอบด้วย ไฮยาลูรอนิก แอซิด และ PDLLA
- PDLLA ทำหน้าที่กระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ในผิวชั้นหนังแท้
- Juvelook ให้ผลลัพธ์ 2 รูปแบบ: 1.เติมความชุ่มชื้นให้ผิวทันที 2.กระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว ช่วยให้ผิวอิ่มฟู ยืดหยุ่น ดูอ่อนวัยยิ่งขึ้น
- Juvelook ยังมีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว
- Juvelook สามารถฉีดได้ทั้งทั่วใบหน้าและเฉพาะจุด เช่น ใต้ตา ร่องน้ำตา หรือหน้าแก้ม
- Juvelook ฟื้นฟูผิวให้อิ่มเด้งอ่อนวัยอย่างเป็นธรรมชาติ นานถึง 18 เดือน
Juvelook คืออะไร

Juvelook เป็นไหมน้ำชนิดหนึ่ง หรือ Hybrid Biostimulator ที่ประกอบด้วยสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid หรือ HA) และ โพลีดีแลคติก แอซิด (Poly-d,l-lactic acid หรือ PDLLA) ค่ะ โดย Juvelook จะทั้งเติมความชุ่มชื้นให้ผิวและออกฤทธิ์กระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว ให้ผิวดูอ่อนเยาว์ อิ่มฟู และเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ
ผลลัพธ์ของ Juvelook จมีอยู่ 2 รูปแบบ ดังนี้ค่ะ
- ไฮยาลูรอนิก แอซิดช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวทันที ช่วยให้ผิวดูฉ่ำวาว ยืดหยุ่น และเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น - เห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด
- PDLLA กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน อีลาสติน และเส้นใยโครงสร้างตาข่ายใต้ชั้นผิว ให้ผิวอิ่มฟูแน่นขึ้น ริ้วรอย-หลุมสิวดูจางลง และดูสุขภาพดีขึ้น - เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ในช่วง 4-5 สัปดาห์หลังฉีด

เราจึงสามารถสรุปได้ว่า Juvelook เป็นทั้ง Skin Booster ที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิว และ Biostimulator ที่กระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวค่ะ
โดยสำหรับคนที่ฉีดครั้งแรก หมอแนะนำให้ทำอย่างน้อย 3 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 1 เดือนเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ซึ่งผลลัพธ์ของการฉีด Juvelook จะมีอายุที่ 12-18 เดือน หรืออาจนานถึง 2 ปี หลังจากนั้น สามารถฉีดกระตุ้นได้ทุก ๆ 6-12 เดือนค่ะ
Juvelook กระตุ้นคอลลาเจนอย่างไร: กลไกการทำงานของ PDLLA

ภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงในชั้นผิวหนังแท้ (Dermis Layer)
ผ่านการย้อมสีแบบ Masson Trichrome เพื่อวัดปริมาณคอลลาเจนในชั้นผิว
PDLLA จัดเป็น Biostimulator หรือสารที่สามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ตามกลไกธรรมชาติค่ะ โดยจะเป็นสารที่คล้ายคลึงกับไหมละลาย หรือ PLLA ใน Sculptra มีความเข้ากันได้ดี (Biocompatibility) กับร่างกายมนุษย์ และสามารถย่อยสลายเองได้เมื่อเวลาผ่านไปค่ะ
PDLLA ใน Juvelook กระตุ้นคอลลาเจนตามกลไกดังนี้ค่ะ
- เมื่อฉีด Juvelook แล้ว สาร PDLLA ในรูปแบบ Microspheres จะเข้าไปสู่ชั้นหนังแท้ (Dermis) และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบแบบอ่อน ๆ
- กระบวนการอักเสบส่งสัญญาณต่อไปยังเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts)
- เซลล์ไฟโบรบลาสต์ เป็นเหมือนโรงงานผลิตโปรตีนเส้นใยให้ผิว เมื่อได้รับการสัญญาณกระตุ้น จะเริ่มทำงานมากขึ้น โดยผลิต
- คอลลาเจนประเภทที่ 1และ 3 ที่ช่วยให้ผิวแน่น ฟู และกระชับ
- อีลาสติน (Elastin) ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและทำให้ผิวเด้ง
- สารหุ้มเซลล์ (Extracellular Matrix หรือ ECM) ซึ่งเป็นเหมือนโครงสร้างตาข่ายที่ให้ความแข็งแรง เพิ่มวอลลุ่ม และหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวให้มีสารอาหารและความชุ่มชื้นเพียงพอ
การกระตุ้นคอลลาเจนจะใช้เวลาเริ่มต้นที่ 3-4 สัปดาห์ค่ะ หลังจากนั้นผิวก็จะเริ่มแน่นฟู เนียนเด้ง กระชับเรื่อย ๆ โดยพบว่า หลังฉีด Juvelook แล้ว 6 เดือน ปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวเพิ่มอย่างชัดเจน อีกทั้งยังซ่อมแซมเยื้อเยื่อส่วนรอยแผลเป็น (Scar remodelling) ทำให้ดูจางลงค่ะ
นอกจากนี้ PDLLA ยังกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอย (Angiogenesis) ใต้ชั้นผิว ซึ่งส่งเสริมกระบวนการสมานแผล (Wound Healing) ช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมโทรมให้มีสุขภาพดียิ่งขึ้นค่ะ

Juvelook กับการรักษาหลุมสิว
สำหรับคนที่มีปัญหาหลุมสิวที่ทำให้ผิวหน้าดูขรุขระ ตัว Juvelook ก็สามารถช่วยได้เช่นกันค่ะ โดยเมื่อเลือกฉีดเฉพาะจุด ไฮยาลูรอนิก แอซิดจะทำให้ผิวบริเวณหลุมผิวมีความอิ่มน้ำ ทำให้หลุมสิวดูจางลงเล็กน้อย จากนั้น PDLLA จะค่อย ๆ ออกฤทธิ์กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนรวมถึงเส้นใยต่าง ๆ ส่งผลให้ผิวมีความแน่นและฟูขึ้น เติมเต็มส่วนที่เป็นหลุมสิวให้ตื้นและเรียบเนียนยิ่งขึ้นค่ะ
Juvelook จะให้ประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวยิ่งขึ้น เมื่อทำควบคู่กับหัตถการหลุมสิวอื่น ๆ เช่น เลเซอร์หลุมสิว และ การตัดพังผืด (Subsicion) หลุมสิวค่ะ คนมีปัญหาหลุมสิวสามารถเข้ามาปรึกษากับหมอผึ้งได้ที่ EY Clinic เราเป็นคลินิกผู้เชี่ยวชาญด้านการปัญหาผิว และหลุมสิว มียอดการใช้หัวเลเซอร์ Venus Viva MD สูงที่สุดในปี 2024 และมีคอร์สรักษาหลุมสิวที่ครอบคลุม ตรงจุด การันตีความพึงพอใจค่ะ
Juvelook ฉีดจุดไหนได้บ้าง?

Juvelook ฉีดได้ทั้งทั่วใบหน้าและเฉพาะจุดค่ะ
- ทั่วหน้า เพื่อเติมความชุ่มชื้นและปรับสภาพผิว
- ใต้ตา สำหรับคนที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำ
- ร่องน้ำตาและหางตา เพื่อลดริ้วรอยรอบดวงตา
- หน้าแก้ม สำหรับคนที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง
- บริเวณที่เป็นหลุมสิว เพื่อให้หลุมสิวดูตื้นและใบหน้าเรียบเนียนยิ่งขึ้น
- ส่วนอื่นของร่างกายที่มีรอยแผลเป็นหรือรอยแตกลาย เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา
ฉีด Juvelook ดีอย่างไร? ช่วยอะไรบ้าง?
- เติมความชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำและฉ่ำวาวตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด
- กระตุ้นคอลลาเจน อีลาสตินและเส้นใยโครงสร้างผิว ช่วยให้ผิวกระชับ แข็งแรง
- ช่วยลดเลือนริ้วรอย รอยแผลเป็น และหลุมสิว
- เลือกฉีดได้ทั้งทั่วใบหน้าและเฉพาะจุด
- ช่วยลดรอยแผลเป็นและรอยแตกลายของผิวได้
- มีความปลอดภัย เนื่องจาก PDLLA สามารถเข้ากับร่างกายมนุษย์และสลายตัวเองได้
- โมเลกุลเล็ก ฉีดแล้วไม่บวม ไม่ต้องพักฟื้น และไม่ต้องนวดหลังฉีด
- ให้ผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาตินาน 12-18 เดือน (หรืออาจนานถึง 2 ปี) โดยผลลัพธ์ยังคงอยู่แม้ PDLLA สลายตัวไปแล้ว
ฉีด Juvelook ดีไหม? เหมาะกับใครบ้าง?
Juvelook เป็น Skinbooster ที่ทั้งให้ความชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิวค่ะ แต่หากถามว่า เราควรฉีด Juvelook ดีไหม? หมอขอตอบว่า ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคลค่ะ โดย Juvelook เหมาะกับ:
- คนที่มีผิวแห้งกร้าน และต้องการเติมความชุ่มชื้นอย่างต่อเนื่อง
- คนที่ต้องการลดปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา และใต้ตาคล้ำ
- คนที่มีต้องการรักษาหลุมสิว รอยแผลเป็น และรอยดำ-รอยแดงา
- คนที่ต้องการกระชับรูขมขน และฟื้นฟูผิวหน้าที่โทรม
- คนที่ต้องการผิวให้ดูอ่อนวัยยิ่งขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและยาวนาว
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นการฉีด Juvelook หรือหัตถการตัวไหน ๆ เราก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจทุกครั้งค่ะ เพื่อให้เราได้รับการรักษาที่เหมาะสมและมอบผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจได้ค่ะ
วิธีเช็ค Juvelook ว่าเป็นของแท้

วิธีเช็ค Juvelook
- ตรวจสอบ QR Code ซึ่งต้องขูดก่อนเพื่อทำสแกน QR Code บนสติ๊กเกอร์ฮาโลแกรมที่ติดด้านข้างกล่อง เมื่อสแกนแล้วจะขึ้นรูปภาพเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และมีเครื่องหมายติ๊กถูก หากเป็นกล่องที่สแกนซ้ำจะขึ้นเป็นรูปกากบาท ไม่ควรใช้บริการ
- กล่องเป็นแพ็กเกจใหม่ที่ออกแบบสำหรับจำหน่ายภายในประเทศไทยเท่านั้น เพื่อให้ผู้รับบริการสังเกตผลิตภัณฑ์ของแท้ได้สะดวกมากขึ้น
- ด้านข้างกล่องต้องมีโลโก้ บริษัท จูวีเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
- ด้านข้างกล่องต้องระบุวิธีการเก็บรักษา คำเตือน ชื่อและที่ตั้ง สถานที่นำเข้าเป็นภาษาไทย อย่างชัดเจน
- ด้านข้างกล่องต้องระบุใบอนุญาตขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์
- สามารถตรวจสอบคลินิกที่ได้มารตฐานผ่านเว็บไซต์ https://juvetekglobal.com/clinic
รีวิวจากผู้รับบริการจริง








ราคาแพ็กเกจฉีด Juvelook ที่ EY Clinic
- Juvelook 1cc ราคา 3,999
- Juvelook 3cc ราคา 8,999
- Juvelook 6cc ราคา 15,999
เราเหมาะกับการฉีด Juvelook ไหม? ปรึกษาได้ที่ EY Clinic
การฉีด Juvelook เป็นการบูสต์ผิวให้ความชุ่มชื้นและกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้อย่างทีประสิทธิภาพค่ะ อีกทั้งยังเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัย เพราะทั้งไฮยาลูรอนิก แอซิด และ PDLLA สามารถสลายตัวได้ และยังให้ผลลัพธ์เป็นผิวอิ่มฟู-สุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติด้วยค่ะ สำหรับคนที่ไม่มั่นใจว่า จะฉีด Juvelook ดีไหม จะเหมาะกับเราหรือไม่ สามารถเข้ามาปรึกษาหมอได้ที่ Ey Clinic ค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ โรคผิวหนัง

ที่ ey clinic เราเชื่อว่าการดูแลผิวที่ดี เริ่มต้นจากความเข้าใจในปัญหาของแต่ละคน ทีมแพทย์ของเรานำโดย พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์ (หมอผึ้ง) แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง จากสถาบันโรคผิวหนัง พร้อมด้วยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี* ในการดูแลปัญหาผิวหลากหลายรูปแบบ ทั้งสิว หลุมสิว ฝ้า ปรับรูปหน้า และ โรคผิวหนัง
เราให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล โดยอิงจากหลักวิชาการทางการแพทย์เป็นหลัก ไม่ใช้การโฆษณาเกินจริง และไม่แนะนำสิ่งที่เกินความจำเป็น
คุณหมอและทีมให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา ดูแลอย่างต่อเนื่อง พร้อมติดตามผลเพื่อให้ผิวของคุณแข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ภายใต้บรรยากาศที่เป็นกันเอง สะดวก และเชื่อถือได้
(*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลของแต่ละบุคคล)
แวะเข้ามาปรึกษาคุณหมอ ได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
อ้างอิงข้อมูล
- Lee, K.W.A. et al. (2024) Poly-D,L-lactic acid (PDLLA) application in dermatology: A literature review: https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC11434839
- Why juvelook & Lenisna; What is PDLLA; https://juvelook.com/what-is-pdlla/
Juvelook เป็นไหมน้ำชนิดหนึ่ง ที่มีคุณสมบัติของ Skin Booster ที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวและ Biostimulator ที่กระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวค่ะ การฉีด Juvelook ในบริเวณใต้ตา จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปัญหารอยเหี่ยวย่นใต้ตา ร่องน้ำตา และขอบตาคล้ำ ที่มักทำให้ใบหน้าของเราดูโทรมและเหนื่อยล้าค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- Juvelook ประกอบด้วย ไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) และ PDLLA
- Juvelook ให้ผลลัพธ์ 2 รูปแบบ:
1. ให้ความชุ่มชื้นกับผิวทันที
2. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูผิวในระยะยาว - การฉีด Juvelook ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย ร่องน้ำตา ใต้ตาหย่อน และใต้ตาคล้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การฉีด Juvelook ใต้ตา คือหัตถการที่เน้นฟื้นฟูผิวใต้ดวงตาให้แข็งแรง ในขณะที่ฟิลเลอร์ใต้ตา จะเน้นไปที่การเติมปริมาตรให้ผิวใต้ตาเพื่อลดริ้วรอย
Juvelook คืออะไร

Juvelook คือ Hybrid Biostimulator ที่ประกอบด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid หรือ HA) และ โพลีดีแลคติก แอซิด (Poly-d,l-lactic acid หรือ PDLLA) โดยให้ผลลัพธ์เป็น 2 รูปแบบ คือ 1. เมื่อฉีดแล้ว ผิวมีความชุ่มชื้นและอิ่มน้ำมากขึ้นทันที ด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด 2.PDLLA กระตุ้นให้ผิวผลิตคอลลาเจนและเส้นใยต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้ผิวแน่นฟูและแข็งแรงขึ้นในระยะยาวค่ะ
โมเลกุลของไฮยาลูรอนิก แอซิดใน Juvelook ยังเป็นแบบ Non-crosslinked มีเนื้อที่เหลวและไม่ขึ้นรูป ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าฉีดแล้ว ใต้ตาจะบวมหรือเป็นก้อนค่ะ
ส่วน PDLLA ใน Juvelook จะอยู่ในรูปแบบของ Microspheres ซึ่งเป็นเหมือนฟองน้ำทรงกลมที่มีรูพรุนรอบตัวค่ะ โดยโมเลกุลลักษณะนี้จะช่วยการชะลอการสลายตัวของ PDLLA ทำให้กระตุ้นคอลลาเจนในพื้นที่ที่ฉีดได้นานขึ้นค่ะ
การฉีด Juvelook ใต้ตา ช่วยอะไรบ้าง?

การฉีด Juvelook ใต้ตาช่วยลดริ้วรอย เติมร่องน้ำตา ถุงใต้ตาหย่อน และช่วยแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำที่เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอหรือภูมิแพ้ค่ะ การฉีด Juvelook จะทำให้ผิวใต้ตามีความชุ่มชื้นและกระชับ ซึ่งช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและสดชื่นยิ่งขึ้นค่ะ
การฉีด Juvelook ใต้ตา อันตรายไหม
การฉีด Juvelook ใต้ตามีความอันตรายน้อยมาก หากทำโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและใช้ตัวยาที่เป็นของแท้ค่ะ โดยไฮยาลูรอนิก แอซิดและ PDLLA ใน Juvelook เป็นสารประกอบที่มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพกับเซลล์ (Biocompatibility) สามารถย่อยสลายได้ตามกลไกธรรมชาติ และมีผลข้างเคียงน้อยมากค่ะ
แต่เพราะบริเวณใต้ตาเป็นพื้นที่ที่มีความบอบบาง ต้องอาศัยความแม่นยำสูง เราจึงควรเข้ารับบริการกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน และมีแพทย์เป็นผู้ดำเนินหัตถการ เพื่อความปลอดภัยค่ะ
เปรียบเทียบ Juvelook ใต้ตา vs ฟิลเลอร์ใต้ตา

การฉีด Juvelook ใต้ตาเป็นการฟื้นฟูผิวใต้ตาผ่านการกระตุ้นคอลลาเจน ในขณะที่ฟิลเลอร์ใต้ตาจะเน้นไปที่การเติมวอลลุ่มให้ผิวด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิดค่ะ
ทั้งฟิลเลอร์ และ Juvelook สามารถช่วยลดริ้วรอยใต้ตาและเติมร่องน้ำตาให้ดูกระชับขึ้นได้ อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาขอบตาคล้ำ แต่ทั้งสองหัตถการจะก็มีสารประกอบ วิธีการทำงาน ความโดดเด่น และข้อดี-ข้อเสียที่ต่างกันค่ะ
องค์ประกอบ
- Juvelook: ประกอบด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิดแบบ non-crosslinked ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ความชุ่มชื้นโดยเฉพาะ และ PDLLA ที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจน อีลาสติน และโครงสร้างตาข่ายหุ้มเซลล์ (Extracellular Matrix หรือ ECM)
- ฟิลเลอร์: ประกอบด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิดแบบ crosslinked ที่มีความคงตัวและขึ้นรูปได้ ทำให้เติมเต็มปริมาตรของผิวได้ดี พร้อมทั้งช่วยเก็บความชุ่มชื้นในตัว
วิธีการทำงาน
- Juvelook ใต้ตา: เติมความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด และฟื้นฟูผิวจากภายในผ่านกระตุ้นคอลลาเจนด้วยสาร PDLLA
- ฟิลเลอร์ใต้ตา: เติมเต็มวอลลุ่มให้ผิวใต้ตาด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด
ผลลัพธ์
- Juvelook ใต้ตา: ผิวใต้ตามีความชุ่มชื้นขึ้น PDLLA ใช้เวลา 3-4 สัปดาห์ในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน อีลาสติน และ ECM ให้ผลลัพธ์เป็นผิวใต้ตาที่กระชับ เต่งตึง และดูสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติยาวนาน 12-18 เดือน หรือนานถึง 2 ปี
- ฟิลเลอร์ใต้ตา: เห็นผลได้ทันที โดยไฮยาลูรนิก แอซิดช่วยเติมปริมาตรให้ผิวใต้ตาดูอิ่มฟูมากขึ้นทันที พร้อมให้ความชุ่มชื้น โดยผลลัพธ์มีอายุเฉลี่ยที่ 6-12 เดือน โดยจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์
จำนวนครั้ง
- Juvelook ใต้ตา: ควรทำติดต่อกัน 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 3-4 สัปดาห์
- ฟิลเลอร์ใต้ตา: โดยส่วนมาก ทำเพียง 1 ครั้ง
ข้อดีและข้อเสีย
- Juvelook ใต้ตา
- ช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงจากภายในด้วยคอลลาเจน อีลาสติน และ ECM
- ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและอยู่ได้นาน
- ฉีดแล้วไม่เป็นก้อนและไม่ไหลไปยังส่วนอื่นของใบหน้า
- ต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
- ฟิลเลอร์ใต้ตา
- เห็นผลลัพธ์ได้ทันที
- สามารถฉีดสารเพื่อสลายฟิลเลอร์ได้ หากไม่พอใจกับผลลัพธ์
- ฟิลเลอร์อาจจับเป็นก้อนหรือไหลไปยังส่วนอื่นของใบหน้า
- ผลลัพธ์อยู่ได้สั้นกว่า อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับการยี่ห้อของฟิลเลอร์และการดูแลของบุคคล
หมอขอสรุปว่า ฟิลเลอร์จะเหมาะกับคนที่มีปัญหาใต้ตาลึกและริ้วรอยที่ต้องการแก้ปัญหาแบบรวดเร็ว ส่วน Juvelook จะเหมาะกับคนที่มีปัญหาตาคล้ำ ใต้ตาหย่อน ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงและสุขภาพดีในระยะยาวค่ะ อย่างไรก็ดี หมอแนะนำว่า เราควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนจะตัดสินใจเลือก เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดค่ะ
รีวิวจากผู้รับบริการจริง




ฉีด Juvelook ใต้ตา ราคาเท่าไร
- Juvelook 1cc ราคา 3,999
- Juvelook 3cc ราคา 8,999
วิธีเช็ค Juvelook ว่าเป็นของแท้

วิธีเช็ค Juvelook
- ตรวจสอบ QR Code ซึ่งต้องขูดก่อนเพื่อทำสแกน QR Code บนสติ๊กเกอร์ฮาโลแกรมที่ติดด้านข้างกล่อง เมื่อสแกนแล้วจะขึ้นรูปภาพเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และมีเครื่องหมายติ๊กถูก หากเป็นกล่องที่สแกนซ้ำจะขึ้นเป็นรูปกากบาท ไม่ควรใช้บริการ
- กล่องเป็นแพ็กเกจใหม่ที่ออกแบบสำหรับจำหน่ายภายในประเทศไทยเท่านั้น เพื่อให้ผู้รับบริการสังเกตผลิตภัณฑ์ของแท้ได้สะดวกมากขึ้น
- ด้านข้างกล่องต้องมีโลโก้ บริษัท จูวีเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
- ด้านข้างกล่องต้องระบุวิธีการเก็บรักษา คำเตือน ชื่อและที่ตั้ง สถานที่นำเข้าเป็นภาษาไทย อย่างชัดเจน
- ด้านข้างกล่องต้องระบุใบอนุญาตขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์
ฉีด Juvelook ฟื้นฟูผิวใต้ตาที่ EY Clinic
Juvelook เป็นตัวเลือกในการบูสต์ผิวที่มีประสิทธิภาพค่ะ โดยคนที่กำลังสนใจอยากฉีด Juvelook เพื่อแก้ปัญหาผิวใต้ตา หรือยังไม่แน่ใจว่าตัวเราเหมาะกับ Juvelook หรือไม่ ก็สามารถเข้ามาปรึกษาหมอได้ที่ EY Clinic ค่ะ โดยเรามีการวางแผนและออกแบบการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ให้การดูแลอย่างเป็นมืออาชีพ และมีการติดตามผลเพื่อการันตีความพึ่งพอใจค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ โรคผิวหนัง

เพราะเรา คือ ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery ยินดีให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาปรึกษาคุณหมอ ได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
Profhilo เป็น Bioremodeller ส่วน Radiesse เป็น Biostimulator ซึ่งได้รับความนิยมกันทั้งคู่ค่ะ แต่ถึงจะทำหน้าที่คล้ายกัน แต่ทั้งสองตัวนี้มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันค่ะ ในบทความนี้หมอได้สรุปความแตกต่างของ Profhilo vs Radiesse เอาไว้แล้วค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- Profhilo และ Radiesse มีความสามารถกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินได้เหมือนกัน
- Profhilo คือ Hyaluronic Acid ชนิดพิเศษ ในขณะที่ Radiesse คือ สาร CaHA
- Profhilo ออกฤทธิ์ต่อในทั้งผิวชั้นหนังกำพร้าและชั้นลึกจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวมทั่วใบหน้า
- Radiesse เน้นการทำงานในผิวชั้นลึก เพื่อเสริมโครงสร้างและเพิ่มความวอลลุ่มให้ผิว นิยมใช้กับบริเวณที่มีความหย่อนคล้อย เช่น แก้ม กรอบหน้า หรือหลังมือ
- Profhilo โดดเด่นในด้านการคืนความอ่อนวัย เติมความชุ่มชื้น ลบเลือนริ้วรอย และเพิ่มความกระชับยืดหยุ่นให้ผิว
- Sculptra โดดเด่นในเรื่องการยกกระชับ ลิฟต์กรอบหน้า และเติมเต็มปริมาตรให้ผิวดูอิ่มฟู ไม่เหี่ยวย่น
- Profhilo อยู่ได้นาน 6-12 เดือน ในขณะที่ Radiesse อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
- Profhilo ควรฉีดอย่างน้อย 2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 เดือน และจะเริ่มให้ผลลัพธ์ในช่วง 1-2 เดือนหลังฉีด
- Radiesse อาจมีจำนวนครั้งการฉีดที่มากกว่าหรือถี่กว่า ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของบุคคล โดยจะเห็ยผลลัพธ์ด้านวอลลุ่มของผิวทันทีหลังฉีด และสาร CaHA จะค่อย ๆ กระตุ้นคอลลาเจนต่อไปในระยะยาว
- หลังฉีด Profhilo แล้ว มักไม่ต้องมีเวลาพักฟื้น หรือมีผลข้างเคียงที่น้อยมาก ๆ ในขณะที่ Radiesse อาจทำให้เกิดรอยช้ำหรือบวมแดงเล็กน้อย
Profhilo คืออะไร
Profhilo [โปร-ฟิ-โล] คือ สารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) บริสุทธิ์ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 64 mg/2ml (มากกว่าฟิลเลอร์ทั่วไปถึง 5 เท่า) มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในทุกชั้นผิวค่ะ โดย Profhilo ต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปที่ โมเลกุลไฮยาของ Profhilo จะมีความหนืดต่ำ เมื่อฉีดแล้วสามารถแพร่กระจายในชั้นผิวได้ทันที โดยไม่ขึ้นรูปหรือไม่จับตัวเป็นก้อน การฉีด Profhilo จึงไม่ใช่การเติมเต็มปริมาตรให้ผิว แต่จะเป็นการปรับโครงสร้าง (Bio-remodeling) เติมความชุ่มชื้น (Skin Hydration) และปรับคุณภาพผิว (Skin Quality) โดยรวมนั่นเองค่ะ
Profhilo ทำหน้าที่เป็น Bioremodeller ที่ออกฤทธิ์ในทุกชั้นผิว โดยจะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน (ชนิดที่ 1,3, และ 4) และอีลาสติน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความกระชับยืดหยุ่นให้ผิว ร่วมไปถึงเสริมสร้างโครงสร้างผิวให้แข็งแรงยิ่งขึ้นค่ะ
Profhilo ช่วยอะไรบ้าง
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้ผิวเต่งตึงและยืดหยุ่นมากขึ้น
- ปรับปรุงโครงสร้างและคุณภาพผิวโดยรวม
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างล้ำลึก เนื่องจากมีส่วนประกอบของไฮยาลูรอนิก แอซิดเข้มข้นสูง ช่วยแก้ปัญหาผิวแห้งกร้านได้
- ลดเลือนริ้วรอยตื้นๆ และรอยย่นบนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณแก้มและร่องแก้ม
- ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอ ฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำจากแสงแดดและมลภาวะ
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว เมื่อทำควบคู่กับการตัดพังผืดหลุมสิว (Subcision) หรือเลเซอร์หลุมสิว Venus Viva MD
ผลลัพธ์ของ Profhilo อยู่ได้นาน 6-12 เดือน และจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในช่วง 1-2 เดือนแรกค่ะ หมอแนะนำให้ฉีดอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 1 เดือน และหลังจากนั้นก็สามารถฉีดเพื่อคงผลลัพธ์ได้ทุก 6 เดือนค่ะ
Radiesse คืออะไร
Radiesse [เร-เดียสซ์] คือ สารแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทด์ (Calcium Hydroxylapatite, CaHA) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็น Biostimulator กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวชั้นลึก และยังสามารถเติมปริมาตรให้ผิวได้คล้ายกับฟิลเลอร์ค่ะ
โดย Radiesse จะเข้าไปเติมเต็มปริมาตรผิวทำให้ผิวดูกระชับและอิ่มฟูขึ้นหลังฉีด และเมื่อสาร CaHA ถูกร่างกายดูดซึมแล้ว ก็จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ให้ผลิตคอลลาเจน (ชนิดที่ 1 และ 3) อีลาสติน และเพิ่มโมเลกุล Proteoglycan ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแรงให้ผิว อีกทั้งยังกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอยใต้ชั้นผิวอีกด้วยค่ะ
Radiesse ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
- ช่วยเติมเต็มให้ผิวอิ่มฟูกระชับ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด
- เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้โครงสร้างผิว
- ช่วยลดริ้วรอยและเติมเต็มร่องลึกบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และริ้วรอยรอบดวงตา
- ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณมุมปาก แก้มตอบ ขมับตอบ และลำคอ
- สามารถฉีดเพื่อลดความเหี่ยวย่นบริเวณหลังมือได้ด้วยค่ะ
ซึ่งผลลัพธ์ของ Radiesse มีอายุอยู่ที่ 15-24 เดือนค่ะ โดยหมอแนะนำว่าควรฉีดติดต่อกันอย่างน้อย 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4-6 สัปดาห์ และสามารถฉีดเพิ่มคงผลลัพธ์ได้ ทุก ๆ 12-18 เดือนค่ะ
Profhilo vs Radiesse แตกต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดของ Profhilo vs Radiesse คือ Profhilo เป็น ไฮยาลูรอนิกแอซิดที่สามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ทุกชั้นผิว โดยไม่เติมวอลลุ่มให้ผิวหรือเปลี่ยนรูปหน้า ในขณะที่ Radiesse คือ แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทด์ จะเติมผิวให้มีความอิ่มฟูได้ทันที และจะออกฤทธิ์กระตุ้นคอลลาเจนในผิวชั้นลึกภายหลังค่ะ โดยหมอผึ้งได้สรุปความแตกต่างที่สำคัญของ Biostimulator ทั้งสองตัวนี้ไว้ในตารางด้านล่างแล้วค่ะ
Profhilo vs Radiesse อันไหนดีกว่ากัน
สำหรับคำถามที่ว่า Profhilo vs Radiesse ตัวไหนดีกว่ากัน ก็ต้องตอบว่า ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่อยากได้ค่ะ โดย Profhilo เหมาะกับคนที่ต้องการเติมน้ำให้ผิว ลดเลือนริ้วรอย และปรับคุณภาพผิวโดยรวม ส่วน Radiesse เหมาะกับคนที่ต้องการเติมวอลลุ่มให้ผิวอย่างรวดเร็ว และกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาวค่ะ
สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะกับ Profhilo หรือ Radiesse มากกว่ากัน สามารถเข้ามาปรึกษาหมอผึ้งที่ EY Clinic ได้ค่ะ โดยเรามีการประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษาก่อนเริ่มหัตถการทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่า คุณจะได้รับการรักษาที่ตรงจุด ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ และไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็นค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเรา คือ ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาปรึกษาคุณหมอ ได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
ในปัจจุบัน เรามีหัตถการช่วยกระตุ้นคอลลาเจนอยู่มากมายค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์หรือสารกระตุ้นอย่าง Biostimulator ในบทความนี้ หมอผึ้งจึงจะมาอธิบายถึงความแตกต่างของ Profhilo vs Sculptra สองตัวเลือกในการจบปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ที่กำลังได้รับความนิยมค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- Profhilo และ Sculptra มีความสามารถในการกระตุ้นคอลลาเจน และถือเป็น Biostimulator ที่มีประสิทธิภาพทั้งคู่
- Profhilo มีส่วนประกอบเป็น Hyaluronic acid ออฤทธิ์ในทั้งผิวชั้นหนังกำพร้าและชั้นลึก ในขณะที่ Sculptra เป็น PLLA ออกฤทธิ์ในชั้นลึกเท่านั้น
- Profhilo ช่วยเติมความชุ่มชื้น ยกกระชับ และการฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวม ในขณะที่ Sculptra เน้นการเพิ่มวอลลุ่มให้ผิวตึงกระชับ และดูอ่อนวัยในระยะยาว
- Profhilo อยู่ได้นาน 6-12 เดือน ในขณะที่ Sculptra อยู่ได้นานถึง 2 ปี
- Profhilo ควรฉีดอย่างน้อย 2 ครั้ง ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น และจะเริ่มให้ผลลัพธ์ในช่วง 1-2 เดือนหลังฉีด
- Sculptra ควรฉีดอย่างน้อย 3 ครั้ง อาจมีรอยช้ำหรือบวมหลังฉีด และให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะใช้เวลานานกว่า
- ทั้ง Profhilo และ Sculptra สามารถช่วยรักษาหลุมสิวได้
Profhilo คืออะไร
Profhilo [โปร-ฟิ-โล] คือ ไฮยาลูรอนิก แอซิดโมเลกุลพิเศษที่มีความบริสุทธิ์สูง ที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นเซลล์ผิวค่ะ ซึ่งต่างกับฟิลเลอร์ไฮยาทั่วไปตรงที่ Profhilo จะมีเนื้อที่เหลว เมื่อฉีดแล้ว จะไม่ขึ้นรูปหรือเติมวอลลุ่มให้ผิว แต่จะเป็นการบูสต์ผิวให้มีสุขภาพดี กระชับด้วยคอลลาเจนและอีลาสตินที่มากขึ้นโดยไม่ปรับเปลี่ยนรูปหน้าค่ะ
Profhilo ดีไหม ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
Profhilo ฟื้นฟูคุณภาพผิวผ่านการปรับโครงสร้างผิวค่ะ (Bio-remodeling) โดยจะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ชนิดที่1,3,4 และ อีลาสตินในทุกชั้นผิว ซึ่งช่วยให้ผิวมีความกระชับ ยืดหยุ่น และอิ่มน้ำ อีกทั้งยังช่วยเสริมความแข็งแรงให้เกราะป้องกันผิวทางธรรมชาติด้วยค่ะ
Profhilo ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยก่อนวัย ผิวหย่อนคล้อย และผิวแห้งกร้านได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ เนื่องจากมวลคอลลาเจนและอีลาสตินที่มากขึ้น จะช่วยล็อกความชุ่มชื้นและยกกระชับผิว อีกทั้งยังช่วยซ่อมแซมผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดดและมลภาวะ ช่วยลดรอยดำ-รอยแดง และปรับผิวให้มีความกระจ่างใสยิ่งขึ้นค่ะ
- ตำแหน่งที่ฉีดได้: การฉีด Profhilo สามารถทำได้ทั่วใบหน้า เพื่อปรับสภาพผิวและลดริ้วรอยค่ะ และฉีดเพื่อลดความหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ มือ แขน ขา และหน้าท้องได้ค่ะ
- จำนวนครั้ง: ควรฉีดติดต่อกันอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 1 เดือน
- อายุของผลลัพธ์: ผลลัพธ์ของ Profhilo ยาวนาน 6-12 เดือน โดยจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในช่วง 1-2 เดือนหลังฉีด และสามารถฉีดกระตุ้นได้ทุก ๆ 6 เดือนค่ะ
Sculptra คืออะไร
Sculptra คือสาร Poly-L-Lactic (PLLA) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเช่นกันค่ะ โดยตัว PLLA เป็นสารตัวเดียวกับไหมละลายที่ใช้ในการเย็บแผลผ่าตัดที่เริ่มถูกใช้เพื่อความงามมาตั้งแต่ปี 1993 ทำให้เรามั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพค่ะ
การทำงานของ Sculptra ก็คล้ายคลึงกับ Profhilo ค่ะ โดยจะกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ในผิวชั้นลึกให้ผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น โดยพบว่า เพียง 3 เดือนหลังฉีดแล้ว ปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวเพิ่มขึ้นถึง 66.5% ค่ะ
Sculptra ดีไหม ช่วยอะไรบ้าง
Sculptra ช่วยเพิ่มปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวด้วยกลไกธรรมชาติ ซึ่งช่วยปัญหาริ้วรอยร่องลึกและร่องตื้นได้ดีค่ะ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวมีความอิ่มแน่น แข็งแรง และชุ่มชื้นเนื่องจากมวลคอลลาเจนที่เพิ่มมากขึ้น
การฉีด Sculptra ยังเป็นตัวช่วยในการยกกระชับผิว เหมาะกับคนที่กังวลเรื่องริ้วรอยและความหย่อนคล้อยจากอายุ เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ความสามารถในการผลิตคอลลาเจนก็น้อยลงไปด้วย Sculptra ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มาก ๆ ค่ะ
- ตำแหน่งที่ฉีดได้: บริเวณหน้าแก้ม ขากรรไกร คาง และขมับ
- จำนวนครั้ง: ควรฉีดติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 4 สัปดาห์
- อายุของผลลัพธ์: ผลลัพธ์ของของการฉีด Sculptra อยู่ได้ยาวนานถึง 18-24 เดือน โดยจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังฉีด และสามารถฉีดกระตุ้นได้ปีละ 1 ครั้งเพื่อคงผลลัพธ์ค่ะ
Profhilo และ Sculptra กับประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว
ทั้ง Profhilo และ Sculptra เป็น Biostimulator ที่ช่วยแก้ปัญหาหลุมสิวได้ค่ะ โดยทั้งสองหัตถการสามารถทำร่วมกับวิธีรักษาหลุมสิวอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาค่ะ
โดยงานวิจัยของ Journal of Cosmetic Dermatology พบว่า การฉีด Profhilo ควบคู่ไปกับ การตัดพังผืดหลุมสิว (Subcision) ให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจต่อผู้รักษามากกว่าถึง 2 เท่า (นับจาก VAS score) เมื่อเทียบกับการรักษาด้วย Subcision เพียงอย่างเดียวค่ะ
ส่วน Sculptra สามารถเพิ่มปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้ถึง 66.5% ซึ่งเมื่อทำควบคู่กับเลเซอร์หลุมสิว อย่าง Venus Viva MD จะช่วยกระตุ้นกระบวนการสมานแผล ฟื้นฟูผิว และช่วยให้ผิวหลุมสิวดูจางลงได้ค่ะ โดยเฉพาะหลุมสิวประเภท rolling และ boxcar ค่ะ
โดย EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านการปัญหาผิว และหลุมสิว มียอดการใช้หัวเลเซอร์ Venus Viva MD สูงที่สุดในปี 2024 และมีคอร์สรักษาหลุมสิวที่ครอบคลุม ตรงจุด การันตีความพึงพอใจค่ะ
ความแตกต่างของ Profhilo vs Sculptra
ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดของ Profhilo vs Sculptra อยู่ที่ส่วนประกอบและการทำงานค่ะ โดย Profhilo คือ ไฮยาลูรอนิก แอซิดที่โมเลกุลพิเศษ ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้ในทุกชั้นผิว ผลลัพธ์เน้นไปที่การปรับโครงสร้างและคุณภาพผิว ในขณะที่ Sculptra คือ PLLA หรือสารตัวเดียวกับไหมละลาย ที่กระตุ้นคอลลาเจนในผิวชั้นลึกอย่างมีเพื่อเน้นการเติมเต็มและยกกระชับค่ะ
โดยหมอผึ้งได้สรุปความแตกต่างของ Profhilo vs Sculptra ไว้ในตารางนี้แล้วค่ะ
เปรียบเทียบ Profhilo vs Sculptra - ตัวไหนดีกว่ากัน
หากถามว่า Profhilo vs Sculptra ตัวไหนดีกว่ากัน หมอคิดว่า ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่เราอยากได้ค่ะ โดย Profhilo ออกแบบมาเพื่อเติมความชุ่มชื้น ยกกระชับ และการฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวม รวมทั้งการฟื้นฟูหลุมสิว ในขณะที่ Sculptra เหมาะกับคนที่ต้องการเพิ่มวอลลุ่มให้ผิวตึงกระชับ และดูอ่อนวัยในระยะยาวค่ะ
สำหรับคนที่กำลังตัดสินใจเลือกระหว่าง Profhilo vs Sculptra หมอผึ้งคิดว่า การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้เราตัดสินใจตรงนี้ได้ง่ายขึ้นค่ะ โดยที่ EY Clinic จะมีการประเมินสภาพผิวและพูดคุยถึงผลลัพธ์ที่ต้องการก่อนเริ่มการรักษา และมีการวางแผนการรักษาให้เหมาะกับตัวบุคคลโดยไม่ยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็นแน่นอนค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเรา คือ ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาปรึกษาคุณหมอ ได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
ปัญหาผิวที่น่าจะกวนใจใครหลาย ๆ คนไม่น้อยไปกว่าปัญหาสิว คงพ้นไม่พ้น “หลุมสิว” รอยแผลเป็นที่ทำให้หน้าของดูขรุขระไม่เรียบเนียนค่ะ ในบทความนี้ หมอผึ้งจึงอยากจะแนะนำให้รู้จักกับ หลุมสิว Boxcar หรือที่หลายคนอาจจะเรียกว่า Box scar ซึ่งก็คือหลุมสิวที่รูปร่างคล้ายกล่องที่บุ๋มลงไปจากระนาบผิวหน้าของเราค่ะ ไปดูกันว่าหลุมสิว Boxcar scar คืออะไร ต่างจากหลุมสิวแบบอื่นอย่างไร และจะรักษา Boxcar scar ได้อย่างไรค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- หลุมสิว Boxcar มักพบได้ที่บริเวณแก้มและหน้าผาก และมีลักษณะเหมือนกล่องที่บุ๋มลงไปจากระนาบผิว
- หลุมสิว Boxcar ตอบสนองต่อการรักษาต่าง ๆ ได้ดี
- วิธีการรักษาหลุมสิว Boxcar ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ เลเซอร์หลุมสิว Subcision และการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน
หลุมสิว Box scar คืออะไร

หลุมสิว Boxcar หรือที่หลายคนเรียกว่า “Box scar” คือหลุมสิวที่มีลักษณะคล้ายกับกล่องเล็ก ๆ ที่มีขอบชัดเจนค่ะ โดยหลุมสิว Boxcar จะพบได้ใน 20-30 เปอร์เซ็นต์ของหลุมสิวทั้งหมด (หลุมสิวที่พบบ่อยที่สุด คือ หลุมสิวแบบ Ice Pick) และเป็นหลุมสิวที่ตอบสนองต่อการรักษา เช่น เลเซอร์หลุมสิว ได้ดีค่ะ
ซึ่งหลุมสิว (Atrophic acne scar) เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอักเสบค่ะ เนื่องจากในระหว่างกระบวนการอักเสบนั้น เซลล์ผิวและโปรตีนโครงสร้างต่าง ๆ จะถูกทำลาย ประกอบกับกระบวนการสมานแผลที่ไม่สามารถผลิตเนื้อเยื่อใหม่มาทดแทนในส่วนที่หายไปได้ ก็เลยทำให้เกิดเป็นรอยแผลเป็นลักษณะหลุมสิวขึ้นมาค่ะ
ลักษณะของหลุมสิว Boxcar scar

หลุมสิว Boxcar scar มีลักษณะเป็นเหมือนบ่อที่บุ๋มลงจากระนาบผิวของเราค่ะ โดยความกว้างจะอยู่ที่ประมาณ 1.5-4.0 มิลลิเมตร มีขอบเขตของหลุมที่ชัดเจน มักจะพบบ่อยบริเวณแก้มและหน้าผากค่ะ โดย
- Boxcar scar แบบตื้น มึความลึกตั้งแต่ 0.1-0.5 มิลลิเมตร
- Boxcar scar แบบลึก มีความลึกมากกว่า 0.5 มิลลิเมตรขึ้นไป
ซึ่งต่างจากหลุมสิวแบบ Rolling ที่มีลักษณะเป็นแอ่งตื้นแต่กว้าง (กินพื้นที่ได้ถึง 5 มิลลิเมตร) ขอบไม่ชัดเจน และหลุมสิว Ice Pick ที่มีลักษณะเป็นเหมือนบ่อลึกปากแคบ
และด้วยลักษณะทางกายภาพเหล่านี้ หลุมสิวแบบ Boxcar จึงตอบสนองได้ดีต่อการรักษาหลุมสิวทั่วไปค่ะ
หลุมสิว Boxcar scar รักษาอย่างไร

เรามาดูว่าการรักษาหลุมสิวแบบ Boxcar ที่มีประสิทธิภาพกันค่ะ
Fractional CO2 laser
เลเซอร์หลุมสิว Fractional CO2 เป็นตัวเลือกการรักษาหลุมสิวและฟื้นฟูผิวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากค่ะ เนื่องด้วยเป็นวิธีที่รักษาปัญหาผิวได้หลากหลาย ทำได้ง่าย และมีความเสี่ยงต่ำค่ะ
โดยเลเซอร์ Fractional CO2 จะใช้แสงในความยาวคลื่นที่ 10,600 นาโนเมตร ยิงเข้าสู่ชั้นผิว โดยใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวกลางส่งผ่านพลังงานค่ะ ซึ่งแสงตรงนี้เมื่อเข้าสู่ชั้นผิวแล้วจะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อน ซึ่งจะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเกิดการจัดโครงสร้างของเส้นใยคอลลาเจนใหม่ค่ะ ซึ่งคอลลาเจนก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของผิวหน้าที่กระชับและเรียบเนียน และหลุมสิว Boxcar ที่จะดูจางลงค่ะ
นอกจากนี้ Fractional CO2 ยังเป็นเลเซอร์แบบ Ablative หรือเลเซอร์ที่มีความสามารถในการลอกชั้นผิวเก่าเพื่อเผยผิวใหม่ (Skin Resurfacing) ที่นอกจากจะช่วยรักษาหลุมสิวทั้งแบบ Boxcar และ Rolling แล้ว ยังช่วยฟื้นฟูผิวโดยรวมได้อีกด้วยค่ะ
Fractional RF
เลเซอร์หลุมสิว Fractional RF คือ การรักษาหลุมสิวโดยใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency, RF) ค่ะ โดยคลื่นวิทยุจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนที่ 55-65 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้เส้นใยคอลลาเจนและเซลล์ผิวชั้นหนังแท้หดตัวค่ะ การหดตัวตรงนี้ก็จะนำไปสู่การผลิตคอลลาเจนที่มากขึ้น และการผลิตเซลล์ผิวใหม่ผ่านกระบวนการสมานแผลค่ะ
เลเซอร์ Fractional RF จะช่วยทำให้ผิวมีความกระชับ และรักษาหลุมสิว Boxcar ได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ โดยที่ EY Clinic มีทั้งเลเซอร์ Fractional RF ที่ใช้เข็ม Microneedle ที่เพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำ และ Fractional RF แบบ No-needle ซึ่งให้ความสบายต่อผิวหน้าระหว่างทำหัตถการค่ะ
Subcision
Subcision หรือ การตัดพังผืดหลุมสิว เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กในการเลาะเอาพังผืด (Fibrous tissue) ที่อยู่บริเวณฐานของหลุมสิวออกค่ะ โดยพังผืดเหล่านี้ คือ ผลจากกระบวนการสมานแผลหลังจากที่เราเป็นสิวอักเสบ ซึ่งในหลาย ๆ กรณี ก็อาจเป็นตัวการที่ดึงรั้งฐานของหลุมสิวไว้ ทำให้รักษาได้ยากค่ะ
การทำ Subcision ถือเป็นหัตถการที่ได้เหมาะกับหลุมสิวแบบ Boxcar และ Rolling เนื่องจากลักษณะทางกายภาพของหลุมสิวที่มีความกว้าง และนิยมทำคู่กับการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว หรือการยิงเลเซอร์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจมากขึ้นค่ะ
สารกระตุ้นคอลลาเจน

อีกหนึ่งวิธีรักษาหลุมสิว Boxcar scar คือ การเลือกใช้สารกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Collagen Biostimulator ค่ะ เช่น Profhilo, Sculptra หรือ Juvelook ค่ะ
Profhilo คือ สาร Hyaluronic Acid ที่มีน้ำหนักโมเลกุลทั้งสูงและต่ำผสมผสานกันในรูปแบบ Hybrid Cooperative Complex ค่ะ ซึ่งในการรักษาหลุมสิว Rolling Scar แพทย์จะฉีด Profhilo เข้าไปยังชั้น Dermis (หนังแท้) เพื่อกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้น โดยพบว่าหลังฉีด Profhilo ผิวมีความชุ่มชื้น กระชับ และหลุมสิวดูตื้นขึ้นอย่างชัดเจนค่ะ
Sculptra คือ สาร PLLA (Poly-l-lactic acid) ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับไหมละลายค่ะ ซึ่งในการรักษาหลุมสิว Boxcar scar แพทย์จะฉีด Sculptra เข้าไปยังชั้น subcutaneous (ใต้หนังแท้) เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น โดยพบว่า เพียง 3 เดือนหลังฉีด ปริมาณคอลลาเจนเพิ่มขึ้นถึง 66.5% ส่งผลให้หลุมสิวดูจางลงอย่างชัดเจนค่ะ
ส่วน Juvelook คือ สาร PDLLA (Poly D-L-Lactic Acid) และไฮยาลูรอนิก แอซิดค่ะ โดยสาร PDLLA จะทำหน้าที่กระตุ้นเซลล์ให้ผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้นคล้ายกับ PLLA ของ Sculptra และ ตัวไฮยาลูรอนิก แอซิด จะเข้าไปเติมเต็มปริมาตรให้ผิวในส่วนที่เป็นหลุมสิวค่ะ
เราจึงสามารถเห็นผลลัพธ์ของการ Juvelook ได้จากครั้งที่ฉีด เพราะสารไฮยาลูรอนิก แอซิดสามารถเติมเต็มเนื้อเยื่อส่วนที่หายไปของหลุมสิวได้ทันที ส่วน PDLLA จะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในระยะยาว ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูให้ผิวมีความกระชับ ชุ่มชื้น และแข็งแรงมากขึ้นค่ะ
ทั้งนี้ การฉีดกระตุ้นคอลลาเจนสามารถทำควบคู่กับการตัดพังผืด และเลเซอร์หลุมสิวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้ค่ะ แต่อย่างไรก็ดี ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของระยะเวลาระหว่างหัตถการ และแผนการรักษาที่เหมาะสมค่ะ
รักษาหลุมสิวที่ EY Clinic
ได้รู้จักหลุมสิว Boxcar scar และวิธีการรักษากันไปแล้ว ใครที่กำลังท้อใจกับปัญหาผิวหน้าไม่เรียบเนียน มีหลุมสิวกวนใจ สามารถเข้ามาปรึกษาหมอผึ้งได้ที่ EY Clinic ค่ะ โดยเราจะมีการประเมินสภาพผิว และวางแผนการรักษาเพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล มีการติดตามผลการรักษา และยินดีอยู่กับคุณในทุกขั้นตอน โดยไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็นแน่นอนค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาปรึกษาเรื่องปัญหาผิวกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
_240909_17.avif)
_240909_19.avif)
_240909_42.avif)
กระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิว ทำได้ด้วยวิธีไหนบ้าง?
หลุมสิว คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากกระบวนการอักเสบของสิว และการสมานแผลที่ไม่เพียงพอ การกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหลุมสิว จึงเป็นวิธีที่เราจะสามารถทำได้ เพื่อให้รอยหลุมสิวดูจาง และช่วยให้ผิวมีความเรียบเนียนมากขึ้นค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- คอลลาเจน คือ โปรตีนโครงสร้างของผิว ทำหน้าที่กักเก็บความชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและกระชับ
- คอลลาเจน มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้หลุมสิวดูจางลง
- การกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหลุมสิว สามารถทำได้หลายวิธีทั้งด้วยการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน การใช้เกล็ดเลือด และการทำหัตถการเลเซอร์
การกระตุ้นคอลลาเจน ช่วยรักษาหลุมสิวได้อย่างไร

คอลลาเจน (Collagen) คือ เส้นใยโปรตีนที่ทำหน้าที่อุ้มน้ำ และเป็นส่วนประกอบของโครงสร้างให้กับผิวค่ะ โดยเป็นองค์ประกอบที่กักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยให้ผิวมีความกระชับและแข็งแรง อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสมานแผลด้วยค่ะ
การกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen stimulation) จึงเรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของการรักษาให้หลุมสิวดูจางลง และปรับสภาพให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินคำว่า Collagen Biostimulator หรือสารกระตุ้นคอลลาเจนโดยธรรมชาติ โดยสารตัวนี้มีสรรพคุณในการกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ให้ผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น
ตัวอย่างของ Biostimulator ที่กำลังเป็นที่นิยม ได้แก่ Rejuran และ Sculptra แต่อย่างไรก็ดี การกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การฉีด Biostimulator เท่านั้นค่ะ
6 วิธีกระตุ้นคอลลาเจน รักษาหลุมสิว
ในปัจจุบัน เรามีหัตถการในการกระตุ้นคอลลาเจน และรักษาหลุมสิวให้เลือกใช้บริการมากมายค่ะ โดยแต่ละวิธีก็จะมีหลักการทำงาน และความโดดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งหมอขอยกตัวอย่าง 6 วิธีกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพ และกำลังได้รับความนิยมมาอธิบายในบทความนี้ค่ะ
1. Profhilo

Profhilo เป็นอีกหนึ่งสารที่กำลังได้รับความนิยมในการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูหลุมสิว (Acne Scar) และยกกระชับ (Skin Laxity) รวมค่ะ โดย Profhilo เป็นสารที่มีส่วนประกอบของไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) ที่มีน้ำหนักโมเลกุลทั้งสูงและต่ำผสมผสานกัน ทำงานในลักษณะ “Hybrid Cooperative Complex” ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น แต่ยังช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นและผิวกระชับมากขึ้นค่ะ
หลักการทำงานของ Profhilo ในการกระตุ้นการฟื้นฟูหลุมสิวมีดังนี้ค่ะ
- หลังจากฉีด Profhilo เข้าสู่ผิว สารไฮยาลูรอนิกแอซิดจะซึมลึกเข้าสู่ผิวชั้นกลางและกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
- ไฮยาลูรอนิกแอซิดที่มีโมเลกุลน้ำหนักต่ำ (L-HA) จะช่วยเพิ่มการสร้างเส้นเลือดและฟื้นฟูผิวจากภายใน ส่วนโมเลกุลน้ำหนักสูง (H-HA) จะช่วยสร้างโครงสร้างให้ผิวแข็งแรงขึ้นและลดความหย่อนคล้อย
- ผลลัพธ์ที่ได้คือ หลุมสิวที่ดูตื้นขึ้น ริ้วรอยลดลง และผิวหน้ามีความชุ่มชื้น กระจ่างใสมากขึ้นค่ะ
Profhilo ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการความงามและได้รับการรับรองด้านความปลอดภัย โดยเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึกโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือมีเวลาพักฟื้นน้อย การฉีด Profhilo เพื่อฟื้นฟูหลุมสิวและสภาพผิว ควรทำ 2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4 สัปดาห์ค่ะ ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน และสามารถทำซ้ำปีละครั้งเพื่อรักษาผลลัพธ์ค่ะ
2. Sculptra

Sculptra เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่กำลังได้รับความนิยมสูงเช่นกันค่ะ โดย Sculptra คือ สาร PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับไหมละลายที่ใช้ในการเย็บแผลผ่าตัด ซึ่งสาร PLLA มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนที่จะช่วยให้หลุมสิวดูจางลง และเผยผิวที่กระชับ ชุ่มชื้นมากขึ้นค่ะ
โดยหลักการทำงานของ Sculptra ในการกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิว มีคร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ
- เมื่อฉีด Sculptra แล้วตัว PLLA จะกระตุ้นการอักเสบของเซลล์แบบเบา ๆ เพื่อทำให้ผิวเข้าสู่กระบวนการสมานแผล
- ในกระบวนการสมานแผล เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) จะถูกกระตุ้น ส่งผลให้มีการผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น โดยพบว่า เพียง 3 เดือนหลังฉีด Sculptra แล้ว ปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวเพิ่มขึ้นถึง 66.5%
- คอลลาเจนที่เพิ่มขึ้นช่วยให้หลุมสิวดูจางลงอย่างชัดเจน และยังช่วยลดปัญหาริ้วรอย พร้อมช่วยฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้น และแข็งแรงมากขึ้นด้วยค่ะ
การที่ Sculptra เป็นสารตัวเดียวกับไหมละลาย อาจจะทำให้ใครหลาย ๆ คนรู้สึกสงสัยว่า แล้วฉีดสารไหมละลายตัวนี้เข้าผิวหนังแล้วจะทำให้เกิดอันตรายหรือไม่ หมอขอชี้แจงแบบนี้ค่ะว่า ตัว Sculptra ก็ได้รับการรับรองจาก US FDA ใน ปี 2004 ในฐานะ สารฉีดกระตุ้นคอลลาเจน เพื่อจุดประสงค์ของความงาม เราจึงมั่นใจได้ว่า Sculptra มีความปลอดภัยและสามารถทำงานกับเซลล์ของเราได้โดยไม่รบกวนการทำงานของผิวค่ะ
การฉีด Sculptra เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิว ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4-6 สัปดาห์ค่ะ ซึ่งผลลัพธ์ของ Sculptra อยู่ได้นานถึง 2 ปี และสามารถฉีดกระตุ้นได้ปีละ 1 ครั้งเพื่อคงผลลัพธ์ได้ค่ะ
3. Juvelook

Juvelook คือ สาร PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid) และไฮยาลูรอนิก แอซิดแบบ Non-crosslinked ค่ะ ซึ่งตัว PDLLA จะทำหน้าที่กระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหลุมสิว ในลักษณะที่คล้ายกับ PLLA ของ Sculptra เพียงแต่มีการจัดเรียงโมเลกุลที่ต่างกันเล็กน้อยค่ะ ส่วนตัวไฮยาลูรอนิก แอซิด ก็จะทำหน้าที่ในการเติมเต็มปริมาตรผิว เช่นเดียวกับฟิลเลอร์ส่วนใหญ่ค่ะ
การฉีด Juvelook จึงเหมือนเป็นการฉีดกระตุ้นคอลลาเจนและฟิลเลอร์หลุมสิวในเวลาเดียวกันค่ะ โดยเมื่อฉีดครั้งแรก ตัวไฮยาลูรอนิค แอซิดจะเข้าไปเติมเต็มเนื้อเยื่อส่วนที่หายไปบริเวณหลุมสิวทันที ทำให้หลุมสิวดูจางลง และผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น หลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์ เราจะเริ่มสัมผัสผลลัพธ์ของ PDLLA โดยผิวจะถูกกระตุ้นให้ผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ออกมามากขึ้นค่ะ ทำให้ผิวเริ่มมีความกระชับ เรียบเนียน ชุ่มชื้นมากขึ้นค่ะ โดยพบว่าปริมาณคอลลาเจนในชั้นผิวเพิ่มขึ้นมากถึง 40 เท่า หลังจากฉีด Juvelook แล้ว 6 เดือน และยังมีชั้นหนังแท้ยังมีความแน่นหนา และแข็งแรงขึ้นด้วยค่ะ
ตัว PDLLA ก็ยังมีความเข้ากันได้ทางชีวภาพต่อร่างกายมนุษย์ (Biocompatibility) ไม่ต่างกับ PLLA ของ Sculptra ค่ะ และได้รับการรับรองโดย FDA เพื่อจุดประสงค์ด้านความงาม เราจึงมั่นใจได้ว่า Juvelook เป็นวิธีการกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพค่ะ
การฉีดกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวด้วย Juvelook ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละประมาณ 1 เดือน และสามารถฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ได้ทุก ๆ 6-12 เดือนค่ะ
4. Rejuran

Rejuran หรือ รีจูรัน คือ สารโพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide หรือ PN) บริสุทธิ์ที่สกัดมาจากชิ้นส่วนพันธุกรรมของปลาแซลม่อนค่ะ โดยสารโพลีนิวคลีโอไทด์ถือเป็น Biostimulator เมื่อฉีดเข้าชั้นผิวแล้วช่วยซัพพอร์ตโครงสร้างของสารเคลือบเซลล์ (Extracellular matrix หรือ ECM) และจะทำงานที่ลึกถึงระดับดีเอ็นเอในการกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่น แข็งแรงและเรียบเนียนขึ้นค่ะ
นอกจากคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูหลุมสิวแล้ว Rejuran ยังมีคุณสมบัติอื่นด้วย ดังนี้ค่ะ
- ช่วยในการซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อใหม่
- ช่วยให้ผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) หนาตัวขึ้น สร้างเกราะป้องกันให้ผิวจากสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่นควัน มลภาวะ และแสงยูวี
- กระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่ (Angiogenesis) ซึ่งช่วยในการสมานแผลและการไหลเวียนของเลือด เพื่อให้เซลล์ทำงานได้อย่างเต็มที่
Rejuran จึงเป็นตัวเลือกให้มากกว่าการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อรักษาหลุมสิว แต่ยังช่วยแก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน ริ้วรอยแห่งวัย ปรับสภาพผิว และเสริมสร้างให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงด้วยค่ะ
ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ Rejuran แล้ว Rejuran S คือตัวที่ถูกออกแบบมาเพื่อการรักษาหลุมสิวและแแผลเป็นโดยเฉพาะค่ะ ซึ่ง Rejuran S (กล่องสีน้ำเงิน) จะมีเนื้อที่หนืดและเข้มข้นกว่า Rejuran ตัวอื่น ๆ โดยประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว และรอยดำ-รอยแดงด้วยค่ะ
ผลลัพธ์ในการกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวด้วย Rejuran S จะเริ่มเห็นได้ตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์หลังฉีดค่ะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ควรเริ่มฉีด Rejuran S ติดต่อกันอย่างน้อย 3-5 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 3-4 สัปดาห์ หลังจากนั้น สามารถฉีดกระตุ้นได้ทุก ๆ 6-12 เดือนค่ะ
5. เลเซอร์กระตุ้นคอลลาเจน

ไม่ว่าจะเป็น Fractional CO2, Pico, หรือ Fractional RF เราสามารถสรุปสั้น ๆ ได้ว่า เลเซอร์ คือ การใช้พลังงานในรูปแบบต่าง ๆ ในการกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหลุมสิวค่ะ โดยพลังงานไม่ว่าจะเป็น แสงอินฟราเรด แสงสีเหลือง หรือคลื่นวิทยุ เมื่อถูกยิงเข้าสู่ชั้นผิวแล้วก็จะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการผลิตคอลลาเจนมากขึ้น และยังทำให้เกิดการจัดเรียงโครงสร้างของผิว (Remodeling) ด้วยค่ะ
ซึ่งเลเซอร์แต่ละตัวก็จะมีคุณสมบัติ รูปแบบของพลังงาน และความโดดเด่นเฉพาะตัวที่ต้องกันออกไปค่ะ อาทิ เช่น
- เลเซอร์หลุมสิว Fractional CO2 ปล่อยพลังงานแสงที่ความยาวคลื่น 10,600 nm โดยใช้ก๊าซออกซิเจนเป็นตัวพาในการส่งผ่านเข้าสู่ชั้นผิว โดดเด่นในเรื่องของ Skin Resurfacing และสามารถกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อรักษาหลุมสิวที่ลึกได้ดี อีกทั้งยังแก้ไขปัญหาผิว อย่าง สิวข้าวสาร สิวอุดตัน และริ้วรอยเล็ก ๆ ด้วยค่ะ
- เลเซอร์หลุมสิว Fractional RF ใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency, RF) ในการกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหลุมสิว และใช้เทคนิค Microneedling หรือเข็มขนาดเล็กในการกระจายคลื่นวิทยุ และช่วยกระตุ้นกระบวนการสมานแผล
- เลเซอร์หลุมสิว Venus Viva MD เป็นเลเซอร์ RF กระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวตัวหนึ่งที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี NanoFractional™ Radiofrequency ซึ่งส่งผ่านคลื่นเข้าสู่ชั้นผิวด้วยหัว pin ขนาดจิ๋ว (300 นาโนเมตร) ทำให้คลื่นวิทยุสามารถเข้าถึงชั้นผิวได้ลึกและกระจายตัวได้อย่างสม่ำเสมอ และ SmartScan™ ซึ่งทำให้เราสามารถปรับโหมดของการปล่อยคลื่นให้เหมาะสมกับสภาพผิวมากขึ้น
เลเซอร์ เป็นอีกหนึ่งวิธีกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพทำได้ง่าย และมีความเสี่ยงต่ำค่ะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4-6 สัปดาห์ค่ะ ทั้งนี้จำนวนครั้งก็ขึ้นอยู่กับประเภทของเลเซอร์ สภาพผิว และการประเมินผลของแพทย์ด้วยค่ะ
6. PRP Injection

การฉีด PRP (Platelet-rich-plasma) คือ การใช้พลาสมาในการกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหลุมสิวค่ะ โดยตัวพลาสมา (Plasma) คือ สารสกัดที่ได้มาจากเลือด อุดมไปด้วยเกล็ดเลือด (Platelet) และ Growth factors ที่มีสรรพคุณในการฟื้นฟูผิวค่ะ
เกล็ดเลือด และ Growth factors เป็นตัวส่งสัญญาณให้ผิวเกิดการผลิตเซลล์ใหม่ (Cell proliferation) รวมไปถึงกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน อีกทั้งยังทำให้เกิดการสร้างเส้นเลือดฝอย (Angiogenesis) ซึ่งช่วยในเรื่องการซ่อมแซมผิวที่ถูกทำร้ายจากมลภาวะและแสงแดด และบูสต์การทำงานของเซลล์ผิวค่ะ
โดยขั้นตอนการทำ PRP Injection จะเริ่มจากการเจาะเลือด แล้วนำไปปั่นเพื่อแยกเอาพลาสมาและโปรตีนที่จำเป็นออกมาค่ะ จากนั้นแพทย์จะนำพลาสมาเข้มข้นนี้มาฉีดเข้าบริเวณหลุมสิวค่ะ โดยเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวด้วย PRP ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4-6 สัปดาห์ค่ะ
ฟื้นฟูผิว และกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิว ที่ EY Clinic

อย่างที่ได้กล่าวไปค่ะว่า คอลลาเจน คือ องค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้หลุมสิวดูจางลง ผิวดูกระชับ และชุ่มชื้นมากขึ้น และในปัจจุบัน เราก็มีตัวเลือกในกระตุ้นคอลลาเจนอยู่มากมาย แต่สิ่งสำคัญที่ละเลยไม่ได้เลยก็คือ การเลือกรับบริการจากคลินิกที่มีมาตรฐานและเชื่อถือได้ เพื่อให้มั่นใจว่า เราจะได้รับการดูแลอย่างเป็นมืออาชีพ มีเครื่องมือที่เหมาะสม และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนดำเนินหัตถการค่ะ
สำหรับคนที่มีปัญหาหลุมสิว หรือปัญหาผิวอื่น ๆ สามารถปรึกษากับเราได้ที่ EY Clinic ค่ะ โดยเรามีการประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับตัวบุคคลก่อนเริ่มเสมอ อีกทั้งมีการติดตามผลการักษาเพื่อการันตีความพึงพอใจ โดยไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็นค่ะ
EY Clinic คือคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ การชะลอวัย
เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการกระตุ้นคอลลาเจนรักษาหลุมสิว สามารถแวะเข้ามาปรึกษาหมอผึ้งได้ที่ EY Clinic ค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง








ข้อสงสัยที่ว่า หลุมสิวกับรูขุมขนกว้าง ต่างกันอย่างไร เป็นคำถามที่คาใจใครหลาย ๆ คนค่ะ โดยเฉพาะกับคนที่มีปัญหาหน้าเป็นหลุม และรูขุมขนไม่กระชับมาอย่างยาวนาน โดยทั้งสองปัญหานี้ มีสาเหตุและปัจจัยการเกิดที่ต่างกัน แต่สามารถรักษาร่วมกันได้ด้วยหัตถการในปัจจุบันค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- หลุมสิว คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอักเสบ ต่างจาก รูขุมขน ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของผิว ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำมันจากต่อมไขมันมาสู่ผิวชั้นนอก
- คอลลาเจน คือ หัวใจสำคัญของการรักษารูขุมขนกว้าง และหลุมสิว
- วิธีการรักษารูขุมขนกว้าง และหลุมสิว สามารถทำได้ด้วยหัตถการเลเซอร์ และการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Biostimulator)
ก่อนไปเรียนรู้ว่า หลุมสิวกับรูขุมขนกว้างต่างกันอย่างไร เรามาดูทำความเข้าใจกันก่อนว่า หลุมสิว และรูขุมขนคืออะไรค่ะ
หลุมสิว คืออะไร

หลุมสิว (Atrophic acne scars) คือ รอยแผลเป็นที่เกิดมาจากกระบวนอักเสบของสิว และกระบวนการสมานแผลที่ไม่เพียงพอค่ะ โดยระหว่างการอักเสบ เซลล์ผิวและเส้นใยโปรตีนโครงสร้างต่าง ๆ ที่ตัวสิวจะถูกทำลาย และเมื่อกระบวนการสมานแผลไม่สามารถผลิตเนื้อเยื่อชุดใหม่มาทดแทนส่วนที่หายไปได้ ผิวบริเวณนั้นก็จะเกิดเป็นแอ่งหรือหลุม ที่ทำให้ผิวหน้าของเราขระขรุ ดูไม่เรียบเนียนค่ะ
รูขุมขน คืออะไร

รูขุมขน (Pore หรือ Hair follicle) คือ ส่วนประกอบหนึ่งของผิว มีลักษณะเป็นท่อหรือรูที่เชื่อมต่อกับต่อมน้ำมัน (Sebaceous glands) ที่อยู่ใต้ชั้นผิว รูขุมขนเป็นเหมือนท่อลำเลียงน้ำมันผิว ซึ่งน้ำมันจะทำหน้าที่เคลือบผิวเพื่อลดการสูญเสียน้ำของผิวชั้นนอกค่ะ แต่หากต่อมไขมันมีความ active มากเกินไป ก็จะทำให้เกิดเป็นปัญหาผิวมันได้ค่ะ และทำให้รูขุมขนกว้างได้ค่ะ
ปัญหารูขุมขนกว้างเกิดส่วนใหญ่จะเกิดมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม แต่ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนค่ะ เช่น แสงแดดและมลภาวะ อีกทั้งอายุที่มากขึ้น เพราะยิ่งร่างกายเราแก่ลง ความสามารถในการผลิตคอลลาเจนก็ยิ่งน้อยลงไปด้วย ส่งผลให้ผิวขาดความยืดหยุ่นซึ่งทำให้ปัญหารูขุมขนกว้างเด่นชัดขึ้นค่ะ
ปัญหาหลุมสิว กับรูขุมขนกว้าง ต่างกันอย่างไร

หลุมสิวและรูขุมขนกว้างต่างกันตรงที่ หลุมสิว คือ รอยแผลเป็นที่เกิดมาจากสิวอักเสบ ส่วนรูขุมขนกว้าง คือ สภาพผิวที่มักเกิดมาจากพันธุกรรมค่ะ โดยหลุมสิวจะมีลักษณะเป็นเหมือนแอ่งที่มีระนาบต่ำกว่าผิวปกติ อาจมีขอบชัดเจนหรือไม่ชัดเจนก็ได้ มีความกว้างและความลึกที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉลี่ยแล้วจะมีความกว้างที่ 1.5-4.0 มิลลิเมตรค่ะ ซึ่งหลุมสิวเป็นเพียงรอยแผลเป็นจึงจะไม่มีการอุดตันค่ะ
ส่วนรูขุมขนกว้าง จะมีลักษณะเป็นรูเปิดที่ลึก มีขอบชัดเจน และมีขนาดที่ใกล้เคียงกันทั่วใบหน้า โดยปัญหารูขุมขนกว้างมักจะมาคู่กับปัญหาผิวมัน เนื่องจากต่อมน้ำมันใต้ผิวมีความ active จึงมักนำไปสู่การอุดตันและอักเสบจนเกิดเป็นสิวได้ อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่เกิดสิวเสี้ยน (Sebaceous filaments) ด้วยค่ะ
หน้าเป็นหลุมสิว และมีรูขุมขนกว้าง สามารถรักษาได้ไหม

ถึงปัญหาหลุมสิว และรูขุมขนกว้างจะมีสาเหตุที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาผิวทั้งสองอย่างนี้ได้ ก็คือ คอลลาเจน ค่ะ โดยคอลลาเจน (Collagen) คือ เส้นใยโปรตีนโครงสร้างที่ให้ความกระชับเต่งตึงกับผิว อีกทั้งยังเป็นตัวกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวยืดหยุ่น แลดูสุขภาพดีค่ะ
วิธีกระตุ้นคอลลาเจน เพื่อแก้ปัญหาหลุมสิว และรูขุมขนกว้าง ก็มีอยู่หลากหลายวิธีค่ะ โดยหมอขอยกตัวอย่าง 4 วิธี ได้แก่ เลเซอร์, Rejuran, Sculptra และ Juvelook ค่ะ
เลเซอร์
เลเซอร์ ถือเป็นหัตถการที่มีประสิทธิภาพในการจัดการปัญหาผิวมากมายค่ะ โดยจะใช้พลังงานรูปแบบต่าง ๆ (เช่น แสงสีเหลือง แสงอินฟราเรด หรือ คลื่นวิทยุ) ในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิว อีกทั้งยังทำให้เกิดการจัดเรียงตัวใหม่ของโครงสร้างผิว (Skin remodeling) ซึ่งแต่เลเซอร์แต่ละประเภทย่อมมีความโดดเด่นที่ต่างกันออกไปค่ะ
การรักษาด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่สะดวก มีความเสี่ยงต่ำ และมีประสิทธิภาพสูง โดยหมอจะขอยกตัวอย่างเป็น เลเซอร์หลุมสิว Fractional CO2 ซึ่งเป็นการใช้พลังงานที่แสงเลเซอร์ที่ความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร และใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวกลางในการแทรกเข้าสู่ชั้นผิวค่ะ ตัว Fractional CO2 จะโดดเด่นในเรื่องของ Skin Resurfacing หรือการผลัดเซลล์ผิวเก่าเพื่อกระตุ้นการส้รางคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ โดยนอกจากจะรักษารุขุมขนกว้างและหลุมสิวได้แล้ว Fractional CO2 แก้ปัญหาผิวได้อีกมากมายค่ะ เช่น สิวอุดตัน สิวข้าวสาร และริ้วรอย
เลเซอร์อีกประเภทหนึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษารุขุมขนกว้างและหลุมสิว คือ เลเซอร์กลุ่มคลื่นวิทยุ (Radiofrequency, RF) ค่ะ โดยตัวเลือกที่โดดเด่นและได้รับความนิยมสูงก็คือ เลเซอร์หลุมสิว Venus Viva MD ที่ส่งผ่านคลื่นวิทยุด้วยหัว pin ขนาดจิ๋ว ที่ทำให้ไม่เจ็บหน้าระหว่างการรักษา มีผลข้างเคียงที่ต่ำ และใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่าเลเซอร์ชนิดอื่น โดยคลื่นวิทยุเมื่อเข้าไปสู่ชั้นผิวแล้ว จะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนซึ่งจะกระตุ้นให้เซลล์ผิวผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น และปรับโครงสร้างให้ผิวแข็งแรงขึ้นค่ะ
Profhilo

Profhilo เป็นอีกหนึ่งสารที่กำลังได้รับความนิยมในการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูหลุมสิว (Acne Scar) และยกกระชับ (Skin Laxity) รวมค่ะ โดย Profhilo เป็นสารที่มีส่วนประกอบของไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) ที่มีน้ำหนักโมเลกุลทั้งสูงและต่ำผสมผสานกัน ทำงานในลักษณะ “Hybrid Cooperative Complex” ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น แต่ยังช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นและผิวกระชับมากขึ้นค่ะ
หลักการทำงานของ Profhilo ในการกระตุ้นการฟื้นฟูหลุมสิวมีดังนี้ค่ะ
- หลังจากฉีด Profhilo เข้าสู่ผิว สารไฮยาลูรอนิกแอซิดจะซึมลึกเข้าสู่ผิวชั้นกลางและกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
- ไฮยาลูรอนิกแอซิดที่มีโมเลกุลน้ำหนักต่ำ (L-HA) จะช่วยเพิ่มการสร้างเส้นเลือดและฟื้นฟูผิวจากภายใน ส่วนโมเลกุลน้ำหนักสูง (H-HA) จะช่วยสร้างโครงสร้างให้ผิวแข็งแรงขึ้นและลดความหย่อนคล้อย
- ผลลัพธ์ที่ได้คือ หลุมสิวที่ดูตื้นขึ้น ริ้วรอยลดลง และผิวหน้ามีความชุ่มชื้น กระจ่างใสมากขึ้นค่ะ
Profhilo ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการความงามและได้รับการรับรองด้านความปลอดภัย โดยเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึกโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือมีเวลาพักฟื้นน้อย การฉีด Profhilo เพื่อฟื้นฟูหลุมสิวและสภาพผิว ควรทำ 2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4 สัปดาห์ค่ะ ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน และสามารถทำซ้ำปีละครั้งเพื่อรักษาผลลัพธ์ค่ะ
Sculptra

Sculptra เป็นสารฉีดกระตุ้น Biostimulator อีกตัวหนึ่งที่มีความโดดเด่นในเรื่องของการฟื้นฟูผิวให้กระชับ และดูอ่อนวัยค่ะ โดย Sculptra เป็นสาร PLLA (Poly-l-lactic acid) ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับไหมละลายที่ใช้ในวงการแพทย์มาตั้งแต่ปี 1999 และได้รับการรับรองจาก US FDA ในปี 2004 เพื่อใช้ในจุดประสงค์ด้านความงามค่ะ
Sculptra ช่วยรักษาปัญหารูขุมขนกว้าง และหลุมสิวได้ โดยจะกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ให้ผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้นค่ะ ซึ่งเพียง 3 เดือนหลังฉีด Sculptra แล้ว ปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวเพิ่มขึ้นถึง 66.5% ค่ะ และนอกจากปัญหาหลุมสิวและรูขุมขนกว้างแล้ว Sculptra ยังช่วยให้ริ้วรอยดูจางลง และยังฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้น แข็งแรง แลดูอ่อนวัยด้วยค่ะ
ผลลัพธ์ของ Sculptra จะเริ่มเห็นได้ในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังฉีด ซึ่งจะเป็นระยะเวลาที่ร่างกายใช้ผลิตคอลลาเจนตามกลไกธรรมชาติค่ะ และโดยทั่วไปแล้ว หมอจะแนะนำให้ฉีดอย่างน้อย 3 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 4-6 สัปดาห์ โดยผลลัพธ์จะอยู่ในนานถึง 2 ปี และสามารถฉีดเติมเพื่อคงผลลัพธ์ได้ปีละ 1 ครั้งค่ะ
Juvelook

อีกหนึ่งวิธีรักษารูขุมขนกว้างและหลุมสิว คือ Juvelook ซึ่งเป็นสาร PDLLA กับสารไฮยาลูรอนิก แอซิดค่ะ โดย PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid) จัดเป็นสาร biostimulator ที่มีความคล้ายคลึงกับ PLLA ของ Sculptra เพียงแต่มีการจัดเรียงโมเลกุลที่ต่างกันเล็กน้อย ซึ่งได้รับการรับรองจาก US FDA เช่นกันค่ะ
หลักการรักษารูขุมขนกว้างและหลุมสิวของ Juvelook มีอยู่คร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ
- Physical Support: มวลสารไฮยาลูรอนิก แอซิดเข้าไปเติมเต็มปริมาตรของผิว ช่วยให้หลุมสิวดูตื้น และผิวดูกระชับมากขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด
- Restoration: หลังฉีดไปแล้ว 3-4 สัปดาห์ เซลล์ไฟโบรบลาสต์จะถูกกระตุ้นให้ผลิตเส้นใยคอลลาเจนออกมามากขึ้น
- Maintenance: PDLLA กระตุ้นคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนที่สุดในช่วง 6 เดือนหลังฉีด
ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่าง Juvelook และ biostimulator ตัวอื่น ๆ คือ เราสามารถเห็นผลลัพธ์ของ Juvelook ได้ทันทีเนื่องจากตัวไฮยาลูรอนิก แอซิดที่ทำหน้าที่เป็นสารเติมเต็มค่ะ
โดยทั่วไปแล้ว การฉีด Juvelook ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 3-4 สัปดาห์ ผลลัพธ์คงอยู่ได้ 6-12 เดือน จากนั้นสามารถฉีดเพิ่มเพื่อคงผลลัพธ์ได้ปีละ 1 ครั้งค่ะ
Rejuran

รีจูรัน คือ โพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide, PN) ที่ได้มาจากชิ้นส่วนดีเอ็นเอของปลาแซลมอน ซึ่งสามารถทำงานกับเซลล์ของมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย โดยสาร PN มีคุณสมบัติในด้านการสมานแผล และยังเป็น สารกระตุ้นคอลลาเจนโดยธรรมชาติ (Collagen Biostimulator) ทำให้รีจูรันเป็นตัวเลือกในการฟื้นฟูผิวที่มีประสิทธิภาพมากตัวหนึ่งค่ะ โดยรีจูรันช่วยแก้ไขปัญหาได้หลากหลายค่ะ
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับรูขุมขนและช่วยให้หลุมสิวดูจางลง
- ส่งเสริมกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ช่วยปรับสภาพผิวและชะลอการแก่ตัวของผิว
- ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และซัพพอร์ตสารเคลือบเซลล์ (Extracellular matrix หรือ ECM) ให้เกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
- ซ่อมแซมผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด และมลภาวะ อีกทั้งมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ (anti-inflammatory effect)
การฉีดรีจูรัน นอกจากจะช่วยแก้ปัญหารูขุมขนกว้างและหลุมสิวแล้ว ยังช่วยต้านการเกิดริ้วรอย เสริมสร้างให้ผิวแข็งแรง ไม่เป็นสิวหรือแพ้ง่าย และยังคืนความสมดุลให้ผิวมีความนุ่ม ชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้านด้วยค่ะ
โดยทั่วไปแล้ว การฉีดรีจูรันควรทำติดต่อกัน 3-4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 2-3 สัปดาห์ต่อครั้ง เราจะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ 3-5 วันหลังฉีดครั้งแรก และร่างกายจะใช้เวลาประมาณ 4 สัปดาห์ในการผลิตคอลลาเจนตามกลไกธรรมชาติ ก่อนจะเผยผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นค่ะ
Rejuran S สำหรับหลุมสิว
อย่างที่ได้กล่าวไปค่ะ ว่ารีจูรันสามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย อย่างไรก็ดี ตัวผลิตภัณฑ์ของรีจูรัน ที่เหมาะสมสำหรับการลบเลือนรอยแผลเป็นหลุมสิวมากที่สุด จะเป็น รีจูรัน เอส (Rejuran S) ค่ะ โดยรีจูรัน เอส ก็คือสารประกอบโพลีนิวคลีโอไทด์เหมือนกับรีจูรัน ฮีลเลอร์ แต่จะมีความเข้มข้นและมีเนื้อที่หนืดกว่า และถูกออกแบบมาเพื่อการรักษาหลุมสิวโดยเฉพาะค่ะ
ซึ่งรีจูรัน เอส สามารถใช้รักษาร่วมกับหัตถการหลุมสิวอื่น ๆ เช่น เลเซอร์ ได้อย่างปลอดภัย เพียงแต่จะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อเว้นระยะของการรักษาให้เหมาะสมค่ะ
แก้ปัญหารูขุมขนกว้าง รักษาหลุมสิว ที่ EY Clinic
ได้เรียนรู้กันไปแล้วว่า ปัญหาหลุมสิวกับรูขุมขนกว้างต่างกันอย่างไร และมีวิธีรักษาอย่างไร หมอขอเสริมค่ะว่า การแก้ไขปัญหาผิวเหล่านี้เป็นกระบวนการที่ใช้เวลาและต้องการความสม่ำเสมอ อีกทั้งยังต้องอาศัยการดูแลตัวเองในทุก ๆ วันด้วยค่ะ อย่างไรก็ดี หมอคิดว่า การที่เรามีแผนรักษาที่เหมาะสมกับตัวเอง ก็ย่อมช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ ซึ่งหากใครกำลังหนักใจกับปัญหาหน้าเป็นหลุมสิว หรือรูขุมขนกว้าง สามารถปรึกษากับเราได้ที่ EY Clinic ค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาปรึกษาเรื่องปัญหาผิวกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
อ้างอิงข้อมูล
- Oh, Seyeon, et al. “Poly-D,L-Lactic Acid Stimulates Angiogenesis and Collagen Synthesis in Aged Animal Skin.” International Journal of Molecular Sciences, vol. 24, no. 9, 28 Apr. 2023, pp. 7986–7986, https://doi.org/10.3390/ijms24097986.
Why juvelook & Lenisna; What is PDLLA; https://juvelook.com/what-is-pdlla/
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง








จมูก ถือเป็นอวัยวะที่โดดเด่นบนใบหน้าของเราทุกคนค่ะ การเป็น “หลุมสิวที่จมูก” จึงถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับใครหลาย ๆ คน เพราะไม่ว่าจะลงเมคอัพมากแค่ไหน ก็อาจะไม่เพียงพอต่อปกปิดรอยแผลเป็นที่อยู่ตรงกลางของใบหน้าได้ ในบทความนี้ หมอผึ้งจึงได้สรุปความรู้เรื่องหลุมสิวที่บริเวณจมูก ตลอดจนวิธีการรักษามาให้ได้อ่านและทำความเข้าใจกันค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- หลุมสิวที่จมูก คือ รอยแผลที่เกิดจากกระบวนการอักเสบของสิว และการสมานแผลที่ไม่เพียงพอ
- จมูก เป็นบริเวณที่ต่อมน้ำมันจำนวนมาก ทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบ และสิวอุดตันได้ง่าย
- หลุมสิวประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด คือ หลุมสิว Ice pick (60-70% ของรอยแผลเป็นจากสิว)
- วิธีการรักษาหลุมสิวที่จมูก มีอยู่หลายวิธี อาทิ เช่น การทำ TCA หลุมสิว เลเซอร์ Fractional RF และเลเซอร์ Fractional CO2
หลุมสิวที่จมูก คืออะไร เกิดจากอะไร
หลุมสิวบริเวณจมูก คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากการอักเสบของสิวค่ะ ซึ่งจมูกของเราเป็นพื้นที่ที่มักมีน้ำมันสูง เนื่องจากมีรูขุมขนอยู่เป็นจำนวนมาก พอน้ำมันมากก็ทำให้เกิดการอุดตันและเป็นสิวได้ง่ายขึ้นค่ะ
เราสามารถสรุปได้ง่าย ๆ ค่ะว่า สาเหตุของการเกิดหลุมสิวที่จมูกก็คือ สิวอักเสบ เนื่องจากระหว่างกระบวนการอักเสบนั้น เซลล์ผิวและเส้นใยโปรตีนโครงสร้างต่าง ๆ ในบริเวณที่เป็นสิวจะถูกทำลาย ประกอบการกระบวนการสมานแผลที่ไม่สามารถผลิตเนื้อเยื่อชุดใหม่ออกมาทดแทนได้ จึงทำให้เกิดเป็นหลุมสิวนั่นเองค่ะ
หลุมสิวที่จมูก มักจะเป็นหลุมสิวประเภท Boxcar ที่มีลักษณะเป็นเหมือนบ่อกว้างที่ไม่ลึกมาก และหลุมสิวประเภท ice pick (ซึ่งเป็นหลุมสิวที่พบได้บ่อยที่สุด) ที่มีลักษณะเป็นหลุมปากแคบและลึกค่ะ
หลุมสิวที่จมูก รักษาอย่างไร
จมูก เป็นอวัยวะที่มีความบอบบาง มีเส้นเลือดฝอย และเส้นประสาทอยู่จำนวนมาก อีกทั้งยังมีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างจากผิวบริเวณอื่นของใบหน้า การรักษาหลุมสิวที่จมูกจึงอาจเป็นเรื่องท้าทายได้ค่ะ อย่างไรก็ดี หมอผึ้งขอยกตัวอย่างวิธีรักษา 3 วิธี ที่จะช่วยจัดการปัญหาหลุมสิวที่จมูกได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
TCA หลุมสิว

TCA หลุมสิว หรือ TCA CROSS (Chemical Reconstruction Of Skin Scar) คือ การใช้กรด Trichloroacetic acid ในการรักษาหลุมสิวค่ะ ตัวกรดจะทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่ และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนชุดใหม่ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาหลุมสิวที่จมูกให้ดูจางลง กระชับรูขุมขน และยังช่วยให้ผิวกระจ่างใสมากขึ้นค่ะ
TCA CROSS จะใช้กรดที่ความเข้มข้นสูง 70-100% แต้มเข้าไปที่บริเวณฐานของหลุมสิว โดยใช้ไม้จิ้มฟันหรือเข็มปลายทู่ค่ะ วิธีนี้จึงเป็นวิธีแก้ปัญหาหลุมสิว ice pick ที่จมูกหรือที่บริเวณอื่น ๆ ได้ดีด้วยค่ะ เพราะเนื่องจากหลุมสิว ice pick มีลักษณะเป็นบ่อปากแคบที่มีความลึก จึงจะไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษาหลุมสิวแบบอื่น ๆ ค่ะ
โปรแกรม TCA CROSS หลุมสิวที่ EY Clinic
- TCA acne scar หลุมสิว 1 ครั้ง 1,999.-
- TCA acne scar หลุมสิว 6 ครั้ง 9,995.- (คิดเป็นครั้งละ 1,666.-)
Fractional RF

เลเซอร์หลุมสิว Fractional RF เป็นการรักษาหลุมสิวด้วยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency, RF) โดยจะใช้เข็มขนาดจิ๋ว หรือ Microneedle ในการส่งผ่านคลื่นค่ะ โดยเลเซอร์ตัวนี้จะช่วยให้หลุมสิวที่จมูกดูจางลงด้วยการกระตุ้นในร่างกายเข้าสู่กระบวนการสมานแผล และผลิตคอลลาเจนออกมา อีกทั้งยังทำให้เกิดการปรับโครงสร้างของผิวด้วยค่ะ
โดยเลเซอร์ Fractional RF ที่ EY Clinic ใช้จะเป็นเครื่อง MICROFRAX ที่สามารถระดับคลื่นและโหมดการรักษาให้เหมาะสมกับพื้นที่ต่าง ๆ ของใบหน้าได้ อีกทั้งยังช่วยความระคายเคืองและลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงระยะยาวได้ด้วยค่ะ
โปรแกรม Fractional RF หลุมสิวที่ EY Clinic
- size S Fractional RF 1 ครั้ง 4,999.-
- size M Fractional RF 2 ครั้ง 8,999.-
- size L Fractional RF 3 ครั้ง 12,799.-
Fractional CO2

อีกหนึ่งวิธีการรักษาหลุมสิวที่จมูก ก็คือ เลเซอร์หลุมสิว Fractional CO2 ค่ะ ซึ่งเป็นเลเซอร์ที่โดดเด่นในเรื่องของการเผยผิวใหม่ (Skin Resufacing) โดย Fractional CO2 จะปล่อยแสงที่ความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร และใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวนำพาเข้าสู่ชั้นผิว
หลังจากนั้น แสงจะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนซึ่งทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวชั้นบน กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่พร้อมกับเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินค่ะ ซึ่งเลเซอร์ตัวนี้ มีประสิทธิภาพดีต่อหลุมสิวที่จมูกหรือบริเวณอื่น ๆ ที่มีความรุนแรง และยังช่วยจัดการกับปัญหาผิวอื่น ๆ เช่น สิวอุดตัน สิวข้าวสาร หรือริ้วรอยได้ด้วยค่ะ
โปรแกรม Fractional CO2 หลุมสิวที่ EY Clinic
- Smooth x หลุมสิวทั่วหน้า 1 ครั้ง 3,999.-
- Smooth x หลุมสิวทั่วหน้า 6 ครั้ง 19,995.- (คิดเป็นครั้งละ 3,333.-)
รักษาหลุมสิวที่ EY Clinic

เพราะว่า จมูก เป็นพื้นที่ที่มีความบอบบาง มีเส้นเลือดฝอยอยู่จำนวนมาก และเป็นอวัยวะที่อยู่ตรงกลางใบหน้า ในการรักษาหลุมสิวที่จมูก เราจึงควรเลือกรับบริการกับคลินิกที่มีมาตรฐาน มีแพทย์ประจำการและมีการตรวจประเมินสภาพผิวก่อนเริ่มรักษาทุกครั้งค่ะ
สำหรับคนที่ประสบปัญหาหลุมสิวที่จมูก สามารถปรึกษากับ EY Clinic ได้ค่ะ โดยเรามีโปรแกรมรักษาหลุมสิวที่ครอบคลุม มีการออกแบบแผนการรักษาให้เหมาะสมกับตัวบุคคล และมีความยินดีที่จะอยู่ข้างคุณตลอดทุกขั้นตอนการรักษาค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง



หมอคิดว่า ปัญหาหลุมสิว เป็นอะไรที่น่าปวดหัวไม่แพ้กับปัญหาสิว และทำให้หลาย ๆ คน เสียความมั่นใจไปได้ง่าย ๆ เลยค่ะ ใบทความนี้ หมอจะมาอธิบายถึง “หลุมสิว Rolling scar” หรือหลุมสิวที่มีลักษณะเหมือนแอ่ง และพูดถึงการรักษาหลุมสิว rolling ที่มีประสิทธิภาพค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- หลุมสิว Rolling scar มีลักษณะเป็นแอ่งที่มีความกว้าง แต่ไม่ลึก และไม่มีขอบเขตชัดเจน
- หลุมสิว Rolling scar มักตอบสนองต่อการรักษาแบบต่าง ๆ ได้ดี
- วิธีรักษาหลุมสิว Rolling ที่มีประสิทธิภาพ คือ การทำ Subcision ควบคู่ไปกับ Venus Viva MD หรือ เลเซอร์ Fractional RF
หลุมสิว เกิดจากอะไร

หลุมสิว (Atrophic acne scar) เกิดจากการกระบวนการอักเสบของสิว และการกระบวนการสมานแผลที่ไม่พอเพียงค่ะ โดยระหว่างที่เราเป็น เซลล์ผิวและเส้นใยโปรตีนโตโครงสร้างต่าง ๆ จะถูกทำลายไปตามกระบวนการการอักเสบ ยิ่งการอักเสบรุนแรงเท่าไร โอกาสของการเกิดหลุมสิวก็เยอะจะไปด้วย ประกอบกับกระบวนการสมานแผลที่ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อมาทดแทนในส่วนที่ถูกทำลายไปได้ จึงทำให้เกิดเป็นแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรอยบุ๋ม หรือ เป็นหลุม ต่ำกว่าระนาบของผิวปกตินั่นเองค่ะ
โดยหลุมสิวจะเป็นประเภทของแผลเป็นที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด เมื่อเป็นสิวอักเสบ ซึ่งนอกจากแผลเป็นลักษณะแล้วก็ยังมีรอยดำ (Hyperpigmentation) และรอยแผลเป็นแบบนูน (Hypertrophic scar) ที่เกิดสามารถเกิดขึ้นได้ค่ะ
หลุมสิว มีกี่ประเภท

เราสามารถแบ่งหลุมสิวออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ หลุมสิว Rolling, หลุมสิว Boxcar และหลุมสิว Ice Pick ค่ะ โดยแต่ละประเภทจะมีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกัน ดังนี้ค่ะ
- หลุมสิว Rolling scar มีลักษณะเป็นแอ่งตื้นที่กินพื้นที่ได้ถึง 5 มิลลิเมตร ขอบเขตไม่ชัดเจน พบได้บ่อยบริเวณแก้ม หลุมสิวประเภทนี้พบได้ไม่บ่อยเมื่อเทียบกับอีกสองประเภท และเป็นประเภทที่รักษาได้ง่ายที่สุดค่ะ
- หลุมสิว Boxcar scar มีลักษณะเป็นบ่อกว้างที่มีขอบชัดเจน มีความกว้างอยู่ที่ 1.5 - 4 มิลลิเมตร และมักตอบสนองต่อการรักษาได้ดีค่ะ
- หลุมสิว Ice pick scar เป็นประเภทหลุมสิวที่พบมากที่สุด (60-70% ของแผลเป็นจากสิว) มีลักษณะเป็นเหมือนหลุมปากแคบที่มีความลึก จึงทำให้รักษาได้ยากค่ะ
หลุมสิว Rolling scar รักษาอย่างไร
ต้องเกริ่นก่อนว่า ในปัจจุบันนี้ เรามีวิธีรักษาหลุมสิว Rolling scar หลายตัวมากค่ะ โดยในบทความนี้ หมอจะขอพูดถึงการรักษา 5 วิธี ดังนี้ค่ะ
Subcision

Subcision หรือ การตัดพังผืด คือ การใช้เข็มขนาดเล็กสอดเข้าไปที่บริเวณฐานของหลุมสิว เพื่อเลาะเอาเนื้อเยื่อพังผืด (Fibrous tissue) ออกค่ะ โดยเนื้อเยื่อพังผืดนี้เป็นผลมาจากการที่ร่างกายพยายามสมานและซ่อมแซมตัวเองหลังจากที่เป็นสิวอักเสบค่ะ แต่ในหลาย ๆ กรณี เนื้อเยื่อพังผืดกลับเป็นตัวดึงรั้งผิวบริเวณฐานสิวเอาไว้ค่ะ ซึ่งการตัดเอาพังผืดตรงนี้ออกเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนชุดใหม่ออกมา และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาหลุมสิวด้วยวิธีอื่น ๆ ด้วยค่ะ
Subcision จึงมักเป็นหัตถการเสริมที่นิยมทำร่วมกับ การฉีดกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิว และเลเซอร์หลุมสิวค่ะ เพราะการเลาะเอาพังผืดออกจะช่วยให้หลุมสิว Rolling scar ตอบสนองของการรักษาอื่น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้ง Subsicion เองยังเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงต่ำ และไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงระยะยาวด้วยค่ะ
เลเซอร์ Fractional RF

Fractional RF เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิว Rolling scar ค่ะ โดยจะเป็นการใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency, RF) เพื่อกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสมานแผล คลื่นวิทยุจะถูกส่งผ่านเข้าสู่ชั้นผิว แล้วแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนที่กระตุ้นผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ออกมา อีกทั้งยังเกิดการจัดเรียงตัวใหม่ของโครงสร้างผิว (Skin Remodeling) ซึ่งจะทำให้หลุมสิว Rolling scar ดูจางลง ผิวกระชับ และแข็งแรงขึ้นค่ะ
โดยเลเซอร์ Fractional RF ของ EY Clinic จะใช้เทคนิค Microneedling หรือใช้เข็มขนาดจิ๋วในการลงผ่านคลื่นวิทยุเข้าสู่ชั้นผิว ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นกระบวนการสมานแผลอีกทางหนึ่งด้วยค่ะ
เลเซอร์ Venus Viva MD

Venus Viva MD เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ใช้คลื่นวิทยุเป็นในการรักษาหลุมสิวแบบ Rolling scar ค่ะ แต่ความพิเศษของเจ้าเลเซอร์ตัวนี้อยู่ที่ เทคโนโลยี NanoFractional™ Radiofrequency ที่ช่วยให้คลื่นวิทยุเข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกถึงชั้น Upper dermis ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าในการรักษาหลุมสิว Rolling scar และ Boxcar ที่มีความรุนแรง เมื่อเทียบกับเลเซอร์ในกลุ่มเดียวกันค่ะ อีกทั้งยังมี SmartScan™ ที่ทำให้ปรับเปลี่ยนระดับพลังงานได้ตามความเหมาะสมกับผิวของแต่ละบุคคลค่ะ
Venus Viva MD เป็นนวัตรกรรมเลเซอร์ที่ชื่อเรื่องความปลอดภัย และความสบายผิวระหว่างหัตถการค่ะ โดยจะใช้หัว pin ที่มีขนาดเล็กเพียง 300 นาโนเมตรในการส่งผ่านคลื่นวิทยุ ซึ่งทำให้คลื่นกระจายตัวได้ดี ไม่สร้างความเจ็บปวดระหว่างยิงคลื่น และลดโอกาสผิวไหม้เบิร์นหลังทำหัตถการด้วยค่ะ
โดยนอกจากประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว Rolling scar ความปลอดภัย และความสบายผิวขณะทำแล้ว ระยะเวลาพักฟื้นหลังทำ Venus Viva MD ก็ใช้เวลาเพียง 1-2 วัน ซึ่งถือว่าสั้นกว่า เมื่อเทียบกับเลเซอร์ตัวอื่นค่ะ
เลเซอร์ Fractional CO2

Fractional CO2 เป็นเลเซอร์เพื่อผิวหน้าที่ได้รับความนิยมสูงค่ะ เนื่องจากสามารถจัดการกับปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย เช่น ริ้วรอย สิวข้าวสาร สิวอุดตัน รวมไปถึงหลุมสิวแบบ Rolling scar และ Boxcar ด้วยค่ะ ซึ่ง Fractional CO2 จะใช้ยิงคลื่นแสงที่ความยาว 10,600 นาโนเมตร โดยใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวกลางในการแทรกตัวเข้าสู่ชั้นผิว ทำให้เกิดการผลัดผิวเก่าออก และผลิตเซลล์ผิวใหม่ค่ะ (Skin Resurfacing)
อย่างไรก็ดี เลเซอร์ Fractional CO2 จะใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าเลเซอร์ Fractional RF และ Venus Viva MD เผยผลลัพธ์ที่ช้ากว่า แต่ก็มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว Rolling scar กระชับรูขุมขน และช่วยปรับโทนสีผิวให้สม่ำเสมอมากขึ้นค่ะ
การฉีดกระตุ้นคอลลาเจน

อีกหนึ่งวิธีรักษาหลุมสิว Rolling scar ก็คือ การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Collagen Biostimulator ค่ะ ซึ่งสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่ Juvelook, Profhilo และ Sculptra ค่ะ โดยแต่ละตัวมีคุณสมบัติที่โดดเด่นแตกต่างกันในการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวและลดเลือนหลุมสิว
Juvelook เป็นสาร PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid) ที่ทำงานร่วมกับไฮยาลูรอนิก แอซิด โดยสาร PDLLA จะกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้ผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิวออกมามากขึ้น ส่วนไฮยาลูรอนิก แอซิดจะช่วยเติมเต็มปริมาตรของเนื้อเยื่อ ทำให้หลุมสิวดูจางลงและผิวชุ่มชื้นทันที
โดยสาร PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid) จะเป็นสารที่ทำหน้าที่กระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast)ให้ผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิวออกมากมากชึ้น ส่วนไฮยาลูรอนิก แอซิดจะเป็นตัวอุ้มน้ำและทำหน้าที่เติมเต็มปริมาตรที่จะทำให้หลุมสิวดูตจางลงค่ะ
เราสามารถสรุปหลักการทำงานคร่าว ๆ ของ Juvelook ได้เป็น 3 ข้อ ดังนี้ค่ะ
- Physical Support: มวลสารไฮยาลูรอนิก แอซิดที่เข้าไปเติมเต็มปริมาตรของเนื้อเยื่อบริเวณหลุมสิว
- Restoration: หลังฉีดไปแล้ว 3-4 สัปดาห์ เซลล์ไฟโบรบลาสต์จะเริ่มผลิตเส้นใยคอลลาเจนออกมามากขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและความชุ่มชื้นให้ผิว
- Maintenance: PDLLA สามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ในระยะยาว และจะเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนที่สุดในช่วง 6 เดือนหลังฉีด
ผลลัพธ์ของ Juvelook จะเห็นได้หลังฉีดครั้งแรก เนื่องจากตัวไฮยาลูรอนิก แอซิดที่เข้าไปเติมเต็มบริเวณหลุมสิวทันทีค่ะ โดยทั่วไปแล้ว การฉีด Juvelook ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 3-4 สัปดาห์ ซึ่งนอกจากประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว Rolling scar แล้ว Juvelook ยังจะช่วยในการลดเลือนริ้วรอย ปรับสภาพผิว พร้อมเพิ่มความชุ่มชื้นและความกระชับให้ผิวแลดูอ่อนวัยสุขภาพดีด้วยค่ะ
สารกระตุ้นคอลลาเจนอีกหนึ่งตัวที่สามารถช่วยรักษาหลุมสิว Rolling scar ได้ ก็คือ Sculptra ค่ะ ซึ่ง Sculptra จะเป็นสาร PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งมีความสามารถในการกระตุ้นคอลลาเจนเช่นกันค่ะ โดย Sculptra สามารถเพิ่มปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้ถึง 66.5% ทำให้หลุมสิวดูจางลงอย่างชัดเจน อีกทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงด้วยค่ะ
Profhilo เป็นสารไฮยาลูรอนิก แอซิดที่มีน้ำหนักโมเลกุลทั้งสูงและต่ำในรูปแบบ Hybrid Cooperative Complex โดยจะช่วยฟื้นฟูผิวชั้นหนังแท้ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน พร้อมมอบความชุ่มชื้นที่ลึกถึงชั้นผิว ทำให้หลุมสิว Rolling scar ดูตื้นขึ้น ผิวกระชับ และริ้วรอยลดลงได้อย่างชัดเจน
Sculptra เป็นสาร PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งมีความสามารถในการกระตุ้นคอลลาเจนได้ดีเยี่ยม โดยหลังการฉีด Sculptra พบว่าปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวเพิ่มขึ้นถึง 66.5% ภายใน 3 เดือน ส่งผลให้หลุมสิวดูจางลงอย่างชัดเจน พร้อมช่วยลดเลือนริ้วรอยและเพิ่มความแข็งแรงของผิว
การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนเหล่านี้สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ เช่น Subcision หรือ Laser เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว Rolling scar และ Boxcar scar ได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ
การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน สามารถทำร่วมกับร่วมกันหัตถการอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว Rolling scar หรือ Boxcar scar ได้ค่ะ อย่างไรก็ดี ควรมีการปรึกษาแพทย์เพื่อให้แผนการรักษาที่เหมาะกับตัวบุคคลที่สุด และเว้นระยะห่างระหว่างการรักษาแต่ละวิธีให้เหมาะสมด้วยค่ะ
หลุมสิว Rolling scar รักษาด้วยวิธีไหนดีที่สุด?

ในความเห็นของหมอผึ้งแล้ว วิธีการรักษาหลุมสิว Rolling scar ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด คือ การทำ Subcision ควบคู่ไปกับเลเซอร์ Venus Viva MD ค่ะ โดย Subcision จะกำจัดเนื้อเยื่อพังผืดที่ดึงรั้งอยู่ใต้ฐานของหลุมสิว และ Venus Viva MD (เลเซอร์ Fractional RF แบบไม่ใช้เข็ม) จะช่วยกระตุ้นให้ผิวผลิตเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน เพื่อมาเติมเต็มหลุมสิวให้ดูจางลง เผยผิวที่เรียบเนียนสม่ำเสมอมากขึ้นค่ะ
โดยที่ EY Clinic มีบริการในส่วนของโปรแกรมรักษาหลุมสิวที่จะช่วยจัดการทั้งหลุมสิวแบบ Rolling scar, Boxcar และ Ice Pick หากใครที่ยังไม่แน่ใจว่าวิธีไหนจะเหมาะสมที่สุด ก็สามารถปรึกษากับคลินิกของเราได้ค่ะ
ดูแลอย่างไร ไม่ให้เป็นหลุมสิว
ทั้งหลุมสิว rolling scar, boxcar และ ice pick เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอักเสบค่ะ ซึ่งวิธีการดูแลตัวเองเมื่อเป็นสิว เพื่อลดโอกาสการเกิดหลุมสิวมีดังนี้ค่ะ
- ไม่แกะ บีบ หรือกดสิว เพราะจะเป็นการทำร้ายผิว และอาจยิ่งทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้นด้วยค่ะอีกด้วยค่ะ
- เลือกใช้ยาแต้มสิว แผ่นแปะสิว หรือการฉีดสิว และไม่ปล่อยให้สิวหายเอง เพื่อควบคุมการอักเสบให้ได้มากที่สุดค่ะ
- บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ เพราะความชุ่มชื้นจะเป็นตัวช่วยให้ผิวแข็งแรง และช่วยให้สมานแแผลได้ดีขึ้นค่ะ
รักษาหลุมสิว Rolling scar ที่ EY Clinic

วิธีการรักษาหลุมสิว Rolling scar ที่ได้อธิบายกันไปในบทความนี้ ยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับหลุมสิวแบบ Boxcar ด้วยค่ะ ซึ่งนอกจาก วิธีเหล่านี้แล้ว ก็ยังมีหัตถการอื่น ที่จะช่วยแก้ปัญหาหลุมสิวได้ อย่างเช่น PRP Injection, Sculptra หรือ TCA ค่ะ
ซึ่งหมอเชื่อว่า การรักษาที่ดีสุดของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ก่อนเริ่มทำจึงควรมีการวางแผน เพื่อให้การรักษามีความเหมาะสมกับตัวบุคคล ไม่ว่าจะเป็นด้านของสภาพผิว เวลาที่เรามีในการเข้าคลินิก หรืองบประมาณที่มีค่ะ
สำหรับคนที่ยังมีคำถาม หรือสนใจโปรแกรมรักษาหลุมสิว ก็สามารถเข้ามาปรึกษาเราที่ EY Clinic ได้ค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาปรึกษาเรื่องปัญหาผิวกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง




.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)

.jpg)
.jpg)
.jpg)








