รักษาหลุมสิว
สวัสดีค่ะ วันนี้หมอผึ้งตั้งใจว่าจะช่วยคลี่คลายข้อสงสัยและคำถามต่างๆเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิวให้ทุกคนที่กำลังมองหาวิธีการรักษาอยู่ หวังว่าทุกคนจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากข้อมูลนี้นะคะ ถ้าหากมีคอมเมนท์หรือคำถามอะไร สามารถทักเข้ามาสอบถามหมอได้เลยนะคะ
Fractional RFPart 1: ว่าด้วยเรื่องหลุมสิว

หลุมสิวคืออะไร?
หลุมสิวเกิดจากการอักเสบในชั้นหนังแท้ที่เกิดจากสิว เมื่อรูขุมขนบวมขึ้นจะทำให้ผนังรูขุมขนแตกออก รอยสิวบางชนิดมีขนาดเล็กและรอยแผลเป็นตื้นจึงหายเร็ว อย่างไรก็ตาม บางครั้งสิวอาจทำให้เนื้อเยื่อโดยรอบเสียหายและเกิดหลุมสิวลึก ผิวหนังพยายามซ่อมแซมความเสียหายนี้ด้วยการสร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่ แต่ผลลัพธ์มักจะเป็นผิวที่ไม่เรียบเนียนเหมือนเดิม
ความสำคัญของการรักษาหลุมสิว
หลุมสิวสามารถส่งผลกระทบต่อความภาคภูมิใจในตนเองและคุณภาพชีวิตได้มาก ทำให้เกิดความทุกข์ทางอารมณ์ การแยกตัวจากสังคม (Social Isolation) และความรู้สึกมั่นใจที่ลดลง การรักษาหลุมสิวไม่เพียงช่วยปรับปรุงลักษณะทางกายภาพของผิว แต่ยังช่วยฟื้นฟูอารมณ์และเพิ่มความมั่นใจในตนเอง
ภาพรวมของวิวัฒนาการการรักษา
การรักษาหลุมสิวได้พัฒนาไปอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การรักษาที่บ้านและการใช้สมุนไพรไปจนถึงขั้นตอนทางการแพทย์ที่ซับซ้อน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีผลข้างเคียงน้อยลง วิวัฒนาการนี้สะท้อนถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับชีววิทยาของผิวหนังและความพยายามในการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านความงาม
การรักษาในระยะเริ่มแรกโดยส่วนใหญ่จะค่อนข้างผิวเผิน เช่น การขัดผิวด้วยกลไก (Mechanical Exfoliation) และการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling) เมื่อเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าไป การรักษาที่แม่นยำและตรงเป้าหมายมากขึ้น เช่น การใช้ไมโครนีดดิ้งและการรักษาด้วยเลเซอร์ก็เกิดขึ้น ในปัจจุบัน วิธีการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่น เลเซอร์หลุมสิว Fractional RF และการรักษาด้วย Stem Cell ให้ผลลัพธ์ที่น่าตื่นเต้นโดยมี Downtime และผลข้างเคียงน้อยที่สุด
หัวข้อต่อๆ ไปจะเจาะลึกแต่ละขั้นตอนของวิวัฒนาการนี้ สำรวจการพัฒนา ประสิทธิภาพ และผลกระทบของการรักษาหลุมสิวต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป
Part 2: วิธีการรักษาหลุมสิวในระยะเริ่มแรก
การรักษาที่บ้านและการรักษาตามธรรมชาติ

ก่อนที่จะมีการรักษาทางการแพทย์สมัยใหม่ ผู้คนพึ่งพาการรักษาที่บ้านและการรักษาตามธรรมชาติเพื่อจัดการกับหลุมสิว วิธีการเหล่านี้รวมถึงการใช้ส่วนผสมต่างๆ เช่น น้ำผึ้ง ว่านหางจระเข้ น้ำมะนาว และน้ำมันหอมระเหยต่างๆ เชื่อกันว่าสารธรรมชาติเหล่านี้มีคุณสมบัติในการรักษา สามารถลดการอักเสบและส่งเสริมการสร้างผิวใหม่ แม้ว่าบางคนจะพบว่าการรักษาเหล่านี้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ประสิทธิผลของพวกเขามักถูกจำกัดและไม่สอดคล้องกัน
การขัดผิวด้วยกลไก (Mechanical Exfoliation) และ Dermabrasion

การขัดผิวด้วยกลไกและการกรอผิวด้วยผิวหนัง (Derbabrasion) ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญประการแรกๆ ในการรักษาหลุมสิว เทคนิคเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการขจัดชั้นผิวด้านนอกออกทางกายภาพเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของผิวใหม่และลดการเกิดรอยแผลเป็น
- การขัดผิวด้วยกลไกการทำงาน : วิธีนี้รวมถึงการใช้วัสดุที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เช่น สครับที่มีไมโครบีดส์ (Micro-beads) หรือสารขัดผิวตามธรรมชาติ เช่น เมล็ดแอปริคอทบด เป้าหมายหลักคือการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและปรับปรุงผิว อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเพียงผิวเผิน และวิธีนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าสำหรับผิวที่มีรอยเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าที่จะเป็นหลุมสิวที่ลึก
- การกรอผิว :
- ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการ: Dermabrasion ถือเป็นวิธีการผลัดผิวแบบเข้มข้นมากขึ้น มันเกี่ยวข้องกับการใช้แปรงหรือล้อหมุนความเร็วสูงเพื่อขจัดชั้นนอกของผิวหนัง ขั้นตอนนี้ได้รับการพัฒนาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และได้รับความนิยมในการรักษาโรคผิวหนังต่างๆ รวมถึงหลุมสิว
- ประสิทธิผลและข้อจำกัด : Dermabrasion สามารถปรับปรุงลักษณะของรอยแผลเป็นตื้น ๆ และความผิดปกติของผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ต้องใช้แพทย์ที่มีทักษะเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ แผลเป็น และสีผิวที่เปลี่ยนไป ขั้นตอนนี้มักเกี่ยวข้องกับ Downtime มากและรู้สึกไม่สบายระหว่างการพักฟื้น
การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling)

การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีกลายเป็นวิธีการยอดนิยมในการรักษาหลุมสิว โดยเป็นวิธีควบคุมการขัดผิวโดยใช้สารเคมี
- ประวัติความเป็นมา : การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีมีการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีบันทึกทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าหญิงชาวอียิปต์ใช้นมเปรี้ยว (ที่มีกรดแลคติค) เพื่อปรับปรุงผิวของตน การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีสมัยใหม่ได้รับการพัฒนาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นวิธีการขัดผิวที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น
- ประเภทของการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี
- การผลัดเซลล์ผิวชั้นตื้น : ใช้กรดอ่อนๆ เช่น กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (AHA) เพื่อขัดผิวชั้นนอกอย่างอ่อนโยน มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงความไม่สมบูรณ์ของผิวเล็กน้อยและการเปลี่ยนสี แต่มีผลกระทบจำกัดต่อรอยแผลเป็นลึก
- การผลัดเซลล์ผิวชั้นกลาง : สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับกรดที่แรงกว่า เช่น กรดไตรคลอโรอะซิติก (TCA) ซึ่งเจาะลึกเข้าไปในผิวหนังเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่เสียหาย การผลัดเซลล์ผิวปานกลางสามารถรักษาหลุมสิวในระดับปานกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนมากกว่าการผลัดเซลล์ผิวแบบตื้น
- การผลัดเซลล์ผิวชั้นลึก : การใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์แรง เช่น ฟีนอล การผลัดเซลล์ผิวแบบล้ำลึกจะให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งโดยการขจัดชั้นผิวหนังหลายชั้น มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวอย่างรุนแรง แต่มีความเสี่ยงสูง เช่น ใช้เวลาฟื้นตัวนาน มีโอกาสเกิดการติดเชื้อ และสีผิวเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร
- ข้อดีและข้อเสีย : การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีให้ประโยชน์หลายประการ รวมถึงการปรับปรุงสภาพผิว การเปลี่ยนสีผิวที่ลดลง และรูปลักษณ์ที่ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น รอยแดง ผิวลอก และอาการแพ้ง่าย ความลึกของการผลัดเซลล์จะเป็นตัวกำหนดความรุนแรงของผลข้างเคียงและระยะเวลาการฟื้นตัว
บทสรุปของวิธีการเบื้องต้น
แม้ว่าวิธีการรักษาหลุมสิวในระยะเริ่มแรก เช่น การรักษาที่บ้าน การขัดผิวด้วยกลไกและการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีช่วยบรรเทาอาการได้ แต่ก็มักจะแทบไม่มีประสิทธิผลเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแผลเป็นที่อยู่ลึกกว่านั้น การรักษาเหล่านี้วางรากฐานสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถรักษาสาเหตุของหลุมสิวได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขั้นต่อไปของเทคโนโลยีการรักษาหลุมสิวจะนำมาซึ่งความก้าวหน้าที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการใช้ Microneedling และการรักษาด้วยเลเซอร์
Part 3: Microneedling

การคิดค้น Microneedling
Microneedling หรือที่เรียกว่าการรักษาด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เป็นวิธีการรักษาที่ค่อนข้างทันสมัยซึ่งได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต้นกำเนิดของไมโครนีดดิ้งเริ่มจากในสมัยโบราณที่มีการใช้เข็มขนาดเล็กในการแพทย์แผนจีนสำหรับแก้ปัญหาสภาพผิวต่างๆ อย่างไรก็ตาม แนวทางปฏิบัติสมัยใหม่ของการใช้ไมโครนีดดิ้งได้รับการพัฒนาในช่วงต้นทศวรรษ 1990 โดยดร. เดสมอนด์ เฟอร์นันเดส (Dr. Desmond Fernandes) ศัลยแพทย์พลาสติกชาวแอฟริกาใต้ เขาเป็นผู้บุกเบิกการใช้เข็มเพื่อรักษาริ้วรอยและรอยแผลเป็น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาอุปกรณ์ไมโครนีดลิ่งต่างๆ
กลไกการทำงานการออกฤทธิ์

Microneedling คือเทคโนโลยีที่ใช้เข็มขนาดเล็กสร้างการบาดเจ็บขนาดจิ๋วที่ควบคุมได้ (Micro-injuries) บนผิว การเจาะเล็กๆ เหล่านี้ช่วยกระตุ้นกระบวนการสมานแผลตามธรรมชาติของร่างกาย กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน กระบวนการนี้ช่วยให้:
- ส่งเสริมการฟื้นฟูผิว : การบาดเจ็บระดับจุลภาคจะกระตุ้นให้ผิวสร้างเซลล์ใหม่ ส่งผลให้เนื้อผิวเรียบเนียนและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น
- เพิ่มการดูดซึมเซรั่ม : ช่องไมโครที่สร้างขึ้นโดยเข็มช่วยให้การรักษาเฉพาะที่เจาะลึกเข้าไปในผิวหนัง เพิ่มประสิทธิภาพใครการดูดซึมของเซรั่มที่ใช้ร่วมกับการรักษา
วิวัฒนาการตามกาลเวลา
นับตั้งแต่เริ่มคิดค้น ไมโครนีดลิ่งก็มีการพัฒนาไปอย่างมาก อุปกรณ์แบบแมนนวลในยุคแรกถูกแทนที่ด้วยอุปกรณ์อัตโนมัติที่ให้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอยิ่งขึ้นและลดความรู้สึกไม่สบายให้เหลือน้อยที่สุด การพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ :
- ปากกาไมโครนีดลิ่งอัตโนมัติ : อุปกรณ์เหล่านี้มีความยาวเข็มที่ปรับได้และการเคลื่อนไหวแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ควบคุมความลึกและพื้นที่การรักษาได้อย่างแม่นยำ
- Radiofrequency Microneedling (RF Microneedling) : การผสมผสาน microneedling เข้ากับพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ เทคนิคนี้จะส่งความร้อนไปยังชั้นผิวที่ลึกกว่า เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และเพิ่มความกระชับให้ผิว
ความนิยมและการนำไปใช้ในปัจจุบัน

Microneedling กลายเป็นวิธีการรักษายอดนิยมสำหรับปัญหาผิวต่างๆ เนื่องจากมีประสิทธิภาพและมี Downtime น้อยที่สุด มักใช้สำหรับ:
- หลุมสิว : มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแผลเป็นแกร็น microneedling ช่วยสลายเนื้อเยื่อแผลเป็นและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ปรับปรุง Texture ของผิว
- ริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น : ผลการกระตุ้นคอลลาเจนของ microneedling ทำให้การรักษาต่อต้านริ้วรอยยอดนิยม
- รอยดำและฝ้า : Microneedling สามารถช่วยลดปัญหาผิวคล้ำโดยส่งเสริมการหมุนเวียนของเซลล์ผิว
- รอยแตกลาย : ด้วยการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน microneedling สามารถปรับปรุงลักษณะที่ปรากฏของรอยแตกลายเมื่อเวลาผ่านไป
ข้อดีและข้อจำกัด

ข้อดี:
- ระยะ Downtime น้อยที่สุด : เมื่อเทียบกับการรักษาแบบรุกล้ำมากขึ้น microneedling มีระยะเวลาการฟื้นตัวค่อนข้างสั้น โดยปกติแล้วจะมีอาการแดงและบวมเล็กน้อยเพียง 2-3 วัน
- ความเหมาะสมกับสภาพผิว : เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและทุกสีผิว microneedling สามารถตอบสนองปัญหาผิวได้หลากหลายเลยทีเดียว
- ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ : การผลิตคอลลาเจนอย่างค่อยเป็นค่อยไปนำไปสู่การปรับปรุง Texture และโทนสีผิวอย่างเป็นธรรมชาติและยาวนาน
ข้อจำกัด:
- ต้องทำหลายครั้ง : ผลลัพธ์ที่สำคัญมักต้องใช้การรักษาหลายครั้ง โดยทั่วไปจะเว้นระยะห่างกัน 2-3 สัปดาห์
- ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : แม้ว่าโดยทั่วไปจะปลอดภัย แต่การใช้ไมโครนีดดิ้งอาจทำให้เกิดรอยแดง บวม และรอยช้ำเล็กน้อยชั่วคราวได้ การติดเชื้อเกิดขึ้นได้ยากแต่เป็นไปได้หากไม่ปฏิบัติตามการดูแลหลังการรักษาอย่างเหมาะสม
บทสรุปของ Microneedling

Microneedling เป็นหนึ่งในความก้าวหน้าที่สำคัญในการรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุดสำหรับการปรับปรุงพื้นผิวและลักษณะที่ปรากฏของผิว วิวัฒนาการจากลูกกลิ้งเข็มธรรมดาไปจนถึงอุปกรณ์อัตโนมัติและความถี่วิทยุที่ซับซ้อนได้ขยายการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพ การพัฒนาและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องของเทคนิคไมโครนีดลิ่งรับประกันผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการลดหลุมสิวและความไม่สมบูรณ์ของผิวอื่นๆ ในขณะที่เราก้าวไปข้างหน้า
ต่อไปหมอจะเล่าให้ฟังถึงการใช้เลเซอร์เข้ามารักษาหลุมสิว
Part 4: การรักษาด้วยเลเซอร์

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีเลเซอร์
การรักษาด้วยเลเซอร์ได้ปฏิวัติวงการผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาหลุมสิว คำว่า "LASER" ย่อมาจาก Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ลำแสงที่มีความเข้มข้นเพื่อกำหนดเป้าหมายและรักษาปัญหาผิวที่เฉพาะเจาะจง เทคโนโลยีเลเซอร์ให้การควบคุมที่แม่นยำ ช่วยให้สามารถรักษาเนื้อเยื่อแผลเป็นได้อย่างตรงเป้าหมาย ในขณะเดียวกันก็ลดความเสียหายต่อผิวหนังโดยรอบให้เหลือน้อยที่สุด

1st Generation: Full-Field Ablative Laser

ความก้าวหน้าครั้งสำคัญครั้งแรกของการรักษาด้วยเลเซอร์สำหรับหลุมสิวมาพร้อมกับการพัฒนาเลเซอร์ Ablative ชนิด Full-Field เลเซอร์เหล่านี้ทำงานโดยการลอกของผิวชั้นบนออก (Ablate) ส่งเสริมการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่มีสุขภาพดีและการผลิตคอลลาเจน
- เลเซอร์ CO2 :
- ประวัติความเป็นมาและการพัฒนา : เลเซอร์ CO2 เป็นหนึ่งในเลเซอร์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ใช้สำหรับการผลัดผิว CO2 ทำหน้าที่ปล่อยแสงอินฟราเรดที่ถูกดูดซับโดยน้ำในผิวหนัง ส่งผลทำให้น้ำระเหยและเนื้อเยื่อเป้าหมายถูกกำจัดออก
- ประสิทธิผล : เลเซอร์ CO2 มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวลึก สามารถปรับปรุง Texture และโทนสีผิวได้อย่างมาก มีผลลัพธ์ที่ดีมากระดับหนึ่ง
- ข้อจำกัด : การทำเลเซอร์ CO2 นั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก โดยใช้เวลาพักฟื้นนานและอาจมีผลข้างเคียง เช่น รอยแดง บวม และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ การรักษายังสามารถทำให้เกิดรอยดำได้ โดยเฉพาะในโทนสีผิวเข้มของคนไทย
- เลเซอร์ Erbium-YAG :

- ประวัติความเป็นมาและการพัฒนา : เลเซอร์ Erbium-YAG ซึ่งเป็นทางเลือกแทนเลเซอร์ CO2 ทำหน้าที่โดยการปล่อยแสงที่ถูกดูดซับโดยน้ำในผิวหนัง โดยจะทำงานที่ความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน ทำให้สามารถควบคุมการกำจัดเนื้อเยื่อได้แม่นยำยิ่งขึ้น
- ประสิทธิผล : เลเซอร์ Erbium-YAG มีผลกับรอยแผลเป็นทั้งชั้นตื้นและลึกปานกลาง ส่งผลให้เนื้อเยื่อโดยรอบได้รับความเสียหายจากความร้อนน้อยลง เมื่อเทียบกับเลเซอร์ CO2
- ข้อจำกัด : แม้ว่าระยะเวลาการฟื้นตัวจะสั้นกว่าและผลข้างเคียงจะรุนแรงน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 แต่ผลลัพธ์อาจไม่น่าทึ่งสำหรับรอยแผลเป็นที่ลึกมาก
การลอกผิวคือการสร้างแผล ซึ่งหากทำมากไปอาจเกิดแผลเป็นนูนและรอยดำได้ หากลอกน้อยไปก็อาจไม่ได้ผลเพราะกระตุ้นคอลลาเจนไม่เพียงพอ ดังนั้น เลเซอร์รักษาหลุมสิวจึงพัฒนาขึ้นโดยยึดหลักการนี้ เลเซอร์ที่ดีต้องกระตุ้นการรักษาหลุมสิวได้ดีและมีผลข้างเคียงน้อย เช่น แผลเป็นหรือรอยดำหลังทำ
2nd Generation: Non-Ablative Laser

เพื่อจัดการกับข้อจำกัดของ Full-Field Ablative Laser จึงได้มีการพัฒนา Non-Ablative Laser ขึ้นมา เลเซอร์เหล่านี้ทำงานโดยการให้ความร้อนแก่เนื้อเยื่อผิวหนังที่อยู่ด้านล่างโดยไม่ต้อง Ablate ผิวชั้นตื้นออก สามรถกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและปรับปรุง Skin Texture โดยมี Downtime น้อยที่สุด
- Erbium Glass Laser
- กลไกการทำงาน : เลเซอร์เหล่านี้จะทำความร้อนให้กับน้ำในผิวหนังเพื่อสร้างความร้อนแก่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพื้นผิวอย่างมีนัยสำคัญ
- ประสิทธิผล : เหมาะสำหรับหลุมสิวเล็กน้อยถึงปานกลาง เลเซอร์แก้วเออร์เบียมมีการปรับปรุงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีผลข้างเคียงและ Downtime น้อยที่สุด
- ข้อจำกัด : ผลลัพธ์ที่ได้จะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเลเซอร์ระเหย และมักต้องทำหลายครั้ง
- เลเซอร์ Nd:YAG
- กลไกการทำงาน : เลเซอร์ Nd:YAG ทำหน้าที่เจาะลึกเข้าไปในผิวหนัง เพื่อยิงทั้งน้ำและเมลานิน มีประโยชน์หลากหลาย ใช้สำหรับสภาพผิวต่างๆ รวมถึงหลุมสิว
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพในการลดรอยแดงและปรับปรุงผิว เลเซอร์เหล่านี้ปลอดภัยสำหรับทุกสภาพผิว
- ข้อจำกัด : เช่นเดียวกับเลเซอร์แบบไม่ทำลายอื่นๆ จำเป็นต้องมีการรักษาหลายครั้ง และผลลัพธ์ที่ได้จะละเอียดกว่า
3rd Generation: Fractional Laser

เทคโนโลยี Fractional Laser แสดงถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการรักษาหลุมสิว โดยผสมผสานคุณประโยชน์ของเลเซอร์ทั้งแบบ Ablative และ Non-Ablative
Fractional Laser จะรักษาผิวหนังเพียงบริเวณเล็กบริเวณเดียวในแต่ละครั้ง ทำให้เกิดการบาดเจ็บขนาดเล็ก (Micro-Injuries) ที่รายล้อมไปด้วยเนื้อเยื่อที่มีสุขภาพดี ซึ่งจะช่วยเร่งการรักษาและลด Downtime

- กลไกการทำงาน : เลเซอร์ Fractional CO2 จะส่งลำแสงที่โฟกัสซึ่งจะสร้างคอลัมน์เนื้อเยื่อที่เสียหายเล็กๆ และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในขณะที่เนื้อเยื่อโดยรอบไม่เสียหาย
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่อยู่ลึก โดยช่วยทำ Texture และโทนสีผิวให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- ข้อจำกัด : แม้ว่า Downtime จะลดลงเมื่อเทียบกับ Full-Field Ablative Laser แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เช่น รอยแดง บวม และรอยดำ โดยเฉพาะในสีผิวที่เข้มกว่าเช่นผิวคนไทยเป็นต้น
- Fractional Erbium-YAG
- กลไกการทำงาน : เลเซอร์เหล่านี้สร้างการบาดเจ็บขนาดเล็กคล้ายกับเลเซอร์ Fractional CO2 แต่สร้างความเสียหายจากความร้อนน้อยกว่า
- ประสิทธิผล : เหมาะสำหรับหลุสิวตื้นถึงลึกปานกลาง ให้ผลลัพธ์ที่ดี ใช้เวลาพักฟื้นสั้นกว่า
- ข้อจำกัด : ผลลัพธ์อาจไม่เด่นชัดเท่ากับเลเซอร์ CO2 แบบเศษส่วน และยังคงมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรง
4th Generation: Fractional RF (RF)
ความก้าวหน้าล่าสุดในการรักษาหลุมสิว ได้แก่ Fractional RF ซึ่งใช้พลังงานคลื่นวิทยุเพื่อให้ความร้อนแก่ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยไม่ต้องใช้แสงเลเซอร์

- Fractional RF (เช่น eMatrix, Venus Viva)
- กลไกการทำงาน : Fractional RF ทำงานโดยสร้างการบาดเจ็บขนาดเล็กในผิวหนังโดยใช้พลังงานคลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและกระชับผิว
- ประสิทธิผล : ใช้ได้กับหลุมสิวหลายประเภท รวมถึงหลุมสิวแบบลึก Fractional RF เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยดำน้อยที่สุดในกลุ่มเทคโนโลยีในยุคนี้
- ข้อดี : ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ใช้ Downtime น้อยที่สุด และสามารถรักษารอยแผลเป็นที่อยู่ลึกลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- Microneedle RF (เช่น Fractora, Scarlet)
- กลไกการทำงาน : ผสมผสาน microneedling เข้ากับพลังงาน Fractional RF ให้การรักษาที่ตรงเป้าหมายลึกลงสู่ผิว
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่รุนแรงและลึก โดยให้การปรับปรุง Texture และสีผิวอย่างมีนัยสำคัญ
- ข้อดี : ควบคุมความลึกของการรักษาได้อย่างแม่นยำ Downtime น้อย และลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเลเซอร์
บทสรุปของการรักษาด้วยเลเซอร์

การรักษาด้วยเลเซอร์ทำให้การรักษาหลุมสิวก้าวหน้าไปอย่างมาก โดยมีตัวเลือกมากมายเพื่อให้เหมาะกับประเภทของหลุมสิวและสภาพผิวที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ Full-Field Ablative Laser ในยุคแรกๆ ไปจนถึง Fractional RF ล่าสุด แต่ละรุ่นได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า ทำให้มีตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและผลข้างเคียงน้อยลง การพัฒนาเทคโนโลยีเลเซอร์อย่างต่อเนื่องเป็นผลดีสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาหลุมสิวและทำให้ผิวเรียบเนียนและมีสุขภาพดีขึ้น หัวข้อถัดไปจะกล่าวถึงการผสมผสานวิธีการรักษาต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มผลลัพธ์และจัดการกับหลุมสิวประเภทต่างๆ อย่างครอบคลุม
Part 5: การรักษาแบบผสมผสาน
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการรักษาแบบผสมผสาน
เนื่องจากความเข้าใจเกี่ยวกับหลุมสิวและการนำเสนอที่หลากหลายมากขึ้น แพทย์ผิวหนังจึงหันมาผสมผสานวิธีการรักษาที่แตกต่างกันมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การรักษาแบบผสมผสานสามารถจัดการกับรอยแผลเป็นในด้านต่างๆ ได้ โดยนำเสนอแนวทางการรักษาและฟื้นฟูผิวที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Subcision + Laser
หนึ่งในการผสมผสานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการรักษา Rolling Scar และ Boxcar Scar บางประเภทคือการทำ subcision ตามด้วยการรักษาด้วยเลเซอร์
- Subcision
- กลไกการทำงาน : Subcision คือการใช้เข็มตัดเนื้อเยื่อที่ยึดผิวหนังและทำให้เกิดหลุมให้หลุดออก โดยจะสร้างการบาดเจ็บที่ควบคุมได้ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและช่วยให้ผิวยกขึ้น
- ขั้นตอนการรักษา : เริ่มด้วยการแปะยาชาเฉพาะที่ให้คนไข้ หลังจากนั้นก็ใช้เข็มเล็กๆ สอดเข้าไปใต้แผลเป็นแล้วตัดเนื้อเยื่อที่ยึดหลุมออก
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Rolling Scar โดยการ Subcision หลังทำแล้วจะเห็นผลทันที
- Subcison + Laser
- กลไกการทำงาน : หลังจากการ Subcision สามารถใช้การรักษาด้วยเลเซอร์ เช่น Fractional CO2 หรือ Erbium-YAG เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและผลัดผิวใหม่
- ประสิทธิผล : การผสมผสานระหว่างการ Subcision และการรักษาด้วยเลเซอร์ทำให้เกิดผลเสริมฤทธิ์กัน ทำให้ผลลัพธ์โดยรวมดีขึ้น และรักษาหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการรักษาด้วยวิธีเดียว
Subcison + Fractional RF

การรักษาหลุมสิวแบบผสมผสานที่ได้ผลดีอีกชนิดหนึ่งคือการทำ Subcision คู่กับ Fractional RF โดยเฉพาะเมื่อเลือกทำกับ Rolling Scar
- Fractional RF (เช่น Venus Viva)
- กลไกการทำงาน : Fractional RF ใช้ microneedles เพื่อส่งพลังงาน RF ลึกเข้าไปในผิวหนัง สร้างการบาดเจ็บจากความร้อนที่ควบคุมได้ ซึ่งกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการกระชับผิว
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพสำหรับรอยแผลเป็นทั้งตื้นและลึก Fractional RF ช่วยเพิ่มเนื้อผิวและส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงคอลลาเจนอย่างมีนัยสำคัญ
- Fractional RF + Subcision
- กลไกการทำงาน : แพทย์ส่วนใหญ่จะเลือกทำ Subcision ก่อนเพื่อตัดพังผืดที่ยึดหลุมอยู่ออก จากนั้นจึงใช้ Fractional RF เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและทำให้ผิวกระชับ
- ประสิทธิผล : การรักษาร่วมกันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดของทั้งสองวิธี โดย subcision จะให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดทันที ส่วน RF จะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในระยะยาว
TCA Cross + Laser

TCA CROSS (การสร้างรอยแผลเป็นจากผิวหนังโดยใช้กรดไตรคลอโรอะซิติก) เป็นเทคนิคหลักที่ใช้ในการรักษารอยแผลเป็นชนิด ice pick ซึ่งมีความลึกเกินกว่าจะรักษาด้วยเลเซอร์เพียงอย่างเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
TCA Cross:
- กลไกการทำงาน: TCA ที่มีความเข้มข้นสูงจะถูกทาลงบนแผลเป็นโดยตรง ทำให้เกิดการบาดเจ็บแบบควบคุม จากสารเคมีซึ่งช่วยส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนและการผลัดเซลล์ผิว
- ขั้นตอน: ใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กทา TCA ลงบนแผลเป็นอย่างแม่นยำ บริเวณนั้นอาจเกิดเปลือกและหลุดลอกเป็นเวลาหลายวัน
- ประสิทธิผล: TCA CROSS มีประสิทธิภาพสูงในการรักษารอยแผลเป็นชนิด ice pick สามารถลดความลึกและการมองเห็นของรอยแผลเป็นได้อย่างมาก
การใช้ร่วมกับเลเซอร์:
- กลไกการทำงาน: หลังจากทำ TCA CROSS แล้วก็ต่อด้วยการรักษาด้วย Fractional Laser สามารถใช้เพื่อทำให้ผิวเรียบเนียนและส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนต่อไป
- ประสิทธิผล: การผสมผสานนี้ช่วยแก้ไขทั้งความลึกและพื้นผิวของรอยแผลเป็นชนิด ice pick ทำให้มีการปรับปรุงที่ครอบคลุมมากขึ้น
บทสรุปของการรักษาแบบผสมผสาน
การผสมผสานวิธีการรักษาที่แตกต่างกันช่วยให้การรักษาหลุมสิวมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถจัดการกับรอยแผลเป็นประเภทต่าง ๆ และปรับปรุงผลลัพธ์โดยรวมได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ subcision ร่วมกับเลเซอร์หรือ Fractional RF, TCA CROSS, microneedling ด้วย PRP และการผสมผสานระหว่างเลเซอร์และการใช้ยาทา ล้วนเป็นวิธีการผสมผสานที่มีประสิทธิภาพสูง การรักษาเสริมฤทธิ์กันเหล่านี้ช่วยปรับปรุง Skin Texture โทนสี และรูปลักษณ์ภายนอกได้อย่างครอบคลุม ทำให้บุคคลที่ต้องเผชิญกับปัญหาหลุมสิวได้รับความหวังและความมั่นใจ
หัวข้อถัดไปจะเจาะลึกถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเน้นความก้าวหน้าล่าสุดและทิศทางในอนาคตของการรักษาหลุมสิว
Part 6: เทคโนโลยีใหม่
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่
ในขณะที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง การรักษาหลุมสิวก็เกิดขึ้นใหม่และเป็นนวัตกรรมใหม่ แนวทางที่ล้ำหน้าเหล่านี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าคาดหวังโดยมีผลข้างเคียงน้อยลงและใช้เวลาฟื้นตัวสั้นลง ในส่วนนี้จะสำรวจการพัฒนาล่าสุดบางส่วนในเทคโนโลยีการรักษาหลุมสิว
การผลัดเซลล์ผิวด้วยพลาสม่า (Plasma Skin Resurfacing)

การผลัดเซลล์ผิวด้วยพลาสม่าเป็นเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่ใช้พลังงานพลาสม่าเพื่อฟื้นฟูผิวและรักษาหลุมสิว
- กลไกการทำงาน : การผลัดผิวด้วยพลาสมาเกี่ยวข้องกับการใช้อุปกรณ์ที่สร้างพลังงานพลาสม่าเพื่อส่งความร้อนที่ควบคุมไปยังพื้นผิว พลังงานนี้สร้างอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการฟื้นฟูผิว
- ขั้นตอน : อุปกรณ์ถูกส่งผ่านผิวหนัง และพลังงานพลาสมาจะถูกส่งไปในชุดของพัลส์ที่ควบคุม สามารถปรับแต่งการรักษาให้เหมาะกับพื้นที่และความลึกเฉพาะได้
- ประสิทธิผล : การผลัดผิวด้วยพลาสมามีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นและปรับปรุงสีผิวโดยรวม
- ข้อดี : ใช้ Downtime น้อยที่สุดและลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำ เมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเลเซอร์แบบดั้งเดิม เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว
Cryotherapy รักษาหลุมสิว

Cryotherapy ซึ่งแต่เดิมใช้ในการขจัดหูดและรักษาสภาพผิวบางชนิด ปัจจุบันได้ถูกทำมาวิจัยเพื่อใช้รักษาหลุมสิว
- กลไกการทำงาน : Cryotherapy คือการใช้ความเย็นจัดส่งไปยังบริเวณผิวเป้าหมาย กระบวนการนี้ทำให้เกิดความเสียหายที่ควบคุมได้ต่อเนื้อเยื่อแผลเป็น และส่งเสริมการเจริญเติบโตของผิวใหม่ที่มีสุขภาพดี
- ขั้นตอน : นำไนโตรเจนเหลวหรือสารแช่แข็งอื่นๆ มาใช้กับบริเวณที่เกิดแผลเป็นโดยใช้อุปกรณ์พิเศษ นับว่าเป็นการรักษาที่ไม่เจ็บมาก
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพในการลดการปรากฏของรอยแผลเป็นนูนและรอยนูนมากเกินไป นอกจากนี้ยังสามารถปรับปรุง Texture และโทนสีผิวได้อีกด้วย
- ข้อดี : ผลข้างเคียงน้อย และมี Downtime น้อยที่สุด มีขั้นตอนที่รวดเร็วและไม่เจ็บปวด
การรักษาด้วย Stem Cell และ Growth Factor

การรักษาด้วย Stem Cell และการใช้ Growth Factor ถือเป็นขอบเขตที่มีแนวโน้มในการรักษาหลุมสิว โดยใช้ประโยชน์จากกลไกการทำงานการรักษาตามธรรมชาติของร่างกาย
- Stem Cell
- กลไกการทำงาน : เซลล์ต้นกำเนิดมีความสามารถในการแยกแยะเซลล์ประเภทต่างๆ และส่งเสริมการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ในการรักษาหลุมสิว มีการใช้ Stem Cell เพื่อกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่และคอลลาเจน
- ขั้นตอน : สามารถเก็บ Stem Cell จากเนื้อเยื่อไขมันหรือไขกระดูกของคนไข้เอง แล้วฉีดเข้าไปบริเวณที่เป็นแผลเป็น อีกทางเลือกหนึ่ง สามารถใช้เซรั่มที่ได้มาจาก Stem Cell เฉพาะที่ก็ได้
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงเนื้อผิว ลดความลึกของแผลเป็น และส่งเสริมการฟื้นฟูผิวโดยรวม
- ข้อดี : การรักษาตามธรรมชาติและเข้ากันได้ทางชีวภาพพร้อมศักยภาพในการให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน
- Growth Factor
- กลไกการทำงาน : Growth Factor คือโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตของเซลล์ การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และการผลิตคอลลาเจน สามารถใช้ทาหรือฉีดเพื่อเพิ่มการรักษาและการฟื้นฟูผิว
- ขั้นตอน : Growth Factor สามารถหาได้จากเลือดของคนไข้ (PRP) หรือสังเคราะห์ในห้องแลป โดยจะนำไปใช้กับผิวหนังในระหว่างการรักษา เช่น การฉีดไมโครนีดดิ้งหรือการรักษาด้วยเลเซอร์
- ประสิทธิผล : ช่วยให้การรักษาเร็วขึ้น ลดการอักเสบ และเพิ่มการผลิตคอลลาเจน ส่งผลให้เนื้อผิวดีขึ้น และลดลักษณะรอยแผลเป็น
- ข้อดี : ช่วยเพิ่มผลของการรักษาอื่นๆ และเร่งกระบวนการฟื้นฟูให้เร็วขึ้น
การรักษาด้วยแสง LED

การรักษาด้วยแสง LED เป็นการรักษาแบบ Non-Invasive ซึ่งใช้ความยาวคลื่นแสงที่แตกต่างกันเพื่อแก้ปัญหาผิวต่างๆ รวมถึงหลุมสิว
- กลไกการทำงาน : การรักษาด้วยแสง LED เกี่ยวข้องกับการใช้ไดโอดเปล่งแสงเพื่อส่งความยาวคลื่นเฉพาะของแสงไปยังผิวหนัง ความยาวคลื่นที่แตกต่างกันจะแทรกซึมเข้าสู่ผิวที่ระดับความลึกที่แตกต่างกัน และมีหน้าที่ส่งเสริมการรักษาและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
- ขั้นตอน : คนไข้นั่งหรือนอนใต้อุปกรณ์ไฟ LED และโดยทั่วไปการรักษาจะไม่เจ็บปวดและผ่อนคลาย แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที
- ประสิทธิผล : มีผลกับหลุมสิวเล็กน้อยและการฟื้นฟูผิวโดยรวม ช่วยลดการอักเสบ ปรับสภาพผิว และส่งเสริมการผลิตคอลลาเจน
- ข้อดี : Non-Invasive โดยสิ้นเชิงและไม่มี Downtime เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและสามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
บทสรุปของเทคโนโลยีเกิดใหม่
เทคโนโลยีใหม่ในการรักษาหลุมสิวนำเสนอโอกาสใหม่ ๆ สำหรับคนไข้ที่มองหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด การผลัดผิวด้วยพลาสมา การรักษาด้วยความเย็นจัด การรักษาด้วยสเต็มเซลล์ และการรักษาด้วยแสง LED เป็นความก้าวหน้าล่าสุด แต่ละวิธีมีกลไกการทำงานและประโยชน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เมื่อการวิจัยและพัฒนาดำเนินต่อไป นวัตกรรมเหล่านี้สัญญาว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น นำไปสู่การรักษาหลุมสิวที่มีความเป็นส่วนตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หัวข้อถัดไปจะเปรียบเทียบเทคโนโลยีรักษาหลุมสิวเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อช่วยให้ทุกคนมีข้อมูลในการตัดสินใจเกี่ยวกับตัวเลือกการรักษาของตัวเอง
Part 7: การเปรียบเทียบเทคโนโลยีหลุมสิวต่างๆ
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเปรียบเทียบเทคโนโลยีหลุมสิว
การเลือกการรักษาหลุมสิวที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายเมื่อพิจารณาจากเทคโนโลยีที่มีอยู่มากมาย ในส่วนนี้จะแสดงการเปรียบเทียบการรักษาหลุมสิวแบบต่างๆ อย่างครอบคลุม โดยเน้นที่ประสิทธิภาพ ระยะ Downtime ผลข้างเคียง ต้นทุน และความเหมาะสมสำหรับสภาพผิวและความรุนแรงของแผลเป็นต่างๆ แต่ละหมวดหมู่จะมีคะแนนตั้งแต่ 0 ถึง 10 โดย 0 คือแย่ที่สุด และ 10 คือดีที่สุด
ตารางเปรียบเทียบการรักษาหลุมสิว

คำอธิบายการเปรียบเทียบ
ประสิทธิผล
- Fractional CO2 Lasers: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่อยู่ลึก ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนอย่างมีนัยสำคัญและการผลัดผิวใหม่ เหมาะสำหรับแผลเป็นตีบอย่างรุนแรง รวมถึงรอยแผลเป็นจากรถลากและไม้ Icepick คะแนน: 4
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): มีประสิทธิภาพมากกับรอยแผลเป็นทั้งตื้นและลึก กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและกระชับผิว ปรับปรุงทันทีพร้อมสิทธิประโยชน์อย่างต่อเนื่อง คะแนน: 4.5
- Fractional Erbium-YAG Lasers: มีประสิทธิภาพสำหรับหลุมสิวปานกลางและมีความเสียหายจากความร้อนน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นตื้นๆ ถึงลึกปานกลาง คะแนน: 4
- Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนและปรับปรุงผิว เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นเล็กน้อยถึงปานกลาง คะแนน: 4.5
Downtime และ Recovery

- Fractional RF (เช่น Venus Viva): ใช้ Downtime น้อยที่สุดถึงปานกลาง โดยมีรอยแดงและบวมเล็กน้อยนานสองสามวัน คะแนน: 4.5
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): Downtime ปานกลาง โดยทั่วไปจะมีอาการแดงและบวมสองสามวัน คะแนน: 4
- Fractional Erbium-YAG Lasers: ระยะ Downtime สั้นกว่าเลเซอร์ CO2 ซึ่งปกติจะใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ คะแนน: 3
- Fractional CO2 Lasers: ระยะ Downtime ยาวนานที่สุด โดยมีรอยแดงและการหลุดลอกอย่างเห็นได้ชัดยาวนานถึงสองสัปดาห์ คะแนน: 2
ผลข้างเคียงและความเสี่ยง

- Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำและการติดเชื้อ โดยจะมีรอยแดงและบวมชั่วคราว คะแนน: 4.5
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำและการติดเชื้อ โดยมีรอยแดงและบวมชั่วคราว คะแนน: 4
- Erbium-YAG Lasers: มีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 โดยมีรอยแดงและลอกชั่วคราว คะแนน: 3.5
- Fractional CO2 Lasers: มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดรอยดำ การติดเชื้อ และรอยแดงเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในสีผิวที่เข้มกว่า คะแนน: 2
ค่าใช้จ่าย

- Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): ต้นทุนปานกลาง สะท้อนถึงประสิทธิภาพและเทคโนโลยีขั้นสูง คะแนน: 4
- เลเซอร์ Erbium-YAG: ต้นทุนปานกลาง โดยทั่วไปแล้วจะถูกกว่าเลเซอร์ CO2 คะแนน: 3.5
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): ต้นทุนสูงปานกลาง สะท้อนถึงเทคโนโลยีขั้นสูงและประสิทธิผล คะแนน: 3
- เลเซอร์ Fractional CO2: โดยปกติแล้วค่าใช้จ่ายจะต่ำกว่าตัวอื่นๆ คะแนน: 5
ความเหมาะสมกับสภาพผิวต่างๆ และความรุนแรงของแผลเป็น

- Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ใช้ได้กับแผลเป็นทุกระดับ อีกทั้งยังช่วยผลัดผิวให้ขาวขึ้น คะแนน: 4.5
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ใช้ได้กับแผลเป็นทุกระดับ คะแนน: 4
- Erbium-YAG Lasers: เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นปานกลาง และสีผิวสีอ่อนถึงปานกลาง คะแนน: 3.5
- Fractional CO2 Lasers: เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นที่รุนแรงและสีผิวที่สว่างกว่า ข้อควรระวังสำหรับผิวคล้ำเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการสร้างเม็ดสี คะแนน: 2.5
สรุปการเปรียบเทียบ
การรักษาหลุมสิวแต่ละวิธีมีจุดแข็งและข้อจำกัดของตัวเอง การเลือกวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล เช่น ความรุนแรงของแผลเป็น ประเภทของผิว ความทนทานต่อ Downtime และงบประมาณ
- Fractional CO2 Lasers: ดีที่สุดสำหรับรอยแผลเป็นที่รุนแรง แต่มาพร้อมกับ Downtime อย่างมาก ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และความเสี่ยง ทำให้ไม่เหมาะกับสีผิวคล้ำ
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): มีประสิทธิภาพมากสำหรับแผลเป็นประเภทต่างๆ โดยให้ความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพ ระยะ Downtime และผลข้างเคียงที่รับได้
- Fractional Erbium-YAG Lasers: มีประสิทธิภาพสำหรับรอยแผลเป็นระดับปานกลาง โดยมีผลข้างเคียงและ Downtime น้อยกว่าเลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวสว่างถึงปานกลาง
- Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): โดยรวมแล้วดีที่สุด ด้วยคะแนนด้านประสิทธิผลสูง ระยะ Downtime น้อยที่สุด ความเสี่ยงต่ำ และเหมาะสมกับทุกสภาพผิว อีกทั้งยังช่วยปรับ Texture ผิวอีกด้วย ทำให้เป็นตัวเลือกที่ทำได้หลากหลายและเป็นที่แนะนำมากที่สุด
เทคโนโลยีที่หมอเลือกในปี 2024
เมื่อพิจารณาคะแนนและการเปรียบเทียบ การรักษาด้วย Fractional RF เช่น Venus Viva ถือเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในการรักษาหลุมสิวหลายประเภท มีความสมดุลในด้านประสิทธิผล Downtime ที่น้อย และความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ลดลง ทำให้เหมาะกับคนไข้ส่วนใหญ่ สำหรับผู้ที่มองหาการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ใช้เวลาฟื้นตัวน้อย และมีความเสี่ยงน้อย Fractional RF เป็นตัวเลือกที่แนะนำ
อย่างไรก็ตามการปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการรักษานี้เหมาะสมกับความต้องการและประเภทผิวของเราเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Part 8: การเลือกการรักษาที่เหมาะสม
ปัจจัยที่ต้องพิจารณา
การเลือกการรักษาหลุมสิวที่ดีที่สุดนั้นเกี่ยวข้องกับการประเมินปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยทางการแพทย์ต่างๆ เพื่อให้มั่นใจถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความพึงพอใจของคนไข้ ข้อควรพิจารณาที่สำคัญมีดังนี้:
- ประเภทของหลุมสิว

- ประเภทของหลุมสิว
- หลุมสิวทั่วไป : ได้แก่ Ice Pick Scar Boxcar Scar และ Rolling Scar การรักษาที่แตกต่างกันจะได้ผลดีกับแผลเป็นประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะsome text
- Icepick Scars : รักษาได้ดีที่สุดด้วย TCA Cross หรือ Fractional CO2 lasers
- Boxcar และ Rolling Scars : Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ Fractional RF ที่มี microneedle (เช่น Fractora) เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพ
- รอยแผลเป็น Hypertrophic และ คีลอยด์ : รอยแผลเป็นนูนเหล่านี้อาจต้องได้รับการรักษาที่แตกต่างกัน เช่น การฉีดสเตียรอยด์หรือการใช้แผ่นซิลิโคน
- หลุมสิวทั่วไป : ได้แก่ Ice Pick Scar Boxcar Scar และ Rolling Scar การรักษาที่แตกต่างกันจะได้ผลดีกับแผลเป็นประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะsome text
- ประเภทผิว

- โทนสีผิว
- สีผิวอ่อน : การรักษาด้วยเลเซอร์ส่วนใหญ่ รวมถึง Fractional CO2 และ Erbium-YAG จะมีความเหมาะสมมากกว่า
- สีผิวที่เข้มกว่า : แนะนำให้ใช้การรักษาด้วย Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ RF ด้วย microneedle (เช่น Fractora) เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดเม็ดสีมากเกินไปน้อยกว่า

- ความรุนแรงของหลุมสิว
- หลุมชนิดตื้นถึงปานกลาง : เลเซอร์ Fractional RF และ Erbium-YAG มีประสิทธิภาพโดยใช้ Downtime น้อยที่สุด
- หลุมลึก : เลเซอร์ Fractional CO2 และ Fractional RF พร้อม microneedle จะเหมาะสมที่สุด แต่ต้องใช้ระยะเวลาการพักฟื้นนานกว่า
- Downtime
- Downtime น้อยที่สุด : Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ TCA CROSS ใช้เวลาฟื้นตัวสั้นกว่า
- Downtime ปานกลางถึงยาวนาน : เลเซอร์ Fractional CO2 และ Fractional RF พร้อม microneedle อาจต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า

- ค่ารักษา
- ค่ารักษาต่ำกว่า : TCA Cross จะคุ้มค่ามากแต่อาจต้องรักษาหลายครั้ง และต้องทำกับแพทย์ผู้เชียวชาญเพื่อลดความเสี่ยง
- ค่ารักษาปานกลาง : Fractional RF (เช่น Venus Viva) ให้ความสมดุลระหว่างต้นทุนและประสิทธิผล
- ค่ารักษาสูง : Microneedle RF มักจะมีราคาแพงกว่าเนื่องจากต้นทุนเครื่องที่สูงกว่า
- ผลข้างเคียง
- ผลข้างเคียงต่ำ : Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ RF พร้อมการรักษาด้วย microneedle จะมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงน้อยกว่า
- ผลข้างเคียงที่สูงขึ้น : เลเซอร์ Fractional CO2 มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียง โดยเฉพาะในสีผิวที่เข้มกว่า

การปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
การปรึกษาอย่างละเอียดกับแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรอง (Board-Certified Dermatologist) เป็นสิ่งสำคัญในการประเมินความต้องการและประวัติการรักษาของแต่ละบุคคล แพทย์ผิวหนังจะตรวจสอบประเภทและความรุนแรงของหลุมสิว ประเภทของผิว และสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อแนะนำการรักษาที่เหมาะสมที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่คาดหวัง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และจำนวนครั้งที่ต้องการในการรักษา
แผนการรักษาเฉพาะบุคคล

แพทย์ผิวหนังอาจแนะนำให้รวมการรักษาต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น:
- Subcision + Fractional RF : สำหรับ Rolling Scar การรวม Subcision เข้ากับ Fractional RF (เช่น Venus Viva) สามารถทำร่วมกันเพื่อให้ได้ผลดีมากขึ้นได้
- TCA CROSS + Fractional CO2 : สำหรับหลุมสิวชนิด Ice Pick การใช้ TCA CROSS ตามด้วยการรักษาด้วยเลเซอร์ Fractional CO2 จะช่วยเพิ่มผลลัพธ์ได้
การตั้งความคาดหวังที่สมจริง

การทำความเข้าใจผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นและข้อจำกัดของการรักษาแต่ละครั้งเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าการรักษาบางอย่างจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นมาก แต่การมีผิวที่ปราศจากรอยแผลเป็นอย่างสมบูรณ์อาจเป็นไปไม่ได้ การตั้งเป้าหมายที่สมจริงและมีความอดทนต่อกระบวนการรักษาจะนำไปสู่ความพึงพอใจที่ดีขึ้น ส่วนใหญ่การรักษาแต่ละครั้งจะสามารถทำให้หลุมสิวดีขึ้นประมาณ 20-30% เท่านั้น
การบำรุงรักษาและการดูแลหลังรักษา

การดูแลหลังการรักษามีความสำคัญอย่างยิ่งในการให้ผลลัพธ์สูงสุดและป้องกันภาวะแทรกซ้อน แพทย์ผิวหนังจะให้คำแนะนำการดูแลหลังการรักษาโดยเฉพาะ ซึ่งอาจรวมถึง:
- หลีกเลี่ยงแสงแดด : เพื่อป้องกันการเกิดรอยดำและปกป้องการรักษาผิว
- การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสูตรอ่อนโยน : เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองและส่งเสริมการรักษา
- การนัดหมายติดตาม ผล : เพื่อติดตามความคืบหน้าและปรับเปลี่ยนแผนการรักษาตามที่จำเป็น
บทสรุป
การเลือกการรักษาหลุมสิวที่เหมาะสมนั้นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบจากหลายปัจจัย รวมถึงชนิดและความรุนแรงของรอยแผลเป็น ประเภทของผิว ความทนทานต่อ Downtime งบประมาณ และการยอมรับความเสี่ยง การรักษาด้วย Fractional RF เช่น Venus Viva และ eMatrix โดดเด่นในฐานะตัวเลือกที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ โดยให้ประสิทธิภาพที่ดี Downtime น้อย และมีความเสี่ยงต่ำ การปรึกษากับแพทย์ผิวหนังเพื่อพัฒนาแผนการรักษาเฉพาะบุคคลจะช่วยให้มั่นใจได้ถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ช่วยให้แต่ละบุคคลมีผิวที่เรียบเนียน มีสุขภาพดีขึ้น และเพิ่มความมั่นใจ
Part 9: บทสรุปและทิศทางในอนาคต
สรุปการรักษาหลุมสิว

การรักษาหลุมสิวได้รับการพัฒนาอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยจะมีหลายทางเลือกที่ดีเพื่อจัดการกับหลุมสิวประเภทและความรุนแรงที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้เป็นบทสรุปโดยย่อของการรักษาที่กล่าวถึง:
- Fractional CO2 Lasers: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่ลึก เช่น Ice Pick Scar แต่ต้องหยุดทำงานอย่างมีนัยสำคัญและมีความเสี่ยงสูงกว่า ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวสีอ่อนกว่าเป็นหลัก
- Fractional RF พร้อม Microneedle (เช่น Fractora): เป็นการรักษาที่เหมาะสำหรับหลุมสิวประเภทต่างๆ โดยมี Downtime และความเสี่ยงปานกลาง ทำให้เป็นตัวเลือกที่ค่อนข้าง versatile
- Fractional Erbium-YAG Lasers: มีประสิทธิภาพสำหรับรอยแผลเป็นระดับปานกลางโดยมี Downtime สั้นกว่าและมีความเสี่ยงน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับผิวสีอ่อนถึงปานกลาง
- Fractional RF (เช่น Venus Viva): มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวประเภท Rolling Scar และ Boxcar Scar โดยมี Downtime น้อยที่สุดและความเสี่ยงต่ำ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและความรุนแรงของแผลเป็น นอกจากนี้ การใช้ร่วมกับ subcision ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาแผลเป็นลึกได้อย่างดี
- TCA CROSS: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับแผลเป็นที่อยู่ลึกและตรงเป้าหมาย เช่น Ice Pick Scar โดยใช้ Downtime น้อยที่สุดถึงปานกลางและมีค่าใช้จ่ายน้อย เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว
การเลือกการรักษาที่เหมาะสม
การเลือกการรักษาที่เหมาะสมเกี่ยวข้องกับการพิจารณาปัจจัยส่วนบุคคล เช่น ประเภทของแผลเป็น ประเภทของผิว ความรุนแรง ความทนทานต่อ Downtime งบประมาณ และการยอมรับความเสี่ยง การปรึกษาหารือกับแพทย์ผิวหนังถือเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาแผนการรักษาเฉพาะบุคคลเพื่อเพิ่มผลลัพธ์สูงสุดและลดความเสี่ยง
ทิศทางในอนาคตของการรักษาหลุมสิว

การรักษาหลุมสิวมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยการวิจัยและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ต่อไปนี้เป็นแนวทางในอนาคตที่น่าหวัง:
- เทคนิค Microneedling สมัยใหม่
- Automated Microneedling : ให้ความแม่นยำและการควบคุมมากขึ้น ลดความรู้สึกไม่สบายและปรับปรุงผลลัพธ์
- Microneedling พร้อมสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive Agents) : ผสมผสาน Growth Factor เปปไทด์ และสารประกอบออกฤทธิ์ทางชีวภาพอื่นๆ เพื่อเพิ่มการฟื้นฟูและการรักษาผิว
- การรักษาด้วย Stem Cell และ Growth Factor
- การรักษาด้วย Stem Cell : การใช้ Stem Cell เพื่อส่งเสริมการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจช่วยรักษาแผลเป็นที่รุนแรงได้ในระยะยาว
- การฉีด Growth Factor : การใช้ Growth Factor เข้มข้นเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเร่งการรักษา ซึ่งอาจช่วยเพิ่มผลลัพธ์ของการรักษาอื่นๆ
- พลาสมาและ Cryotherapy
- Plasma Skin Resurfacing : ใช้พลังงานพลาสม่าเพื่อฟื้นฟูผิวโดยเสียหายจากความร้อนน้อยที่สุด เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มีสีผิวคล้ำหรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำมากกว่า
- Cryotherapy : การใช้ความเย็นจัดเพื่อคัดเลือกทำลายเนื้อเยื่อแผลเป็นและส่งเสริมการสร้างผิวใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแผลเป็นที่มีไขมันมากเกินไปและแผลเป็นคีลอยด์
- การรักษาแบบ Non-Invasive
- HIFU : กำหนดเป้าหมายชั้นผิวที่ลึกลงไปเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นผิว ซึ่งอาจเสนอทางเลือกที่ Non-Invasive สำหรับการปรับปรุงรอยแผลเป็น
- Radiofrequency (RF) Microneedling : การผสมผสานพลังงาน RF เข้ากับ microneedling เพื่อเพิ่มการกระตุ้นคอลลาเจนและการกระชับผิว ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพโดยใช้ Downtime น้อยที่สุด
ความสำคัญของแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
เมื่อมีเทคโนโลยีและการรักษาใหม่ๆ เกิดขึ้น ความสำคัญของแผนการรักษาเฉพาะบุคคลจึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น แพทย์ผิวหนังสามารถปรับการผสมผสานการรักษาขั้นสูงเหล่านี้ให้เข้ากับสภาพผิวที่เฉพาะเจาะจงและความต้องการของคนไข้แต่ละราย เพื่อให้มั่นใจถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การตั้งความคาดหวังที่สมจริง
แม้ว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการรักษาหลุมสิวจะมีแนวโน้มที่ดี แต่คนไข้จะต้องตั้งความคาดหวังตามความเป็นจริง การบรรลุผิวที่ปราศจากรอยแผลเป็นอย่างสมบูรณ์อาจเป็นไปไม่ได้ แต่การปรับปรุงเนื้อผิว โทนสี และรูปลักษณ์โดยรวมอย่างมีนัยสำคัญจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก
ทิ้งท้าย
หนทางสู่ผิวที่เรียบเนียนและสุขภาพดีขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องพิจารณาหลายอย่าง ด้วยตัวเลือกการรักษาที่หลากหลายและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน ทำให้เรามีวิธีจัดการกับหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญเพื่อหาแผนการรักษาที่เหมาะสมเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้ผลลัพธ์ดีและคืนความมั่นใจ ในขณะที่การวิจัยและการพัฒนาวิธีรักษาใหม่ๆ ยังคงดำเนินต่อไป อนาคตของการรักษาหลุมสิวก็ยิ่งดูดีขึ้น มอบความหวังและผลลัพธ์ที่ดีขึ้นสำหรับคนที่มีปัญหาผิวนี้
Part 10: แหล่งข้อมูลการรักษาหลุมสิวในประเทศไทย
ค้นหาแพทย์ผิวหนังที่ผ่านการรับรอง (Board-Certified Dermatologist)

การเลือกแพทย์ผิวหนังที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาหลุมสิวให้เห็นผล นี่คือขั้นตอนในการค้นหาผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในประเทศไทย:
- การวิจัยและการอ้างอิง
- ขอคำแนะนำจากเพื่อน ครอบครัว หรือแพทย์ประจำของเรา
- มองหาแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการซึ่งเชี่ยวชาญด้านการรักษาหลุมสิวในประเทศไทย
- สามารถเช็ครหัสจากชื่อและนามสกุลได้ที่แพทยสภา https://checkmd.tmc.or.th/
- หนังสือรับรองและประสบการณ์ของแพทย์
- ตรวจสอบข้อมูลรับรองของแพทย์ผิวหนัง รวมถึงใบรับรองจากคณะกรรมการ การศึกษา และการฝึกอบรม
- ทบทวนประสบการณ์ของพวกเขากับการรักษาเฉพาะที่เรากำลังพิจารณา
- การให้คำปรึกษาและการสื่อสาร
- นัดเวลารับคำปรึกษาเพื่อหารือเกี่ยวกับข้อกังวล ทางเลือกการรักษา และเป้าหมายของเรา
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแพทย์ผิวหนังรับฟังความต้องการของคุณ อธิบายขั้นตอนต่างๆ อย่างชัดเจน และตั้งความคาดหวังตามความเป็นจริง
- บทวิจารณ์และ Review
- อ่าน Review ของคนไข้และคำรับรองเพื่อวัดความพึงพอใจของคนไข้รายเดิม
- พิจารณาภาพถ่ายก่อนและหลังเพื่อประเมินผลลัพธ์ของแพทย์ผิวหนัง
Review การรักษาหลุมสิวที่ EY Clinic










การเตรียมตัวสำหรับการนัดหมายของเรา

การเตรียมตัวเป็นกุญแจสำคัญในการใช้ประโยชน์สูงสุดจากการนัดหมายด้านผิวหนังของเรา คำแนะนำบางประการมีดังนี้:
- รวบรวมข้อมูล
- บันทึกประวัติหลุมสิวของเรา รวมถึงการรักษาที่เราได้ลองใช้และผลลัพธ์ที่ได้
- ระบุยาหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เรากำลังใช้อยู่
- ถามคำถาม
- เตรียมรายการคำถามเกี่ยวกับการรักษา ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการฟื้นตัว
- ถามเกี่ยวกับประสบการณ์ของแพทย์ผิวหนังเกี่ยวกับการรักษาเฉพาะทางและวิธีการดูแลหลังการรักษา
- ตั้งเป้าหมาย
- กำหนดเป้าหมายและความคาดหวังของเราสำหรับการรักษาอย่างชัดเจน
- พูดคุยถึงผลลัพธ์ที่เป็นจริงโดยพิจารณาจากประเภทหลุมสิวและสภาพผิวของเรา
การพิจารณาทางการเงินและการประกันภัย

การทำความเข้าใจด้านการเงินของการรักษาหลุมสิวถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวางแผน คำแนะนำบางประการมีดังนี้:
- ค่ารักษา
- รับข้อมูลประมาณการค่าใช้จ่ายโดยละเอียดสำหรับแผนการรักษาที่แนะนำ รวมถึงช่วงติดตามผลที่อาจเกิดขึ้น
- เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างแพทย์ผิวหนังต่างๆ หากเป็นไปได้
- การกำหนดงบประมาณ
- วางแผนงบประมาณของเราเพื่อรองรับต้นทุนการรักษา โดยพิจารณาถึงความจำเป็นที่อาจเกิดขึ้นสำหรับการรักษาหลายครั้ง
- คำนึงถึงต้นทุนสำหรับผลิตภัณฑ์หลังการดูแลและการนัดตรวจติดตามผล
การสนับสนุนทางอารมณ์และจิตวิทยา

หลุมสิวสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อความภาคภูมิใจในตนเองและความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์ การขอความช่วยเหลืออาจเป็นประโยชน์:
- กลุ่มสนับสนุนและ community ต่างๆ
- เข้าร่วมฟอรัมออนไลน์หรือกลุ่มสนับสนุนในพื้นที่ซึ่งเราสามารถแบ่งปันประสบการณ์และรับกำลังใจจากผู้อื่นที่เผชิญกับความท้าทายที่คล้ายกัน
- การให้คำปรึกษาและการรักษา
- พิจารณาการให้คำปรึกษาหรือการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อจัดการกับความทุกข์ทางอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพผิวของเรา
- ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตสามารถช่วยเราพัฒนากลยุทธ์ในการรับมือและปรับปรุงภาพลักษณ์ของตนเองได้
- การดูแลตัวเองและความมั่นใจ
- ฝึกฝนกิจวัตรการดูแลตัวเองที่ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง เช่น การดูแลผิว การออกกำลังกาย และงานอดิเรก
- มุ่งเน้นไปที่จุดแข็งและความสำเร็จของเราเพื่อสร้างความมั่นใจนอกเหนือจากรูปลักษณ์ภายนอกของเรา
แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

รับข่าวสารเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิวผ่านแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ:
- องค์กรวิชาชีพ
- สมาคมโรคผิวหนังไทย: thaiderma.or.th
- การประชุมและเวิร์คช็อปโรคผิวหนังนานาชาติ
- วารสารและสิ่งพิมพ์ทางการแพทย์
- เข้าถึงบทความวิจัยและการวิจารณ์ในวารสารโรคผิวหนังเพื่อดูความก้าวหน้าล่าสุดและการรักษาตามหลักฐานเชิงประจักษ์
- เว็บไซต์สุขภาพที่เชื่อถือได้
- สถาบันโรคผิวหนัง: https://www.iod.go.th
- โรงพยาบาลศิริราช: https://si.mahidol.ac.th
- โรงพยาบาลรามาธิบดี: https://www.rama.mahidol.ac.th
- โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์: https://chulalongkornhospital.go.th
การดูแลหลังการรักษาและการบำรุงรักษา

การดูแลหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและรักษาสุขภาพผิวของเรา:
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผิวหนัง :
- ปฏิบัติตามแนวทางการดูแลหลังการรักษาโดยแพทย์ผิวหนังของเราอย่างเคร่งครัด
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่แนะนำเพื่อช่วยในการรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
- การติดตามผลเป็นประจำ :
- กำหนดเวลาและเข้าร่วมการนัดหมายติดตามผลเพื่อติดตามความคืบหน้าของเราและแก้ไขข้อกังวลใด ๆ
- ปรึกษาปัญหาใหม่หรือปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับแพทย์ผิวหนังของเราทันที
- ปกป้องผิวของเรา :
- ใช้ครีมกันแดดทุกวันเพื่อปกป้องผิวจากความเสียหายจากรังสียูวีและป้องกันการเกิดรอยดำ
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่รุนแรงและการรักษาที่อาจทำให้ผิวของเราระคายเคือง
บทสรุป
การรักษาหลุมสิวนั้นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ การตัดสินใจอย่างมีข้อมูล และการหาการสนับสนุนที่เหมาะสม การค้นหาแพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญ การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการนัดหมาย และการทำความเข้าใจเรื่องการเงินและอารมณ์ จะช่วยให้เราเลือกวิธีที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพผิวของเราได้ ติดตามข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และปฏิบัติตามแนวทางการดูแลหลังการรักษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โปรดจำไว้ว่าหนทางสู่ผิวที่เรียบเนียนขึ้นนั้นเป็นประสบการณ์ส่วนตัว และด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เราจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและเพิ่มความมั่นใจในตัวเองได้
อ้างอิง
- Thai Dermatological Society. Thai Dermatological Society. Accessed May 18, 2024. http://www.thaiderma.or.th
- International Dermatology Conferences and Workshops. Accessed May 18, 2024.
- Siriraj Hospital. Siriraj Hospital. Accessed May 18, 2024. http://www.si.mahidol.ac.th
- Bangkok Hospital. Bangkok Hospital. Accessed May 18, 2024. https://www.bangkokhospital.com
ปัญหาผิวที่น่าจะกวนใจใครหลาย ๆ คนไม่น้อยไปกว่าปัญหาสิว คงพ้นไม่พ้น “หลุมสิว” รอยแผลเป็นที่ทำให้หน้าของดูขรุขระไม่เรียบเนียนค่ะ ในบทความนี้ หมอผึ้งจึงอยากจะแนะนำให้รู้จักกับ หลุมสิว Boxcar หรือที่หลายคนอาจจะเรียกว่า Box scar ซึ่งก็คือหลุมสิวที่รูปร่างคล้ายกล่องที่บุ๋มลงไปจากระนาบผิวหน้าของเราค่ะ ไปดูกันว่าหลุมสิว Boxcar scar คืออะไร ต่างจากหลุมสิวแบบอื่นอย่างไร และจะรักษา Boxcar scar ได้อย่างไรค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- หลุมสิว Boxcar มักพบได้ที่บริเวณแก้มและหน้าผาก และมีลักษณะเหมือนกล่องที่บุ๋มลงไปจากระนาบผิว
- หลุมสิว Boxcar ตอบสนองต่อการรักษาต่าง ๆ ได้ดี
- วิธีการรักษาหลุมสิว Boxcar ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ เลเซอร์หลุมสิว Subcision และการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน
หลุมสิว Box scar คืออะไร

หลุมสิว Boxcar หรือที่หลายคนเรียกว่า “Box scar” คือหลุมสิวที่มีลักษณะคล้ายกับกล่องเล็ก ๆ ที่มีขอบชัดเจนค่ะ โดยหลุมสิว Boxcar จะพบได้ใน 20-30 เปอร์เซ็นต์ของหลุมสิวทั้งหมด (หลุมสิวที่พบบ่อยที่สุด คือ หลุมสิวแบบ Ice Pick) และเป็นหลุมสิวที่ตอบสนองต่อการรักษา เช่น เลเซอร์หลุมสิว ได้ดีค่ะ
ซึ่งหลุมสิว (Atrophic acne scar) เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอักเสบค่ะ เนื่องจากในระหว่างกระบวนการอักเสบนั้น เซลล์ผิวและโปรตีนโครงสร้างต่าง ๆ จะถูกทำลาย ประกอบกับกระบวนการสมานแผลที่ไม่สามารถผลิตเนื้อเยื่อใหม่มาทดแทนในส่วนที่หายไปได้ ก็เลยทำให้เกิดเป็นรอยแผลเป็นลักษณะหลุมสิวขึ้นมาค่ะ
ลักษณะของหลุมสิว Boxcar scar

หลุมสิว Boxcar scar มีลักษณะเป็นเหมือนบ่อที่บุ๋มลงจากระนาบผิวของเราค่ะ โดยความกว้างจะอยู่ที่ประมาณ 1.5-4.0 มิลลิเมตร มีขอบเขตของหลุมที่ชัดเจน มักจะพบบ่อยบริเวณแก้มและหน้าผากค่ะ โดย
- Boxcar scar แบบตื้น มึความลึกตั้งแต่ 0.1-0.5 มิลลิเมตร
- Boxcar scar แบบลึก มีความลึกมากกว่า 0.5 มิลลิเมตรขึ้นไป
ซึ่งต่างจากหลุมสิวแบบ Rolling ที่มีลักษณะเป็นแอ่งตื้นแต่กว้าง (กินพื้นที่ได้ถึง 5 มิลลิเมตร) ขอบไม่ชัดเจน และหลุมสิว Ice Pick ที่มีลักษณะเป็นเหมือนบ่อลึกปากแคบ
และด้วยลักษณะทางกายภาพเหล่านี้ หลุมสิวแบบ Boxcar จึงตอบสนองได้ดีต่อการรักษาหลุมสิวทั่วไปค่ะ
หลุมสิว Boxcar scar รักษาอย่างไร

เรามาดูว่าการรักษาหลุมสิวแบบ Boxcar ที่มีประสิทธิภาพกันค่ะ
Fractional CO2 laser
เลเซอร์หลุมสิว Fractional CO2 เป็นตัวเลือกการรักษาหลุมสิวและฟื้นฟูผิวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากค่ะ เนื่องด้วยเป็นวิธีที่รักษาปัญหาผิวได้หลากหลาย ทำได้ง่าย และมีความเสี่ยงต่ำค่ะ
โดยเลเซอร์ Fractional CO2 จะใช้แสงในความยาวคลื่นที่ 10,600 นาโนเมตร ยิงเข้าสู่ชั้นผิว โดยใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวกลางส่งผ่านพลังงานค่ะ ซึ่งแสงตรงนี้เมื่อเข้าสู่ชั้นผิวแล้วจะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อน ซึ่งจะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเกิดการจัดโครงสร้างของเส้นใยคอลลาเจนใหม่ค่ะ ซึ่งคอลลาเจนก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของผิวหน้าที่กระชับและเรียบเนียน และหลุมสิว Boxcar ที่จะดูจางลงค่ะ
นอกจากนี้ Fractional CO2 ยังเป็นเลเซอร์แบบ Ablative หรือเลเซอร์ที่มีความสามารถในการลอกชั้นผิวเก่าเพื่อเผยผิวใหม่ (Skin Resurfacing) ที่นอกจากจะช่วยรักษาหลุมสิวทั้งแบบ Boxcar และ Rolling แล้ว ยังช่วยฟื้นฟูผิวโดยรวมได้อีกด้วยค่ะ
Fractional RF
เลเซอร์หลุมสิว Fractional RF คือ การรักษาหลุมสิวโดยใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency, RF) ค่ะ โดยคลื่นวิทยุจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนที่ 55-65 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้เส้นใยคอลลาเจนและเซลล์ผิวชั้นหนังแท้หดตัวค่ะ การหดตัวตรงนี้ก็จะนำไปสู่การผลิตคอลลาเจนที่มากขึ้น และการผลิตเซลล์ผิวใหม่ผ่านกระบวนการสมานแผลค่ะ
เลเซอร์ Fractional RF จะช่วยทำให้ผิวมีความกระชับ และรักษาหลุมสิว Boxcar ได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ โดยที่ EY Clinic มีทั้งเลเซอร์ Fractional RF ที่ใช้เข็ม Microneedle ที่เพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำ และ Fractional RF แบบ No-needle ซึ่งให้ความสบายต่อผิวหน้าระหว่างทำหัตถการค่ะ
Subcision
Subcision หรือ การตัดพังผืดหลุมสิว เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กในการเลาะเอาพังผืด (Fibrous tissue) ที่อยู่บริเวณฐานของหลุมสิวออกค่ะ โดยพังผืดเหล่านี้ คือ ผลจากกระบวนการสมานแผลหลังจากที่เราเป็นสิวอักเสบ ซึ่งในหลาย ๆ กรณี ก็อาจเป็นตัวการที่ดึงรั้งฐานของหลุมสิวไว้ ทำให้รักษาได้ยากค่ะ
การทำ Subcision ถือเป็นหัตถการที่ได้เหมาะกับหลุมสิวแบบ Boxcar และ Rolling เนื่องจากลักษณะทางกายภาพของหลุมสิวที่มีความกว้าง และนิยมทำคู่กับการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว หรือการยิงเลเซอร์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจมากขึ้นค่ะ
สารกระตุ้นคอลลาเจน

อีกหนึ่งวิธีรักษาหลุมสิว Boxcar scar คือ การเลือกใช้สารกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Collagen Biostimulator ค่ะ เช่น Profhilo, Sculptra หรือ Juvelook ค่ะ
Profhilo คือ สาร Hyaluronic Acid ที่มีน้ำหนักโมเลกุลทั้งสูงและต่ำผสมผสานกันในรูปแบบ Hybrid Cooperative Complex ค่ะ ซึ่งในการรักษาหลุมสิว Rolling Scar แพทย์จะฉีด Profhilo เข้าไปยังชั้น Dermis (หนังแท้) เพื่อกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้น โดยพบว่าหลังฉีด Profhilo ผิวมีความชุ่มชื้น กระชับ และหลุมสิวดูตื้นขึ้นอย่างชัดเจนค่ะ
Sculptra คือ สาร PLLA (Poly-l-lactic acid) ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับไหมละลายค่ะ ซึ่งในการรักษาหลุมสิว Boxcar scar แพทย์จะฉีด Sculptra เข้าไปยังชั้น subcutaneous (ใต้หนังแท้) เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น โดยพบว่า เพียง 3 เดือนหลังฉีด ปริมาณคอลลาเจนเพิ่มขึ้นถึง 66.5% ส่งผลให้หลุมสิวดูจางลงอย่างชัดเจนค่ะ
ส่วน Juvelook คือ สาร PDLLA (Poly D-L-Lactic Acid) และไฮยาลูรอนิก แอซิดค่ะ โดยสาร PDLLA จะทำหน้าที่กระตุ้นเซลล์ให้ผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้นคล้ายกับ PLLA ของ Sculptra และ ตัวไฮยาลูรอนิก แอซิด จะเข้าไปเติมเต็มปริมาตรให้ผิวในส่วนที่เป็นหลุมสิวค่ะ
เราจึงสามารถเห็นผลลัพธ์ของการ Juvelook ได้จากครั้งที่ฉีด เพราะสารไฮยาลูรอนิก แอซิดสามารถเติมเต็มเนื้อเยื่อส่วนที่หายไปของหลุมสิวได้ทันที ส่วน PDLLA จะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในระยะยาว ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูให้ผิวมีความกระชับ ชุ่มชื้น และแข็งแรงมากขึ้นค่ะ
ทั้งนี้ การฉีดกระตุ้นคอลลาเจนสามารถทำควบคู่กับการตัดพังผืด และเลเซอร์หลุมสิวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้ค่ะ แต่อย่างไรก็ดี ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของระยะเวลาระหว่างหัตถการ และแผนการรักษาที่เหมาะสมค่ะ
รักษาหลุมสิวที่ EY Clinic

ได้รู้จักหลุมสิว Boxcar scar และวิธีการรักษากันไปแล้ว ใครที่กำลังท้อใจกับปัญหาผิวหน้าไม่เรียบเนียน มีหลุมสิวกวนใจ สามารถเข้ามาปรึกษาหมอผึ้งได้ที่ EY Clinic ค่ะ โดยเราจะมีการประเมินสภาพผิว และวางแผนการรักษาเพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล มีการติดตามผลการรักษา และยินดีอยู่กับคุณในทุกขั้นตอน โดยไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็นแน่นอนค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาปรึกษาเรื่องปัญหาผิวกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
_240909_17.jpeg)
_240909_19.jpeg)
_240909_42.jpeg)
กระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิว ทำได้ด้วยวิธีไหนบ้าง?
หลุมสิว คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากกระบวนการอักเสบของสิว และการสมานแผลที่ไม่เพียงพอ การกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหลุมสิว จึงเป็นวิธีที่เราจะสามารถทำได้ เพื่อให้รอยหลุมสิวดูจาง และช่วยให้ผิวมีความเรียบเนียนมากขึ้นค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- คอลลาเจน คือ โปรตีนโครงสร้างของผิว ทำหน้าที่กักเก็บความชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและกระชับ
- คอลลาเจน มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้หลุมสิวดูจางลง
- การกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหลุมสิว สามารถทำได้หลายวิธีทั้งด้วยการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน การใช้เกล็ดเลือด และการทำหัตถการเลเซอร์
การกระตุ้นคอลลาเจน ช่วยรักษาหลุมสิวได้อย่างไร

คอลลาเจน (Collagen) คือ เส้นใยโปรตีนที่ทำหน้าที่อุ้มน้ำ และเป็นส่วนประกอบของโครงสร้างให้กับผิวค่ะ โดยเป็นองค์ประกอบที่กักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยให้ผิวมีความกระชับและแข็งแรง อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสมานแผลด้วยค่ะ
การกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen stimulation) จึงเรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของการรักษาให้หลุมสิวดูจางลง และปรับสภาพให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้น ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินคำว่า Collagen Biostimulator หรือสารกระตุ้นคอลลาเจนโดยธรรมชาติ โดยสารตัวนี้มีสรรพคุณในการกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ให้ผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น
ตัวอย่างของ Biostimulator ที่กำลังเป็นที่นิยม ได้แก่ Rejuran และ Sculptra แต่อย่างไรก็ดี การกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การฉีด Biostimulator เท่านั้นค่ะ
6 วิธีกระตุ้นคอลลาเจน รักษาหลุมสิว
ในปัจจุบัน เรามีหัตถการในการกระตุ้นคอลลาเจน และรักษาหลุมสิวให้เลือกใช้บริการมากมายค่ะ โดยแต่ละวิธีก็จะมีหลักการทำงาน และความโดดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งหมอขอยกตัวอย่าง 6 วิธีกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพ และกำลังได้รับความนิยมมาอธิบายในบทความนี้ค่ะ
1. Profhilo

Profhilo เป็นอีกหนึ่งสารที่กำลังได้รับความนิยมในการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูหลุมสิว (Acne Scar) และยกกระชับ (Skin Laxity) รวมค่ะ โดย Profhilo เป็นสารที่มีส่วนประกอบของไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) ที่มีน้ำหนักโมเลกุลทั้งสูงและต่ำผสมผสานกัน ทำงานในลักษณะ “Hybrid Cooperative Complex” ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น แต่ยังช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นและผิวกระชับมากขึ้นค่ะ
หลักการทำงานของ Profhilo ในการกระตุ้นการฟื้นฟูหลุมสิวมีดังนี้ค่ะ
- หลังจากฉีด Profhilo เข้าสู่ผิว สารไฮยาลูรอนิกแอซิดจะซึมลึกเข้าสู่ผิวชั้นกลางและกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
- ไฮยาลูรอนิกแอซิดที่มีโมเลกุลน้ำหนักต่ำ (L-HA) จะช่วยเพิ่มการสร้างเส้นเลือดและฟื้นฟูผิวจากภายใน ส่วนโมเลกุลน้ำหนักสูง (H-HA) จะช่วยสร้างโครงสร้างให้ผิวแข็งแรงขึ้นและลดความหย่อนคล้อย
- ผลลัพธ์ที่ได้คือ หลุมสิวที่ดูตื้นขึ้น ริ้วรอยลดลง และผิวหน้ามีความชุ่มชื้น กระจ่างใสมากขึ้นค่ะ
Profhilo ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการความงามและได้รับการรับรองด้านความปลอดภัย โดยเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึกโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือมีเวลาพักฟื้นน้อย การฉีด Profhilo เพื่อฟื้นฟูหลุมสิวและสภาพผิว ควรทำ 2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4 สัปดาห์ค่ะ ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน และสามารถทำซ้ำปีละครั้งเพื่อรักษาผลลัพธ์ค่ะ
2. Sculptra

Sculptra เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่กำลังได้รับความนิยมสูงเช่นกันค่ะ โดย Sculptra คือ สาร PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับไหมละลายที่ใช้ในการเย็บแผลผ่าตัด ซึ่งสาร PLLA มีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนที่จะช่วยให้หลุมสิวดูจางลง และเผยผิวที่กระชับ ชุ่มชื้นมากขึ้นค่ะ
โดยหลักการทำงานของ Sculptra ในการกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิว มีคร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ
- เมื่อฉีด Sculptra แล้วตัว PLLA จะกระตุ้นการอักเสบของเซลล์แบบเบา ๆ เพื่อทำให้ผิวเข้าสู่กระบวนการสมานแผล
- ในกระบวนการสมานแผล เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) จะถูกกระตุ้น ส่งผลให้มีการผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น โดยพบว่า เพียง 3 เดือนหลังฉีด Sculptra แล้ว ปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวเพิ่มขึ้นถึง 66.5%
- คอลลาเจนที่เพิ่มขึ้นช่วยให้หลุมสิวดูจางลงอย่างชัดเจน และยังช่วยลดปัญหาริ้วรอย พร้อมช่วยฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้น และแข็งแรงมากขึ้นด้วยค่ะ
การที่ Sculptra เป็นสารตัวเดียวกับไหมละลาย อาจจะทำให้ใครหลาย ๆ คนรู้สึกสงสัยว่า แล้วฉีดสารไหมละลายตัวนี้เข้าผิวหนังแล้วจะทำให้เกิดอันตรายหรือไม่ หมอขอชี้แจงแบบนี้ค่ะว่า ตัว Sculptra ก็ได้รับการรับรองจาก US FDA ใน ปี 2004 ในฐานะ สารฉีดกระตุ้นคอลลาเจน เพื่อจุดประสงค์ของความงาม เราจึงมั่นใจได้ว่า Sculptra มีความปลอดภัยและสามารถทำงานกับเซลล์ของเราได้โดยไม่รบกวนการทำงานของผิวค่ะ
การฉีด Sculptra เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิว ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4-6 สัปดาห์ค่ะ ซึ่งผลลัพธ์ของ Sculptra อยู่ได้นานถึง 2 ปี และสามารถฉีดกระตุ้นได้ปีละ 1 ครั้งเพื่อคงผลลัพธ์ได้ค่ะ
3. Juvelook

Juvelook คือ สาร PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid) และไฮยาลูรอนิก แอซิดแบบ Non-crosslinked ค่ะ ซึ่งตัว PDLLA จะทำหน้าที่กระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหลุมสิว ในลักษณะที่คล้ายกับ PLLA ของ Sculptra เพียงแต่มีการจัดเรียงโมเลกุลที่ต่างกันเล็กน้อยค่ะ ส่วนตัวไฮยาลูรอนิก แอซิด ก็จะทำหน้าที่ในการเติมเต็มปริมาตรผิว เช่นเดียวกับฟิลเลอร์ส่วนใหญ่ค่ะ
การฉีด Juvelook จึงเหมือนเป็นการฉีดกระตุ้นคอลลาเจนและฟิลเลอร์หลุมสิวในเวลาเดียวกันค่ะ โดยเมื่อฉีดครั้งแรก ตัวไฮยาลูรอนิค แอซิดจะเข้าไปเติมเต็มเนื้อเยื่อส่วนที่หายไปบริเวณหลุมสิวทันที ทำให้หลุมสิวดูจางลง และผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น หลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์ เราจะเริ่มสัมผัสผลลัพธ์ของ PDLLA โดยผิวจะถูกกระตุ้นให้ผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ออกมามากขึ้นค่ะ ทำให้ผิวเริ่มมีความกระชับ เรียบเนียน ชุ่มชื้นมากขึ้นค่ะ โดยพบว่าปริมาณคอลลาเจนในชั้นผิวเพิ่มขึ้นมากถึง 40 เท่า หลังจากฉีด Juvelook แล้ว 6 เดือน และยังมีชั้นหนังแท้ยังมีความแน่นหนา และแข็งแรงขึ้นด้วยค่ะ
ตัว PDLLA ก็ยังมีความเข้ากันได้ทางชีวภาพต่อร่างกายมนุษย์ (Biocompatibility) ไม่ต่างกับ PLLA ของ Sculptra ค่ะ และได้รับการรับรองโดย FDA เพื่อจุดประสงค์ด้านความงาม เราจึงมั่นใจได้ว่า Juvelook เป็นวิธีการกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพค่ะ
การฉีดกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวด้วย Juvelook ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละประมาณ 1 เดือน และสามารถฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ได้ทุก ๆ 6-12 เดือนค่ะ
4. Rejuran

Rejuran หรือ รีจูรัน คือ สารโพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide หรือ PN) บริสุทธิ์ที่สกัดมาจากชิ้นส่วนพันธุกรรมของปลาแซลม่อนค่ะ โดยสารโพลีนิวคลีโอไทด์ถือเป็น Biostimulator เมื่อฉีดเข้าชั้นผิวแล้วช่วยซัพพอร์ตโครงสร้างของสารเคลือบเซลล์ (Extracellular matrix หรือ ECM) และจะทำงานที่ลึกถึงระดับดีเอ็นเอในการกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่น แข็งแรงและเรียบเนียนขึ้นค่ะ
นอกจากคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูหลุมสิวแล้ว Rejuran ยังมีคุณสมบัติอื่นด้วย ดังนี้ค่ะ
- ช่วยในการซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อใหม่
- ช่วยให้ผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) หนาตัวขึ้น สร้างเกราะป้องกันให้ผิวจากสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่นควัน มลภาวะ และแสงยูวี
- กระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่ (Angiogenesis) ซึ่งช่วยในการสมานแผลและการไหลเวียนของเลือด เพื่อให้เซลล์ทำงานได้อย่างเต็มที่
Rejuran จึงเป็นตัวเลือกให้มากกว่าการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อรักษาหลุมสิว แต่ยังช่วยแก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน ริ้วรอยแห่งวัย ปรับสภาพผิว และเสริมสร้างให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงด้วยค่ะ
ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ Rejuran แล้ว Rejuran S คือตัวที่ถูกออกแบบมาเพื่อการรักษาหลุมสิวและแแผลเป็นโดยเฉพาะค่ะ ซึ่ง Rejuran S (กล่องสีน้ำเงิน) จะมีเนื้อที่หนืดและเข้มข้นกว่า Rejuran ตัวอื่น ๆ โดยประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว และรอยดำ-รอยแดงด้วยค่ะ
ผลลัพธ์ในการกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวด้วย Rejuran S จะเริ่มเห็นได้ตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์หลังฉีดค่ะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ควรเริ่มฉีด Rejuran S ติดต่อกันอย่างน้อย 3-5 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 3-4 สัปดาห์ หลังจากนั้น สามารถฉีดกระตุ้นได้ทุก ๆ 6-12 เดือนค่ะ
5. เลเซอร์กระตุ้นคอลลาเจน

ไม่ว่าจะเป็น Fractional CO2, Pico, หรือ Fractional RF เราสามารถสรุปสั้น ๆ ได้ว่า เลเซอร์ คือ การใช้พลังงานในรูปแบบต่าง ๆ ในการกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหลุมสิวค่ะ โดยพลังงานไม่ว่าจะเป็น แสงอินฟราเรด แสงสีเหลือง หรือคลื่นวิทยุ เมื่อถูกยิงเข้าสู่ชั้นผิวแล้วก็จะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการผลิตคอลลาเจนมากขึ้น และยังทำให้เกิดการจัดเรียงโครงสร้างของผิว (Remodeling) ด้วยค่ะ
ซึ่งเลเซอร์แต่ละตัวก็จะมีคุณสมบัติ รูปแบบของพลังงาน และความโดดเด่นเฉพาะตัวที่ต้องกันออกไปค่ะ อาทิ เช่น
- เลเซอร์หลุมสิว Fractional CO2 ปล่อยพลังงานแสงที่ความยาวคลื่น 10,600 nm โดยใช้ก๊าซออกซิเจนเป็นตัวพาในการส่งผ่านเข้าสู่ชั้นผิว โดดเด่นในเรื่องของ Skin Resurfacing และสามารถกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อรักษาหลุมสิวที่ลึกได้ดี อีกทั้งยังแก้ไขปัญหาผิว อย่าง สิวข้าวสาร สิวอุดตัน และริ้วรอยเล็ก ๆ ด้วยค่ะ
- เลเซอร์หลุมสิว Fractional RF ใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency, RF) ในการกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหลุมสิว และใช้เทคนิค Microneedling หรือเข็มขนาดเล็กในการกระจายคลื่นวิทยุ และช่วยกระตุ้นกระบวนการสมานแผล
- เลเซอร์หลุมสิว Venus Viva MD เป็นเลเซอร์ RF กระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวตัวหนึ่งที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี NanoFractional™ Radiofrequency ซึ่งส่งผ่านคลื่นเข้าสู่ชั้นผิวด้วยหัว pin ขนาดจิ๋ว (300 นาโนเมตร) ทำให้คลื่นวิทยุสามารถเข้าถึงชั้นผิวได้ลึกและกระจายตัวได้อย่างสม่ำเสมอ และ SmartScan™ ซึ่งทำให้เราสามารถปรับโหมดของการปล่อยคลื่นให้เหมาะสมกับสภาพผิวมากขึ้น
เลเซอร์ เป็นอีกหนึ่งวิธีกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพทำได้ง่าย และมีความเสี่ยงต่ำค่ะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4-6 สัปดาห์ค่ะ ทั้งนี้จำนวนครั้งก็ขึ้นอยู่กับประเภทของเลเซอร์ สภาพผิว และการประเมินผลของแพทย์ด้วยค่ะ
6. PRP Injection

การฉีด PRP (Platelet-rich-plasma) คือ การใช้พลาสมาในการกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหลุมสิวค่ะ โดยตัวพลาสมา (Plasma) คือ สารสกัดที่ได้มาจากเลือด อุดมไปด้วยเกล็ดเลือด (Platelet) และ Growth factors ที่มีสรรพคุณในการฟื้นฟูผิวค่ะ
เกล็ดเลือด และ Growth factors เป็นตัวส่งสัญญาณให้ผิวเกิดการผลิตเซลล์ใหม่ (Cell proliferation) รวมไปถึงกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน อีกทั้งยังทำให้เกิดการสร้างเส้นเลือดฝอย (Angiogenesis) ซึ่งช่วยในเรื่องการซ่อมแซมผิวที่ถูกทำร้ายจากมลภาวะและแสงแดด และบูสต์การทำงานของเซลล์ผิวค่ะ
โดยขั้นตอนการทำ PRP Injection จะเริ่มจากการเจาะเลือด แล้วนำไปปั่นเพื่อแยกเอาพลาสมาและโปรตีนที่จำเป็นออกมาค่ะ จากนั้นแพทย์จะนำพลาสมาเข้มข้นนี้มาฉีดเข้าบริเวณหลุมสิวค่ะ โดยเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิวด้วย PRP ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4-6 สัปดาห์ค่ะ
ฟื้นฟูผิว และกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิว ที่ EY Clinic

อย่างที่ได้กล่าวไปค่ะว่า คอลลาเจน คือ องค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้หลุมสิวดูจางลง ผิวดูกระชับ และชุ่มชื้นมากขึ้น และในปัจจุบัน เราก็มีตัวเลือกในกระตุ้นคอลลาเจนอยู่มากมาย แต่สิ่งสำคัญที่ละเลยไม่ได้เลยก็คือ การเลือกรับบริการจากคลินิกที่มีมาตรฐานและเชื่อถือได้ เพื่อให้มั่นใจว่า เราจะได้รับการดูแลอย่างเป็นมืออาชีพ มีเครื่องมือที่เหมาะสม และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนดำเนินหัตถการค่ะ
สำหรับคนที่มีปัญหาหลุมสิว หรือปัญหาผิวอื่น ๆ สามารถปรึกษากับเราได้ที่ EY Clinic ค่ะ โดยเรามีการประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับตัวบุคคลก่อนเริ่มเสมอ อีกทั้งมีการติดตามผลการักษาเพื่อการันตีความพึงพอใจ โดยไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็นค่ะ
EY Clinic คือคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ การชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการกระตุ้นคอลลาเจนรักษาหลุมสิว สามารถแวะเข้ามาปรึกษาหมอผึ้งได้ที่ EY Clinic ค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง








ข้อสงสัยที่ว่า หลุมสิวกับรูขุมขนกว้าง ต่างกันอย่างไร เป็นคำถามที่คาใจใครหลาย ๆ คนค่ะ โดยเฉพาะกับคนที่มีปัญหาหน้าเป็นหลุม และรูขุมขนไม่กระชับมาอย่างยาวนาน โดยทั้งสองปัญหานี้ มีสาเหตุและปัจจัยการเกิดที่ต่างกัน แต่สามารถรักษาร่วมกันได้ด้วยหัตถการในปัจจุบันค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- หลุมสิว คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอักเสบ ต่างจาก รูขุมขน ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของผิว ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำมันจากต่อมไขมันมาสู่ผิวชั้นนอก
- คอลลาเจน คือ หัวใจสำคัญของการรักษารูขุมขนกว้าง และหลุมสิว
- วิธีการรักษารูขุมขนกว้าง และหลุมสิว สามารถทำได้ด้วยหัตถการเลเซอร์ และการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Biostimulator)
ก่อนไปเรียนรู้ว่า หลุมสิวกับรูขุมขนกว้างต่างกันอย่างไร เรามาดูทำความเข้าใจกันก่อนว่า หลุมสิว และรูขุมขนคืออะไรค่ะ
หลุมสิว คืออะไร

หลุมสิว (Atrophic acne scars) คือ รอยแผลเป็นที่เกิดมาจากกระบวนอักเสบของสิว และกระบวนการสมานแผลที่ไม่เพียงพอค่ะ โดยระหว่างการอักเสบ เซลล์ผิวและเส้นใยโปรตีนโครงสร้างต่าง ๆ ที่ตัวสิวจะถูกทำลาย และเมื่อกระบวนการสมานแผลไม่สามารถผลิตเนื้อเยื่อชุดใหม่มาทดแทนส่วนที่หายไปได้ ผิวบริเวณนั้นก็จะเกิดเป็นแอ่งหรือหลุม ที่ทำให้ผิวหน้าของเราขระขรุ ดูไม่เรียบเนียนค่ะ
รูขุมขน คืออะไร

รูขุมขน (Pore หรือ Hair follicle) คือ ส่วนประกอบหนึ่งของผิว มีลักษณะเป็นท่อหรือรูที่เชื่อมต่อกับต่อมน้ำมัน (Sebaceous glands) ที่อยู่ใต้ชั้นผิว รูขุมขนเป็นเหมือนท่อลำเลียงน้ำมันผิว ซึ่งน้ำมันจะทำหน้าที่เคลือบผิวเพื่อลดการสูญเสียน้ำของผิวชั้นนอกค่ะ แต่หากต่อมไขมันมีความ active มากเกินไป ก็จะทำให้เกิดเป็นปัญหาผิวมันได้ค่ะ และทำให้รูขุมขนกว้างได้ค่ะ
ปัญหารูขุมขนกว้างเกิดส่วนใหญ่จะเกิดมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม แต่ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนค่ะ เช่น แสงแดดและมลภาวะ อีกทั้งอายุที่มากขึ้น เพราะยิ่งร่างกายเราแก่ลง ความสามารถในการผลิตคอลลาเจนก็ยิ่งน้อยลงไปด้วย ส่งผลให้ผิวขาดความยืดหยุ่นซึ่งทำให้ปัญหารูขุมขนกว้างเด่นชัดขึ้นค่ะ
ปัญหาหลุมสิว กับรูขุมขนกว้าง ต่างกันอย่างไร

หลุมสิวและรูขุมขนกว้างต่างกันตรงที่ หลุมสิว คือ รอยแผลเป็นที่เกิดมาจากสิวอักเสบ ส่วนรูขุมขนกว้าง คือ สภาพผิวที่มักเกิดมาจากพันธุกรรมค่ะ โดยหลุมสิวจะมีลักษณะเป็นเหมือนแอ่งที่มีระนาบต่ำกว่าผิวปกติ อาจมีขอบชัดเจนหรือไม่ชัดเจนก็ได้ มีความกว้างและความลึกที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉลี่ยแล้วจะมีความกว้างที่ 1.5-4.0 มิลลิเมตรค่ะ ซึ่งหลุมสิวเป็นเพียงรอยแผลเป็นจึงจะไม่มีการอุดตันค่ะ
ส่วนรูขุมขนกว้าง จะมีลักษณะเป็นรูเปิดที่ลึก มีขอบชัดเจน และมีขนาดที่ใกล้เคียงกันทั่วใบหน้า โดยปัญหารูขุมขนกว้างมักจะมาคู่กับปัญหาผิวมัน เนื่องจากต่อมน้ำมันใต้ผิวมีความ active จึงมักนำไปสู่การอุดตันและอักเสบจนเกิดเป็นสิวได้ อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่เกิดสิวเสี้ยน (Sebaceous filaments) ด้วยค่ะ
หน้าเป็นหลุมสิว และมีรูขุมขนกว้าง สามารถรักษาได้ไหม

ถึงปัญหาหลุมสิว และรูขุมขนกว้างจะมีสาเหตุที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาผิวทั้งสองอย่างนี้ได้ ก็คือ คอลลาเจน ค่ะ โดยคอลลาเจน (Collagen) คือ เส้นใยโปรตีนโครงสร้างที่ให้ความกระชับเต่งตึงกับผิว อีกทั้งยังเป็นตัวกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวยืดหยุ่น แลดูสุขภาพดีค่ะ
วิธีกระตุ้นคอลลาเจน เพื่อแก้ปัญหาหลุมสิว และรูขุมขนกว้าง ก็มีอยู่หลากหลายวิธีค่ะ โดยหมอขอยกตัวอย่าง 4 วิธี ได้แก่ เลเซอร์, Rejuran, Sculptra และ Juvelook ค่ะ
เลเซอร์
เลเซอร์ ถือเป็นหัตถการที่มีประสิทธิภาพในการจัดการปัญหาผิวมากมายค่ะ โดยจะใช้พลังงานรูปแบบต่าง ๆ (เช่น แสงสีเหลือง แสงอินฟราเรด หรือ คลื่นวิทยุ) ในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิว อีกทั้งยังทำให้เกิดการจัดเรียงตัวใหม่ของโครงสร้างผิว (Skin remodeling) ซึ่งแต่เลเซอร์แต่ละประเภทย่อมมีความโดดเด่นที่ต่างกันออกไปค่ะ
การรักษาด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่สะดวก มีความเสี่ยงต่ำ และมีประสิทธิภาพสูง โดยหมอจะขอยกตัวอย่างเป็น เลเซอร์หลุมสิว Fractional CO2 ซึ่งเป็นการใช้พลังงานที่แสงเลเซอร์ที่ความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร และใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวกลางในการแทรกเข้าสู่ชั้นผิวค่ะ ตัว Fractional CO2 จะโดดเด่นในเรื่องของ Skin Resurfacing หรือการผลัดเซลล์ผิวเก่าเพื่อกระตุ้นการส้รางคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ โดยนอกจากจะรักษารุขุมขนกว้างและหลุมสิวได้แล้ว Fractional CO2 แก้ปัญหาผิวได้อีกมากมายค่ะ เช่น สิวอุดตัน สิวข้าวสาร และริ้วรอย
เลเซอร์อีกประเภทหนึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษารุขุมขนกว้างและหลุมสิว คือ เลเซอร์กลุ่มคลื่นวิทยุ (Radiofrequency, RF) ค่ะ โดยตัวเลือกที่โดดเด่นและได้รับความนิยมสูงก็คือ เลเซอร์หลุมสิว Venus Viva MD ที่ส่งผ่านคลื่นวิทยุด้วยหัว pin ขนาดจิ๋ว ที่ทำให้ไม่เจ็บหน้าระหว่างการรักษา มีผลข้างเคียงที่ต่ำ และใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่าเลเซอร์ชนิดอื่น โดยคลื่นวิทยุเมื่อเข้าไปสู่ชั้นผิวแล้ว จะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนซึ่งจะกระตุ้นให้เซลล์ผิวผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น และปรับโครงสร้างให้ผิวแข็งแรงขึ้นค่ะ
Profhilo

Profhilo เป็นอีกหนึ่งสารที่กำลังได้รับความนิยมในการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูหลุมสิว (Acne Scar) และยกกระชับ (Skin Laxity) รวมค่ะ โดย Profhilo เป็นสารที่มีส่วนประกอบของไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) ที่มีน้ำหนักโมเลกุลทั้งสูงและต่ำผสมผสานกัน ทำงานในลักษณะ “Hybrid Cooperative Complex” ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น แต่ยังช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นและผิวกระชับมากขึ้นค่ะ
หลักการทำงานของ Profhilo ในการกระตุ้นการฟื้นฟูหลุมสิวมีดังนี้ค่ะ
- หลังจากฉีด Profhilo เข้าสู่ผิว สารไฮยาลูรอนิกแอซิดจะซึมลึกเข้าสู่ผิวชั้นกลางและกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
- ไฮยาลูรอนิกแอซิดที่มีโมเลกุลน้ำหนักต่ำ (L-HA) จะช่วยเพิ่มการสร้างเส้นเลือดและฟื้นฟูผิวจากภายใน ส่วนโมเลกุลน้ำหนักสูง (H-HA) จะช่วยสร้างโครงสร้างให้ผิวแข็งแรงขึ้นและลดความหย่อนคล้อย
- ผลลัพธ์ที่ได้คือ หลุมสิวที่ดูตื้นขึ้น ริ้วรอยลดลง และผิวหน้ามีความชุ่มชื้น กระจ่างใสมากขึ้นค่ะ
Profhilo ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการความงามและได้รับการรับรองด้านความปลอดภัย โดยเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึกโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือมีเวลาพักฟื้นน้อย การฉีด Profhilo เพื่อฟื้นฟูหลุมสิวและสภาพผิว ควรทำ 2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4 สัปดาห์ค่ะ ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 6-12 เดือน และสามารถทำซ้ำปีละครั้งเพื่อรักษาผลลัพธ์ค่ะ
Sculptra

Sculptra เป็นสารฉีดกระตุ้น Biostimulator อีกตัวหนึ่งที่มีความโดดเด่นในเรื่องของการฟื้นฟูผิวให้กระชับ และดูอ่อนวัยค่ะ โดย Sculptra เป็นสาร PLLA (Poly-l-lactic acid) ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับไหมละลายที่ใช้ในวงการแพทย์มาตั้งแต่ปี 1999 และได้รับการรับรองจาก US FDA ในปี 2004 เพื่อใช้ในจุดประสงค์ด้านความงามค่ะ
Sculptra ช่วยรักษาปัญหารูขุมขนกว้าง และหลุมสิวได้ โดยจะกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ให้ผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้นค่ะ ซึ่งเพียง 3 เดือนหลังฉีด Sculptra แล้ว ปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวเพิ่มขึ้นถึง 66.5% ค่ะ และนอกจากปัญหาหลุมสิวและรูขุมขนกว้างแล้ว Sculptra ยังช่วยให้ริ้วรอยดูจางลง และยังฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้น แข็งแรง แลดูอ่อนวัยด้วยค่ะ
ผลลัพธ์ของ Sculptra จะเริ่มเห็นได้ในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังฉีด ซึ่งจะเป็นระยะเวลาที่ร่างกายใช้ผลิตคอลลาเจนตามกลไกธรรมชาติค่ะ และโดยทั่วไปแล้ว หมอจะแนะนำให้ฉีดอย่างน้อย 3 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 4-6 สัปดาห์ โดยผลลัพธ์จะอยู่ในนานถึง 2 ปี และสามารถฉีดเติมเพื่อคงผลลัพธ์ได้ปีละ 1 ครั้งค่ะ
Juvelook

อีกหนึ่งวิธีรักษารูขุมขนกว้างและหลุมสิว คือ Juvelook ซึ่งเป็นสาร PDLLA กับสารไฮยาลูรอนิก แอซิดค่ะ โดย PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid) จัดเป็นสาร biostimulator ที่มีความคล้ายคลึงกับ PLLA ของ Sculptra เพียงแต่มีการจัดเรียงโมเลกุลที่ต่างกันเล็กน้อย ซึ่งได้รับการรับรองจาก US FDA เช่นกันค่ะ
หลักการรักษารูขุมขนกว้างและหลุมสิวของ Juvelook มีอยู่คร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ
- Physical Support: มวลสารไฮยาลูรอนิก แอซิดเข้าไปเติมเต็มปริมาตรของผิว ช่วยให้หลุมสิวดูตื้น และผิวดูกระชับมากขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด
- Restoration: หลังฉีดไปแล้ว 3-4 สัปดาห์ เซลล์ไฟโบรบลาสต์จะถูกกระตุ้นให้ผลิตเส้นใยคอลลาเจนออกมามากขึ้น
- Maintenance: PDLLA กระตุ้นคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนที่สุดในช่วง 6 เดือนหลังฉีด
ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่าง Juvelook และ biostimulator ตัวอื่น ๆ คือ เราสามารถเห็นผลลัพธ์ของ Juvelook ได้ทันทีเนื่องจากตัวไฮยาลูรอนิก แอซิดที่ทำหน้าที่เป็นสารเติมเต็มค่ะ
โดยทั่วไปแล้ว การฉีด Juvelook ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 3-4 สัปดาห์ ผลลัพธ์คงอยู่ได้ 6-12 เดือน จากนั้นสามารถฉีดเพิ่มเพื่อคงผลลัพธ์ได้ปีละ 1 ครั้งค่ะ
Rejuran

รีจูรัน คือ โพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide, PN) ที่ได้มาจากชิ้นส่วนดีเอ็นเอของปลาแซลมอน ซึ่งสามารถทำงานกับเซลล์ของมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย โดยสาร PN มีคุณสมบัติในด้านการสมานแผล และยังเป็น สารกระตุ้นคอลลาเจนโดยธรรมชาติ (Collagen Biostimulator) ทำให้รีจูรันเป็นตัวเลือกในการฟื้นฟูผิวที่มีประสิทธิภาพมากตัวหนึ่งค่ะ โดยรีจูรันช่วยแก้ไขปัญหาได้หลากหลายค่ะ
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับรูขุมขนและช่วยให้หลุมสิวดูจางลง
- ส่งเสริมกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ช่วยปรับสภาพผิวและชะลอการแก่ตัวของผิว
- ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และซัพพอร์ตสารเคลือบเซลล์ (Extracellular matrix หรือ ECM) ให้เกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
- ซ่อมแซมผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด และมลภาวะ อีกทั้งมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ (anti-inflammatory effect)
การฉีดรีจูรัน นอกจากจะช่วยแก้ปัญหารูขุมขนกว้างและหลุมสิวแล้ว ยังช่วยต้านการเกิดริ้วรอย เสริมสร้างให้ผิวแข็งแรง ไม่เป็นสิวหรือแพ้ง่าย และยังคืนความสมดุลให้ผิวมีความนุ่ม ชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้านด้วยค่ะ
โดยทั่วไปแล้ว การฉีดรีจูรันควรทำติดต่อกัน 3-4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 2-3 สัปดาห์ต่อครั้ง เราจะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ 3-5 วันหลังฉีดครั้งแรก และร่างกายจะใช้เวลาประมาณ 4 สัปดาห์ในการผลิตคอลลาเจนตามกลไกธรรมชาติ ก่อนจะเผยผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นค่ะ
Rejuran S สำหรับหลุมสิว
อย่างที่ได้กล่าวไปค่ะ ว่ารีจูรันสามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย อย่างไรก็ดี ตัวผลิตภัณฑ์ของรีจูรัน ที่เหมาะสมสำหรับการลบเลือนรอยแผลเป็นหลุมสิวมากที่สุด จะเป็น รีจูรัน เอส (Rejuran S) ค่ะ โดยรีจูรัน เอส ก็คือสารประกอบโพลีนิวคลีโอไทด์เหมือนกับรีจูรัน ฮีลเลอร์ แต่จะมีความเข้มข้นและมีเนื้อที่หนืดกว่า และถูกออกแบบมาเพื่อการรักษาหลุมสิวโดยเฉพาะค่ะ
ซึ่งรีจูรัน เอส สามารถใช้รักษาร่วมกับหัตถการหลุมสิวอื่น ๆ เช่น เลเซอร์ ได้อย่างปลอดภัย เพียงแต่จะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อเว้นระยะของการรักษาให้เหมาะสมค่ะ
แก้ปัญหารูขุมขนกว้าง รักษาหลุมสิว ที่ EY Clinic
ได้เรียนรู้กันไปแล้วว่า ปัญหาหลุมสิวกับรูขุมขนกว้างต่างกันอย่างไร และมีวิธีรักษาอย่างไร หมอขอเสริมค่ะว่า การแก้ไขปัญหาผิวเหล่านี้เป็นกระบวนการที่ใช้เวลาและต้องการความสม่ำเสมอ อีกทั้งยังต้องอาศัยการดูแลตัวเองในทุก ๆ วันด้วยค่ะ อย่างไรก็ดี หมอคิดว่า การที่เรามีแผนรักษาที่เหมาะสมกับตัวเอง ก็ย่อมช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ ซึ่งหากใครกำลังหนักใจกับปัญหาหน้าเป็นหลุมสิว หรือรูขุมขนกว้าง สามารถปรึกษากับเราได้ที่ EY Clinic ค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาปรึกษาเรื่องปัญหาผิวกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
อ้างอิงข้อมูล
- Oh, Seyeon, et al. “Poly-D,L-Lactic Acid Stimulates Angiogenesis and Collagen Synthesis in Aged Animal Skin.” International Journal of Molecular Sciences, vol. 24, no. 9, 28 Apr. 2023, pp. 7986–7986, https://doi.org/10.3390/ijms24097986.
Why juvelook & Lenisna; What is PDLLA; https://juvelook.com/what-is-pdlla/
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง








จมูก ถือเป็นอวัยวะที่โดดเด่นบนใบหน้าของเราทุกคนค่ะ การเป็น “หลุมสิวที่จมูก” จึงถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับใครหลาย ๆ คน เพราะไม่ว่าจะลงเมคอัพมากแค่ไหน ก็อาจะไม่เพียงพอต่อปกปิดรอยแผลเป็นที่อยู่ตรงกลางของใบหน้าได้ ในบทความนี้ หมอผึ้งจึงได้สรุปความรู้เรื่องหลุมสิวที่บริเวณจมูก ตลอดจนวิธีการรักษามาให้ได้อ่านและทำความเข้าใจกันค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- หลุมสิวที่จมูก คือ รอยแผลที่เกิดจากกระบวนการอักเสบของสิว และการสมานแผลที่ไม่เพียงพอ
- จมูก เป็นบริเวณที่ต่อมน้ำมันจำนวนมาก ทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบ และสิวอุดตันได้ง่าย
- หลุมสิวประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด คือ หลุมสิว Ice pick (60-70% ของรอยแผลเป็นจากสิว)
- วิธีการรักษาหลุมสิวที่จมูก มีอยู่หลายวิธี อาทิ เช่น การทำ TCA หลุมสิว เลเซอร์ Fractional RF และเลเซอร์ Fractional CO2
หลุมสิวที่จมูก คืออะไร เกิดจากอะไร
หลุมสิวบริเวณจมูก คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากการอักเสบของสิวค่ะ ซึ่งจมูกของเราเป็นพื้นที่ที่มักมีน้ำมันสูง เนื่องจากมีรูขุมขนอยู่เป็นจำนวนมาก พอน้ำมันมากก็ทำให้เกิดการอุดตันและเป็นสิวได้ง่ายขึ้นค่ะ
เราสามารถสรุปได้ง่าย ๆ ค่ะว่า สาเหตุของการเกิดหลุมสิวที่จมูกก็คือ สิวอักเสบ เนื่องจากระหว่างกระบวนการอักเสบนั้น เซลล์ผิวและเส้นใยโปรตีนโครงสร้างต่าง ๆ ในบริเวณที่เป็นสิวจะถูกทำลาย ประกอบการกระบวนการสมานแผลที่ไม่สามารถผลิตเนื้อเยื่อชุดใหม่ออกมาทดแทนได้ จึงทำให้เกิดเป็นหลุมสิวนั่นเองค่ะ
หลุมสิวที่จมูก มักจะเป็นหลุมสิวประเภท Boxcar ที่มีลักษณะเป็นเหมือนบ่อกว้างที่ไม่ลึกมาก และหลุมสิวประเภท ice pick (ซึ่งเป็นหลุมสิวที่พบได้บ่อยที่สุด) ที่มีลักษณะเป็นหลุมปากแคบและลึกค่ะ
หลุมสิวที่จมูก รักษาอย่างไร
จมูก เป็นอวัยวะที่มีความบอบบาง มีเส้นเลือดฝอย และเส้นประสาทอยู่จำนวนมาก อีกทั้งยังมีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างจากผิวบริเวณอื่นของใบหน้า การรักษาหลุมสิวที่จมูกจึงอาจเป็นเรื่องท้าทายได้ค่ะ อย่างไรก็ดี หมอผึ้งขอยกตัวอย่างวิธีรักษา 3 วิธี ที่จะช่วยจัดการปัญหาหลุมสิวที่จมูกได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
TCA หลุมสิว

TCA หลุมสิว หรือ TCA CROSS (Chemical Reconstruction Of Skin Scar) คือ การใช้กรด Trichloroacetic acid ในการรักษาหลุมสิวค่ะ ตัวกรดจะทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่ และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนชุดใหม่ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาหลุมสิวที่จมูกให้ดูจางลง กระชับรูขุมขน และยังช่วยให้ผิวกระจ่างใสมากขึ้นค่ะ
TCA CROSS จะใช้กรดที่ความเข้มข้นสูง 70-100% แต้มเข้าไปที่บริเวณฐานของหลุมสิว โดยใช้ไม้จิ้มฟันหรือเข็มปลายทู่ค่ะ วิธีนี้จึงเป็นวิธีแก้ปัญหาหลุมสิว ice pick ที่จมูกหรือที่บริเวณอื่น ๆ ได้ดีด้วยค่ะ เพราะเนื่องจากหลุมสิว ice pick มีลักษณะเป็นบ่อปากแคบที่มีความลึก จึงจะไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษาหลุมสิวแบบอื่น ๆ ค่ะ
โปรแกรม TCA CROSS หลุมสิวที่ EY Clinic
- TCA acne scar หลุมสิว 1 ครั้ง 1,999.-
- TCA acne scar หลุมสิว 6 ครั้ง 9,995.- (คิดเป็นครั้งละ 1,666.-)
Fractional RF

เลเซอร์ Fractional RF เป็นการรักษาหลุมสิวด้วยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency, RF) โดยจะใช้เข็มขนาดจิ๋ว หรือ Microneedle ในการส่งผ่านคลื่นค่ะ โดยเลเซอร์ตัวนี้จะช่วยให้หลุมสิวที่จมูกดูจางลงด้วยการกระตุ้นในร่างกายเข้าสู่กระบวนการสมานแผล และผลิตคอลลาเจนออกมา อีกทั้งยังทำให้เกิดการปรับโครงสร้างของผิวด้วยค่ะ
โดยเลเซอร์ Fractional RF ที่ EY Clinic ใช้จะเป็นเครื่อง MICROFRAX ที่สามารถระดับคลื่นและโหมดการรักษาให้เหมาะสมกับพื้นที่ต่าง ๆ ของใบหน้าได้ อีกทั้งยังช่วยความระคายเคืองและลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงระยะยาวได้ด้วยค่ะ
โปรแกรม Fractional RF หลุมสิวที่ EY Clinic
- size S Fractional RF 1 ครั้ง 4,999.-
- size M Fractional RF 2 ครั้ง 8,999.-
- size L Fractional RF 3 ครั้ง 12,799.-
Fractional CO2

อีกหนึ่งวิธีการรักษาหลุมสิวที่จมูก ก็คือ เลเซอร์ Fractional CO2 ค่ะ ซึ่งเป็นเลเซอร์ที่โดดเด่นในเรื่องของการเผยผิวใหม่ (Skin Resufacing) โดย Fractional CO2 จะปล่อยแสงที่ความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร และใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวนำพาเข้าสู่ชั้นผิว
หลังจากนั้น แสงจะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนซึ่งทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวชั้นบน กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่พร้อมกับเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินค่ะ ซึ่งเลเซอร์ตัวนี้ มีประสิทธิภาพดีต่อหลุมสิวที่จมูกหรือบริเวณอื่น ๆ ที่มีความรุนแรง และยังช่วยจัดการกับปัญหาผิวอื่น ๆ เช่น สิวอุดตัน สิวข้าวสาร หรือริ้วรอยได้ด้วยค่ะ
โปรแกรม Fractional CO2 หลุมสิวที่ EY Clinic
- Smooth x หลุมสิวทั่วหน้า 1 ครั้ง 3,999.-
- Smooth x หลุมสิวทั่วหน้า 6 ครั้ง 19,995.- (คิดเป็นครั้งละ 3,333.-)
รักษาหลุมสิวที่ EY Clinic

เพราะว่า จมูก เป็นพื้นที่ที่มีความบอบบาง มีเส้นเลือดฝอยอยู่จำนวนมาก และเป็นอวัยวะที่อยู่ตรงกลางใบหน้า ในการรักษาหลุมสิวที่จมูก เราจึงควรเลือกรับบริการกับคลินิกที่มีมาตรฐาน มีแพทย์ประจำการและมีการตรวจประเมินสภาพผิวก่อนเริ่มรักษาทุกครั้งค่ะ
สำหรับคนที่ประสบปัญหาหลุมสิวที่จมูก สามารถปรึกษากับ EY Clinic ได้ค่ะ โดยเรามีโปรแกรมรักษาหลุมสิวที่ครอบคลุม มีการออกแบบแผนการรักษาให้เหมาะสมกับตัวบุคคล และมีความยินดีที่จะอยู่ข้างคุณตลอดทุกขั้นตอนการรักษาค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง



หมอคิดว่า ปัญหาหลุมสิว เป็นอะไรที่น่าปวดหัวไม่แพ้กับปัญหาสิว และทำให้หลาย ๆ คน เสียความมั่นใจไปได้ง่าย ๆ เลยค่ะ ใบทความนี้ หมอจะมาอธิบายถึง “หลุมสิว Rolling scar” หรือหลุมสิวที่มีลักษณะเหมือนแอ่ง และพูดถึงการรักษาหลุมสิว rolling ที่มีประสิทธิภาพค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- หลุมสิว Rolling scar มีลักษณะเป็นแอ่งที่มีความกว้าง แต่ไม่ลึก และไม่มีขอบเขตชัดเจน
- หลุมสิว Rolling scar มักตอบสนองต่อการรักษาแบบต่าง ๆ ได้ดี
- วิธีรักษาหลุมสิว Rolling ที่มีประสิทธิภาพ คือ การทำ Subcision ควบคู่ไปกับ Venus Viva MD หรือ เลเซอร์ Fractional RF
หลุมสิว เกิดจากอะไร

หลุมสิว (Atrophic acne scar) เกิดจากการกระบวนการอักเสบของสิว และการกระบวนการสมานแผลที่ไม่พอเพียงค่ะ โดยระหว่างที่เราเป็น เซลล์ผิวและเส้นใยโปรตีนโตโครงสร้างต่าง ๆ จะถูกทำลายไปตามกระบวนการการอักเสบ ยิ่งการอักเสบรุนแรงเท่าไร โอกาสของการเกิดหลุมสิวก็เยอะจะไปด้วย ประกอบกับกระบวนการสมานแผลที่ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อมาทดแทนในส่วนที่ถูกทำลายไปได้ จึงทำให้เกิดเป็นแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรอยบุ๋ม หรือ เป็นหลุม ต่ำกว่าระนาบของผิวปกตินั่นเองค่ะ
โดยหลุมสิวจะเป็นประเภทของแผลเป็นที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด เมื่อเป็นสิวอักเสบ ซึ่งนอกจากแผลเป็นลักษณะแล้วก็ยังมีรอยดำ (Hyperpigmentation) และรอยแผลเป็นแบบนูน (Hypertrophic scar) ที่เกิดสามารถเกิดขึ้นได้ค่ะ
หลุมสิว มีกี่ประเภท

เราสามารถแบ่งหลุมสิวออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ หลุมสิว Rolling, หลุมสิว Boxcar และหลุมสิว Ice Pick ค่ะ โดยแต่ละประเภทจะมีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกัน ดังนี้ค่ะ
- หลุมสิว Rolling scar มีลักษณะเป็นแอ่งตื้นที่กินพื้นที่ได้ถึง 5 มิลลิเมตร ขอบเขตไม่ชัดเจน พบได้บ่อยบริเวณแก้ม หลุมสิวประเภทนี้พบได้ไม่บ่อยเมื่อเทียบกับอีกสองประเภท และเป็นประเภทที่รักษาได้ง่ายที่สุดค่ะ
- หลุมสิว Boxcar scar มีลักษณะเป็นบ่อกว้างที่มีขอบชัดเจน มีความกว้างอยู่ที่ 1.5 - 4 มิลลิเมตร และมักตอบสนองต่อการรักษาได้ดีค่ะ
- หลุมสิว Ice pick scar เป็นประเภทหลุมสิวที่พบมากที่สุด (60-70% ของแผลเป็นจากสิว) มีลักษณะเป็นเหมือนหลุมปากแคบที่มีความลึก จึงทำให้รักษาได้ยากค่ะ
หลุมสิว Rolling scar รักษาอย่างไร
ต้องเกริ่นก่อนว่า ในปัจจุบันนี้ เรามีตัวเลือกหัตถการในการรักษาหลุมสิว Rolling scar หลายตัวมากค่ะ โดยในบทความนี้ หมอจะขอพูดถึงการรักษา 5 วิธี ดังนี้ค่ะ
Subcision

Subcision หรือ การตัดพังผืด คือ การใช้เข็มขนาดเล็กสอดเข้าไปที่บริเวณฐานของหลุมสิว เพื่อเลาะเอาเนื้อเยื่อพังผืด (Fibrous tissue) ออกค่ะ โดยเนื้อเยื่อพังผืดนี้เป็นผลมาจากการที่ร่างกายพยายามสมานและซ่อมแซมตัวเองหลังจากที่เป็นสิวอักเสบค่ะ แต่ในหลาย ๆ กรณี เนื้อเยื่อพังผืดกลับเป็นตัวดึงรั้งผิวบริเวณฐานสิวเอาไว้ค่ะ ซึ่งการตัดเอาพังผืดตรงนี้ออกเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนชุดใหม่ออกมา และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาหลุมสิวด้วยวิธีอื่น ๆ ด้วยค่ะ
Subcision จึงมักเป็นหัตถการเสริมที่นิยมทำร่วมกับ การฉีดกระตุ้นคอลลาเจนหลุมสิว และเลเซอร์หลุมสิวค่ะ เพราะการเลาะเอาพังผืดออกจะช่วยให้หลุมสิว Rolling scar ตอบสนองของการรักษาอื่น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้ง Subsicion เองยังเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงต่ำ และไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงระยะยาวด้วยค่ะ
เลเซอร์ Fractional RF

Fractional RF เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิว Rolling scar ค่ะ โดยจะเป็นการใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency, RF) เพื่อกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสมานแผล คลื่นวิทยุจะถูกส่งผ่านเข้าสู่ชั้นผิว แล้วแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนที่กระตุ้นผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ออกมา อีกทั้งยังเกิดการจัดเรียงตัวใหม่ของโครงสร้างผิว (Skin Remodeling) ซึ่งจะทำให้หลุมสิว Rolling scar ดูจางลง ผิวกระชับ และแข็งแรงขึ้นค่ะ
โดยเลเซอร์ Fractional RF ของ EY Clinic จะใช้เทคนิค Microneedling หรือใช้เข็มขนาดจิ๋วในการลงผ่านคลื่นวิทยุเข้าสู่ชั้นผิว ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นกระบวนการสมานแผลอีกทางหนึ่งด้วยค่ะ
เลเซอร์ Venus Viva MD

Venus Viva MD เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ใช้คลื่นวิทยุเป็นในการรักษาหลุมสิวแบบ Rolling scar ค่ะ แต่ความพิเศษของเจ้าเลเซอร์ตัวนี้อยู่ที่ เทคโนโลยี NanoFractional™ Radiofrequency ที่ช่วยให้คลื่นวิทยุเข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกถึงชั้น Upper dermis ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าในการรักษาหลุมสิว Rolling scar และ Boxcar ที่มีความรุนแรง เมื่อเทียบกับเลเซอร์ในกลุ่มเดียวกันค่ะ อีกทั้งยังมี SmartScan™ ที่ทำให้ปรับเปลี่ยนระดับพลังงานได้ตามความเหมาะสมกับผิวของแต่ละบุคคลค่ะ
Venus Viva MD เป็นนวัตรกรรมเลเซอร์ที่ชื่อเรื่องความปลอดภัย และความสบายผิวระหว่างหัตถการค่ะ โดยจะใช้หัว pin ที่มีขนาดเล็กเพียง 300 นาโนเมตรในการส่งผ่านคลื่นวิทยุ ซึ่งทำให้คลื่นกระจายตัวได้ดี ไม่สร้างความเจ็บปวดระหว่างยิงคลื่น และลดโอกาสผิวไหม้เบิร์นหลังทำหัตถการด้วยค่ะ
โดยนอกจากประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว Rolling scar ความปลอดภัย และความสบายผิวขณะทำแล้ว ระยะเวลาพักฟื้นหลังทำ Venus Viva MD ก็ใช้เวลาเพียง 1-2 วัน ซึ่งถือว่าสั้นกว่า เมื่อเทียบกับเลเซอร์ตัวอื่นค่ะ
เลเซอร์ Fractional CO2

Fractional CO2 เป็นเลเซอร์เพื่อผิวหน้าที่ได้รับความนิยมสูงค่ะ เนื่องจากสามารถจัดการกับปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย เช่น ริ้วรอย สิวข้าวสาร สิวอุดตัน รวมไปถึงหลุมสิวแบบ Rolling scar และ Boxcar ด้วยค่ะ ซึ่ง Fractional CO2 จะใช้ยิงคลื่นแสงที่ความยาว 10,600 นาโนเมตร โดยใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวกลางในการแทรกตัวเข้าสู่ชั้นผิว ทำให้เกิดการผลัดผิวเก่าออก และผลิตเซลล์ผิวใหม่ค่ะ (Skin Resurfacing)
อย่างไรก็ดี เลเซอร์ Fractional CO2 จะใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าเลเซอร์ Fractional RF และ Venus Viva MD เผยผลลัพธ์ที่ช้ากว่า แต่ก็มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว Rolling scar กระชับรูขุมขน และช่วยปรับโทนสีผิวให้สม่ำเสมอมากขึ้นค่ะ
การฉีดกระตุ้นคอลลาเจน

อีกหนึ่งวิธีรักษาหลุมสิว Rolling scar ก็คือ การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Collagen Biostimulator ค่ะ ซึ่งสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่ Juvelook, Profhilo และ Sculptra ค่ะ โดยแต่ละตัวมีคุณสมบัติที่โดดเด่นแตกต่างกันในการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวและลดเลือนหลุมสิว
Juvelook เป็นสาร PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid) ที่ทำงานร่วมกับไฮยาลูรอนิก แอซิด โดยสาร PDLLA จะกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้ผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิวออกมามากขึ้น ส่วนไฮยาลูรอนิก แอซิดจะช่วยเติมเต็มปริมาตรของเนื้อเยื่อ ทำให้หลุมสิวดูจางลงและผิวชุ่มชื้นทันที
โดยสาร PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid) จะเป็นสารที่ทำหน้าที่กระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast)ให้ผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิวออกมากมากชึ้น ส่วนไฮยาลูรอนิก แอซิดจะเป็นตัวอุ้มน้ำและทำหน้าที่เติมเต็มปริมาตรที่จะทำให้หลุมสิวดูตจางลงค่ะ
เราสามารถสรุปหลักการทำงานคร่าว ๆ ของ Juvelook ได้เป็น 3 ข้อ ดังนี้ค่ะ
- Physical Support: มวลสารไฮยาลูรอนิก แอซิดที่เข้าไปเติมเต็มปริมาตรของเนื้อเยื่อบริเวณหลุมสิว
- Restoration: หลังฉีดไปแล้ว 3-4 สัปดาห์ เซลล์ไฟโบรบลาสต์จะเริ่มผลิตเส้นใยคอลลาเจนออกมามากขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและความชุ่มชื้นให้ผิว
- Maintenance: PDLLA สามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ในระยะยาว และจะเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนที่สุดในช่วง 6 เดือนหลังฉีด
ผลลัพธ์ของ Juvelook จะเห็นได้หลังฉีดครั้งแรก เนื่องจากตัวไฮยาลูรอนิก แอซิดที่เข้าไปเติมเต็มบริเวณหลุมสิวทันทีค่ะ โดยทั่วไปแล้ว การฉีด Juvelook ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง เว้นระยะห่างครั้งละ 3-4 สัปดาห์ ซึ่งนอกจากประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว Rolling scar แล้ว Juvelook ยังจะช่วยในการลดเลือนริ้วรอย ปรับสภาพผิว พร้อมเพิ่มความชุ่มชื้นและความกระชับให้ผิวแลดูอ่อนวัยสุขภาพดีด้วยค่ะ
สารกระตุ้นคอลลาเจนอีกหนึ่งตัวที่สามารถช่วยรักษาหลุมสิว Rolling scar ได้ ก็คือ Sculptra ค่ะ ซึ่ง Sculptra จะเป็นสาร PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งมีความสามารถในการกระตุ้นคอลลาเจนเช่นกันค่ะ โดย Sculptra สามารถเพิ่มปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้ถึง 66.5% ทำให้หลุมสิวดูจางลงอย่างชัดเจน อีกทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงด้วยค่ะ
Profhilo เป็นสารไฮยาลูรอนิก แอซิดที่มีน้ำหนักโมเลกุลทั้งสูงและต่ำในรูปแบบ Hybrid Cooperative Complex โดยจะช่วยฟื้นฟูผิวชั้นหนังแท้ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน พร้อมมอบความชุ่มชื้นที่ลึกถึงชั้นผิว ทำให้หลุมสิว Rolling scar ดูตื้นขึ้น ผิวกระชับ และริ้วรอยลดลงได้อย่างชัดเจน
Sculptra เป็นสาร PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งมีความสามารถในการกระตุ้นคอลลาเจนได้ดีเยี่ยม โดยหลังการฉีด Sculptra พบว่าปริมาณคอลลาเจนใต้ชั้นผิวเพิ่มขึ้นถึง 66.5% ภายใน 3 เดือน ส่งผลให้หลุมสิวดูจางลงอย่างชัดเจน พร้อมช่วยลดเลือนริ้วรอยและเพิ่มความแข็งแรงของผิว
การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนเหล่านี้สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ เช่น Subcision หรือ Laser เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว Rolling scar และ Boxcar scar ได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ
การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน สามารถทำร่วมกับร่วมกันหัตถการอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว Rolling scar หรือ Boxcar scar ได้ค่ะ อย่างไรก็ดี ควรมีการปรึกษาแพทย์เพื่อให้แผนการรักษาที่เหมาะกับตัวบุคคลที่สุด และเว้นระยะห่างระหว่างการรักษาแต่ละวิธีให้เหมาะสมด้วยค่ะ
หลุมสิว Rolling scar รักษาด้วยวิธีไหนดีที่สุด?

ในความเห็นของหมอผึ้งแล้ว วิธีการรักษาหลุมสิว Rolling scar ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด คือ การทำ Subcision ควบคู่ไปกับเลเซอร์ Venus Viva MD ค่ะ โดย Subcision จะกำจัดเนื้อเยื่อพังผืดที่ดึงรั้งอยู่ใต้ฐานของหลุมสิว และ Venus Viva MD (เลเซอร์ Fractional RF แบบไม่ใช้เข็ม) จะช่วยกระตุ้นให้ผิวผลิตเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน เพื่อมาเติมเต็มหลุมสิวให้ดูจางลง เผยผิวที่เรียบเนียนสม่ำเสมอมากขึ้นค่ะ
โดยที่ EY Clinic มีบริการในส่วนของโปรแกรมรักษาหลุมสิวที่จะช่วยจัดการทั้งหลุมสิวแบบ Rolling scar, Boxcar และ Ice Pick หากใครที่ยังไม่แน่ใจว่าวิธีไหนจะเหมาะสมที่สุด ก็สามารถปรึกษากับคลินิกของเราได้ค่ะ
ดูแลอย่างไร ไม่ให้เป็นหลุมสิว
ทั้งหลุมสิว rolling scar, boxcar และ ice pick เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอักเสบค่ะ ซึ่งวิธีการดูแลตัวเองเมื่อเป็นสิว เพื่อลดโอกาสการเกิดหลุมสิวมีดังนี้ค่ะ
- ไม่แกะ บีบ หรือกดสิว เพราะจะเป็นการทำร้ายผิว และอาจยิ่งทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้นด้วยค่ะอีกด้วยค่ะ
- เลือกใช้ยาแต้มสิว แผ่นแปะสิว หรือการฉีดสิว และไม่ปล่อยให้สิวหายเอง เพื่อควบคุมการอักเสบให้ได้มากที่สุดค่ะ
- บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ เพราะความชุ่มชื้นจะเป็นตัวช่วยให้ผิวแข็งแรง และช่วยให้สมานแแผลได้ดีขึ้นค่ะ
รักษาหลุมสิว Rolling scar ที่ EY Clinic

วิธีการรักษาหลุมสิว Rolling scar ที่ได้อธิบายกันไปในบทความนี้ ยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับหลุมสิวแบบ Boxcar ด้วยค่ะ ซึ่งนอกจาก วิธีเหล่านี้แล้ว ก็ยังมีหัตถการอื่น ที่จะช่วยแก้ปัญหาหลุมสิวได้ อย่างเช่น PRP Injection, Sculptra หรือ TCA ค่ะ
ซึ่งหมอเชื่อว่า การรักษาที่ดีสุดของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ก่อนเริ่มทำจึงควรมีการวางแผน เพื่อให้การรักษามีความเหมาะสมกับตัวบุคคล ไม่ว่าจะเป็นด้านของสภาพผิว เวลาที่เรามีในการเข้าคลินิก หรืองบประมาณที่มีค่ะ
สำหรับคนที่ยังมีคำถาม หรือสนใจโปรแกรมรักษาหลุมสิว ก็สามารถเข้ามาปรึกษาเราที่ EY Clinic ได้ค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาปรึกษาเรื่องปัญหาผิวกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง



หมอเชื่อว่า หลุมสิว ถือเป็นปัญหาที่น่าหนักใจที่คนเป็นสิวหลายคนต้องเจอค่ะ โดยเฉพาะกับหลุมสิว Ice pick ที่รักษาได้ยากเย็นกว่าหลุมสิวชนิดอื่น ในบทความนี้ เราจะไปเรียนรู้กันว่า หลุมสิวแบบ Ice pick คืออะไร แตกต่างกับหลุมสิวอื่น ๆ อย่างไร และการรักษาหลุมสิว Ice pick ทำได้อย่างไรบ้างค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- หลุมสิว Ice pick เกิดจากสิวอักเสบที่รุนแรงและมีรากของการอักเสบที่ลึก
- หลุมสิว Ice pick มีลักษณะเป็นหลุมลึก ปากแคบ ซึ่งเป็นหลุมสิวที่พบได้บ่อยที่สุด แต่รักษาได้ยากที่สุด
- วิธีการรักษาหลุมสิวแบบ Ice pick ที่มีประสิทธิภาพ คือ การแต้มกรด TCA
- การป้องกันหลุมสิวที่ดีที่สุด คือ การรักษาสิวให้ถูกวิธีด้วยยาแต้มสิวหรือ การฉีดสิว ไม่ปล่อยให้สิวหายเอง และ ไม่แกะหรือบีบสิว
“หลุมสิว Ice pick” คืออะไร

หลุมสิว Ice pick หรือ หลุมสิวแบบจิก คือ รอยแผลเป็นจากสิวที่มีลักษณะเป็นรูปตัว V หรือเป็นหลุมปากแคบที่มีความลึกค่ะ หลุมสิวประเภทนี้ถือเป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด (60-70% ของหลุมสิวทั้งหมด) ซึ่งชื่อ “Ice pick” ก็ได้มาจากลักษณะทางกายภาพของหลุมสิวที่คล้ายคลึงกับน้ำแข็งที่ถูกจิกด้วยไม้เจาะน้ำแข็งค่ะ
สิวที่มักทำให้เกิดหลุมสิวแบบ Ice pick ได้แก่ สิวที่มีการอักเสบรุนแรง และมีรากที่ลึก เช่น สิวตุ่มนูนแดงแบบ Papule หรือ สิวซีสต์หัวปิด (Cystic acne) ค่ะ
ปากของหลุมสิวแบบ Ice pick จะมีขอบที่มองเห็นได้ชัดเจน มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่ 0.5-1 มิลลิเมตร และอาจมีความลึกถึงชั้นหนังแท้ค่ะ (Dermis) ซึ่งขนาดขอบปากของหลุมสิว Ice pick ถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับหลุมสิวประเภทอื่น เช่น หลุมสิวแบบ Rolling ที่มักมีปากที่กว้างถึง 4-5 มิลลิเมตรค่ะ ซึ่งด้วยความแคบและลึกของรอยแผล หลุมสิว Ice pick จึงเป็นรอยแผลเป็นที่รักษาได้ยาก และตอบสนองต่อการรักษาบางประเภทเท่านั้นค่ะ
ประเภทของหลุมสิว

เราสามารถแบ่งประเภทของหลุมสิวได้ตามรูปร่างลักษณะทางกายภาพค่ะ โดยนอกจาก หลุมสิว Ice pick แล้ว ก็ยังมีหลุมสิวแบบ Rolling และ หลุมสิวแบบ Boxcar ค่ะ
หลุมสิว Rolling: มีลักษณะเหมือนแอ่งกระทะที่ไม่มีขอบชัดเจน ความกว้างอยู่ที่ประมาณ 4-5 มิลลิเมตร ไม่ลึกมาก และสามารถที่รักษาได้ง่ายกว่าหลุมสิว Ice pick และ Boxcar ค่ะ
หลุมสิว Boxcar: หรือที่บางคนเรียกว่าหลุมสิวแบบกล่อง มีลักษณะเป็นบ่อกว้างที่มีขอบชัดเจนค่ะ โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 1.5 - 4 มิลลิเมตร ไม่ลึกและสามารถมองเห็นฐานของหลุมสิวได้ค่ะ
หลุมสิว Ice pick รักษาอย่างไร

อย่างที่ได้กล่าวไปค่ะว่า หลุมสิว Ice pick เป็นหลุมสิวประเภทที่พบบ่อยที่สุด แต่รักษาได้ยากที่สุดในบรรดาหลุมสิวทั้ง 3 ชนิด โดยการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับหลุมสิว Ice pick ที่สุด คือ การแต้มกรด TCA หลุมสิว ซึ่งนิยมทำคู่กับการรักษาวิธีอื่น ๆ เช่นการทำเลเซอร์หลุมสิว (Fractional RF หรือ Microneedle RF) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรักษาและให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ
การแต้มกรด TCA

กรด TCA (Trichloroacetic acid) หรือที่บางคนเรียกว่า กรดผลไม้ มีสรรพคุณในผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสมานแผลค่ะ โดยแพทย์จะใช้เข็มปลายทู่ (หรือไม้จิ้มฟัน ขึ้นอยู่กับเทคนิคของคุณหมอแต่ละคน) ในการแต้มกรด TCA เข้าไปที่บริเวณฐานของหลุมสิว ซึ่งตัวกรด TCA จะทำปฏิกิริยากับเคราตินบนชั้นผิว แล้วกระตุ้นให้ร่างกายเข้าสู่กระบวนการสมานแผล (Wound-healing) ค่ะ
ในกระบวนการสมานแผลนี้ ผิวของเราจะผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ออกมามากขึ้น รวมถึงมีการจัดเรียงตัว (Dermal remodelling) เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่เข้าแทนที่เนื้อเยื่อส่วนที่เป็นแผลเป็นค่ะ
โดยการรักษาหลุมสิวด้วยกรด TCA ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์เป็นอย่างสูง เพื่อให้ได้การรักษาที่แม่นยำและลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงค่ะ ซึ่งวิธีนี้จะต่างกับการลอกผิว หรือ TCA Peel ค่ะ ซึ่งการทากรด TCA ทั่วใบหน้าเพื่อให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวทั่วบริเวณ ให้ผลลัพธ์เป็น ผิวหน้าที่ดูกระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น และจุดด่างดำดูจางลงค่ะ
สำหรับการรักษาหลุมสิว เราจะเลือกใช้กรด TCA ที่มีความเข้มข้น 70% เพื่อให้มีประสิทธิภาพต่อการรักษาโดยที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวของคนไข้
นอกจากใบหน้าแล้ว เรายังสามารถเลือกทำ TCA Peel บริเวณลำตัว เพื่อลดขนคุด และเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิวกายได้ด้วยค่ะ
ผลลัพธ์: หลุมสิว Ice pick ดูจางลง โดยสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ในช่วง 3-4 สัปดาห์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ผลลัพธ์ของการรักษาจะชัดเจนที่สุดในช่วง 3-4 เดือนหลังทำ และเป็นผลลัพธ์ที่ถาวรค่ะ
ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย: ในช่วง1-2 สัปดาห์หลังทำ TCA แล้ว บริเวณที่ทำอาจรู้สึกระคายเคือง และมีสะเก็ดเล็กน้อย
การดูแลตัวเองหลังทำ: หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด ใช้ครีมกันแดด และบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ค่ะ
ความอันตรายของการแต้มกรด TCA แบบไม่ถูกวิธี
จริงอยู่ที่ TCA เป็นการรักษาหลุมสิว Ice pick ที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่หากทำอย่างไม่ถูกวิธี เช่น ซื้อกรดมาแต้มเองที่บ้าน ก็สามารถทำให้ผิวหน้าของเราพังไปได้เลยค่ะ เนื่องจากกรด TCA เป็นกรดที่มีความรุนแรง และควรใช้ในระดับความเข้มข้นที่เหมาะสมกับสภาพผิวเพื่อป้องกันอาการผิวคล้ำ (Hyperpigmentation) เพราะถูกกรดทำร้าย อีกทั้งเทคนิคการทำที่ไม่เหมาะสม หรือเครื่องมือที่ไม่สะอาด ก็สามารถนำไปสู่การติดเชื้อได้ค่ะ
สำหรับคนที่อยากรักษาหลุมสิว หมอแนะนำว่า ให้เข้ารับการรักษากับคลินิกที่ได้มาตรฐานซึ่งมีแพทย์เป็นคนดำเนินการรักษา จะปลอดภัยกว่าค่ะ
โปรแกรม TCA เพื่อรักษาหลุมสิว Ice pick ที่ EY Clinic
- TCA acne scar หลุมสิว 1 ครั้ง 1,999.-
- TCA acne scar หลุมสิว 6 ครั้ง 9,995.- (คิดเป็นครั้งละ 1,666.-)
การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว

การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว เป็นวิธีการรักษาที่ให้ผลได้อย่างรวดเร็วค่ะ โดยวิธีนี้เป็นการเติม สารเติมเต็ม (Filler) เข้าไปแทนเนื้อเยื่อส่วนที่เป็นหลุมสิว ทำให้รอยหลุมสิวดูตื้นขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีดค่ะ ซึ่งตัวฟิลเลอร์ที่ใช้จะเป็นสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) ที่มีสรรพคุณในการเติมปริมาตรผิว และอุ้มน้ำให้ผิว โดยวิธีนี้สามารถทำคู่กับ TCA ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาหลุมสิว Ice pick ค่ะ
อย่างไรก็ดี ถึงการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวจะเป็นการรักษาที่ให้ผลเร็ว แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่คงอยู่ถาวร เนื่องจากสารไฮยาลูรอนิก แอซิดจะสลายตัวไปตามกลไกธรรมชาติของร่างกายค่ะ
ผลลัพธ์: หลุมสิวดูจางลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ตามอายุของฟิลเลอร์ค่ะ
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย: หลังฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว ผิวหน้าอาจมีอาการบวมช้ำจากเข็ม และระคายเคืองเล็กน้อยค่ะ
การดูแลตัวเองหลังทำ: งดกดนวดใบหน้า รักษาความสะอาด และงดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากในช่วง 3-4 วันหลังทำ
เลเซอร์รักษาหลุมสิว

เลเซอร์ เป็นอีกหนึ่งหัตถการรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมสูงค่ะ โดยในปัจจุบัน เราก็มีเลเซอร์อยู่หลากหลายประเภทให้เลือก เช่น Fractional CO2, Fractional RF หรือ Venus Viva MD ค่ะ
การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ส่วนใหญ่จะมีหลักการทำงานที่คล้าย ๆ กันค่ะ กล่าวคือ เลเซอร์เป็นการใช้พลังงานที่มีความเข้มข้นสูงในการกระตุ้นร่างกายให้เข้าสู่กระบวนการสมานแผล และผลิตเนื้อเยื่อเพื่อมาเติมเต็มส่วนที่เป็นแผลเป็นหลุมสิวค่ะ แต่ก็แน่นอนว่า เลเซอร์แต่ละตัวย่อมมีคุณสมบัติที่ต่างกันออกไป โดยหมอจะขอสรุปความโดดเด่นของแต่ละตัว คร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ
- เลเซอร์หลุมสิว Fractional CO2: เป็นตัวที่มีความยืดหยุ่น สามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวอื่น ๆ ได้ เช่น กระ สิวข้าวสาร สิวอุดตันหัวปิด และช่วยลบเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ
- เลเซอร์หลุมสิว Fractional RF: เพิ่มประสิทธิภาพการรักษาด้วยเทคนิค Microneedling ที่ทำให้คลื่น RF เข้าสู่ผิวชั้นลึกได้
- เลเซอร์หลุมสิว Venus Viva MD: โอกาสการเกิดผิวไหม้หลังทำต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับเลเซอร์ตัวอื่น ๆ และมีเทคโนโลยีโดดเด่นอย่าง NanoFractional™ Radiofrequency และ SmartScan™ ที่เพิ่มความแม่นยำในการรักษาและลดความเจ็บระหว่างทำ
ผลลัพธ์: หลุมสิวดูจางลง กระชับรูขุมขน และช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ และเป็นผลลัพธ์ที่ถาวรค่ะ
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย: ในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังทำ ผิวหน้ามีความเซ็นซิทีฟ และมีอาจมีสะเก็ดค่ะ
การดูแลตัวเองหลังทำ: หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด และงดใช้เครื่องสำอางในช่วงที่ผิวหน้ายังมีความบอบบางหรือระคายเคืองอยู่

วิธีดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดหลุมสิว Ice pick
ทั้งหลุมสิว Ice pick, rolling และ boxcar เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอักเสบทั้งนั้นค่ะ ซึ่งปัญหาหลุมสิวมักต้องใช้เวลารักษานานพอสมควร โดยเฉพาะหลุมสิว Ice pick ที่รักษาได้ยาก ฉะนั้นทางที่ดีที่สุด คือ เราควรรักษาสิวให้ถูกวิธี เพื่อไม่ให้เกิดหลุมสิวตั้งแต่แรกค่ะ
- ไม่แกะ บีบ หรือกดสิว เนื่องจากจะทำให้การอักเสบมีความรุนแรงมากขึ้น และยังเป็นการทำร้ายผิวอีกด้วยค่ะ
- เลือกใช้ยาแต้มสิว แผ่นแปะสิว หรือการฉีดสิว และไม่ปล่อยให้สิวหายเอง เนื่องจากยิ่งเราปล่อยสิวอักเสบไว้นาน ๆ การอักเสบและติดเชื้อก็อาจมีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้โอกาสการเกิดหลุมสิวมากขึ้นไปด้วยค่ะ
- บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้ผิว เพราะอย่าลืมว่า ความชุ่มชื้นเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี และสามารถสมานแผลได้อย่างเต็มที่ค่ะ
รักษาหลุมสิว Ice Pick ที่ EY Clinic

หลุมสิวทั้งแบบ Ice pick, rolling, และ boxcar เรียกได้ว่าเป็นปัญหาผิวอันดับต้น ๆ ที่ทำให้หลายคนปวดหัว และสูญเสียความมั่นใจค่ะ สำหรับคนที่กำลังประสบปัญหาใบหน้าไม่เรียบเนียน เติมเครื่องสำอางเท่าไรก็ไม่มั่นใจสักที หรือไม่แน่ใจว่าโปรแกรมรักษาหลุมสิวแบบไหนจะเหมาะกับเรา สามารถเข้ามาปรึกษาเราที่ EY Clinic ได้ค่ะ โดยเรามีการประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษาก่อนเริ่มโปรแกรมหัตถการทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าการรักษาจะเหมาะสมกับตัวคุณ และจะสามารถมอบผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจได้ค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง



PRP หลุมสิว ถือเป็นอีกหนึ่งหัตถการรักษาหลุมสิวที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงค่ะ ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินมาว่า PRP คือ การใช้เลือดเพื่อรักษาผิวหน้า และอาจจะทำให้เกิดความกลัวหรือความกังวลกันไปบ้าง ฉะนั้น ในบทความนี้ เราจะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับ PRP หลุมสิวกันว่า ความจริงแล้ว หัตถการตัวนี้คืออะไร ใช้เลือดจริงในการรักษาจริงหรือไม่ และสามารถฟื้นฟูผิวหน้าของเราได้อย่างไรค่ะ
สรุปใจความสำคัญ
- PRP หลุมสิว หรือ Platelet-rich Plasma Injection คือการใช้ “พลาสมา” ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเลือดในการรักษาหลุมสิว
- พลาสมา อุดมไปด้วยเกล็ดเลือดและ Growth factors ที่มีประโยชน์ในการฟื้นฟูผิว และช่วยให้หลุมสิวดูจางลง
- PRP หลุมสิว สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาได้
- PRP ยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งช่วยให้ผิวกระชับ และช่วยลดเลือนริ้วรอย และจุดด่างดำได้อีกด้วย
- ก่อนรับรักษา ควรมีการเตรียมตัวอย่างถูกต้องเพื่อให้ได้เกล็ดเลือดที่มีคุณภาพสมบูรณ์ที่สุด
PRP หลุมสิว คืออะไร

PRP หลุมสิว (Platelet-rich plasma injection) คือ การใช้สารสกัดจากเลือดของตัวเรามาฉีดเข้าสู่ชั้นผิวเพื่อกระตุ้นให้เกิดการฟื้นฟูค่ะ สารสกัดจากเลือดตัวนี้ เรียกว่า พลาสมา (Plasma) ซึ่งอุดมไปด้วยเกล็ดเลือด (Platelet) และสารประกอบที่มีประโยชน์อย่าง Growth factors ที่ช่วยในการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และซ่อมแซมเซลล์ที่เสริมสภาพค่ะ
PRP หลุมสิวจัดเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากเป็นการใช้เลือดของผู้รับการรักษาเอง ทำให้โอกาสการของการแพ้หรืออาการแทรกซ้อนมีต่ำมาก ๆ ค่ะ
ขั้นตอนการทำ PRP หลุมสิว

วิธีการของ PRP หลุมสิว จะเริ่มต้นที่การเจาะเลือด เพื่อนำไปปั่นที่ความเร็วสูงค่ะ (Centrifugation) โดยการปั่นเลือดจะแยกโปรตีนขนาดใหญ่ที่ไม่จำเป็นต่อการรักษา เช่น เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวออกจากชั้นพลาสมาค่ะ หลังจบขั้นตอนนี้แล้ว เราก็จะได้สารสกัด PRP หรือ พลาสมาบริสุทธิ์ที่อัดแน่นไปด้วยเกล็ดเลือดและสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวออกมาค่ะ
จากนั้น แพทย์จะทำการฉีดตัวพลาสมาเข้าบริเวณหลุมสิว โดยเกล็ดเลือด Growth factors และสารประกอบต่าง ๆ จะช่วยฟื้นฟูหลุมสิวและผิวหน้าโดยรวม ผ่านกระบวนการต่อไปนี้ค่ะ
- กระตุ้นให้เกิดการผลิตเซลล์ผิวใหม่ (Cell proliferation) เพื่อเติมเต็มบริเวณหลุมสิว
- กระตุ้นการผลิตเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้น ซึ่งจะช่วยความยืดหยุ่นและความกระชับให้กับผิว
- กระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นเลือดฝอย (Angiogenesis) ทำให้มีเลือดไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งช่วยในเรื่องของกระบวนการฟื้นฟูและสมานแผล
- ลดการอักเสบและซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำร้ายด้วยแสงแดด หรือมลภาวะ ซึ่งจะช่วยเผยผิวที่กระจ่างใส และแข็งแรงมากขึ้น
ผลลัพธ์ของ PRP หลุมสิว

นอกจากหลุมสิวดูจางลง แล้ว PRP ยังสามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ช่วยให้รูขุมขนกระชับ ปรับสีผิวให้เสมอกัน และยังช่วยลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำได้อีกด้วยค่ะ โดยผลลัพธ์ของ PRP หลุมสิวจะสามารถเห็นได้ตั้งแต่ช่วง 2-3 สัปดาห์ หลังจากที่ทำครั้งแรก ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หมอจะแนะนำให้ทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4-6 สัปดาห์ค่ะ
ทำไมควรทำ PRP หลุมสิวควบคู่กับ Subcision

การรักษาหลุมสิว เป็นอะไรที่ใช้เวลานาน และบางทีการรักษาด้วยหัตถการหนึ่งเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจค่ะ ซึ่งในกรณีของ PRP หลุมสิว จะนิยมทำร่วมกับการตัดพังผืด (Subcision) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาค่ะ
Subcision หรือ การตัดพังผืดหลุมสิว คือ การใช้เข็มขนาดเล็กเลาะเอาพังผืด (fibrous tissue) ที่อยู่บริเวณใต้หลุมสิวออก เนื่องจากพังผืดตรงนี้เป็นส่วนที่ดึงรั้งฐานของหลุมสิวเอาไว้ค่ะ เมื่อตัดออกแล้ว ก็จะช่วยให้ผิวบริเวณนั้นเกิดการซ่อมแซมและฟื้นตัว เมื่อทำร่วมกันกับการฉีด PRP ก็จะช่วยทำให้หลุมสิวดูจางลง และเผยผิวที่หน้าที่เรียบเนียนได้เร็วขึ้นค่ะ
3 ข้อควรรู้ก่อนทำ PRP หลุมสิว

อย่างที่ได้กล่าวกันไปค่ะ ว่า การทำ PRP หลุมสิว คือการใช้พลาสมาที่อุดมไปด้วยเกล็ดเลือดและ Growth factor ต่าง ๆ ในการกระตุ้นการสมานแผลและผลิตคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูหลุมสิวและสภาพผิวโดยรวม ซึ่งถึงแม้จะเป็นการรักษาที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ก็ยังต้องมีข้อควรระวังที่เราควรรู้ไว้ก่อนตัดสินใจรับการรักษาค่ะ
การเตรียมตัวก่อนเข้ารักษา
เนื่องจากการทำ PRP หลุมสิวจำเป็นต้องมีการเจาะเลือด ผู้เข้ารับการรักษาจึงควรมีการเตรียมตัวเพื่อรักษาคุณภาพของเลือด ดังนี้ค่ะ
- งดการใช้ยา เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID หรือ อาหารเสริม อย่าง น้ำมันตับปลา ซึ่งมีผลต่อการแข็งตัวของเลือดในช่วงเวลา 1-2 วันก่อนรับการรักษา
- งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในช่วง 1-2 วันก่อนรับการรักษา เพื่อรักษาระดับและคุณภาพของเกล็ดเลือด
- พักผ่อนให้เพียง และจิบน้ำบ่อย ๆ เพื่อป้องกันอาการหน้ามืดระหว่างเจาะเลือด
ยาหรือโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการคุณภาพของเกล็ดเลือด
คุณภาพของเลือดเป็นปัจจัยสำคัญของการทำ PRP หลุมสิวค่ะ การรักษาวิธีนี้จึงถือเป็นข้อจำกัดในกลุ่มคนที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบเลือด เช่น ภาวะโลหิตจาง หรือภาวะเกล็ดเลือดต่ำรุนแรง และไม่เหมาะกับผู้ที่จำเป็นต้องใช้ยาสลายเกล็ดเลือด เช่น ผู้มีประวัติโรคหัวใจค่ะ
อย่างไรก็ดี หากเราสงสัยว่า ตัวเราเหมาะกับกับการทำ PRP หลุมสิว หรือไม่ หมอขอแนะนำให้ เข้าปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้แพทย์เป็นผู้ประเมินความเหมาะสมจะดีที่สุดค่ะ
และอย่าลืมว่า PRP หลุมสิวเป็นเพียงหนึ่งในหัตถการฟื้นฟูผิว หากวิธีนี้ไม่เหมาะกับเรา ก็ยังมีการรักษาแบบอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาผิวของเราได้ค่ะ
ความเจ็บระหว่างทำ PRP หลุมสิว และผลข้างเคียง
ระหว่างการฉีดเอา PRP เข้าสู่ชั้นผิว ผู้รับการรักษาอาจจะรู้สึกเจ็บได้ค่ะ แต่โดยทั่วไปแล้ว หมอจะมีการใช้ยาชาก่อนที่จะลงมือฉีด ซึ่งอาจทำให้รู้สึกระคายเคืองอยู่เล็กน้อยค่ะ
หลังจากฉีด PRP หลุมสิวแล้ว ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยก็คือ อาการบวมช้ำจากเข็ม ซึ่งจะบรรเทาลงไปเองภายใน 3-4 วันค่ะ
ทำ PRP หลุมสิวที่ EY Clinic

สำหรับคนที่ยังไม่แน่ใจว่า PRP หลุมสิวจะเป็นวิธีที่เหมาะกับผิวหน้าของเราหรือไม่ สามารถเข้ามาปรึกษาที่ EY Clinic ได้ค่ะ โดยเราจะมีการประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษาก่อนเริ่มเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่า คุณจะได้รับการรักษาที่เหมาะสมและได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจค่ะ
โดยที่ EY Clinic จะใช้เครื่องของ Regen Lab ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำหรับ PRP ตัวแรกที่ผ่านมาตรฐาน อย.ไทย สามารถแยกเกล็ดเลือดได้เข้มข้นถึง 1.6 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นพลาสมาที่มีคุณภาพในการรักษามากค่ะ
- Prp regen lab 1 ครั้ง ราคา 7,999 .-
- Prp regen lab 2 ครั้ง ราคา 14,399,- (คิดเป็นครั้งละ 7,200.-)
- Prp regen lab 3 ครั้ง ราคา 20,399.- (คิดเป็นครั้งละ 6,800.-)
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย
เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะมาพูดคุย ปรึกษาปัญหาผิวกับหมอผึ้งได้ที่ EY Clinic ค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
.png)


การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว เป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยมสูงค่ะ ด้วยผลลัพธ์ที่เห็นได้รวดเร็ว ผลข้างเคียงที่ต่ำ และความง่ายในการรักษา ในบทความนี้ หมอผึ้งเลยอยากพาไปทำความรู้จักกับการเติมหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ และข้อควรรู้ก่อน-หลังทำหัตถการค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- ฟิลเลอร์หลุมสิว คือ การใช้สารไฮยาลูรอนิก แอซิด หรือ ฟิลเลอร์มาเติมเต็มปริมาณให้ผิวบริเวณหลุมสิว
- การฉีดฟิลเลอร์เติมหลุมสิว นิยมทำควบคู่กับ Subcision และเลเซอร์หลุมสิว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
- ฟิลเลอร์หลุมสิว เหมาะกับหลุมสิวประเภท Boxcar และ Rolling
- การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว ถือเป็นหัตถการที่ต้องใช้ความชำนาญของแพทย์สูง
ฟิลเลอร์หลุมสิว คืออะไร

การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว คือ การเติมเต็มหลุมสิวด้วยสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid, HA) หรือ ฟิลเลอร์ (filler) ที่เรารู้จักกันนั่นเองค่ะ โดยตัวฟิลเลอร์จะเข้าไปทดแทนเนื้อเยื่อในส่วนของหลุมสิวที่ยุบลงและไม่เสมอกับระนาบผิว ทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นและให้ผิวหน้าที่ดูเรียบเนียนขึ้นค่ะ ซึ่งตัวฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดเติมหลุมสิว ก็คือ ฟิลเลอร์ตัวเดียวกับที่ใช้เติมเต็มร่องลึก และเติมวอลลุ่มให้ใบหน้าค่ะ
ทบทวนกันหน่อยว่า “หลุมสิว” คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอักเสบ โดยในระหว่างกระบวนการอักเสบของผิว โปรตีนโครงสร้างอย่างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อบางส่วนจะถูถย่อยสลายไป เมื่อกระบวนสมานแผลไม่สามารถเติมเต็มหรือทดแทนเนื้อเยื่อในบริเวณนี้ได้ ก็จะเกิดเป็นหลุมสิวในที่สุดค่ะ
ฟิลเลอร์ ช่วยให้หลุมสิวดูจางลงได้อย่างไร

การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวเป็นวิธีที่จะช่วยแก้ปัญหาได้รวดเร็ว เนื่องจากมวลของสารไฮยาลูรอนิก สามารถจะช่วยให้ผิวบริเวณที่ฉีดดูอิ่มฟูมากขึ้น ซึ่งเราจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีดค่ะ
โดยสารไฮยาลูรอนิก แอซิด เป็นสารประกอบที่ทำหน้าที่ในการอุ้มน้ำและเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว อีกทั้งยังมีส่วนในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ซึ่งจะทำให้ผิวดูเรียบเนียน กระชับ และรูขุมขนดูเล็กลงด้วยค่ะ
ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวนั้น นิยมทำคู่กับการตัดพังผืดหลุมสิว (Subcision) ค่ะ โดยวิธีนี้จะเป็นการใช้เข็มขนาดเล็ก ๆ สอดเข้าไปใต้ฐานของหลุมสิวเพื่อเลาะเอาเนื้อเยื่อพังผืด (Fibrous Tissue) ออก เนื่องจากพังผืดตรงนี้อาจจะดึงรั้งผิวและทำให้การรักษาหลุมสิวเป็นไปได้ยากขึ้นค่ะ ซึ่งการทำฟิลเลอร์หลุมสิวและ Subsicion ร่วมกันก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาเพิ่มขึ้น และหัตถการทั้งสองตัวนี้ยังสามารถทำคู่กับเลเซอร์หลุมสิวได้อีกด้วยค่ะ
ใครเหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
- คนที่มีต้องการการรักษาที่ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
- คนที่มีหลุมสิวจำนวนน้อย
- คนที่มีหลุมสิวแบบ Boxcar หรือ หลุมสิวแบบ Rolling ที่มีระดับความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง
- คนที่ต้องการการรักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว และไม่ยุ่งยาก
- คนที่มีรอยแผลเป็นจากโรคอีสุกอีใส
ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์หลุมสิว และจำนวนครั้ง
ผลลัพธ์ของการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์จะอยู่ได้ตั้งแต่ 6-12 เดือน (หรือนานกว่านั้น) ตามอายุของฟิลเลอร์ที่ใช้ค่ะ โดยฟิลเลอร์จะสลายตัวไปตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย และไม่ทิ้งสารตกค้างใด ๆ ในร่างกาย
การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวเป็นหัตถการที่เห็นผลได้รวดเร็วค่ะ โดยเราสามารถรู้สึกถึงหลุมสิวที่ตื้นขึ้น และผิวหน้าที่กระชับขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด อย่างไรก็ดี เพื่อผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจที่สุด หมอแนะนำให้ทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-5 ครั้งค่ะ (จำนวนครั้งขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วยนะคะ)
ผลข้างเคียงของการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว

ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุดของการฉีดเติมหลุมสิว คือ อาการบวมแดง หรือ ช้ำ ที่เกิดจากเข็มค่ะ ซึ่งอาหารเหล่านี้จะบรรเทาลงไปเอง 1-2 วัน ซึ่งถือเป็นเวลาพักฟื้นที่สั้นมาก ๆ ค่ะ
แต่ถึงจะเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงต่ำ เราก็ไม่ควรละเลยเรื่องความปลอดภัยค่ะ โดยแนะนำให้เลือกใช้บริการกับคลินิกที่เชื่อถือได้ มีใบจดทะเบียนชัดเจน และมีแพทย์เฉพาะทางเป็นผู้ดำเนินการรักษาค่ะ
อีกทั้ง การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว ยังเป็นวิธีการรักษาต้องที่อาศัยเทคนิคและความชำนาญของแพทย์สูงค่ะ โดยต้องมีการประเมินตำแน่งที่ฉีด ความลึกของการฉีด และปริมาณในการฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกมาน่าพึงพอใจค่ะ
ข้อดี-ข้อเสียของฟิลเลอร์หลุมสิว

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์เติมหลุมสิว
- ทำได้ง่าย และเห็นผลรวดเร็ว
- มีผลข้างเคียงที่น้อย ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน
- สามารถทำคู่กับหัตถการอื่น ๆ เช่น เลเซอร์หลุมสิว หรือ Subsicion ได้
ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
- ไม่เหมาะกับผู้ที่มีหลุมสิวลึกและรุนแรง
- ไม่เหมาะกับผู้มีต้องรักษาหลุมสิวประเภท Ice pick
- ผลลัพธ์ไม่ถาวร ตามอายุของฟิลเลอร์
วิธีเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว

ในช่วงวันก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว เราสามารถเตรียมตัวไปได้ดังนี้ค่ะ
- หยุดใช้ยาที่มีผลทำให้เลือดแข็งตัวช้า เช่น ยากลุ่ม NSAIDS, กลุ่มยาแก้ปวด คลายกล้ามเนื้อ หรืออาหารเสริมต่าง ๆ ในช่วง 3-4 วันก่อนฉีดหลุมสิว เพื่อลดโอกาสการเกิดอาการบวมช้ำจากเข็มหลังการรักษาค่ะ
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงก่อนฉีดหลุมสิว เนื่องจากแอลกอฮอล์อาจทำให้มีอาการบวมช้ำเข็มรุนแรงขึ้นค่ะ
- งดการทำหัตถการอื่น ๆ เช่น การสครับใบหน้า เลเซอร์ หรือการรักษาอื่น ๆ อย่างน้อย 3 วันก่อนฉีดหลุมสิว
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว

ที่ EY Clinic จะมีการประเมินสภาพผิวหน้าก่อนหัตถการทุกครั้งค่ะ โดยขั้นตอนของการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวมีอยู่คร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ
- เริ่มจากการทำความสะอาดใบหน้า
- แปะยาชาหรือประคบเย็นเพื่อลดความเจ็บปวดระหว่างการรักษา
- ก่อนฉีด แพทย์ควรจะนำกล่องฟิลเลอร์มาแสดงให้ผู้รับบริการดูก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่กำลังจะใช้เป็นผลิตภัณฑ์ของแท้
- เริ่มฉีดฟิลเลอร์เพิ่มเติมเต็มหลุมสิว
วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว

หลังฉีดหลุมสิวแล้ว เราสามารถดูแลตัวเองได้อย่างง่าย ๆ ด้วยวิธีการต่อไปนี้ค่ะ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส และล้างหน้าหลังฉีด 4-6 ชั่วโมง
- เมื่อผ่าน 4-6 ชั่วโมงไปแล้ว สามารถทำความสะอาดใบหน้าได้ตามปกติ โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว
- บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ แต่ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว จนกว่าอาการบวมเข็มจะหายไป
- งดใช้เครื่องสำอางเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อปกป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เพื่อลดอาการบวมช้ำจากเข็ม
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย กิจกรรมออกแดด การอบซาวน่า หรือกิจกรรมใด ๆ ที่ทำให้เลือดสูบฉีดเป็นเวลา 48-72 ชั่วโมงหลังฉีด เพื่อลดการบวมแดงจากเข็ม

ดูแลหลุมสิวที่ EY Clinic
ในปัจจุบัน เรามีตัวเลือกในการรักษาหลุมสิวที่หลากหลายค่ะ นอกจากฟิลเลอร์หลุมสิว แล้วก็ยังมีการรักษาอย่าง SCULPTRA, TCA หรือ Rejuran S ให้ประสิทธิภาพในการรักษาที่สูงค่ะ ซึ่งใครที่กำลังมองหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับปัญหาผิวของตัวเอง ก็สามารถเข้ามาปรึกษาที่ EY Clinic ได้ค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย
เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาปรึกษาเรื่องปัญหาผิวกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
ถ้าถามว่า เลเซอร์หลุมสิวมีกี่แบบ หมอขอบอกเลยว่า ในปัจจุบัน เทคโนโลยีเลเซอร์รักษาหลุมสิวมีหลากหลายแบบทั้ง Fractional RF, Microneedle RF, CO2, Picosecond Laser และเลเซอร์อื่น ๆ ซึ่งแต่ละตัวก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไปค่ะ

สรุปใจความสำคัญ
- เลเซอร์ เป็นวิธีการรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพสูง ทำได้ง่าย และมีความเสี่ยงต่ำ
- เลเซอร์หลุมสิวมีอยู่มากมายในปัจจุบัน ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ เลเซอร์แบบ Ablative เลเซอร์แบบ Non-ablative และ Radiofrequency (RF)
- เลเซอร์รักษาหลุมสิวแต่ละแบบมีหลักการทำงานที่ต่างกัน โดยเลเซอร์แบบ Ablative ขึ้นจะชื่อเรื่องประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวที่ลึกและรุนแรง แต่ก็จะตามมาด้วยระยะพักฟื้นที่ยาวนานและโอกาสของผลข้างเคียงที่สูงกว่า
- การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ ยังสามารถช่วยฟื้นฟูผิวให้กระชับ เรียบเนียน และจัดการกับปัญหาผิวอื่น ๆ ได้เช่น ริ้วรอย สิว ฝ้า กระ และจุดจ่างดำ
ก่อนที่เราจะไปดูว่า เลเซอร์หลุมสิวมีกี่แบบ เรามาทำความเข้าใจหลักการทำงานของเลเซอร์ในการรักษาหลุมสิวกันก่อนค่ะ
เลเซอร์ รักษาหลุมสิวได้อย่างไร

เลเซอร์รักษาหลุมสิว คือ การใช้พลังงานเข้มข้นเพื่อสร้างแผลจุดเล็ก ๆ (Micro-injuries) บนชั้นเนื้อเยื่อผิวของเราค่ะ โดยร่างกายจะตอบสนองด้วยกระบวนการสมานแผล (Wound-healing) ซึ่งนำไปสู่การฟื้นฟูผิวจากภายใน โดยหลักการทำงานของเลเซอร์รักษาหลุมสิวมีคร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ
- เมื่อพลังงานจากเครื่องยิงเลเซอร์ถูกส่งผ่านเข้าไปในชั้นผิว พลังงานจะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อน ซึ่งกระตุ้นให้เซลล์ผลิตคอลลาเจนมากขึ้น (Collagen Stimulation) ซึ่งคอลลาเจนถือเป็นองค์ประกอบหลักที่จะทำให้ผิวกระชับ และยืดหยุ่นมากขึ้นค่ะ
- เกิดการสร้างเซลล์ใหม่ (Cell Proliferation) ซึ่งจะเข้ามาทดแทนในส่วนของเนื้อเยื่อบริเวณหลุมสิว
- เกิดการปรับโครงสร้างของเส้นใยคอลลาเจน โปรตีนต่าง ๆ และเซลล์ผิว (Skin Remodeling) ซึ่งจะค่อย ๆ แสดงผลลัพธ์เป็นผิวที่เรียบเนียนมากขึ้น และหลุมสิวที่จางลงค่ะ
เลเซอร์หลุมสิว มีกี่แบบ

ถ้าถามว่า เลเซอร์รักษาหลุมสิวมีกี่แบบ หมอต้องตอบเลยว่าเยอะมากค่ะ ด้วยเทคโนโลยีวงการการแพทย์ที่พัฒนาขึ้นไปทุกวัน แต่หมอขอแบ่งเลเซอร์รักษาหลุมสิวเป็น 3 แบบหลัก ๆ ได้แก่ เลเซอร์แบบ Ablative กับ เลเซอร์ Non-ablative และ Radiofrequency ค่ะ
เลเซอร์ Ablative

“Ablative” หมายถึง ความสามารถในการทำให้ผิวชั้นบน “ระเหย” (Tissue Vaporization) ออกไป เพื่อให้เกิดการผลัดชั้นผิวใหม่ (Resurfacing) ค่ะ ซึ่งเลเซอร์จะให้พลังงานความร้อนสูงเพื่อขจัดชั้นผิวด้านบนออก และกระตุ้นให้ผิวด้านล่างเกิดการผลิตคอลลาเจนค่ะ
ซึ่งเราสามารถแบ่งเลเซอร์ Ablative ได้ออกเป็น 2 แบบย่อย ๆ ดังนี้ค่ะ
Full-Field Ablative Laser Resurfacing
ประเภทนี้จะเป็นเลเซอร์ที่สามารถลอกชั้นผิวหนังพร้า (Epidermis) ได้ทั่วบริเวณรักษาค่ะ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการผลิตและจัดเรียงตัวของคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ (Dermis) จึงมีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวที่มีจำนวนมาก ลึก และรุนแรง รวมถึงปัญหาผิวอื่น ๆ อย่าง ฝ้า กระ และริ้วรอยร่องลึกค่ะ
แต่เพราะเป็นการลอกผิวแบบนี้ โอกาสของการเกิดรอยแดง รอยไหม้ หรือรอยแผลเป็นแบบนูน (Hypertrophic scars) ก็ย่อมมากขึ้นไปด้วย อีกทั้งยังใช้เวลาพักฟื้นนาน โดยอาจนานถึง 3-6 เดือนก่อนที่จะเผยผลลัพธ์ที่ชัดเจนค่ะ การทำเลเซอร์หลุมสิวแบบ Full-field ablative จึงไม่เป็นที่นิยม และไม่ใช่ตัวเลือกการรักษาหลุมสิวที่เป็นที่นิยมในคลินิกในไทย
Fractional Ablative Laser Resurfacing
“Fractional” หมายถึง ความสามารถในการรักษาเฉพาะจุดค่ะ โดยตัวเลเซอร์จะทำให้เนื้อเยื่อเกิดการระเหยแต่เพียงจุดเล็ก ๆ แต่มีความลึกถึงชั้นหนังแท้เหมือนกับเลเซอร์ Full-field แต่มีโอกาสการเกิดรอยแดง รอยไหม้ และรอยแผลเป็นที่น้อยกว่า และใช้เวลาพักฟื้นสั้นกว่าด้วยค่ะ
ผลข้างเคียงของเลเซอร์ Fractional Ablative ที่พบได้บ่อย ได้แก่ อาการบวมแดง ระคายเคือง และอาจเกิดการตกสะเก็ดบริเวณที่รักษา ซึ่งจะบรรเทาลงไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ค่ะ
โดยตัวอย่างของเลเซอร์ Fractional ablative ที่เป็นที่นิยมในไทย คือ Fractional CO2 ซึ่งเหมาะกับคนที่มีปัญหาหลุมสิวที่ลึกและรุนแรง โดยเฉพาะ Rolling และ Boxcar อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาผิวอย่าง ไฝ กระเนื้อ สิวข้าวสาร และ ลดริ้วรอยเล็ก ๆ ได้ด้วยค่ะ
เลเซอร์ Non-ablative

Non-ablative เป็นเลเซอร์ใช้ความร้อนเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและกระบวนการสมานแผลบริเวณหลุมสิว โดยไม่มีการลอกหรือกำจัดผิวชั้นนอกสุดค่ะ เลเซอร์แบบนี้จึงจะไม่ทำให้ “หน้าบาง” และมีความเสี่ยงในเรื่องของผิวไหม้คล้ำจากหัตถการ (Hyperpigmentation) ที่ต่ำค่ะ
ระยะเวลาในการพักฟื้นและเผยผลลัพธ์ของเลเซอร์หลุมสิวแบบ Non-ablative จึงจะสั้นกว่า และยังให้ความเสี่ยงของการเกิดผิวไหม้หลังทำที่น้อยกว่าด้วยค่ะ แต่ประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว ก็จะไม่เทียบเท่าเลเซอร์แบบ Ablative ค่ะ
เราจึงมักเห็นเลเซอร์ Non-ablative ถูกใช้เพื่อการกำจัดขนหรือปัญหาผิวที่เกิดจากเม็ดสีมากกว่าค่ะ เช่น Long-pulsed NdYAG ที่เป็นตัวเลือกของการกำจัดขนถาวร หรือ Picosecond Laser ที่เป็นตัวช่วยลบจุดด่างดำ ปรับสีผิว และลบรอยสักค่ะ
Radiofrequency

เทคโนโลยีประเภทนี้เป็นการใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency, RF) ในการรักษาหลุมสิว แทนที่จะเป็นพลังงานแสงค่ะ โดยคลื่นวิทยุที่ถูกส่งเข้าสู่ชั้นผิวจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน (55-65°C) ซึ่งกระตุ้นให้ผิวเข้าสู่กระบวนการสมานแผล และการผลิตคอลลาเจนค่ะ
โดยเราสามารถแบ่งการรักษาหลุมสิวแบบ Radiofrequency ได้เป็น 2 ประเภท ตามวิธีการส่งผ่านคลื่นเข้าสู่ผิวหนัง ดังนี้ค่ะ
No-needle Fractional RF
No-needle Fractional RF คือ การยิงคลื่น RF เข้าสู่ชั้นผิวแบบไม่ใช้เข็ม ซึ่งจะโฟกัสพลังงานไปที่ชั้นหนังแท้ โดยไม่ทำร้ายผิวชั้นบนค่ะ ซึ่งข้อดีของ Fractional RF แบบไม่ใช้เข็ม ก็คือ จะไม่ทำให้หน้าบาง และมีโอกาสที่จะเกิดรอยไหม้น้อยค่ะ
ตัวอย่างของเลเซอร์ลักษณะนี้ได้แก่ e-Matrix ที่เหมาะกับหลุมสิวระดับความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง และ ปัญหาผิวอย่าง จุดด่างดำ ริ้วรอย หรือ รอยดำจากแดดค่ะ
เลเซอร์ Fractional RF หลุมสิว อีกหนึ่งตัวที่ถือว่าขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัย ก็คือ เลเซอร์หลุมสิว Venus Viva ค่ะ ซึ่งมีเทคโนโลยี NanoFractional™ Radiofrequency ที่ส่งผ่านคลื่นเข้าสู่ชั้นผิวด้วยหัว pin ขนาดจิ๋ว (300 นาโนเมตร) ทำให้คลื่นวิทยุสามารถเข้าถึงเนื้อเยื่อชั้นลึกและกระจายตัวได้อย่างสม่ำเสมอค่ะ
Microneedle Fractional RF

Microneedle เป็นอีกเทคนิคการใช้เข็มเล็ก ๆ (ขนาด 0.5-3 มิลลิเมตร) จิ้มลงที่ชั้นผิวเพื่อส่งผ่านคลื่นวิทยุ โดยจะทำให้คลื่น RF เข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกได้มากกว่าแบบ No-needle และทั่วถึงกว่า และยังเป็นการสร้างแผลขนาดเล็ก (Micro-injuries) ซึ่งเป็นวิธีกระตุ้นกระบวนการสมานแผลอีกทางด้วยค่ะ
ตารางเปรียบเทียบเลเซอร์แต่ละประเภท
รักษาหลุมสิวที่ EY Clinic

ได้เรียนรู้ไปแล้วว่า เลเซอร์รักษาหลุมสิวมีกี่แบบ และแต่ะละแบบแตกต่างกันอย่างไร หมอคิดว่า อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ สำหรับคนที่กำลังอยากจะดูแลผิวหน้าและรักษาหลุมสิวของตัวเอง ก็คือ การเลือกรับบริการจากคลินิกที่ได้มาตรฐานค่ะ เพราะถึงแม้ว่าการทำเลเซอร์หลุมสิวจะเป็นการรักษาที่มีความเสี่ยงต่ำและมีประสิทธิภาพสูงก็จริง แต่หากได้รับการดูแลหรือคำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง ก็อาจจะไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจได้ค่ะ
สำหรับคนที่ต้องการดูแลเรื่องหลุมสิว สามารถเข้ามาปรึกษาหมอได้ที่ EY Clinic ค่ะ โดยเรามีโปรแกรมหลุมสิวที่ครอบคลุม และมีการวางแผนรักษาเพื่อให้เหมาะสมกับตัวบุคคลในทุกเคสค่ะ ทีมผู้เชี่ยวชาญของ EY Clinic พร้อมให้บริการอย่างใส่ใจ และยินดีอยู่กับคุณในทุกขั้นตอนการรักษาค่ะ

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย
เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
หมอหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเลเซอร์รักษาหลุมสิวกับคนที่สนใจและต้องการดูแลผิวของตนเองได้ไม่มากก็น้อยค่ะ อย่างไรก็ดี หากมีข้อสงสัยสามารถแวะเข้ามาปรึกษาหมอผึ้งได้ที่ EY Clinic ค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
_240909_85.jpeg)
_240909_94.jpeg)
_240909_103.jpeg)
_240909_115.jpeg)
_240909_125.jpeg)
เลเซอร์ เป็นอีกหนึ่งหัตถการความงามที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในปัจจุบันค่ะ และก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาหลุมสิว แล้วเราจะมีวิธีดูแลหลังเลเซอร์หน้าหรือเลเซอร์หลุมสิวได้อย่างไร ในบทความนี้หมอผึ้งได้สรุปเอาไว้แล้วค่ะ
แต่ก่อนจะไปดูวิธีพักหน้า หรือวิธีดูแลผิวหลังเลเซอร์ที่เหมาะสม เรามาทำความรู้จักกับเลเซอร์หลุมสิวกันก่อนค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- ผลลัพธ์ที่พบได้บ่อยของการทำเลเซอร์หลุมสิว คือ อาการบวม แดง และระคายเคือง
- ระยะเวลาในการพักฟื้นหลังทำเลเซอร์หลุมสิวแต่ละตัวจะใช้เวลาไม่เท่ากัน เช่น เลเซอร์ Fractional CO2 จะใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าเลเซอร์ Fractional RF
- วิธีการดูแลหลังเลเซอร์หน้า ประกอบไปด้วย การหลีกเลี่ยงกิจกรรมออกแดด หลีกเลี่ยงทรีตเมนต์ผิวหน้าอื่น ๆ เป็นเวลาเหมาะสม และการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
- ก่อนตัดสินใจทำเลเซอร์ไม่ว่าจะเพื่อรักษาหลุมสิว หรือปัญหาผิวอื่น เราควรรู้จักกับวิธีดูแลผิวหลังเลเซอร์หน้าที่เหมาะสมก่อน
เลเซอร์หลุมสิว คืออะไร

เลเซอร์หลุมสิว คือ การใช้พลังงานเข้มข้นเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเข้าสู่กระบวนการสมานแผลค่ะ ซึ่งกระบวนการนี้จะประกอบไปด้วย การผลิตคอลลาเจนและเส้นใยโปรตีนต่างๆ การผลิตเซลล์ผิวใหม่ และการจัดเรียงโครงสร้างผิวใหม่ค่ะ
โดยพลังงานที่ถูกส่งผ่านหรือยิงผ่านเข้าไปยังชั้นผิวจะเป็นพลังงานในรูปแบบของแสง หรือพลังงานในรูปแบบของคลื่นวิทยุ เมื่อพลังงานเหล่านี้เข้าสู่ชั้นผิวแล้ว ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนที่กระตุ้นให้เกิดการผลิตคอลลาเจน เซลล์ผิวใหม่ และการจัดเรียงตัวใหม่ของผิวค่ะ ซึ่งแน่นอนว่า หลังทำหัตถการแล้ว ผิวจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูตัวเอง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผิวจะมีความบอบบางเป็นพิเศษ เราจึงควรจะรู้วิธีดูแลผิวหลังเลเซอร์หน้าเอาไว้ เพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีที่สุด และเพื่อลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์อย่าง ผิวไหม้เป็นวง ๆ หรือ การเกิดแผลเป็นค่ะ
ในปัจจุบัน เลเซอร์หลุมสิวที่ได้รับความนิยม ได้แก่
- เลเซอร์หลุมสิว Fractional CO2 ซึ่งใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในส่งผ่านแสงเข้าสู่ชั้นผิว
- เลเซอร์หลุมสิว Fractional RF ที่เข็มขนาดจิ๋ว (Microneedle) หรือ หัวจ่าย (หัว Pin ทรงมน) ในการส่งผ่านคลื่นวิทยุ (Radiofrequency, RF) เข้าสู่ชั้นผิว
ข้อดี-ข้อเสียของเลเซอร์หลุมสิว

ก่อนจะไปดูวิธีการดูแลหลังเลเซอร์หน้า เรามาดูข้อดี-ข้อเสียของการทำเลเซอร์หลุมสิวกันก่อนค่ะ
ข้อดีของเลเซอร์หลุมสิว
- เป็นการรักษาที่ทำได้ง่าย และมีประสิทธิภาพสูง
- เป็นการรักษาที่มีความเสี่ยงต่ำ
- เป็นการรักษาที่มีความยืดหยุ่นและมีความแม่นยำ สามารถกำหนดโหมดการรักษาเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพผิวได้
- มีตัวเลือกหลากหลาย และสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้
- ช่วยฟื้นฟูให้ผิวมีความกระชับ เรียบเนียนมากขึ้น
- แก้ไขปัญหาผิวอื่น ๆ ได้ เช่น ริ้วรอย จุดด่างดำ ฝ้า และ กระ
ข้อเสียของเลเซอร์หลุมสิว
- อาจมีราคาที่สูงกว่าการรักษาแบบอื่น
- ควรทำติดต่อกันตามจำนวนครั้งที่แพทย์กำหนด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ผิวหน้ามีความบอบบางหลังทำหัตถการ จึงต้องใช้เวลาพักฟื้นและต้องการวิธีดูแลผิวหลังทำเลเซอร์ที่เหมาะสม เพื่อลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
- เลเซอร์บางตัวอาจสร้างความเจ็บปวดระหว่างทำ ซึ่งจำเป็นต้องมีการใช้ยาชา
- มีโอกาสของการเกิดผิวไหม้หลังหัตถการ (Post-inflammatory Hyperpigmentation) หากผู้ดำเนินการไม่มีความเชี่ยวชาญ
วิธีดูแลผิวหลังเลเซอร์หน้า หรือ เลเซอร์หลุมสิว

หลังทำเลเซอร์หลุมสิวแล้ว ผลลัพธ์ที่พบได้บ่อย ก็คือ ผิวหน้ามีอาการบวม แดง และระคายเคืองค่ะ ในบางกรณีอาจจะมีการตกสะเก็ดในบริเวณที่รักษา ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปเองในช่วง 1-2 สัปดาห์ โดยวิธีการดูแลหรือวิธีพักหน้าด้านล่างนี้จะนอกจากจะช่วยให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจที่สุดแล้ว ยังช่วยลดความรุนแรงของผลข้างเคียงเหล่านี้ได้ด้วยค่ะ
- หลีกเลี่ยงการล้างหน้า หรือการสัมผัสกับน้ำในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังทำ Fractional CO2
- เมื่อผ่าน 24 ชั่วโมงไปแล้ว สามารถล้างหน้าได้ตามปกติ โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน ไม่มีสรรพคุณในการผลัดเซลล์ผิว และซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าสะอาดหลังล้างเสมอ
- งดการสครับผิวและการทำทรีตเมนต์หน้าอื่น ๆ อย่าง 1-2 สัปดาห์ หรือจนกว่าสะเก็ดและแผลของการทำเลเซอร์จะหายไป
- หลีกเลี่ยงการแกะหรือเกา หากใบหน้ามีแผลหรือสะเก็ดแผล เนื่องจากอาจนำไปสู่การติดเชื้อหรือการเกิดแผลเป็นได้
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาง จนกว่าผิวหน้าจะกลับมาเป็นปกติ
- หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรง อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์หลังทำเลเซอร์ และทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อป้องกันการผิวไหม้คล้ำ
- บำรุงผิวด้วยการทามอยเจอร์ไรเซอร์ทั้งกลางวันและกลางคืน
ทั้งนี้ ระยะเวลาในการพักฟื้นหลังทำเลเซอร์หลุมสิวแต่ละตัวจะใช้เวลาไม่เท่ากันค่ะ โดยเลเซอร์ที่เป็นประเภท Ablative หรือ เลเซอร์ที่ให้เกิดการผลัดผิวใหม่ (Skin Resurfacing) อย่าง Fractional CO2 จะใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า เลเซอร์แบบ Radiofrequency เช่น เลเซอร์หลุมสิว Venus Viva MD และอาจจะต้องการวิธีดูแลเป็นพิเศษ เช่น การเช็ดน้ำเกลือบริเวณแผลให้สะอาด และทายาหรือขี้ผึ้งเพื่อป้องกันไม่ให้แผลเกิดการติดเชื้อค่ะ
แก้ปัญหาหลุมสิวที่ EY Clinic

ได้เรียนรู้วิธีดูแลผิวหลังเลเซอร์หน้าคร่าว ๆ ไปแล้ว หมอขอย้ำว่า เลเซอร์แต่ละตัวย่อมมีความโดดเด่นและข้อจำกัดที่ต่างกันค่ะ โดยก่อนทำการรักษา ควรจะมีการประเมินสภาพผิวโดยแพทย์ก่อน เพื่อจะได้เลือกเลเซอร์หลุมสิวตัวที่เหมาะสมที่สุด และในบางกรณี อาจต้องมีใช้หัตถการอื่นร่วมด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาค่ะ
สำหรับคนที่มีความหนักใจเรื่องปัญหาหลุมสิว และสนใจอยากการรักษาด้วยเลเซอร์ ก็สามารถเข้ามาปรึกษากับหมอผึ้งที่ EY Clinic ได้ค่ะ โดยเลเซอร์หลุมสิวที่เรามีให้บริการมีดังนี้ค่ะ
Smooth X (Fractional CO2 Laser)
- รักษาหลุมสิวทั่วหน้า 1 ครั้ง 3,999.-
- รักษาหลุมสิวทั่วหน้า 6 ครั้ง 19,995.-
ความโดดเด่น: ได้ผลดีที่กับหลุมสิวที่รุนแรง โดยเฉพาะหลุมสิวประเภท rolling และ boxcar
Fractional RF
- size S: Fractional RF 1 ครั้ง 4,999.-
- size M: Fractional RF 2 ครั้ง 8,999.-
- size L: Fractional RF 3 ครั้ง 12,799.-
ความโดดเด่น: เทคนิค Microneedling และ เครื่อง MICROFRAX ของ EY Clinic ช่วยลดโอกาสการเกิดผิวไหม้จากเลเซอร์ และเพิ่มความแม่นยำในการรักษา
Venus Viva MD (Basic)
- Viva Scarfree 1 ครั้ง 6,999.-
- Viva Scarfree 2 ครั้ง 12,599.-
- Viva Scarfree 3 ครั้ง 17,799.-
ความโดดเด่น: มีเทคโนโลยี Nano Radiofrequency และ SmartScan ไม่เจ็บหน้า การันตีความสบายระหว่างทำ และใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่าเลเซอร์แบบอื่น ๆ
เราการันตีการดูแลเอาใจใส่อย่างเป็นมืออาชีพ มีการวางแผนการรักษาสำหรับตัวบุคคล ไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็น และยินดีจะอยู่กับคุณในทุกขั้นตอนการรักษาค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาปรึกษาเรื่องปัญหาผิวกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง





หมอคิดว่า ปัญหาที่น่าหนักใจพอ ๆ กับสิวก็คงไม่พ้น หลุมสิว ที่ทำให้หน้าของเราดูไม่เรียบเนียน ไม่สม่ำเสมอค่ะ ในบทความนี้ หมอเลยอยากจะพูดถึง 5 วิธีป้องกันหลุมสิวที่เราสามารถทำได้ และให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดหลุมสิวที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ค่ะ
สรุปใจความสำคัญ
- หลุมสิว คือ รอยแผลจากสิวอักเสบ เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเซลล์และคอลลาเจนมาทดแทน เนื้อเยื่อส่วนที่ถูกทำลายระหว่างการอักเสบได้
- การแกะหรือบีบสิว และการปล่อยให้สิวหายเอง จะเพิ่มโอกาสของการเกิดหลุมสิว
- หลักการของการป้องกันหลุมสิว คือ รักษาอาการอักเสบให้ได้มากที่สุดเมื่อเป็นสิว และบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการช่วยให้ผิวได้ฟื้นฟูและสมานแผลอย่างเต็มที่
หลุมสิว เกิดจากอะไร

หลุมสิว (Atrophic scars) คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอักเสบ (Inflammatory acnes) ซึ่งมีระนาบที่ยุบต่ำลงกว่าผิวส่วนอื่น รอยแผลเป็นประเภทหลุมสิวเกิดจากการที่เนื้อเยื่อและคอลลาเจนในส่วนที่เป็นสิวถูกทำลายระหว่างกระบวนการอักเสบค่ะ และเมื่อสิวหายแล้ว ร่างกายก็ดันผลิตเซลล์และคอลลาเจนชุดใหม่ออกมาไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มเนื้อส่วนที่หายไป ทำให้เกิดเป็นรอยแผลในลักษณะของหลุมหรือแอ่งค่ะ
และสาเหตุที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถสมานแผลได้อย่างเต็มที่ก็คือ การแกะหรือบีบสิว และการปล่อยให้สิวหายเองค่ะ เนื่องจากการแกะและบีบสิวเป็นการทำร้ายผิว ซึ่งจะยิ่งทำให้การอักเสบรุนแรงมากขึ้นได้อีก และการปล่อยให้สิวหายเองโดยไม่ใช้ยาแต้ม ก็เหมือนเป็นการปล่อยให้การอักเสบลุกลามไปเรื่อย ๆ ทำให้เนื้อเยื่อและคอลลาเจนถูกทำร้ายมากขึ้นค่ะ
ตัวอย่างของประเภทสิวอักเสบที่มักนำไปสู่หลุมสิว มีดังนี้ค่ะ
- สิวตุ่มแดง (Papule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง แข็ง สัมผัสแล้วรู้สึกเจ็บ
- สิวหัวหนอง (Pustule) ลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง มีหัวหนองสีขาว
- สิวหัวช้าง (Nodule) - ตุ่มแดงขนาดใหญ่ แข็งเป็นไต อาจมีหัวปิดหรือหัวเปิดเป็นหนอง (Cystic acne) ซึ่งมีรากการอักเสบที่ลึกและรุนแรง
หมอขอเสริมสักหน่อยว่า เราทุกคนจะมีโอกาสการเกิดหลุมสิวที่ไม่เท่ากันค่ะ โดยบางคนอาจมีรอยแผลจากสิวเป็นในลักษณะของรอยดำ-รอยแดง และบางคนอาจจะเป็นหลุมสิวได้ง่าย ตรงนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนค่ะ
หลุมสิว มีกี่ประเภท

เราสามารถแบ่งประเภทของหลุมสิวตามลักษณะทางกายภาพได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ หลุมจิก Ice pick, หลุมคลื่น Rolling, และหลุมกล่อง Boxcar ค่ะ
- Ice pick หรือ หลุมสิวแบบจิก เป็นหลุมสิวที่พบมากที่สุด (60-70% ของแผลเป็นจากสิว) มีลักษณะเป็นรูปตัว V หรือเป็นหลุมปากแคบที่ลึกค่ะ ซึ่งหลุมอาจมีความลึกได้ถึง 2 มิลลิเมตร ทำให้เป็นหลุมสิวประเภทที่รักษาได้ยาก และไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษาทั่วไปค่ะ
- Boxcar หรือ หลุมสิวแบบกล่อง มีลักษณะคล้ายบ่อกว้างที่มีขอบชัดเจน ความกว้างอยู่ที่ 1.5 - 4 มิลลิเมตร และมักจะไม่ลึกมาก ตอบสนองต่อการรักษาอย่าง เลเซอร์หลุมสิว ได้ดีค่ะ
- Rolling หรือ หลุมสิวแอ่งกระทะ มีลักษณะเป็นแอ่งตื้น ไม่มีขอบที่ชัดเจน และอาจกว้างถึง 5 มิลลิเมตรค่ะ หลุมสิวประเภท Rolling จะพบได้น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับอีกสองประเภท และเป็นประเภทที่รักษาได้ง่ายที่สุดค่ะ
เป็นสิวต้องดูแล้วอย่างไร: 5 วิธีป้องกันหลุมสิว เมื่อเป็นสิวอักเสบ

อย่างที่ได้อธิบายกันไปแล้วว่า หลุมสิว เกิดจากกระบวนการอักเสบของสิวและการสมานแผลที่ไม่เพียงพอ ฉะนั้น สิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อป้องกันหลุมสิว ก็คือ พยายามลดอาการอักเสบให้ได้มากที่สุด และหาวิธีบำรุงเพื่อให้ช่วยให้ผิวสามารถสมานแผลได้อย่างเต็มที่ค่ะ โดยวิธีป้องกันหลุมสิวที่เราสามารถทำได้ง่าย ๆ มีดังนี้ค่ะ
- ไม่แกะ หรือ บีบสิว
หมอเข้าใจว่า สิวอักเสบ เป็นสิวที่ทั้งเจ็บทั้งแดง จนเราอยากบีบมันให้จบ ๆ ไปค่ะ แต่การบีบหรือแกะสิวนั้นเป็นการทำร้ายผิวค่ะ ซึ่งนอกจากจะสร้างแผลมากขึ้นแล้ว ยังจะทำให้การอักเสบของสิวรุนแรงมากขึ้นอีกด้วย ฉะนั้น ไม่ว่าสิวจะเจ็บ คัน หรือเม็ดใหญ่แค่ไหน ให้เลือกรักษาด้วยการใช้ยาแต้มสิว หรือการฉีดสิว และไม่แกะหรือบีบเองจะดีกว่าค่ะ
- ไม่ปล่อยให้สิวหายเอง
ไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ การปล่อยให้สิวหายเองโดยไม่แกะและไม่บีบ ก็ใช่ว่าจะเป็นวิธีการป้องกันหลุมสิวที่ดีค่ะ เพราะ สิวอุดตันสามารถพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบได้ และสิวอักเสบตุ่มเล็กก็สามารถอักเสบมากขึ้นจนกลายเป็นสิวเม็ดใหญ่ที่รุนแรงมากกว่าเดิมได้ การปล่อยให้สิวหายเองจึงเป็นเหมือนกันปล่อยให้เซลล์เกิดการอักเสบไปเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้โอกาสการเกิดหลุมสิวมากขึ้นด้วยค่ะ
- เลือกใช้ยาแต้มสิว
เมื่อเป็นสิวขึ้นมาแล้ว วิธีป้องกันหลุมสิวที่ทำได้ง่ายที่สุด ก็คือ ใช้ยาแต้มสิว เช่น Benzyl peroxide, Salicylic acid, หรือยาปฏิชีวนะอย่าง Clindamycin เพื่อรักษาการอักเสบให้เร็วที่สุดค่ะ โดยยาเหล่านี้ เราสามารถซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แล้วขอคำแนะนำการใช้จาเภสัชกรประจำร้านได้ค่ะ ซึ่งการใช้ยาแต้มสิวจะได้ผลดีที่สุดกับสิวอักเสบแบบ Papule ที่เป็นตุ่มนูนแดงไม่ใหญ่มาก และสิวอักเสบหัวหนองแบบ Pustule ค่ะ
- เลือกรักษาสิวด้วยการฉีดสิว
การฉีดสิว ถือเป็นวิธีจัดการสิวไต สิวหัวช้าง และสิวซีสต์ที่มีประสิทธิภาพค่ะ เพราะสิวเหล่านี้มีรากของการอักเสบที่ลึก รุนแรง และไม่ค่อยตอบสนองต่อยาแต้มสิวค่ะ โดยการฉีดสิวจะเป็นการฉีดตัวยา Cortisone ซึ่งออกฤทธิ์ลดการอักเสบ ซึ่งจะทำให้สิวที่อักเสบรุนแรงมีอาการดีขึ้นภายใน 3-4 วัน ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดหลุมสิวได้ค่ะ
- บำรุงผิวอย่างต่อเนื่อง
การบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะตอนที่เรามีปัญหาสิว เป็นวิธีป้องกันหลุมสิวสำคัญมาก ๆ ค่ะ โดยการบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์จะเป็นการเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ซึ่งจะช่วยส่งเสริมกระบวนการสมานแผลได้ค่ะ
อย่างไรก็ดี สำหรับคนที่มีปัญหาสิว หรือเป็นสิวอักเสบบ่อย ๆ หมอแนะนำว่า ให้เข้าปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาวิธีรับมือและรักษาอย่างเหมาะสมค่ะ เนื่องจากสาเหตุของการเกิดสิวมีอยู่มากมาย หากเราแก้ไขอย่างไม่ถูกวิธี ก็อาจนำไปสู่การปัญหาสิวที่รุนแรงกว่าเดิมได้ค่ะ
รักษาหลุมสิว ที่ EY Clinic
ปัญหาหลุมสิว เป็นอะไรที่ทำให้หลาย ๆ คน หมดความมั่นใจไปได้ง่าย ๆ เพราะไม่ว่าจะแต่งหน้าเยอะแค่ไหน เราก็ยังรู้สึกว่าผิวหน้าไม่เรียบเนียน และขรุขระอยู่ดี แต่อย่างไรก็ดี เราก็มีหัตถการอยู่มากมายที่จะช่วยแก้ปัญหาและคืนความมั่นใจให้ตัวเองได้ค่ะ
โดยตัวเลือกการรักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่ เลเซอร์ Fractional CO2, เลเซอร์ RF, การตัดพังผืด และการแต้มกรด TCA ค่ะ ซึ่งหัตถการแต่ละตัวจะมีข้อดี-ข้อเสียที่ต่างกันออกไป สำหรับคนที่ยังไม่แน่ใจว่าวิธีการรักษาแบบไหนจะเหมาะกับตัวเองที่สุด สามารถเข้ามาปรึกษากับเราที่ EY Clinic ได้ค่ะ โดยเรามีโปรแกรมการรักษาหลุมสิวที่ทันสมัย และมีการวางแผนเพื่อให้คุณได้รับการรักษาที่เหมาะสมที่สุด และได้ผลลัพธ์น่าพึงพอใจที่สุดค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
_240909_98.jpeg)
_240909_106.jpeg)
_240909_115.jpeg)
_240909_122.jpeg)
_240909_125.jpeg)

การทำ TCA peeling หลุมสิว เป็นหัตถการในการฟื้นฟูผิวที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและอยู่กับวงการผิวมายาวนานค่ะ การทำ TCA หลุมสิว ถือเป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ TCA ยังสามารถช่วยเพิ่มกระจ่างใสให้ผิวได้อีกด้วยค่ะ
สรุปใจความสำคัญ
- การทำ TCA คือการใช้กรดผลไม้ในการแก้ปัญหาผิว เช่น ริ้วรอย ฝ้า หรือรอยหลุมสิว
- เราสามารถใช้กรด TCA ทั้งกับผิวหน้า และผิวกาย
- กรด TCA มีสรรพคุณในการผลัดเซลล์ผิว หรือลอกผิว เพื่อเผยผิวใหม่ที่กระจ่างใส และเรียบเนียนกว่าเดิม
- กรด TCA ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้น
- ผลข้างเคียงที่น่ากังวลที่สุดของการทำ TCA หลุมสิวและ TCA ลอกผิว คือ ผิวเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ และการใช้บริการกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน
การทำ TCA หลุมสิว คืออะไร

การทำ TCA หลุมสิว คือ การใช้กรดผลไม้ (Trichloroacetic acid หรือ TCA) ในรักษาหลุมสิวและฟื้นฟูสภาพผิวค่ะ โดยเราจะแบ่งการทำ TCA หลุมสิวได้ออกเป็น 2 วิธีหลัก ๆ ดังนี้ค่ะ
TCA Chemical Peeling

TCA Chemical Peeling หรือ TCA Peel คือ การลอกผิวด้วยกรด TCA ที่ความเข้มข้น 70% ค่ะ โดย TCA Peel จะทำให้ผลัดเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้า และกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมา การรักษานี้จะช่วยแก้ปัญหาผิวคล้ำเสียจากแสงแดด ฝ้า ริ้วรอย และช่วยควบคุมความมันได้ดี รวมถึงสามารถช่วยทำให้หลุมสิวที่ไม่รุนแรงมาก ดูตื้นขึ้นได้ด้วยค่ะ
นอกจากการลอกผิวหน้าแล้ว TCA Peel ก็สามารถทำกับผิวกายได้ด้วยค่ะ โดยจะเป็นตัวเลือกที่เพิ่มความกระจ่างใส ลดความหยาบกร้านของผิว และลดขนคุดได้ดีค่ะ
TCA CROSS

TCA CROSS หรือ TCA Chemical Reconstruction Of Skin Scar คือ การแต้มกรด TCA ลงไปด้านในของหลุมสิวหรือแผลเป็น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการผลิตคอลลาเจนและทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น ซึ่งแตกต่างกับ TCA Peel ที่เป็นการลอกผิวทั้งใบหน้าค่ะ
แพทย์แต่ละคนก็จะมีเทคนิคในการแต้มลงไปในหลุมสิว บางคนอาจจะใช้เป็น เข็มปลายทู่ หรือ บางคนอาจจะใช้เป็นไม้จิ้มฟันค่ะ
TCA CROSS จะใช้กรด TCA ที่ความเข้มข้นสูง 70%-100% ซึ่งมีประสิทธิภาพกับทั้งหลุมสิวประเภท Ice pick, rolling และ boxcar โดยเฉพาะกับหลุมสิวประเภท icepick ที่มีลักษณะเป็นหลุมสิวปากแคบแต่ลึก ซึ่งไม่ค่อยสนองต่อการรักษาวิธีอื่นค่ะ
เราสามารถสรุปอย่างสั้น ๆ ได้ว่า TCA Peel จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคนที่อยากปรับสีผิวและสภาพผิวโดยรวม (ทั้งผิวหน้าและผิวกาย) ในขณะที่ TCA Cross คือ การทำ TCA เพื่อรักษาหลุมสิวโดยเฉพาะค่ะ
TCA หลุมสิว ทำแล้วเจ็บไหม

ระหว่างทำ TCA หลุมสิว หรือ TCA Peel เราจะรู้สึกแสบหรือระคายเคืองเล็กน้อยค่ะ เมื่อทำเสร็จ ผิวบริเวณที่รักษาจะเกิดเป็นฝ้าขาว ๆ (Frosting) ซึ่งเกิดจากการที่กรด TCA ทำปฏิกิริยากับโปรตีนบนชั้นผิวค่ะ ฝ้าขาว ๆ ตรงนี้จะหายไปเองภายใน 3-4 ชั่วโมง หลังจากนั้นผิวจะเริ่มแดง อาจจะมีสะเก็ดเป็นสีเข้ม และลอกออกไปเองตามลำดับค่ะ
หลังทำ TCA หลุมสิว ควรดูแลตัวเองอย่างไร

ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังทำ TCA แล้ว ผิวของเราจะมีความแดง มีสะเก็ดเป็นจุด ๆ (โดยเฉพาะหลังทำ TCA Cross รักษาหลุมสิว) และมีความบอบบางเป็นพิเศษค่ะ เราสามารถดูแลผิวหลังทำ TCA ได้ดังนี้ค่ะ
- หลีกเลี่ยงการล้างหน้า หรือการอาบน้ำ (ในกรณีทำ TCA ลอกผิวกาย) 4-6 ชั่วโมงหลังทำ
- ไม่แกะหรือเกาสะเก็ดที่เกิดขึ้น และปล่อยให้สะเก็ดหลุดออกไปเอง
- บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่
- ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าและบำรุงผิวที่อ่อนโยน
- หลีกเลี่ยงการใช้สกินแคร์ที่มีสรรพคุณในการผลัดเซลล์ผิว เช่น Retinol หรือ BHA อย่างน้อย 7-10 วันหลังทำ
- หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์อื่น ๆ เช่น เลเซอร์ แว็กซ์ หรือสครับ อย่างน้อย 7-10 วันหลังทำ
- หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดโดยตรง และใช้ครีมกันแดดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการเกิดผิวคล้ำหลังทำหัตถการ (Post Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH)
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย และกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น การอบซาวน่า หรือการแช่ออนเซ็น อย่างน้อย 3-4 วันหลังทำ
ทำไมทำ TCA แล้วผิวกลายเป็นสีคล้ำ หรือเป็นรอยดำด่าง

อาการผิวคล้ำหลังทำหัตถการ (Post Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) เป็นผลข้างเคียงของ TCA หลุมสิว ที่หลาย ๆ คนกังวลค่ะ ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้เกิดผิวคล้ำหลังทำ TCA มีดังนี้ค่ะ
- ความเข้มของสีผิว คนที่มีโทนผิวสีเข้ม จะมีเสี่ยงต่อการเกิดผิวคล้ำมากกว่าคนที่มีผิวสีอ่อน
- ความเข้มข้นของกรด หากแพทย์เลือกใช้ TCA ที่เข้มข้นมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดผิวคล้ำได้ค่ะ
- การออกแดด ในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังทำ TCA ลอกผิว หรือ TCA หลุมสิว เป็นช่วงเวลาที่ผิวมีความไวต่อแสงแดดมาก ๆ ค่ะ การโดนแดด และไม่ใช้ครีมกันแดดในช่วงเวลานี้ จึงอาจทำให้เกิดผิวคล้ำได้ค่ะ
- กรดทำปฏิกิริยากับผิวรุนแรงเกินไป ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ขึ้นอยู่กับสุขภาพผิวของแต่ละบุคคลค่ะ แพทย์จึงต้องพิจารณาผิวของเราก่อนที่จะเริ่มทำ เพื่อดูว่า TCA เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับเราหรือไม่ค่ะ
TCA ลอกผิว หรือ TCA หลุมสิว ทำเองที่บ้านได้ไหม

สำหรับคนที่กำลังอยากลองซื้อกรด TCA มาแต้มหลุมสิวเอง หรือลอกผิวที่บ้าน หมอขอแนะนำว่า ไม่ควรทำค่ะ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ค่ะ เช่น ผิวไหม้เป็นด่าง ๆ สิวเห่อ หรือผิวอักเสบรุนแรงจนเกิดตุ่มพุพองและติดเชื้อค่ะ หากต้องการรักษาหลุมสิว หรือปัญหาผิวใด ๆ แนะนำให้เลือกใช้บริการกับคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยดีกว่าค่ะ
ฟื้นฟูผิว รักษาหลุมสิวด้วย TCA ที่ EY Clinic

หมอหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ความรู้ในเรื่องของการทำ TCA หลุมสิวให้กับทุกคนมากขึ้นค่ะ อย่าลืมว่า ไม่ว่าจะทำหัตถการตัวไหน เราควรจะศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน และเลือกรับบริการกับคลินิกที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ค่ะ หากใครยังไม่แน่ใจว่า ปัญหาหลุมผิวของตัวเองต้องแก้ไขอย่างไร เข้ามาปรึกษากับเราที่ EY Clinic ได้ค่ะ
TCA หลุมสิว ราคาเท่าไร
แพ็กเกจ TCA ที่ EY Clinic มีให้บริการมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ
- TCA acne scar หลุมสิว 1,999 ต่อ 1 ครั้ง หรือ 9,995 ต่อ 6 ครั้ง (คิดเป็นครั้งละ 1,666)
โดยเราจะมีการติดตามและประเมินผลการรักษาอย่างใส่ใจ เพื่อการันตีผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจให้กับคุณค่ะ

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
รีวิวจากผู้รับบริการจริง



สวัสดีค่ะ วันนี้หมอผึ้งตั้งใจว่าจะช่วยคลี่คลายข้อสงสัยและคำถามต่างๆเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิวให้ทุกคนที่กำลังมองหาวิธีการรักษาอยู่ หวังว่าทุกคนจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากข้อมูลนี้นะคะ ถ้าหากมีคอมเมนท์หรือคำถามอะไร สามารถทักเข้ามาสอบถามหมอได้เลยนะคะ
Fractional RFPart 1: ว่าด้วยเรื่องหลุมสิว

หลุมสิวคืออะไร?
หลุมสิวเกิดจากการอักเสบในชั้นหนังแท้ที่เกิดจากสิว เมื่อรูขุมขนบวมขึ้นจะทำให้ผนังรูขุมขนแตกออก รอยสิวบางชนิดมีขนาดเล็กและรอยแผลเป็นตื้นจึงหายเร็ว อย่างไรก็ตาม บางครั้งสิวอาจทำให้เนื้อเยื่อโดยรอบเสียหายและเกิดหลุมสิวลึก ผิวหนังพยายามซ่อมแซมความเสียหายนี้ด้วยการสร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่ แต่ผลลัพธ์มักจะเป็นผิวที่ไม่เรียบเนียนเหมือนเดิม
ความสำคัญของการรักษาหลุมสิว
หลุมสิวสามารถส่งผลกระทบต่อความภาคภูมิใจในตนเองและคุณภาพชีวิตได้มาก ทำให้เกิดความทุกข์ทางอารมณ์ การแยกตัวจากสังคม (Social Isolation) และความรู้สึกมั่นใจที่ลดลง การรักษาหลุมสิวไม่เพียงช่วยปรับปรุงลักษณะทางกายภาพของผิว แต่ยังช่วยฟื้นฟูอารมณ์และเพิ่มความมั่นใจในตนเอง
ภาพรวมของวิวัฒนาการการรักษา
การรักษาหลุมสิวได้พัฒนาไปอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การรักษาที่บ้านและการใช้สมุนไพรไปจนถึงขั้นตอนทางการแพทย์ที่ซับซ้อน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีผลข้างเคียงน้อยลง วิวัฒนาการนี้สะท้อนถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับชีววิทยาของผิวหนังและความพยายามในการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านความงาม
การรักษาในระยะเริ่มแรกโดยส่วนใหญ่จะค่อนข้างผิวเผิน เช่น การขัดผิวด้วยกลไก (Mechanical Exfoliation) และการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling) เมื่อเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าไป การรักษาที่แม่นยำและตรงเป้าหมายมากขึ้น เช่น การใช้ไมโครนีดดิ้งและการรักษาด้วยเลเซอร์ก็เกิดขึ้น ในปัจจุบัน วิธีการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่น เลเซอร์หลุมสิว Fractional RF และการรักษาด้วย Stem Cell ให้ผลลัพธ์ที่น่าตื่นเต้นโดยมี Downtime และผลข้างเคียงน้อยที่สุด
หัวข้อต่อๆ ไปจะเจาะลึกแต่ละขั้นตอนของวิวัฒนาการนี้ สำรวจการพัฒนา ประสิทธิภาพ และผลกระทบของการรักษาหลุมสิวต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป
Part 2: วิธีการรักษาหลุมสิวในระยะเริ่มแรก
การรักษาที่บ้านและการรักษาตามธรรมชาติ

ก่อนที่จะมีการรักษาทางการแพทย์สมัยใหม่ ผู้คนพึ่งพาการรักษาที่บ้านและการรักษาตามธรรมชาติเพื่อจัดการกับหลุมสิว วิธีการเหล่านี้รวมถึงการใช้ส่วนผสมต่างๆ เช่น น้ำผึ้ง ว่านหางจระเข้ น้ำมะนาว และน้ำมันหอมระเหยต่างๆ เชื่อกันว่าสารธรรมชาติเหล่านี้มีคุณสมบัติในการรักษา สามารถลดการอักเสบและส่งเสริมการสร้างผิวใหม่ แม้ว่าบางคนจะพบว่าการรักษาเหล่านี้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ประสิทธิผลของพวกเขามักถูกจำกัดและไม่สอดคล้องกัน
การขัดผิวด้วยกลไก (Mechanical Exfoliation) และ Dermabrasion

การขัดผิวด้วยกลไกและการกรอผิวด้วยผิวหนัง (Derbabrasion) ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญประการแรกๆ ในการรักษาหลุมสิว เทคนิคเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการขจัดชั้นผิวด้านนอกออกทางกายภาพเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของผิวใหม่และลดการเกิดรอยแผลเป็น
- การขัดผิวด้วยกลไกการทำงาน : วิธีนี้รวมถึงการใช้วัสดุที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เช่น สครับที่มีไมโครบีดส์ (Micro-beads) หรือสารขัดผิวตามธรรมชาติ เช่น เมล็ดแอปริคอทบด เป้าหมายหลักคือการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและปรับปรุงผิว อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเพียงผิวเผิน และวิธีนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าสำหรับผิวที่มีรอยเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าที่จะเป็นหลุมสิวที่ลึก
- การกรอผิว :
- ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการ: Dermabrasion ถือเป็นวิธีการผลัดผิวแบบเข้มข้นมากขึ้น มันเกี่ยวข้องกับการใช้แปรงหรือล้อหมุนความเร็วสูงเพื่อขจัดชั้นนอกของผิวหนัง ขั้นตอนนี้ได้รับการพัฒนาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และได้รับความนิยมในการรักษาโรคผิวหนังต่างๆ รวมถึงหลุมสิว
- ประสิทธิผลและข้อจำกัด : Dermabrasion สามารถปรับปรุงลักษณะของรอยแผลเป็นตื้น ๆ และความผิดปกติของผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ต้องใช้แพทย์ที่มีทักษะเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ แผลเป็น และสีผิวที่เปลี่ยนไป ขั้นตอนนี้มักเกี่ยวข้องกับ Downtime มากและรู้สึกไม่สบายระหว่างการพักฟื้น
การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling)

การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีกลายเป็นวิธีการยอดนิยมในการรักษาหลุมสิว โดยเป็นวิธีควบคุมการขัดผิวโดยใช้สารเคมี
- ประวัติความเป็นมา : การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีมีการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีบันทึกทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าหญิงชาวอียิปต์ใช้นมเปรี้ยว (ที่มีกรดแลคติค) เพื่อปรับปรุงผิวของตน การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีสมัยใหม่ได้รับการพัฒนาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นวิธีการขัดผิวที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น
- ประเภทของการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี
- การผลัดเซลล์ผิวชั้นตื้น : ใช้กรดอ่อนๆ เช่น กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (AHA) เพื่อขัดผิวชั้นนอกอย่างอ่อนโยน มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงความไม่สมบูรณ์ของผิวเล็กน้อยและการเปลี่ยนสี แต่มีผลกระทบจำกัดต่อรอยแผลเป็นลึก
- การผลัดเซลล์ผิวชั้นกลาง : สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับกรดที่แรงกว่า เช่น กรดไตรคลอโรอะซิติก (TCA) ซึ่งเจาะลึกเข้าไปในผิวหนังเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่เสียหาย การผลัดเซลล์ผิวปานกลางสามารถรักษาหลุมสิวในระดับปานกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนมากกว่าการผลัดเซลล์ผิวแบบตื้น
- การผลัดเซลล์ผิวชั้นลึก : การใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์แรง เช่น ฟีนอล การผลัดเซลล์ผิวแบบล้ำลึกจะให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งโดยการขจัดชั้นผิวหนังหลายชั้น มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวอย่างรุนแรง แต่มีความเสี่ยงสูง เช่น ใช้เวลาฟื้นตัวนาน มีโอกาสเกิดการติดเชื้อ และสีผิวเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร
- ข้อดีและข้อเสีย : การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีให้ประโยชน์หลายประการ รวมถึงการปรับปรุงสภาพผิว การเปลี่ยนสีผิวที่ลดลง และรูปลักษณ์ที่ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น รอยแดง ผิวลอก และอาการแพ้ง่าย ความลึกของการผลัดเซลล์จะเป็นตัวกำหนดความรุนแรงของผลข้างเคียงและระยะเวลาการฟื้นตัว
บทสรุปของวิธีการเบื้องต้น
แม้ว่าวิธีการรักษาหลุมสิวในระยะเริ่มแรก เช่น การรักษาที่บ้าน การขัดผิวด้วยกลไกและการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีช่วยบรรเทาอาการได้ แต่ก็มักจะแทบไม่มีประสิทธิผลเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแผลเป็นที่อยู่ลึกกว่านั้น การรักษาเหล่านี้วางรากฐานสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถรักษาสาเหตุของหลุมสิวได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขั้นต่อไปของเทคโนโลยีการรักษาหลุมสิวจะนำมาซึ่งความก้าวหน้าที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการใช้ Microneedling และการรักษาด้วยเลเซอร์
Part 3: Microneedling

การคิดค้น Microneedling
Microneedling หรือที่เรียกว่าการรักษาด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เป็นวิธีการรักษาที่ค่อนข้างทันสมัยซึ่งได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต้นกำเนิดของไมโครนีดดิ้งเริ่มจากในสมัยโบราณที่มีการใช้เข็มขนาดเล็กในการแพทย์แผนจีนสำหรับแก้ปัญหาสภาพผิวต่างๆ อย่างไรก็ตาม แนวทางปฏิบัติสมัยใหม่ของการใช้ไมโครนีดดิ้งได้รับการพัฒนาในช่วงต้นทศวรรษ 1990 โดยดร. เดสมอนด์ เฟอร์นันเดส (Dr. Desmond Fernandes) ศัลยแพทย์พลาสติกชาวแอฟริกาใต้ เขาเป็นผู้บุกเบิกการใช้เข็มเพื่อรักษาริ้วรอยและรอยแผลเป็น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาอุปกรณ์ไมโครนีดลิ่งต่างๆ
กลไกการทำงานการออกฤทธิ์

Microneedling คือเทคโนโลยีที่ใช้เข็มขนาดเล็กสร้างการบาดเจ็บขนาดจิ๋วที่ควบคุมได้ (Micro-injuries) บนผิว การเจาะเล็กๆ เหล่านี้ช่วยกระตุ้นกระบวนการสมานแผลตามธรรมชาติของร่างกาย กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน กระบวนการนี้ช่วยให้:
- ส่งเสริมการฟื้นฟูผิว : การบาดเจ็บระดับจุลภาคจะกระตุ้นให้ผิวสร้างเซลล์ใหม่ ส่งผลให้เนื้อผิวเรียบเนียนและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น
- เพิ่มการดูดซึมเซรั่ม : ช่องไมโครที่สร้างขึ้นโดยเข็มช่วยให้การรักษาเฉพาะที่เจาะลึกเข้าไปในผิวหนัง เพิ่มประสิทธิภาพใครการดูดซึมของเซรั่มที่ใช้ร่วมกับการรักษา
วิวัฒนาการตามกาลเวลา
นับตั้งแต่เริ่มคิดค้น ไมโครนีดลิ่งก็มีการพัฒนาไปอย่างมาก อุปกรณ์แบบแมนนวลในยุคแรกถูกแทนที่ด้วยอุปกรณ์อัตโนมัติที่ให้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอยิ่งขึ้นและลดความรู้สึกไม่สบายให้เหลือน้อยที่สุด การพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ :
- ปากกาไมโครนีดลิ่งอัตโนมัติ : อุปกรณ์เหล่านี้มีความยาวเข็มที่ปรับได้และการเคลื่อนไหวแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ควบคุมความลึกและพื้นที่การรักษาได้อย่างแม่นยำ
- Radiofrequency Microneedling (RF Microneedling) : การผสมผสาน microneedling เข้ากับพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ เทคนิคนี้จะส่งความร้อนไปยังชั้นผิวที่ลึกกว่า เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และเพิ่มความกระชับให้ผิว
ความนิยมและการนำไปใช้ในปัจจุบัน

Microneedling กลายเป็นวิธีการรักษายอดนิยมสำหรับปัญหาผิวต่างๆ เนื่องจากมีประสิทธิภาพและมี Downtime น้อยที่สุด มักใช้สำหรับ:
- หลุมสิว : มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแผลเป็นแกร็น microneedling ช่วยสลายเนื้อเยื่อแผลเป็นและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ปรับปรุง Texture ของผิว
- ริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น : ผลการกระตุ้นคอลลาเจนของ microneedling ทำให้การรักษาต่อต้านริ้วรอยยอดนิยม
- รอยดำและฝ้า : Microneedling สามารถช่วยลดปัญหาผิวคล้ำโดยส่งเสริมการหมุนเวียนของเซลล์ผิว
- รอยแตกลาย : ด้วยการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน microneedling สามารถปรับปรุงลักษณะที่ปรากฏของรอยแตกลายเมื่อเวลาผ่านไป
ข้อดีและข้อจำกัด

ข้อดี:
- ระยะ Downtime น้อยที่สุด : เมื่อเทียบกับการรักษาแบบรุกล้ำมากขึ้น microneedling มีระยะเวลาการฟื้นตัวค่อนข้างสั้น โดยปกติแล้วจะมีอาการแดงและบวมเล็กน้อยเพียง 2-3 วัน
- ความเหมาะสมกับสภาพผิว : เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและทุกสีผิว microneedling สามารถตอบสนองปัญหาผิวได้หลากหลายเลยทีเดียว
- ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ : การผลิตคอลลาเจนอย่างค่อยเป็นค่อยไปนำไปสู่การปรับปรุง Texture และโทนสีผิวอย่างเป็นธรรมชาติและยาวนาน
ข้อจำกัด:
- ต้องทำหลายครั้ง : ผลลัพธ์ที่สำคัญมักต้องใช้การรักษาหลายครั้ง โดยทั่วไปจะเว้นระยะห่างกัน 2-3 สัปดาห์
- ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : แม้ว่าโดยทั่วไปจะปลอดภัย แต่การใช้ไมโครนีดดิ้งอาจทำให้เกิดรอยแดง บวม และรอยช้ำเล็กน้อยชั่วคราวได้ การติดเชื้อเกิดขึ้นได้ยากแต่เป็นไปได้หากไม่ปฏิบัติตามการดูแลหลังการรักษาอย่างเหมาะสม
บทสรุปของ Microneedling

Microneedling เป็นหนึ่งในความก้าวหน้าที่สำคัญในการรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุดสำหรับการปรับปรุงพื้นผิวและลักษณะที่ปรากฏของผิว วิวัฒนาการจากลูกกลิ้งเข็มธรรมดาไปจนถึงอุปกรณ์อัตโนมัติและความถี่วิทยุที่ซับซ้อนได้ขยายการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพ การพัฒนาและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องของเทคนิคไมโครนีดลิ่งรับประกันผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการลดหลุมสิวและความไม่สมบูรณ์ของผิวอื่นๆ ในขณะที่เราก้าวไปข้างหน้า
ต่อไปหมอจะเล่าให้ฟังถึงการใช้เลเซอร์เข้ามารักษาหลุมสิว
Part 4: การรักษาด้วยเลเซอร์

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีเลเซอร์
การรักษาด้วยเลเซอร์ได้ปฏิวัติวงการผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาหลุมสิว คำว่า "LASER" ย่อมาจาก Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ลำแสงที่มีความเข้มข้นเพื่อกำหนดเป้าหมายและรักษาปัญหาผิวที่เฉพาะเจาะจง เทคโนโลยีเลเซอร์ให้การควบคุมที่แม่นยำ ช่วยให้สามารถรักษาเนื้อเยื่อแผลเป็นได้อย่างตรงเป้าหมาย ในขณะเดียวกันก็ลดความเสียหายต่อผิวหนังโดยรอบให้เหลือน้อยที่สุด

1st Generation: Full-Field Ablative Laser

ความก้าวหน้าครั้งสำคัญครั้งแรกของการรักษาด้วยเลเซอร์สำหรับหลุมสิวมาพร้อมกับการพัฒนาเลเซอร์ Ablative ชนิด Full-Field เลเซอร์เหล่านี้ทำงานโดยการลอกของผิวชั้นบนออก (Ablate) ส่งเสริมการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่มีสุขภาพดีและการผลิตคอลลาเจน
- เลเซอร์ CO2 :
- ประวัติความเป็นมาและการพัฒนา : เลเซอร์ CO2 เป็นหนึ่งในเลเซอร์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ใช้สำหรับการผลัดผิว CO2 ทำหน้าที่ปล่อยแสงอินฟราเรดที่ถูกดูดซับโดยน้ำในผิวหนัง ส่งผลทำให้น้ำระเหยและเนื้อเยื่อเป้าหมายถูกกำจัดออก
- ประสิทธิผล : เลเซอร์ CO2 มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวลึก สามารถปรับปรุง Texture และโทนสีผิวได้อย่างมาก มีผลลัพธ์ที่ดีมากระดับหนึ่ง
- ข้อจำกัด : การทำเลเซอร์ CO2 นั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก โดยใช้เวลาพักฟื้นนานและอาจมีผลข้างเคียง เช่น รอยแดง บวม และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ การรักษายังสามารถทำให้เกิดรอยดำได้ โดยเฉพาะในโทนสีผิวเข้มของคนไทย
- เลเซอร์ Erbium-YAG :

- ประวัติความเป็นมาและการพัฒนา : เลเซอร์ Erbium-YAG ซึ่งเป็นทางเลือกแทนเลเซอร์ CO2 ทำหน้าที่โดยการปล่อยแสงที่ถูกดูดซับโดยน้ำในผิวหนัง โดยจะทำงานที่ความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน ทำให้สามารถควบคุมการกำจัดเนื้อเยื่อได้แม่นยำยิ่งขึ้น
- ประสิทธิผล : เลเซอร์ Erbium-YAG มีผลกับรอยแผลเป็นทั้งชั้นตื้นและลึกปานกลาง ส่งผลให้เนื้อเยื่อโดยรอบได้รับความเสียหายจากความร้อนน้อยลง เมื่อเทียบกับเลเซอร์ CO2
- ข้อจำกัด : แม้ว่าระยะเวลาการฟื้นตัวจะสั้นกว่าและผลข้างเคียงจะรุนแรงน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 แต่ผลลัพธ์อาจไม่น่าทึ่งสำหรับรอยแผลเป็นที่ลึกมาก
การลอกผิวคือการสร้างแผล ซึ่งหากทำมากไปอาจเกิดแผลเป็นนูนและรอยดำได้ หากลอกน้อยไปก็อาจไม่ได้ผลเพราะกระตุ้นคอลลาเจนไม่เพียงพอ ดังนั้น เลเซอร์รักษาหลุมสิวจึงพัฒนาขึ้นโดยยึดหลักการนี้ เลเซอร์ที่ดีต้องกระตุ้นการรักษาหลุมสิวได้ดีและมีผลข้างเคียงน้อย เช่น แผลเป็นหรือรอยดำหลังทำ
2nd Generation: Non-Ablative Laser

เพื่อจัดการกับข้อจำกัดของ Full-Field Ablative Laser จึงได้มีการพัฒนา Non-Ablative Laser ขึ้นมา เลเซอร์เหล่านี้ทำงานโดยการให้ความร้อนแก่เนื้อเยื่อผิวหนังที่อยู่ด้านล่างโดยไม่ต้อง Ablate ผิวชั้นตื้นออก สามรถกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและปรับปรุง Skin Texture โดยมี Downtime น้อยที่สุด
- Erbium Glass Laser
- กลไกการทำงาน : เลเซอร์เหล่านี้จะทำความร้อนให้กับน้ำในผิวหนังเพื่อสร้างความร้อนแก่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพื้นผิวอย่างมีนัยสำคัญ
- ประสิทธิผล : เหมาะสำหรับหลุมสิวเล็กน้อยถึงปานกลาง เลเซอร์แก้วเออร์เบียมมีการปรับปรุงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีผลข้างเคียงและ Downtime น้อยที่สุด
- ข้อจำกัด : ผลลัพธ์ที่ได้จะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเลเซอร์ระเหย และมักต้องทำหลายครั้ง
- เลเซอร์ Nd:YAG
- กลไกการทำงาน : เลเซอร์ Nd:YAG ทำหน้าที่เจาะลึกเข้าไปในผิวหนัง เพื่อยิงทั้งน้ำและเมลานิน มีประโยชน์หลากหลาย ใช้สำหรับสภาพผิวต่างๆ รวมถึงหลุมสิว
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพในการลดรอยแดงและปรับปรุงผิว เลเซอร์เหล่านี้ปลอดภัยสำหรับทุกสภาพผิว
- ข้อจำกัด : เช่นเดียวกับเลเซอร์แบบไม่ทำลายอื่นๆ จำเป็นต้องมีการรักษาหลายครั้ง และผลลัพธ์ที่ได้จะละเอียดกว่า
3rd Generation: Fractional Laser

เทคโนโลยี Fractional Laser แสดงถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการรักษาหลุมสิว โดยผสมผสานคุณประโยชน์ของเลเซอร์ทั้งแบบ Ablative และ Non-Ablative
Fractional Laser จะรักษาผิวหนังเพียงบริเวณเล็กบริเวณเดียวในแต่ละครั้ง ทำให้เกิดการบาดเจ็บขนาดเล็ก (Micro-Injuries) ที่รายล้อมไปด้วยเนื้อเยื่อที่มีสุขภาพดี ซึ่งจะช่วยเร่งการรักษาและลด Downtime

- กลไกการทำงาน : เลเซอร์ Fractional CO2 จะส่งลำแสงที่โฟกัสซึ่งจะสร้างคอลัมน์เนื้อเยื่อที่เสียหายเล็กๆ และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในขณะที่เนื้อเยื่อโดยรอบไม่เสียหาย
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่อยู่ลึก โดยช่วยทำ Texture และโทนสีผิวให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- ข้อจำกัด : แม้ว่า Downtime จะลดลงเมื่อเทียบกับ Full-Field Ablative Laser แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เช่น รอยแดง บวม และรอยดำ โดยเฉพาะในสีผิวที่เข้มกว่าเช่นผิวคนไทยเป็นต้น
- Fractional Erbium-YAG
- กลไกการทำงาน : เลเซอร์เหล่านี้สร้างการบาดเจ็บขนาดเล็กคล้ายกับเลเซอร์ Fractional CO2 แต่สร้างความเสียหายจากความร้อนน้อยกว่า
- ประสิทธิผล : เหมาะสำหรับหลุสิวตื้นถึงลึกปานกลาง ให้ผลลัพธ์ที่ดี ใช้เวลาพักฟื้นสั้นกว่า
- ข้อจำกัด : ผลลัพธ์อาจไม่เด่นชัดเท่ากับเลเซอร์ CO2 แบบเศษส่วน และยังคงมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรง
4th Generation: Fractional RF (RF)
ความก้าวหน้าล่าสุดในการรักษาหลุมสิว ได้แก่ Fractional RF ซึ่งใช้พลังงานคลื่นวิทยุเพื่อให้ความร้อนแก่ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยไม่ต้องใช้แสงเลเซอร์

- Fractional RF (เช่น eMatrix, Venus Viva)
- กลไกการทำงาน : Fractional RF ทำงานโดยสร้างการบาดเจ็บขนาดเล็กในผิวหนังโดยใช้พลังงานคลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและกระชับผิว
- ประสิทธิผล : ใช้ได้กับหลุมสิวหลายประเภท รวมถึงหลุมสิวแบบลึก Fractional RF เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยดำน้อยที่สุดในกลุ่มเทคโนโลยีในยุคนี้
- ข้อดี : ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ใช้ Downtime น้อยที่สุด และสามารถรักษารอยแผลเป็นที่อยู่ลึกลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- Microneedle RF (เช่น Fractora, Scarlet)
- กลไกการทำงาน : ผสมผสาน microneedling เข้ากับพลังงาน Fractional RF ให้การรักษาที่ตรงเป้าหมายลึกลงสู่ผิว
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่รุนแรงและลึก โดยให้การปรับปรุง Texture และสีผิวอย่างมีนัยสำคัญ
- ข้อดี : ควบคุมความลึกของการรักษาได้อย่างแม่นยำ Downtime น้อย และลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเลเซอร์
บทสรุปของการรักษาด้วยเลเซอร์

การรักษาด้วยเลเซอร์ทำให้การรักษาหลุมสิวก้าวหน้าไปอย่างมาก โดยมีตัวเลือกมากมายเพื่อให้เหมาะกับประเภทของหลุมสิวและสภาพผิวที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ Full-Field Ablative Laser ในยุคแรกๆ ไปจนถึง Fractional RF ล่าสุด แต่ละรุ่นได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า ทำให้มีตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและผลข้างเคียงน้อยลง การพัฒนาเทคโนโลยีเลเซอร์อย่างต่อเนื่องเป็นผลดีสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาหลุมสิวและทำให้ผิวเรียบเนียนและมีสุขภาพดีขึ้น หัวข้อถัดไปจะกล่าวถึงการผสมผสานวิธีการรักษาต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มผลลัพธ์และจัดการกับหลุมสิวประเภทต่างๆ อย่างครอบคลุม
Part 5: การรักษาแบบผสมผสาน
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการรักษาแบบผสมผสาน
เนื่องจากความเข้าใจเกี่ยวกับหลุมสิวและการนำเสนอที่หลากหลายมากขึ้น แพทย์ผิวหนังจึงหันมาผสมผสานวิธีการรักษาที่แตกต่างกันมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การรักษาแบบผสมผสานสามารถจัดการกับรอยแผลเป็นในด้านต่างๆ ได้ โดยนำเสนอแนวทางการรักษาและฟื้นฟูผิวที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Subcision + Laser
หนึ่งในการผสมผสานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการรักษา Rolling Scar และ Boxcar Scar บางประเภทคือการทำ subcision ตามด้วยการรักษาด้วยเลเซอร์
- Subcision
- กลไกการทำงาน : Subcision คือการใช้เข็มตัดเนื้อเยื่อที่ยึดผิวหนังและทำให้เกิดหลุมให้หลุดออก โดยจะสร้างการบาดเจ็บที่ควบคุมได้ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและช่วยให้ผิวยกขึ้น
- ขั้นตอนการรักษา : เริ่มด้วยการแปะยาชาเฉพาะที่ให้คนไข้ หลังจากนั้นก็ใช้เข็มเล็กๆ สอดเข้าไปใต้แผลเป็นแล้วตัดเนื้อเยื่อที่ยึดหลุมออก
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Rolling Scar โดยการ Subcision หลังทำแล้วจะเห็นผลทันที
- Subcison + Laser
- กลไกการทำงาน : หลังจากการ Subcision สามารถใช้การรักษาด้วยเลเซอร์ เช่น Fractional CO2 หรือ Erbium-YAG เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและผลัดผิวใหม่
- ประสิทธิผล : การผสมผสานระหว่างการ Subcision และการรักษาด้วยเลเซอร์ทำให้เกิดผลเสริมฤทธิ์กัน ทำให้ผลลัพธ์โดยรวมดีขึ้น และรักษาหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการรักษาด้วยวิธีเดียว
Subcison + Fractional RF

การรักษาหลุมสิวแบบผสมผสานที่ได้ผลดีอีกชนิดหนึ่งคือการทำ Subcision คู่กับ Fractional RF โดยเฉพาะเมื่อเลือกทำกับ Rolling Scar
- Fractional RF (เช่น Venus Viva)
- กลไกการทำงาน : Fractional RF ใช้ microneedles เพื่อส่งพลังงาน RF ลึกเข้าไปในผิวหนัง สร้างการบาดเจ็บจากความร้อนที่ควบคุมได้ ซึ่งกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการกระชับผิว
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพสำหรับรอยแผลเป็นทั้งตื้นและลึก Fractional RF ช่วยเพิ่มเนื้อผิวและส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงคอลลาเจนอย่างมีนัยสำคัญ
- Fractional RF + Subcision
- กลไกการทำงาน : แพทย์ส่วนใหญ่จะเลือกทำ Subcision ก่อนเพื่อตัดพังผืดที่ยึดหลุมอยู่ออก จากนั้นจึงใช้ Fractional RF เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและทำให้ผิวกระชับ
- ประสิทธิผล : การรักษาร่วมกันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดของทั้งสองวิธี โดย subcision จะให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดทันที ส่วน RF จะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในระยะยาว
TCA Cross + Laser

TCA CROSS (การสร้างรอยแผลเป็นจากผิวหนังโดยใช้กรดไตรคลอโรอะซิติก) เป็นเทคนิคหลักที่ใช้ในการรักษารอยแผลเป็นชนิด ice pick ซึ่งมีความลึกเกินกว่าจะรักษาด้วยเลเซอร์เพียงอย่างเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
TCA Cross:
- กลไกการทำงาน: TCA ที่มีความเข้มข้นสูงจะถูกทาลงบนแผลเป็นโดยตรง ทำให้เกิดการบาดเจ็บแบบควบคุม จากสารเคมีซึ่งช่วยส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนและการผลัดเซลล์ผิว
- ขั้นตอน: ใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กทา TCA ลงบนแผลเป็นอย่างแม่นยำ บริเวณนั้นอาจเกิดเปลือกและหลุดลอกเป็นเวลาหลายวัน
- ประสิทธิผล: TCA CROSS มีประสิทธิภาพสูงในการรักษารอยแผลเป็นชนิด ice pick สามารถลดความลึกและการมองเห็นของรอยแผลเป็นได้อย่างมาก
การใช้ร่วมกับเลเซอร์:
- กลไกการทำงาน: หลังจากทำ TCA CROSS แล้วก็ต่อด้วยการรักษาด้วย Fractional Laser สามารถใช้เพื่อทำให้ผิวเรียบเนียนและส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนต่อไป
- ประสิทธิผล: การผสมผสานนี้ช่วยแก้ไขทั้งความลึกและพื้นผิวของรอยแผลเป็นชนิด ice pick ทำให้มีการปรับปรุงที่ครอบคลุมมากขึ้น
บทสรุปของการรักษาแบบผสมผสาน
การผสมผสานวิธีการรักษาที่แตกต่างกันช่วยให้การรักษาหลุมสิวมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถจัดการกับรอยแผลเป็นประเภทต่าง ๆ และปรับปรุงผลลัพธ์โดยรวมได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ subcision ร่วมกับเลเซอร์หรือ Fractional RF, TCA CROSS, microneedling ด้วย PRP และการผสมผสานระหว่างเลเซอร์และการใช้ยาทา ล้วนเป็นวิธีการผสมผสานที่มีประสิทธิภาพสูง การรักษาเสริมฤทธิ์กันเหล่านี้ช่วยปรับปรุง Skin Texture โทนสี และรูปลักษณ์ภายนอกได้อย่างครอบคลุม ทำให้บุคคลที่ต้องเผชิญกับปัญหาหลุมสิวได้รับความหวังและความมั่นใจ
หัวข้อถัดไปจะเจาะลึกถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเน้นความก้าวหน้าล่าสุดและทิศทางในอนาคตของการรักษาหลุมสิว
Part 6: เทคโนโลยีใหม่
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่
ในขณะที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง การรักษาหลุมสิวก็เกิดขึ้นใหม่และเป็นนวัตกรรมใหม่ แนวทางที่ล้ำหน้าเหล่านี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าคาดหวังโดยมีผลข้างเคียงน้อยลงและใช้เวลาฟื้นตัวสั้นลง ในส่วนนี้จะสำรวจการพัฒนาล่าสุดบางส่วนในเทคโนโลยีการรักษาหลุมสิว
การผลัดเซลล์ผิวด้วยพลาสม่า (Plasma Skin Resurfacing)

การผลัดเซลล์ผิวด้วยพลาสม่าเป็นเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่ใช้พลังงานพลาสม่าเพื่อฟื้นฟูผิวและรักษาหลุมสิว
- กลไกการทำงาน : การผลัดผิวด้วยพลาสมาเกี่ยวข้องกับการใช้อุปกรณ์ที่สร้างพลังงานพลาสม่าเพื่อส่งความร้อนที่ควบคุมไปยังพื้นผิว พลังงานนี้สร้างอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการฟื้นฟูผิว
- ขั้นตอน : อุปกรณ์ถูกส่งผ่านผิวหนัง และพลังงานพลาสมาจะถูกส่งไปในชุดของพัลส์ที่ควบคุม สามารถปรับแต่งการรักษาให้เหมาะกับพื้นที่และความลึกเฉพาะได้
- ประสิทธิผล : การผลัดผิวด้วยพลาสมามีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นและปรับปรุงสีผิวโดยรวม
- ข้อดี : ใช้ Downtime น้อยที่สุดและลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำ เมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเลเซอร์แบบดั้งเดิม เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว
Cryotherapy รักษาหลุมสิว

Cryotherapy ซึ่งแต่เดิมใช้ในการขจัดหูดและรักษาสภาพผิวบางชนิด ปัจจุบันได้ถูกทำมาวิจัยเพื่อใช้รักษาหลุมสิว
- กลไกการทำงาน : Cryotherapy คือการใช้ความเย็นจัดส่งไปยังบริเวณผิวเป้าหมาย กระบวนการนี้ทำให้เกิดความเสียหายที่ควบคุมได้ต่อเนื้อเยื่อแผลเป็น และส่งเสริมการเจริญเติบโตของผิวใหม่ที่มีสุขภาพดี
- ขั้นตอน : นำไนโตรเจนเหลวหรือสารแช่แข็งอื่นๆ มาใช้กับบริเวณที่เกิดแผลเป็นโดยใช้อุปกรณ์พิเศษ นับว่าเป็นการรักษาที่ไม่เจ็บมาก
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพในการลดการปรากฏของรอยแผลเป็นนูนและรอยนูนมากเกินไป นอกจากนี้ยังสามารถปรับปรุง Texture และโทนสีผิวได้อีกด้วย
- ข้อดี : ผลข้างเคียงน้อย และมี Downtime น้อยที่สุด มีขั้นตอนที่รวดเร็วและไม่เจ็บปวด
การรักษาด้วย Stem Cell และ Growth Factor

การรักษาด้วย Stem Cell และการใช้ Growth Factor ถือเป็นขอบเขตที่มีแนวโน้มในการรักษาหลุมสิว โดยใช้ประโยชน์จากกลไกการทำงานการรักษาตามธรรมชาติของร่างกาย
- Stem Cell
- กลไกการทำงาน : เซลล์ต้นกำเนิดมีความสามารถในการแยกแยะเซลล์ประเภทต่างๆ และส่งเสริมการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ในการรักษาหลุมสิว มีการใช้ Stem Cell เพื่อกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่และคอลลาเจน
- ขั้นตอน : สามารถเก็บ Stem Cell จากเนื้อเยื่อไขมันหรือไขกระดูกของคนไข้เอง แล้วฉีดเข้าไปบริเวณที่เป็นแผลเป็น อีกทางเลือกหนึ่ง สามารถใช้เซรั่มที่ได้มาจาก Stem Cell เฉพาะที่ก็ได้
- ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงเนื้อผิว ลดความลึกของแผลเป็น และส่งเสริมการฟื้นฟูผิวโดยรวม
- ข้อดี : การรักษาตามธรรมชาติและเข้ากันได้ทางชีวภาพพร้อมศักยภาพในการให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน
- Growth Factor
- กลไกการทำงาน : Growth Factor คือโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตของเซลล์ การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และการผลิตคอลลาเจน สามารถใช้ทาหรือฉีดเพื่อเพิ่มการรักษาและการฟื้นฟูผิว
- ขั้นตอน : Growth Factor สามารถหาได้จากเลือดของคนไข้ (PRP) หรือสังเคราะห์ในห้องแลป โดยจะนำไปใช้กับผิวหนังในระหว่างการรักษา เช่น การฉีดไมโครนีดดิ้งหรือการรักษาด้วยเลเซอร์
- ประสิทธิผล : ช่วยให้การรักษาเร็วขึ้น ลดการอักเสบ และเพิ่มการผลิตคอลลาเจน ส่งผลให้เนื้อผิวดีขึ้น และลดลักษณะรอยแผลเป็น
- ข้อดี : ช่วยเพิ่มผลของการรักษาอื่นๆ และเร่งกระบวนการฟื้นฟูให้เร็วขึ้น
การรักษาด้วยแสง LED

การรักษาด้วยแสง LED เป็นการรักษาแบบ Non-Invasive ซึ่งใช้ความยาวคลื่นแสงที่แตกต่างกันเพื่อแก้ปัญหาผิวต่างๆ รวมถึงหลุมสิว
- กลไกการทำงาน : การรักษาด้วยแสง LED เกี่ยวข้องกับการใช้ไดโอดเปล่งแสงเพื่อส่งความยาวคลื่นเฉพาะของแสงไปยังผิวหนัง ความยาวคลื่นที่แตกต่างกันจะแทรกซึมเข้าสู่ผิวที่ระดับความลึกที่แตกต่างกัน และมีหน้าที่ส่งเสริมการรักษาและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
- ขั้นตอน : คนไข้นั่งหรือนอนใต้อุปกรณ์ไฟ LED และโดยทั่วไปการรักษาจะไม่เจ็บปวดและผ่อนคลาย แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที
- ประสิทธิผล : มีผลกับหลุมสิวเล็กน้อยและการฟื้นฟูผิวโดยรวม ช่วยลดการอักเสบ ปรับสภาพผิว และส่งเสริมการผลิตคอลลาเจน
- ข้อดี : Non-Invasive โดยสิ้นเชิงและไม่มี Downtime เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและสามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
บทสรุปของเทคโนโลยีเกิดใหม่
เทคโนโลยีใหม่ในการรักษาหลุมสิวนำเสนอโอกาสใหม่ ๆ สำหรับคนไข้ที่มองหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด การผลัดผิวด้วยพลาสมา การรักษาด้วยความเย็นจัด การรักษาด้วยสเต็มเซลล์ และการรักษาด้วยแสง LED เป็นความก้าวหน้าล่าสุด แต่ละวิธีมีกลไกการทำงานและประโยชน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เมื่อการวิจัยและพัฒนาดำเนินต่อไป นวัตกรรมเหล่านี้สัญญาว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น นำไปสู่การรักษาหลุมสิวที่มีความเป็นส่วนตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หัวข้อถัดไปจะเปรียบเทียบเทคโนโลยีรักษาหลุมสิวเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อช่วยให้ทุกคนมีข้อมูลในการตัดสินใจเกี่ยวกับตัวเลือกการรักษาของตัวเอง
Part 7: การเปรียบเทียบเทคโนโลยีหลุมสิวต่างๆ
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเปรียบเทียบเทคโนโลยีหลุมสิว
การเลือกการรักษาหลุมสิวที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายเมื่อพิจารณาจากเทคโนโลยีที่มีอยู่มากมาย ในส่วนนี้จะแสดงการเปรียบเทียบการรักษาหลุมสิวแบบต่างๆ อย่างครอบคลุม โดยเน้นที่ประสิทธิภาพ ระยะ Downtime ผลข้างเคียง ต้นทุน และความเหมาะสมสำหรับสภาพผิวและความรุนแรงของแผลเป็นต่างๆ แต่ละหมวดหมู่จะมีคะแนนตั้งแต่ 0 ถึง 10 โดย 0 คือแย่ที่สุด และ 10 คือดีที่สุด
ตารางเปรียบเทียบการรักษาหลุมสิว

คำอธิบายการเปรียบเทียบ
ประสิทธิผล
- Fractional CO2 Lasers: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่อยู่ลึก ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนอย่างมีนัยสำคัญและการผลัดผิวใหม่ เหมาะสำหรับแผลเป็นตีบอย่างรุนแรง รวมถึงรอยแผลเป็นจากรถลากและไม้ Icepick คะแนน: 4
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): มีประสิทธิภาพมากกับรอยแผลเป็นทั้งตื้นและลึก กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและกระชับผิว ปรับปรุงทันทีพร้อมสิทธิประโยชน์อย่างต่อเนื่อง คะแนน: 4.5
- Fractional Erbium-YAG Lasers: มีประสิทธิภาพสำหรับหลุมสิวปานกลางและมีความเสียหายจากความร้อนน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นตื้นๆ ถึงลึกปานกลาง คะแนน: 4
- Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนและปรับปรุงผิว เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นเล็กน้อยถึงปานกลาง คะแนน: 4.5
Downtime และ Recovery

- Fractional RF (เช่น Venus Viva): ใช้ Downtime น้อยที่สุดถึงปานกลาง โดยมีรอยแดงและบวมเล็กน้อยนานสองสามวัน คะแนน: 4.5
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): Downtime ปานกลาง โดยทั่วไปจะมีอาการแดงและบวมสองสามวัน คะแนน: 4
- Fractional Erbium-YAG Lasers: ระยะ Downtime สั้นกว่าเลเซอร์ CO2 ซึ่งปกติจะใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ คะแนน: 3
- Fractional CO2 Lasers: ระยะ Downtime ยาวนานที่สุด โดยมีรอยแดงและการหลุดลอกอย่างเห็นได้ชัดยาวนานถึงสองสัปดาห์ คะแนน: 2
ผลข้างเคียงและความเสี่ยง

- Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำและการติดเชื้อ โดยจะมีรอยแดงและบวมชั่วคราว คะแนน: 4.5
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำและการติดเชื้อ โดยมีรอยแดงและบวมชั่วคราว คะแนน: 4
- Erbium-YAG Lasers: มีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 โดยมีรอยแดงและลอกชั่วคราว คะแนน: 3.5
- Fractional CO2 Lasers: มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดรอยดำ การติดเชื้อ และรอยแดงเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในสีผิวที่เข้มกว่า คะแนน: 2
ค่าใช้จ่าย

- Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): ต้นทุนปานกลาง สะท้อนถึงประสิทธิภาพและเทคโนโลยีขั้นสูง คะแนน: 4
- เลเซอร์ Erbium-YAG: ต้นทุนปานกลาง โดยทั่วไปแล้วจะถูกกว่าเลเซอร์ CO2 คะแนน: 3.5
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): ต้นทุนสูงปานกลาง สะท้อนถึงเทคโนโลยีขั้นสูงและประสิทธิผล คะแนน: 3
- เลเซอร์ Fractional CO2: โดยปกติแล้วค่าใช้จ่ายจะต่ำกว่าตัวอื่นๆ คะแนน: 5
ความเหมาะสมกับสภาพผิวต่างๆ และความรุนแรงของแผลเป็น

- Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ใช้ได้กับแผลเป็นทุกระดับ อีกทั้งยังช่วยผลัดผิวให้ขาวขึ้น คะแนน: 4.5
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ใช้ได้กับแผลเป็นทุกระดับ คะแนน: 4
- Erbium-YAG Lasers: เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นปานกลาง และสีผิวสีอ่อนถึงปานกลาง คะแนน: 3.5
- Fractional CO2 Lasers: เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นที่รุนแรงและสีผิวที่สว่างกว่า ข้อควรระวังสำหรับผิวคล้ำเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการสร้างเม็ดสี คะแนน: 2.5
สรุปการเปรียบเทียบ
การรักษาหลุมสิวแต่ละวิธีมีจุดแข็งและข้อจำกัดของตัวเอง การเลือกวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล เช่น ความรุนแรงของแผลเป็น ประเภทของผิว ความทนทานต่อ Downtime และงบประมาณ
- Fractional CO2 Lasers: ดีที่สุดสำหรับรอยแผลเป็นที่รุนแรง แต่มาพร้อมกับ Downtime อย่างมาก ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และความเสี่ยง ทำให้ไม่เหมาะกับสีผิวคล้ำ
- Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): มีประสิทธิภาพมากสำหรับแผลเป็นประเภทต่างๆ โดยให้ความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพ ระยะ Downtime และผลข้างเคียงที่รับได้
- Fractional Erbium-YAG Lasers: มีประสิทธิภาพสำหรับรอยแผลเป็นระดับปานกลาง โดยมีผลข้างเคียงและ Downtime น้อยกว่าเลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวสว่างถึงปานกลาง
- Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): โดยรวมแล้วดีที่สุด ด้วยคะแนนด้านประสิทธิผลสูง ระยะ Downtime น้อยที่สุด ความเสี่ยงต่ำ และเหมาะสมกับทุกสภาพผิว อีกทั้งยังช่วยปรับ Texture ผิวอีกด้วย ทำให้เป็นตัวเลือกที่ทำได้หลากหลายและเป็นที่แนะนำมากที่สุด
เทคโนโลยีที่หมอเลือกในปี 2024
เมื่อพิจารณาคะแนนและการเปรียบเทียบ การรักษาด้วย Fractional RF เช่น Venus Viva ถือเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในการรักษาหลุมสิวหลายประเภท มีความสมดุลในด้านประสิทธิผล Downtime ที่น้อย และความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ลดลง ทำให้เหมาะกับคนไข้ส่วนใหญ่ สำหรับผู้ที่มองหาการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ใช้เวลาฟื้นตัวน้อย และมีความเสี่ยงน้อย Fractional RF เป็นตัวเลือกที่แนะนำ
อย่างไรก็ตามการปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการรักษานี้เหมาะสมกับความต้องการและประเภทผิวของเราเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Part 8: การเลือกการรักษาที่เหมาะสม
ปัจจัยที่ต้องพิจารณา
การเลือกการรักษาหลุมสิวที่ดีที่สุดนั้นเกี่ยวข้องกับการประเมินปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยทางการแพทย์ต่างๆ เพื่อให้มั่นใจถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความพึงพอใจของคนไข้ ข้อควรพิจารณาที่สำคัญมีดังนี้:
- ประเภทของหลุมสิว

- ประเภทของหลุมสิว
- หลุมสิวทั่วไป : ได้แก่ Ice Pick Scar Boxcar Scar และ Rolling Scar การรักษาที่แตกต่างกันจะได้ผลดีกับแผลเป็นประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะsome text
- Icepick Scars : รักษาได้ดีที่สุดด้วย TCA Cross หรือ Fractional CO2 lasers
- Boxcar และ Rolling Scars : Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ Fractional RF ที่มี microneedle (เช่น Fractora) เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพ
- รอยแผลเป็น Hypertrophic และ คีลอยด์ : รอยแผลเป็นนูนเหล่านี้อาจต้องได้รับการรักษาที่แตกต่างกัน เช่น การฉีดสเตียรอยด์หรือการใช้แผ่นซิลิโคน
- หลุมสิวทั่วไป : ได้แก่ Ice Pick Scar Boxcar Scar และ Rolling Scar การรักษาที่แตกต่างกันจะได้ผลดีกับแผลเป็นประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะsome text
- ประเภทผิว

- โทนสีผิว
- สีผิวอ่อน : การรักษาด้วยเลเซอร์ส่วนใหญ่ รวมถึง Fractional CO2 และ Erbium-YAG จะมีความเหมาะสมมากกว่า
- สีผิวที่เข้มกว่า : แนะนำให้ใช้การรักษาด้วย Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ RF ด้วย microneedle (เช่น Fractora) เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดเม็ดสีมากเกินไปน้อยกว่า

- ความรุนแรงของหลุมสิว
- หลุมชนิดตื้นถึงปานกลาง : เลเซอร์ Fractional RF และ Erbium-YAG มีประสิทธิภาพโดยใช้ Downtime น้อยที่สุด
- หลุมลึก : เลเซอร์ Fractional CO2 และ Fractional RF พร้อม microneedle จะเหมาะสมที่สุด แต่ต้องใช้ระยะเวลาการพักฟื้นนานกว่า
- Downtime
- Downtime น้อยที่สุด : Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ TCA CROSS ใช้เวลาฟื้นตัวสั้นกว่า
- Downtime ปานกลางถึงยาวนาน : เลเซอร์ Fractional CO2 และ Fractional RF พร้อม microneedle อาจต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า

- ค่ารักษา
- ค่ารักษาต่ำกว่า : TCA Cross จะคุ้มค่ามากแต่อาจต้องรักษาหลายครั้ง และต้องทำกับแพทย์ผู้เชียวชาญเพื่อลดความเสี่ยง
- ค่ารักษาปานกลาง : Fractional RF (เช่น Venus Viva) ให้ความสมดุลระหว่างต้นทุนและประสิทธิผล
- ค่ารักษาสูง : Microneedle RF มักจะมีราคาแพงกว่าเนื่องจากต้นทุนเครื่องที่สูงกว่า
- ผลข้างเคียง
- ผลข้างเคียงต่ำ : Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ RF พร้อมการรักษาด้วย microneedle จะมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงน้อยกว่า
- ผลข้างเคียงที่สูงขึ้น : เลเซอร์ Fractional CO2 มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียง โดยเฉพาะในสีผิวที่เข้มกว่า

การปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
การปรึกษาอย่างละเอียดกับแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรอง (Board-Certified Dermatologist) เป็นสิ่งสำคัญในการประเมินความต้องการและประวัติการรักษาของแต่ละบุคคล แพทย์ผิวหนังจะตรวจสอบประเภทและความรุนแรงของหลุมสิว ประเภทของผิว และสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อแนะนำการรักษาที่เหมาะสมที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่คาดหวัง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และจำนวนครั้งที่ต้องการในการรักษา
แผนการรักษาเฉพาะบุคคล

แพทย์ผิวหนังอาจแนะนำให้รวมการรักษาต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น:
- Subcision + Fractional RF : สำหรับ Rolling Scar การรวม Subcision เข้ากับ Fractional RF (เช่น Venus Viva) สามารถทำร่วมกันเพื่อให้ได้ผลดีมากขึ้นได้
- TCA CROSS + Fractional CO2 : สำหรับหลุมสิวชนิด Ice Pick การใช้ TCA CROSS ตามด้วยการรักษาด้วยเลเซอร์ Fractional CO2 จะช่วยเพิ่มผลลัพธ์ได้
การตั้งความคาดหวังที่สมจริง

การทำความเข้าใจผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นและข้อจำกัดของการรักษาแต่ละครั้งเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าการรักษาบางอย่างจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นมาก แต่การมีผิวที่ปราศจากรอยแผลเป็นอย่างสมบูรณ์อาจเป็นไปไม่ได้ การตั้งเป้าหมายที่สมจริงและมีความอดทนต่อกระบวนการรักษาจะนำไปสู่ความพึงพอใจที่ดีขึ้น ส่วนใหญ่การรักษาแต่ละครั้งจะสามารถทำให้หลุมสิวดีขึ้นประมาณ 20-30% เท่านั้น
การบำรุงรักษาและการดูแลหลังรักษา

การดูแลหลังการรักษามีความสำคัญอย่างยิ่งในการให้ผลลัพธ์สูงสุดและป้องกันภาวะแทรกซ้อน แพทย์ผิวหนังจะให้คำแนะนำการดูแลหลังการรักษาโดยเฉพาะ ซึ่งอาจรวมถึง:
- หลีกเลี่ยงแสงแดด : เพื่อป้องกันการเกิดรอยดำและปกป้องการรักษาผิว
- การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสูตรอ่อนโยน : เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองและส่งเสริมการรักษา
- การนัดหมายติดตาม ผล : เพื่อติดตามความคืบหน้าและปรับเปลี่ยนแผนการรักษาตามที่จำเป็น
บทสรุป
การเลือกการรักษาหลุมสิวที่เหมาะสมนั้นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบจากหลายปัจจัย รวมถึงชนิดและความรุนแรงของรอยแผลเป็น ประเภทของผิว ความทนทานต่อ Downtime งบประมาณ และการยอมรับความเสี่ยง การรักษาด้วย Fractional RF เช่น Venus Viva และ eMatrix โดดเด่นในฐานะตัวเลือกที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ โดยให้ประสิทธิภาพที่ดี Downtime น้อย และมีความเสี่ยงต่ำ การปรึกษากับแพทย์ผิวหนังเพื่อพัฒนาแผนการรักษาเฉพาะบุคคลจะช่วยให้มั่นใจได้ถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ช่วยให้แต่ละบุคคลมีผิวที่เรียบเนียน มีสุขภาพดีขึ้น และเพิ่มความมั่นใจ
Part 9: บทสรุปและทิศทางในอนาคต
สรุปการรักษาหลุมสิว

การรักษาหลุมสิวได้รับการพัฒนาอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยจะมีหลายทางเลือกที่ดีเพื่อจัดการกับหลุมสิวประเภทและความรุนแรงที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้เป็นบทสรุปโดยย่อของการรักษาที่กล่าวถึง:
- Fractional CO2 Lasers: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่ลึก เช่น Ice Pick Scar แต่ต้องหยุดทำงานอย่างมีนัยสำคัญและมีความเสี่ยงสูงกว่า ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวสีอ่อนกว่าเป็นหลัก
- Fractional RF พร้อม Microneedle (เช่น Fractora): เป็นการรักษาที่เหมาะสำหรับหลุมสิวประเภทต่างๆ โดยมี Downtime และความเสี่ยงปานกลาง ทำให้เป็นตัวเลือกที่ค่อนข้าง versatile
- Fractional Erbium-YAG Lasers: มีประสิทธิภาพสำหรับรอยแผลเป็นระดับปานกลางโดยมี Downtime สั้นกว่าและมีความเสี่ยงน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับผิวสีอ่อนถึงปานกลาง
- Fractional RF (เช่น Venus Viva): มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวประเภท Rolling Scar และ Boxcar Scar โดยมี Downtime น้อยที่สุดและความเสี่ยงต่ำ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและความรุนแรงของแผลเป็น นอกจากนี้ การใช้ร่วมกับ subcision ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาแผลเป็นลึกได้อย่างดี
- TCA CROSS: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับแผลเป็นที่อยู่ลึกและตรงเป้าหมาย เช่น Ice Pick Scar โดยใช้ Downtime น้อยที่สุดถึงปานกลางและมีค่าใช้จ่ายน้อย เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว
การเลือกการรักษาที่เหมาะสม
การเลือกการรักษาที่เหมาะสมเกี่ยวข้องกับการพิจารณาปัจจัยส่วนบุคคล เช่น ประเภทของแผลเป็น ประเภทของผิว ความรุนแรง ความทนทานต่อ Downtime งบประมาณ และการยอมรับความเสี่ยง การปรึกษาหารือกับแพทย์ผิวหนังถือเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาแผนการรักษาเฉพาะบุคคลเพื่อเพิ่มผลลัพธ์สูงสุดและลดความเสี่ยง
ทิศทางในอนาคตของการรักษาหลุมสิว

การรักษาหลุมสิวมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยการวิจัยและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ต่อไปนี้เป็นแนวทางในอนาคตที่น่าหวัง:
- เทคนิค Microneedling สมัยใหม่
- Automated Microneedling : ให้ความแม่นยำและการควบคุมมากขึ้น ลดความรู้สึกไม่สบายและปรับปรุงผลลัพธ์
- Microneedling พร้อมสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive Agents) : ผสมผสาน Growth Factor เปปไทด์ และสารประกอบออกฤทธิ์ทางชีวภาพอื่นๆ เพื่อเพิ่มการฟื้นฟูและการรักษาผิว
- การรักษาด้วย Stem Cell และ Growth Factor
- การรักษาด้วย Stem Cell : การใช้ Stem Cell เพื่อส่งเสริมการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจช่วยรักษาแผลเป็นที่รุนแรงได้ในระยะยาว
- การฉีด Growth Factor : การใช้ Growth Factor เข้มข้นเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเร่งการรักษา ซึ่งอาจช่วยเพิ่มผลลัพธ์ของการรักษาอื่นๆ
- พลาสมาและ Cryotherapy
- Plasma Skin Resurfacing : ใช้พลังงานพลาสม่าเพื่อฟื้นฟูผิวโดยเสียหายจากความร้อนน้อยที่สุด เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มีสีผิวคล้ำหรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำมากกว่า
- Cryotherapy : การใช้ความเย็นจัดเพื่อคัดเลือกทำลายเนื้อเยื่อแผลเป็นและส่งเสริมการสร้างผิวใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแผลเป็นที่มีไขมันมากเกินไปและแผลเป็นคีลอยด์
- การรักษาแบบ Non-Invasive
- HIFU : กำหนดเป้าหมายชั้นผิวที่ลึกลงไปเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นผิว ซึ่งอาจเสนอทางเลือกที่ Non-Invasive สำหรับการปรับปรุงรอยแผลเป็น
- Radiofrequency (RF) Microneedling : การผสมผสานพลังงาน RF เข้ากับ microneedling เพื่อเพิ่มการกระตุ้นคอลลาเจนและการกระชับผิว ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพโดยใช้ Downtime น้อยที่สุด
ความสำคัญของแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
เมื่อมีเทคโนโลยีและการรักษาใหม่ๆ เกิดขึ้น ความสำคัญของแผนการรักษาเฉพาะบุคคลจึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น แพทย์ผิวหนังสามารถปรับการผสมผสานการรักษาขั้นสูงเหล่านี้ให้เข้ากับสภาพผิวที่เฉพาะเจาะจงและความต้องการของคนไข้แต่ละราย เพื่อให้มั่นใจถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การตั้งความคาดหวังที่สมจริง
แม้ว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการรักษาหลุมสิวจะมีแนวโน้มที่ดี แต่คนไข้จะต้องตั้งความคาดหวังตามความเป็นจริง การบรรลุผิวที่ปราศจากรอยแผลเป็นอย่างสมบูรณ์อาจเป็นไปไม่ได้ แต่การปรับปรุงเนื้อผิว โทนสี และรูปลักษณ์โดยรวมอย่างมีนัยสำคัญจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก
ทิ้งท้าย
หนทางสู่ผิวที่เรียบเนียนและสุขภาพดีขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องพิจารณาหลายอย่าง ด้วยตัวเลือกการรักษาที่หลากหลายและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน ทำให้เรามีวิธีจัดการกับหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญเพื่อหาแผนการรักษาที่เหมาะสมเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้ผลลัพธ์ดีและคืนความมั่นใจ ในขณะที่การวิจัยและการพัฒนาวิธีรักษาใหม่ๆ ยังคงดำเนินต่อไป อนาคตของการรักษาหลุมสิวก็ยิ่งดูดีขึ้น มอบความหวังและผลลัพธ์ที่ดีขึ้นสำหรับคนที่มีปัญหาผิวนี้
Part 10: แหล่งข้อมูลการรักษาหลุมสิวในประเทศไทย
ค้นหาแพทย์ผิวหนังที่ผ่านการรับรอง (Board-Certified Dermatologist)

การเลือกแพทย์ผิวหนังที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาหลุมสิวให้เห็นผล นี่คือขั้นตอนในการค้นหาผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในประเทศไทย:
- การวิจัยและการอ้างอิง
- ขอคำแนะนำจากเพื่อน ครอบครัว หรือแพทย์ประจำของเรา
- มองหาแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการซึ่งเชี่ยวชาญด้านการรักษาหลุมสิวในประเทศไทย
- สามารถเช็ครหัสจากชื่อและนามสกุลได้ที่แพทยสภา https://checkmd.tmc.or.th/
- หนังสือรับรองและประสบการณ์ของแพทย์
- ตรวจสอบข้อมูลรับรองของแพทย์ผิวหนัง รวมถึงใบรับรองจากคณะกรรมการ การศึกษา และการฝึกอบรม
- ทบทวนประสบการณ์ของพวกเขากับการรักษาเฉพาะที่เรากำลังพิจารณา
- การให้คำปรึกษาและการสื่อสาร
- นัดเวลารับคำปรึกษาเพื่อหารือเกี่ยวกับข้อกังวล ทางเลือกการรักษา และเป้าหมายของเรา
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแพทย์ผิวหนังรับฟังความต้องการของคุณ อธิบายขั้นตอนต่างๆ อย่างชัดเจน และตั้งความคาดหวังตามความเป็นจริง
- บทวิจารณ์และ Review
- อ่าน Review ของคนไข้และคำรับรองเพื่อวัดความพึงพอใจของคนไข้รายเดิม
- พิจารณาภาพถ่ายก่อนและหลังเพื่อประเมินผลลัพธ์ของแพทย์ผิวหนัง
Review การรักษาหลุมสิวที่ EY Clinic










การเตรียมตัวสำหรับการนัดหมายของเรา

การเตรียมตัวเป็นกุญแจสำคัญในการใช้ประโยชน์สูงสุดจากการนัดหมายด้านผิวหนังของเรา คำแนะนำบางประการมีดังนี้:
- รวบรวมข้อมูล
- บันทึกประวัติหลุมสิวของเรา รวมถึงการรักษาที่เราได้ลองใช้และผลลัพธ์ที่ได้
- ระบุยาหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เรากำลังใช้อยู่
- ถามคำถาม
- เตรียมรายการคำถามเกี่ยวกับการรักษา ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการฟื้นตัว
- ถามเกี่ยวกับประสบการณ์ของแพทย์ผิวหนังเกี่ยวกับการรักษาเฉพาะทางและวิธีการดูแลหลังการรักษา
- ตั้งเป้าหมาย
- กำหนดเป้าหมายและความคาดหวังของเราสำหรับการรักษาอย่างชัดเจน
- พูดคุยถึงผลลัพธ์ที่เป็นจริงโดยพิจารณาจากประเภทหลุมสิวและสภาพผิวของเรา
การพิจารณาทางการเงินและการประกันภัย

การทำความเข้าใจด้านการเงินของการรักษาหลุมสิวถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวางแผน คำแนะนำบางประการมีดังนี้:
- ค่ารักษา
- รับข้อมูลประมาณการค่าใช้จ่ายโดยละเอียดสำหรับแผนการรักษาที่แนะนำ รวมถึงช่วงติดตามผลที่อาจเกิดขึ้น
- เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างแพทย์ผิวหนังต่างๆ หากเป็นไปได้
- การกำหนดงบประมาณ
- วางแผนงบประมาณของเราเพื่อรองรับต้นทุนการรักษา โดยพิจารณาถึงความจำเป็นที่อาจเกิดขึ้นสำหรับการรักษาหลายครั้ง
- คำนึงถึงต้นทุนสำหรับผลิตภัณฑ์หลังการดูแลและการนัดตรวจติดตามผล
การสนับสนุนทางอารมณ์และจิตวิทยา

หลุมสิวสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อความภาคภูมิใจในตนเองและความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์ การขอความช่วยเหลืออาจเป็นประโยชน์:
- กลุ่มสนับสนุนและ community ต่างๆ
- เข้าร่วมฟอรัมออนไลน์หรือกลุ่มสนับสนุนในพื้นที่ซึ่งเราสามารถแบ่งปันประสบการณ์และรับกำลังใจจากผู้อื่นที่เผชิญกับความท้าทายที่คล้ายกัน
- การให้คำปรึกษาและการรักษา
- พิจารณาการให้คำปรึกษาหรือการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อจัดการกับความทุกข์ทางอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพผิวของเรา
- ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตสามารถช่วยเราพัฒนากลยุทธ์ในการรับมือและปรับปรุงภาพลักษณ์ของตนเองได้
- การดูแลตัวเองและความมั่นใจ
- ฝึกฝนกิจวัตรการดูแลตัวเองที่ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง เช่น การดูแลผิว การออกกำลังกาย และงานอดิเรก
- มุ่งเน้นไปที่จุดแข็งและความสำเร็จของเราเพื่อสร้างความมั่นใจนอกเหนือจากรูปลักษณ์ภายนอกของเรา
แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

รับข่าวสารเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิวผ่านแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ:
- องค์กรวิชาชีพ
- สมาคมโรคผิวหนังไทย: thaiderma.or.th
- การประชุมและเวิร์คช็อปโรคผิวหนังนานาชาติ
- วารสารและสิ่งพิมพ์ทางการแพทย์
- เข้าถึงบทความวิจัยและการวิจารณ์ในวารสารโรคผิวหนังเพื่อดูความก้าวหน้าล่าสุดและการรักษาตามหลักฐานเชิงประจักษ์
- เว็บไซต์สุขภาพที่เชื่อถือได้
- สถาบันโรคผิวหนัง: https://www.iod.go.th
- โรงพยาบาลศิริราช: https://si.mahidol.ac.th
- โรงพยาบาลรามาธิบดี: https://www.rama.mahidol.ac.th
- โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์: https://chulalongkornhospital.go.th
การดูแลหลังการรักษาและการบำรุงรักษา

การดูแลหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและรักษาสุขภาพผิวของเรา:
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผิวหนัง :
- ปฏิบัติตามแนวทางการดูแลหลังการรักษาโดยแพทย์ผิวหนังของเราอย่างเคร่งครัด
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่แนะนำเพื่อช่วยในการรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
- การติดตามผลเป็นประจำ :
- กำหนดเวลาและเข้าร่วมการนัดหมายติดตามผลเพื่อติดตามความคืบหน้าของเราและแก้ไขข้อกังวลใด ๆ
- ปรึกษาปัญหาใหม่หรือปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับแพทย์ผิวหนังของเราทันที
- ปกป้องผิวของเรา :
- ใช้ครีมกันแดดทุกวันเพื่อปกป้องผิวจากความเสียหายจากรังสียูวีและป้องกันการเกิดรอยดำ
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่รุนแรงและการรักษาที่อาจทำให้ผิวของเราระคายเคือง
บทสรุป
การรักษาหลุมสิวนั้นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ การตัดสินใจอย่างมีข้อมูล และการหาการสนับสนุนที่เหมาะสม การค้นหาแพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญ การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการนัดหมาย และการทำความเข้าใจเรื่องการเงินและอารมณ์ จะช่วยให้เราเลือกวิธีที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพผิวของเราได้ ติดตามข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และปฏิบัติตามแนวทางการดูแลหลังการรักษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โปรดจำไว้ว่าหนทางสู่ผิวที่เรียบเนียนขึ้นนั้นเป็นประสบการณ์ส่วนตัว และด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เราจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและเพิ่มความมั่นใจในตัวเองได้
อ้างอิง
- Thai Dermatological Society. Thai Dermatological Society. Accessed May 18, 2024. http://www.thaiderma.or.th
- International Dermatology Conferences and Workshops. Accessed May 18, 2024.
- Siriraj Hospital. Siriraj Hospital. Accessed May 18, 2024. http://www.si.mahidol.ac.th
- Bangkok Hospital. Bangkok Hospital. Accessed May 18, 2024. https://www.bangkokhospital.com
ในปัจจุบันเรามีวิธีการรักษาหลุมสิวให้เลือกอยู่มากมาย และแน่นอนว่า การฉีดหลุมสิว ก็เป็นวิธีที่หลายคนกำลังให้ความสนใจค่ะ ในบทความนี้ หมอผึ้งจะพาไปทำความรู้จักกับการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว และ การรักษาหลุมสิวด้วย Rejuran S ไปดูกันว่าแต่ละวิธี มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร และอันไหนจะเหมาะกับคุณที่สุดค่ะ
สรุปใจความสำคัญ
- การฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ เป็นการฉีดสารไฮยาลูรอนิก แอซิด ในการเติมเต็มปริมาตรของผิวบริเวณหลุมสิว
- การฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S เป็นการฉีดสารสกัดที่ได้จากปลาแซลมอนเข้าสู่ชั้นผิว
- Rejuran S เป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาหลุมสิว และรอยแผลเป็นโดยเฉพาะ
- ฟิลเลอร์หลุมสิว ให้ผลการรักษาที่รวดเร็ว ในขณะที่ Rejuran S ให้ผลการรักษาที่ช้ากว่า แต่ถาวร
- การฉีดหลุมสิวสามารถทำร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ได้ เช่น การตัดพังผืด และเลเซอร์หลุมสิวได้ โดยเมื่อทำร่วมกันแล้ว จะเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้น
การฉีดหลุมสิว ด้วยฟิลเลอร์

การฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ คือ การใช้สารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) ในการเติมเต็ม หรือทดแทนเนื้อเยื่อที่หายไปบริเวณหลุมสิวค่ะ ฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดหลุมสิวก็เป็นฟิลเลอร์ชนิดเดียวกับที่ใช้ฉีดเพื่อลดริ้วรอยให้หน้าดูอิ่มฟู อ่อนวัย โดยสารไฮยาลูรอนิก แอซิดเป็นสารที่พบได้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มีหน้าที่ในการอุ้มน้ำและเพิ่มความยืดหยุ่นในอวัยวะต่าง ๆ เมื่อฉีดแล้ว สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีค่ะ โดยจะเห็นว่าหลุมสิวจางลง ผิวมีความเต่งตึง และเรียบเนียนค่ะ นอกจากนี้ ตัวสารไฮยาลูรอนิก แอซิดยังมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนด้วยค่ะ
การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว เป็นวิธีแก้ปัญหาหลุมสิวที่ทำได้ง่าย เห็นผลได้ไว และไม่ต้องการเวลาพักฟื้นค่ะ
ใครเหมาะกับการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์
- คนที่มีหลุมสิวแบบ Boxcar หรือ หลุมสิวแบบ Rolling ที่มีระดับความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง
- คนที่มีหลุมสิวจำนวนน้อย
- คนที่ต้องการการรักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว และไม่ยุ่งยาก
- คนที่มีต้องการการรักษาที่ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
- คนที่มีรอยแผลเป็นจากโรคอีสุกอีใส
ผลลัพธ์ของการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์จะอยู่ได้ตั้งแต่ 6-12 เดือน (หรือนานกว่านั้น) ตามอายุของฟิลเลอร์ที่ใช้ค่ะ โดยฟิลเลอร์จะสลายตัวไปตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย และไม่ทิ้งสารตกค้างใด ๆ ในร่างกายค่ะ
นอกจากนี้ การฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์มักนิยมทำควบคู่กับการตัดพังผืด (Subcision) เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นค่ะ
ข้อควรระวัง: การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว เป็นวิธีการรักษาหลุมสิวที่อาศัยเทคนิคและความชำนาญของแพทย์สูงค่ะ เนื่องจากแพทย์จะต้องมีการประเมินว่าจะต้องฉีดตำแหน่งไหน และใช้ปริมาณฟิลเลอร์เท่าไรต่อหลุมสิว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและเป็นธรรมชาติที่สุดค่ะ
การฉีดหลุมสิว ด้วย Rejuran S

Rejuran S คือ สารโพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide หรือ PN) สกัดจากปลาแซลมอนที่พัฒนามาเพื่อแก้ปัญหาแผลเป็นและหลุมสิวโดยเฉพาะ โดย Rejuran S จะมีความเข้มข้นมากกว่า Rejuran Healer ที่ใช้เพื่อบำรุงและคืนความอ่อนวัย (Rejuvenation) อย่างล้ำลึกให้ผิวโดยรวมค่ะ โดยกระบวนการทำงานของ Rejuran S มีดังนี้ค่ะ
- โพลีนิวคลีโอไทด์จากปลาแซลมอนทำงานในระดับดีเอ็นเอในการกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่และการหลั่งสาร Growth Factor ที่ช่วยสร้างเนื่อเยื่อใหม่
- โพลีนิวคลีโอไทด์ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอย (Angiogenesis) ซึ่งเพิ่มการกำจัดของเสียเซลล์ที่ตายแล้วและช่วยในการทำงานของเซลล์
- โพลีนิวคลีโอไทด์ยังมีสรรพคุณในการลดการอักเสบของเซลล์ (Anti-inflammatory effects) และลดแผลของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
- Rejuran S ยังช่วยเสริมโครงสร้างให้สารที่เคลือบเซลล์ (Extracellular matrix หรือ ECM) ซึ่งทำให้ผิวยืดหยุ่นและแข็งแรงยิ่งขึ้น
ซึ่งสารสกัดโพลีนิวคลีโอไทด์ที่ได้มาจากปลาแซลมอนใน Rejuran S นับเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Stimulator) ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพ (Biocompatibility) กับดีเอ็นเอของมนุษย์ สามารถทำงานในเซลล์ของเราได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย และสามารถย่อยสลายได้ตามกลไกธรรมชาติค่ะ
ใครที่เหมาะกับการฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S
- คนที่มีหลุมสิวแบบ Boxcar หรือ Rolling ที่มีระดับความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง
- คนที่ต้องการการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
- คนที่มีปัญหาแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรอยบุ๋ม
เมื่อพูดถึงผลลัพธ์ เราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง 2-3 สัปดาห์หลังฉีด Rejuran S ครั้งแรกเพราะ Rejuran S ทำงานที่ลึกถึงระดับดีเอ็นเอในการผลักผิวเข้าสู่กระบวนการสมานแผลและฟื้นฟูเซลล์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่อย่างถาวรค่ะ
หมอขอแนะนำให้เริ่มต้นการรักษาที่การฉีด Rejuran S จำนวน 3-5 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 เดือนค่ะ เมื่อเริ่มฉีดแล้ว หลุมสิวจะเริ่มจางลงเรื่อย ๆ ประกอบกับผิวจากมีความกระชับและเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ นอกจากนี้ การฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S ก็สามารถทำร่วมกับการตัดพังผืด หรือเลเซอร์หลุมสิวได้ เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ
ข้อควรระวัง: เนื่องจาก Rejuran S มีเป็นสารสกัดที่ได้มาจากปลาแซลมอน การฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S จึงไม่เหมาะกับคนที่มีประวัติปลาทะเล หรือมีประวัติแพ้ผลิตภัณฑ์ Rejuran ตัวอื่นมาก่อนค่ะ
เปรียบเทียบการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ และ Rejuran S
การฉีดหลุมสิวทั้งด้วยฟิลเลอร์และ Rejuran S เป็นการรักษาที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีประสิทธิภาพค่ะ
ฟิลเลอร์ vs Rejuran S
ฟิลเลอร์เป็นสารไฮยาลูรอนิก แอซิด ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดเดียวกันกับที่พบได้ตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ ในขณะที่ Rejuran S คือสารโพลีนิวคลีโอไทด์หรือชิ้นส่วนดีเอ็นเอที่ได้มาจากปลาแซลมอนค่ะ ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยต่อร่างกายมนุษย์ สามารถใช้ในหัตถการการรักษาหลุมสิวได้โดยไม่ทิ้งสารตกค้างและไม่เป็นอันตรายค่ะ
การทำงานของฟิลเลอร์ vs Rejuran S
ฟิลเลอร์หลุมสิว เมื่อฉีดแล้วจะเข้าไปเติมเต็มปริมาตร หรือ ทดแทนเนื้อเยื้อส่วนที่หายไปบริเวณหลุมสิว หลังฉีดแล้วจึงสามารถเห็นผลได้ทันทีว่า หลุมสิวดูจางลงค่ะ แต่ Rejuran S จะมีการทำงานที่ซับซ้อนกว่า กล่าวคือ ตัวสารโพลีนิวคลีโอไทด์จะเข้าไปกระตุ้นกระบวนการสมานแผลและผลิตเซลล์ผิวใหม่ของร่างกายผ่านการทำงานระดับดีเอ็นเอ จึงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ก่อนจะเห็นความเปลี่ยนแปลงค่ะ
ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ vs Rejuran S
การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวเป็นการรักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์ได้เร็วค่ะ จึงเหมาะกับคนที่ต้องรักษาหลุมสิวแบบเร่งด่วน และฉีดเพิ่มเติม 3-5 ครั้ง ติดต่อกันได้ และทำควบคู่กับการตัดพังผืด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นค่ะ
โดยผลของการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวจะคงอยู่ได้ราว ๆ 6-12 เดือน หรือมากกว่านั้น ตามอายุของฟิลเลอร์ที่ใช้ค่ะ เมื่อเวลาผ่านไป ฟิลเลอร์จะค่อย ๆ สลายตัวไปทางกลไกธรรมชาติของร่างกายค่ะ
ในทางกลับกันผลลัพธ์ของ Rejuran S จะใช้เวลาสักระยะหนึ่ง โดยควรฉีดติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 3-4 สัปดาห์ โดยเราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงเรื่อย ๆ จนเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ซึ่งจะคงอยู่อย่างถาวรค่ะ
ฟิลเลอร์ฉีดหลุมสิว vs Rejuran S ตัวไหนดีกว่ากัน
หมอคิดว่า หัตถการทั้งสองตัวมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันค่ะ ฉะนั้นถ้าถามว่า ตัวไหนดีกว่า หมอขอตอบว่า ขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพผิวของแต่ละบุคคลค่ะ นอกจากนี้ เราก็ยังมีวิธีการรักษาหลุมสิวอีกมากมาย ซึ่งไม่ว่าคุณจะเลือกฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ หรือ Rejuran S สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้ค่ะ เพื่อความปลอดภัยของคุณค่ะ
การรักษาหลุมสิวด้วยวิธีต่าง ๆ

นอกจากการฉีดฟิลเลอร์และ Rejuran S เพื่อรักษาหลุมสิวแล้ว ในปัจจุบัน เรายังมีวิธีการรักษาอีกมากมายที่จะช่วยคืนความเรียบเนียนให้ผิวหน้าของคุณได้ค่ะ โดยในบทความนี้ หมอจะขอยกตัวอย่างวิธีการรักษาที่ได้มีความเสี่ยงต่ำ และได้รับความนิยมสูงค่ะ ได้แก่ การใช้เรตินอยด์ การตัดพังผืด เลเซอร์ และ PRP ค่ะ
การใช้เรตินอยด์ (Retinoid)

สารกลุ่มเรตินอยด์ คือ อนุพันธ์ของวิตามินเอค่ะ ซึ่งสารกลุ่มเรตินอยด์ที่เราน่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง ได้แก่ Retinol, Tretinoin และ Isotretinoin สารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ในการเร่งการผลิตเซลล์ผิวใหม่ ทำให้หลุมสิวจางลง และช่วยปรับให้ผิวเรียบเนียนค่ะ
แต่แน่นอนว่า การรักษาหลุมสิวใช้เรตินอยด์จะใช้เวลานานกว่าการรักษาแบบอื่น และจำเป็นต้องใช้อย่างสม่ำเสมอ วิธีนี้จึงไม่เหมาะคนที่ต้องการการรักษาแบบเร่งด่วน และไม่เหมาะกับคนที่มีผิวแพ้ง่ายด้วยค่ะ
การตัดพังผืด (Subcision)

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นค่ะว่า การฉีดหลุมสิวสามารถทำควบคู่กับการตัดพังผืดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาได้ โดยการทำ Subcision หลุมสิว ก็คือการใช้เข็มขนาดเล็กสอดเข้าไปใต้หลุมสิวเพื่อเลาะเอาเนื้อเยื่อส่วนที่ดึงรั้งบริเวณฐานหลุมสิวออก วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเข้าสู่กระบวนการสมานแผลและสร้างคอลลาเจนใหม่ค่ะ
เลเซอร์รักษาหลุมสิว
เลเซอร์เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ทำร่วมกับการฉีดหลุมสิวได้ เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุดค่ะ โดยเลเซอร์ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่
เลเซอร์ Venus Viva MD

เลเซอร์หลุมสิว Venus Viva MD คือเลเซอร์รักษาหลุมสิวที่มีเทคโนโลยี NanoFractional™ Radiofrequency หรือการส่งคลื่นวิทยุผ่านเข้าสู่ชั้นผิวด้วยเข็มที่มีขนาดเล็กเพียงประมาณ 300 นาโนเมตร ซึ่งไม่สร้างความเจ็บปวดระหว่างการรักษาซึ่งต่างจากเลเซอร์ตัวอื่นค่ะ และยังลดโอกาสเกิดผิวไหม้คล้ำ (Hyperpigmentation) หลังทำเลเซอร์ด้วยค่ะ
คลื่นวิทยุที่ถูกส่งผ่านเข้าไปในชั้นผิวด้วยเข็มขนาดเล็กเหล่านี้ จะทำความร้อนเป็นจุดเล็ก ๆ (เรียกว่า Microthermal zone) ซึ่งกระตุ้นกระบวนการสมานแผลของเซลล์ในบริเวณหลุมสิวของเราค่ะ
เลเซอร์ Fractional RF

เลเซอร์หลุมสิว Fractional RF เป็นเลเซอร์อีกหนึ่งตัวที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการสร้างเซลล์ผิวใหม่ค่ะ โดยที่ EY Clinic จะใช้เลเซอร์ Fractional RF ด้วยเทคนิค Microneedling ค่ะ เทคนิคนี้คือ การใช้เข็มขนาดเล็ก (ขนาด 0.5-3 มิลลิเมตร ซึ่งใหญ่กว่าเข็มของ Venus Viva MD) ทิ่มเข้าไปในชั้นผิวเพื่อสร้างแผลเป็นจุดเล็ก ๆ ที่จะกระตุ้นกระบวนการสมานแผล และยังช่วยให้คลื่น RF เข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกและทั่วถึงมากขึ้นด้วยค่ะ
บริการเลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional RF ที่ EY Clinic มีรายละเอียดดังนี้ค่ะ
- Fractional RF (size S) 1 ครั้ง ราคา 4,999.-
- Fractional RF (size M) 2 ครั้ง ราคา 8,999.-
- Fractional RF (size L) ทั่วหน้า 5 ครั้งแถม 1 ครั้ง ราคา 24,995.-
เลเซอร์ Fractional CO2

เลเซอร์หลุมสิว Fractional CO2 คือเลเซอร์ที่ความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร โดยใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวกลางในการแทรกตัวเข้าสู่เซลล์ผิวค่ะ เมื่อเข้าสู่ผิวหนังแล้ว ความร้อนของเลเซอร์จะเข้าไปทำให้น้ำในเนื้อเยื่อร้อนขึ้น ทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการผลิตคอลลาเจน ผลัดเซลล์ผิว และเร่งผลิตเซลล์ผิวใหม่ค่ะ
นอกจากหลุมสิวแล้ว เลเซอร์ Fractional CO2 ยังช่วยแก้ไขปัญหาผิวอย่าง กระ สิวข้าวสาร สิวอุดตันหัวปิดและลบเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณ หน้าผาก รอบดวงตา แก้ม และรอบปากได้ด้วยค่ะ
EY Clinic จะใช้เครื่องเลเซอร์ Fractional CO2 ที่ชื่อว่า “Smooth X” ค่ะ
- SmoothX หลุมสิวที่แก้ม 3,499.- ต่อครั้ง และมีแพ็กเกจ 17,495.- ต่อ 6 ครั้ง
- SmoothX หลุมสิวทั่วหน้า 3,999.- ต่อครั้ง และมีแพ็กเกจ 19,995.- ต่อ 6 ครั้ง
หลังทำเลเซอร์ Fractional CO2 เสร็จแล้ว บริเวณที่ทำจะมีแผลเล็ก ๆ พร้อมกับสะเก็ดแผลเล็กน้อย โดยแพทย์จะทายาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
PRP รักษาหลุมสิว

PRP หรือ Plasma-Rich Platelet เป็นการใช้สารสกัดจากเกล็ดเลือดของตัวเราในการฟื้นบำรุงผิวหน้าค่ะ โดยในเกล็ดเลือดของเราจะมีโปรตีนที่เรียกว่า Growth factor ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน อีลาสติน และเร่งการสมานแผล โดยแพทย์จะเจาะเลือดของเราเพื่อนำไปปั่นและสกัดเกล็ดเลือดออกมา จากนั้นจะฉีดเกล็ดเลือดฉีดเข้าชั้นผิวหนังคล้ายกับการฉีดเมโสหน้าใสค่ะ ซึ่งวิธีนี้นอกจากจะรักษาหลุมสิวได้แล้ว ยังเพิ่มความอ่อนวัย กระชับ และเสริมความแข็งแรงให้กับผิวหน้าได้ด้วยค่ะ
เตรียมตัวก่อนฉีดหลุมสิว

ทั้งการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ และ Rejuran S เป็นการรักษาที่มีความเสี่ยงต่ำ ทำได้ง่ายและไม่ต้องการเวลาพักฟื้นค่ะ ซึ่งก่อนเข้ารับการฉีดหลุมสิว เราสามารถเตรียมตัวได้ตามวิธีต่อไปนี้ค่ะ
ก่อนตัดสินใจฉีดหลุมสิว:
- เลือกคลินิกที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ โดยอ่านรีวิวจากผู้เข้ารับบริการจริงและเช็กข้อมูลของคลินิก - เนื่องจากในปัจจุบัน เราสามารถเจอมิจฉาชีพในรูปแบบของหมอกระเป๋า ฟิลเลอร์ปลอม หรือคลินิกที่ไม่ต่อใบอนุญาต ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยควรศึกษาข้อมูลเหล่านี้ก่อนค่ะ
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดหลุมสิว - เพื่อให้มั่นใจว่า เรารู้ถึงข้อจำกัด ราคา วิธีการทำหัตถการ และวิธีดูแลตัวเอง ก่อน-หลัง การรักษาค่ะ
- พูดคุยกับแพทย์ถึงผลลัพธ์ที่คาดหวัง - เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเราที่สุดค่ะ
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัวและยาที่ใช้เสมอ
เตรียมตัวก่อนไปฉีดหลุมสิว:
- หยุดใช้ยาที่มีผลทำให้เลือดแข็งตัวช้า เช่น ยากลุ่ม NSAIDS, กลุ่มยาแก้ปวด คลายกล้ามเนื้อ หรืออาหารเสริมต่าง ๆ ในช่วง 3-4 วันก่อนฉีดหลุมสิว เพื่อลดโอกาสการเกิดอาการบวมช้ำจากเข็มหลังการรักษาค่ะ
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงก่อนฉีดหลุมสิว เนื่องจากแอลกอฮอล์อาจทำให้มีอาการบวมช้ำเข็มรุนแรงขึ้นค่ะ
- งดการทำหัตถการอื่น ๆ เช่น การสครับใบหน้า เลเซอร์ หรือการรักษาอื่น ๆ อย่างน้อย 3 วันก่อนฉีดหลุมสิว
ขั้นตอนการฉีดหลุมสิว

การฉีดหลุมสิวทั้งด้วยฟิลเลอร์และ Rejuran S จะมีขั้นตอนคล้าย ๆ กันค่ะ โดยจะเริ่มจากการแปะยาชาหรือประคบเย็น ก่อนจะเริ่มฉีดค่ะ ซึ่งก่อนฉีด แพทย์ควรจะนำกล่องฟิลเลอร์หรือกล่อง Rejuran S ให้เราดูก่อนที่จะแกะ เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่กำลังจะใช้เป็นผลิตภัณฑ์ของแท้ค่ะ
ผลข้างเคียงหลังฉีดหลุมสิว

ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังฉีดหลุมสิว คือ อาการบวม แดง ช้ำ จากเข็มค่ะ ซึ่งอาการเหล่านี้จะบรรเทาลงไปเองภายใน 2-3 วันหลังการรักษาค่ะ
วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดหลุมสิว

หลังฉีดหลุมสิวแล้ว เราสามารถดูแลตัวเองได้อย่างง่าย ๆ ด้วยวิธีการต่อไปนี้ค่ะ
- ทำความสะอาดใบหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว แต่ควรรอหลังฉีด 4-6 ชั่วโมงก่อนจะล้างหรือเช็ดหน้า
- งดใช้เครื่องสำอางเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อปกป้องกันติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย กิจกรรมออกแดด การอบซาวน่า หรือกิจกรรมใด ๆ ที่ทำให้เลือดสูบฉีดเป็นเวลา 48-72 ชั่วโมงหลังฉีด เพื่อลดการบวมแดงจากเข็ม
ฉีดหลุมสิว ถาวร ต้องฉีดตัวไหน?

สำหรับคนที่ต้องการการฉีดหลุมสิวที่มีผลลัพธ์ถาวร หมอจะแนะนำเป็นตัว Rejuran S ค่ะ เนื่องจาก Rejuran S เป็นสาร Polynucleotide เข้าไปที่กระตุ้นการกระบวนซ่อมแซมหลุมสิวตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นผลลัพธ์ที่ถาวร แต่จะใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เมื่อเทียบกับการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวค่ะ
โดยทั่วไปแล้วการฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S ควรจะเริ่มต้นที่ อย่างน้อย 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 3-4 สัปดาห์ และหลังจากนั้น สามารถฉีดกระตุ้นได้ทุก ๆ 6-12 เดือนค่ะ
ในทางกลับกัน การฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์สามารถให้ผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่เป็นผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร เนื่องจากฟิลเลอร์เป็นเพียงสารไฮยาลูรอนิก แอซิดที่เข้าไปเติมเต็มปริมาตรของหลุมสิวค่ะ ผลลัพธ์จึงจะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือนตามอายุของฟิลเลอร์ค่ะ
รักษาหลุมสิว คืนความเรียบเนียนให้ผิวหน้า ที่ EY Clinic

ที่ EY Clinic เราเข้าใจถึงความท้อใจกับปัญหาหน้าขรุขระ ไม่เรียบเนียนค่ะ เราจึงมุ่งมั่นที่จะคืนความมั่นใจให้คุณผ่านการดูแลรักษาที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล โดยไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็น โดยแพ็กเกจรักษาหลุมสิวที่ EY Clinic มีดังนี้ค่ะ
โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size S (4,999.-)
- เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน
โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size M (8,999.-)
- Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
- เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน
โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size L (18,999.-)
- Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
- เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน
- Rejuran S รุ่นเฉพาะหลุมสิว (1cc)
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะมาพูดคุย ปรึกษาปัญหาผิวกับหมอผึ้ง หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
รีวิวจากผู้รับบริการจริง




ในบทความนี้ หมอผึ้งได้รวบรวมเอาเรื่องควรรู้เกี่ยวกับ “เลเซอร์รักษาหลุมสิว” อย่าง Pico laser, Fractional CO2 laser, และ Fractional RF laser ซึ่งหมอได้สรุปวิธีการทำงาน ข้อดี และข้อจำกัดของเลเซอร์รักษาหลุมสิวแต่ละแบบ มาให้ทุกคนที่มีปัญหา “หลุมสิว” ได้อ่านก่อนตัดสินใจเลือกการรักษาค่ะ
สรุปใจความสำคัญ
- หลุมสิว คือรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว มีลักษณะเป็นแอ่งหรือหลุม ซึ่งรักษาได้ยาก
- เลเซอร์ เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาหลุมสิวที่ความเสี่ยงต่ำ และมีประสิทธิภาพสูง
- เลเซอร์รักษาหลุมสิวด้วยการใช้ความร้อนเพื่อกระตุ้นให้ผิวเข้าสู่กระบวนการสมานแผล ทำให้ผิวผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ออกมา ซึ่งช่วยทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น
- เลเซอร์ยังสามารถแก้ปัญหาผิวอื่น ๆ เช่น สิว ฝ้า กระ และช่วยปรับสีผิวให้เสมอกัน
- เลเซอร์รักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันได้แก่ Venus Viva MD, Fractional RF, Frational CO2, Fotona, และ eMatrix ค่ะ
หลุมสิว คืออะไร

หลุมสิว (Atrophic acne scar) คือ แผลเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดที่มากับปัญหาสิว หลุมสิวเกิดจากการที่เซลล์ผิวไม่สามารถผลิตคอลลาเจนและเนื้อเยื่อมาทดแทนส่วนที่เป็นสิวอักเสบได้ จึงทิ้งเป็นรอยแผลเป็นที่มีลักษณะเหมือนรอยบุ๋มหรือหลุม และส่งผลให้ใบหน้าของเราดูไม่เรียบเนียนค่ะ
เราสามารถแบ่งประเภทของหลุมสิวออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ค่ะ
- Ice pick หรือ หลุมสิวแบบจิก เป็นประเภทที่พบมากที่สุด (60-70% ของแผลเป็นจากสิว) และรักษายากที่สุด มีความลึกประมาณ 2 มิลลิเมตร ลักษณะจะเป็นแผลปากแคบ หลุมลึกและแหลม
- Rolling หรือ หลุมสิวแอ่งกระทะ มีลักษณะเป็นแอ่งตื้น ไม่มีขอบที่ชัดเจน มักเกิดที่บริเวณแก้ม และสามารถกินพื้นที่ได้ถึง 5 มิลลิเมตร หลุมสิวประเภทพบได้ไม่บ่อยเมื่อเทียบกับอีกสองประเภทแต่เป็นประเภทที่รักษาได้ง่ายที่สุด
- Boxcar หรือ หลุมสิวแบบกล่อง มีลักษณะเป็นกล่องหรือบ่อกว้างที่มีขอบชัดเจน ความกว้างอยู่ที่ 1.5 - 4 มิลลิเมตร ซึ่งนอกจากสิวแล้ว แผลจากตุ่มโรคอีสุกอีใสก็มักทำให้เกิดเป็นแผลแบบ Boxcar ได้
หลุมสิวหายได้ 100% ไหม
การรักษาหลุมสิวให้หาย 100% เป็นไปได้ยากค่ะ แต่สามารถรักษาให้ดูจางลง เพื่อให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้นได้ด้วยหัตถการอย่าง เลเซอร์หลุมสิว การฉีดกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Subcision ค่ะ ซึ่งผลลัพธ์ของการรักษาก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล อัตราการสร้างคอลลาเจน (ขึ้นอยู่กับช่วงอายุและสุขภาพ) ความรุนแรงของหลุมสิว และการตอบสนองของร่างกายด้วยค่ะ อย่างไรก็ดี การปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก็จะสามารถช่วยให้เราวางแผนการรักษาที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพได้ค่ะ
เลเซอร์หลุมสิว เจ็บไหม
เลเซอร์หลุมสิว อาจทำให้รู้สึกระคายเคืองหรือเจ็บเล็กน้อยค่ะ โดยเลเซอร์แต่ละตัวจะมีระดับความเจ็บปวดที่ไม่เท่ากัน อาทิ เช่น Fractional CO2 จะทำให้รู้สึกระคายเคืองผิวหน้ามากกว่าเมื่อเทียบกับ Venus Viva MD เป็นต้นค่ะ

เลเซอร์รักษาหลุมสิว ทำงานอย่างไร ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้จริงไหม
หมอขอสรุปง่าย ๆ ว่า เลเซอร์รักษาหลุมสิวได้ด้วยการกระตุ้นกระบวนการสมานแผล (Wound Healing) ในร่างกายของเราค่ะ ซึ่งเรามีกลไกการทำงานได้คร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ
- กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนด้วยความร้อน (Collagen Stimulation) : เมื่อแสงเลเซอร์ถูกส่งผ่านเข้าไปในขั้นผิวหนังแล้ว แสงเลเซอร์จะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อน ซึ่งความร้อนนี้จะกระตุ้นให้เซลล์ผลิตคอลลาเจนมากขึ้นและเกิดการปรับโครงสร้างของเส้นใยคอลลาเจน (Collagen remodeling) ที่ช่วยให้ผิวเน้นฟูขึ้น และทำให้หลุมสิวเริ่มจางลง
- ทำลายเนื้อเยื่อส่วนแผลเป็น (Scar Tissue Vaporization) : เลเซอร์บางตัว เช่น เลเซอร์ CO2 สามารถทำให้เนื้อเยื่อแผลเป็นบางส่วน “ระเหย” หายไปได้ค่ะ ซึ่งการระเหยตรงนี้ก็จะทำให้เซลล์บริเวณนั้นเข้าสู่วงจรการผลัดเซลล์ผิว (Cell Turnover) ส่งผลให้ผิวเรียบเนียนมากขึ้นค่ะ
- ขจัดผิวเก่าและเผยผิวใหม่ (Ablative Resurfacing) : เลเซอร์บางตัวที่มี Ablative technology จะสามารถขจัดเอาผิวชั้นนอกสุดออก ซึ่งช่วยให้ร่างกายได้ผลัดเซลล์ผิวและสร้างคอลลาเจนเพิ่ม ซึ่งจะช่วยเติมเต็มหลุมสิวและปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้นค่ะ
นอกจากนี้ เลเซอร์ยังรักษาได้มากกว่าหลุมสิว: เลเซอร์ที่ใช้รักษาหลุมสิวสามารถช่วยแก้ไขปัญหารอยดำ รอยแดง ริ้วรอยและปรับโทนสีผิวให้เสมอกันได้ด้วยค่ะ
และเมื่อเทียบกับทรีตเมนต์อื่นๆเลเซอร์รักษาหลุมสิว ถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย ทำได้ง่าย มีความเสี่ยงต่ำ และเห็นผลไวด้วยค่ะ
เลเซอร์รักษาหลุมสิว มีอะไรบ้าง

ในปัจจุบัน เทคโนโลยีเลเซอร์ให้เราเลือกอยู่มากมายค่ะ หมอผึ้งจึงขอยกตัวอย่าง 3 เลเซอร์รักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยมมาก มีประสิทธิภาพสูง พร้อมข้อดี-ข้อเสียของแต่ละตัวค่ะ
เลเซอร์รักษาหลุมสิว Venus Viva MD

เลเซอร์หลุมสิว Venus Viva MD เป็นการรักษาหลุมสิวด้วยเทคโนโลยี NanoFractional™ Radiofrequency ค่ะ ซึ่งเทคโนโลยีตัวนี้โดดเด่นในเรื่องของ Skin Resurfacing เจ้าเลเซอร์ตัวนี้รักษาหลุมสิวด้วย คลื่นความถี่วิทยุที่ส่งผ่านเข้าสู่ชั้นผิวด้วยเข็มที่มีขนาดเล็กเพียงประมาณ 300 นาโนเมตร (1 นาโนเมตร เท่ากับ 1 ในสิบล้านเซนติเมตร) ค่ะ
แล้วเข็มเล็กนาโนแบบนี้ดีอย่างไร เข็มขนาดเล็กเหล่านี้เข้าสู่ชั้นผิวได้ลึก (สูงสุดที่ความลึก 800 µm) กระจายคลื่นวิทยุเข้าสู่เนื้อเยื่อได้อย่างสม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพสูง โดยที่ไม่สร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง และยังไม่สร้างความเจ็บปวดระหว่างการรักษาด้วยค่ะ
Venus Viva MD การันตีเรื่องความสบายหน้าระหว่างการรักษาค่ะ โดยงานวิจัยของ Journal of Cosmetic Dermatology ในปี 2021 ระบุไว้ว่า ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว 30 คนที่ได้ทำเลเซอร์รักษาหลุมสิวตัวนี้ ให้คะแนนความเจ็บปวดระหว่างการทำ เพียง 3 ใน 10 (0 =ไม่เจ็บเลย และ 10 = เจ็บมาก) และที่สำคัญ หลังการรักษาก็ไม่มีผลข้างเคียงระยะยาวใด ๆ ด้วยค่ะ
คลื่นวิทยุที่ถูกส่งผ่านเข้าไปในชั้นผิวด้วยเข็มขนาดเล็กเหล่านี้ จะทำความร้อนเป็นจุดเล็ก ๆ (เรียกว่า Microthermal zone) ซึ่งกระตุ้นกระบวนการสมานแผลของเซลล์ในบริเวณที่เราต้องการค่ะ
นอกจาก เทคโนโลยีเข็มจิ๋ว แล้วเลเซอร์รักษาหลุมสิว Venus Viva MD ยังมีเทคโนโลยี SmartScan™ ซึ่งจะสามารถปรับเปลี่ยนแพตเทิร์นในการปล่อยคลื่นวิทยุได้ตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล ทำให้เลเซอร์รักษาหลุมสิวตัวนี้มีความยืดหยุ่น ปลอดภัยต่อผู้รับการรักษามากขึ้น และยังลดโอกาสเกิดผิวไหม้คล้ำ (Hyperpigmentation) หลังทำเลเซอร์ด้วยค่ะ
ข้อดี:
- เหมาะกับหลุมสิวประเภท rolling และ boxcar
- จุดเด่นคือเป็น Fractional RF ชนิด Ablative ที่สร้างความร้อนถึงจุดที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวด้านบนได้ ทำให้ได้เซลล์ผิวใหม่ที่มาพร้อมกับ Skin Texture ที่ดีขึ้น
- ได้ในเรื่องของ Patient Comfort ระหว่างการรักษาเพราะปล่อยพลังงานจากหัว pin ขนาดจิ๋ว
- โอกาสการเกิดรอยไหม้ หรือ รอยคล้ำ หลังทำการรักษาต่ำ ด้วยเทคโนโลยี SmartScan™
- ปลอดภัยกับผิวทุกประเภท
ข้อเสีย:
- มีเวลาพักฟื้นประมาณ 2-3 วัน
- การปล่อยพลังงานจะเป็นการปล่อยผ่านหัว pin ซึ่งอาจจะทำให้พลังงานลงลึกเท่าเครื่องที่ใช้ Microneedle ปล่อยไม่ได้
เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional RF

เลเซอร์หลุมสิว Fractional RF (Fractional Radiofrequency) คือการใช้คลื่นความถี่วิทยุในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งคลื่นวิทยุนี้พอเข้าสู่ชั้นผิวแล้วจะทำให้เกิดความร้อน ซึ่งผลักดันให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ โดยเลเซอร์ Fractional RF มีทั้งแบบ Ablative และ Non-Ablative ซึ่งแพทย์จะเป็นคนพิจารณาว่าจะใช้แบบไหนค่ะ
ที่ EY Clinic จะมีการใช้เลเซอร์ Fractional RF ชนิด Microneedling ค่ะ เทคนิคนี้คือ การใช้เข็มขนาดเล็ก (ขนาด 0.5-3 มิลลิเมตร ซึ่งใหญ่กว่าเข็มของ Venus Viva MD) ทิ่มเข้าไปในชั้นผิวเพื่อสร้างแผลเป็นจุดเล็ก ๆ ที่จะกระตุ้นกระบวนการสมานแผล และยังช่วยให้คลื่น RF เข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกและทั่วถึงมากขึ้นด้วยค่ะ
ข้อดี:
- สามารถรักษาหลุมสิวในบริเวณที่ผิวมีความบอบบางได้ดี
- เทคนิค Microneedling ช่วยให้คลื่น RF เข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกมากกว่า Pico laser
- ผลข้างเคียงน้อย เมื่อเทียบกับเลเซอร์ตัวอื่น
ข้อเสีย:
- ไม่เหมาะกับคนที่มีหลุมสิวที่ลึกและรุนแรง
- อาจต้องทำทรีตเมนต์หลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
บริการเลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional RF มีรายละเอียดดังนี้ค่ะ
- Fractional RF (size S) 1 ครั้ง ราคา 4,999.-
- Fractional RF (size M) 2 ครั้ง ราคา 8,999.-
- Fractional RF (size L) 3 ครั้ง ราคา 12,699.-
เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional CO2

เลเซอร์หลุมสิว Fractional CO2 ปล่อยแสงเลเซอร์ที่ความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร ใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวกลางในการแทรกตัวเข้าสู่เซลล์ผิว ซึ่งที่ EY Clinic ก็มีบริการเลเซอร์หลุมสิว Fractional CO2 โดยใช้ชื่อว่า “Smooth X” ค่ะ
เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional CO2 เป็นเลเซอร์ประเภท Ablative มีหลักการทำงานดังนี้ค่ะ:
เมื่อยิงเลเซอร์เข้าสู่ผิวหนังแล้ว ความร้อนของเลเซอร์จะเข้าไปทำให้น้ำในเนื้อเยื่อร้อนขึ้น ทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการผลิตคอลลาเจน ผลัดเซลล์ผิว และเร่งผลิตเซลล์ผิวใหม่ค่ะ ซึ่งเราก็ไม่ต้องกลัวว่า ผิวหน้าส่วนอื่นจะได้รับความร้อนสูงเข้าไปด้วย เพราะ Fractional CO2 จะให้ความร้อนเป็นจุดเล็ก ๆ และไม่ให้เนื้อเยื่อบริเวณรอบข้างเสียแน่นอนค่ะ
สำหรับที่ EY Clinic หลังทำเลเซอร์ Fractional CO2 เสร็จแล้ว บริเวณที่ทำจะมีแผลเล็ก ๆ พร้อมกับสะเก็ดแผลเล็กน้อย
ข้อดี:
- รักษาหลุมสิวที่ลึกได้ดี โดยเฉพาะหลุมสิวประเภท rolling และ boxcar
- มีความยืดหยุ่นในการรักษา แก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย เช่น กระ สิวข้าวสาร สิวอุดตันหัวปิด และช่วยลบเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณ หน้าผาก รอบดวงตา แก้ม และรอบปากได้ด้วยค่ะ
- ช่วยกระชับรูขุมขน
ข้อเสีย:
- อาจมีผลข้างเคียงหลังทำเสร็จ (อาการบวมแดง หรือสะเก็ดแผล) ที่มากกว่าเมื่อเทียบกับเลเซอร์ตัวอื่น
- มีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยคล้ำ (Hyperpigmentation) หลังทำ หากแพทย์ไม่มีความชำนาญหรือเครื่องมือไม่ได้มาตรฐาน
ซึ่งเลเซอร์รักษาหลุมสิว Smooth X ที่มีให้บริการที่ EY Clinic มีรายละเอียดราคาดังนี้ค่ะ
- SmoothX หลุมสิวที่แก้ม 3,499.- ต่อครั้ง และมีแพ็กเกจ 17,495.- ต่อ 6 ครั้ง
- SmoothX หลุมสิวทั่วหน้า 3,999.- ต่อครั้ง และมีแพ็กเกจ 19,995.- ต่อ 6 ครั้ง
เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fotona

Fotona เป็นเลเซอร์ YAG ซึ่งเลเซอร์ YAG ใช้ในการรักษาหลุมสิวคือ Er:YAG มีกลไกในการกระตุ้นกระบวนการสมานแผล และช่วยปรับผิวให้เรียบเนียนค่ะ ซึ่งเลเซอร์ Fotona ก็มีทั้งแบบ Ablative ที่ช่วยผลัดเซลล์ได้ และ Non-ablative ที่ไม่ทำให้หน้าบาง แต่การเลือกใช้ก็จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ผู้ดูแลค่ะ
ข้อดี:
- มีความแม่นยำ ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สามารถรักษาปัญหาผิวอื่น ๆ นอกจากหลุมสิวได้ เช่น ช่วยลบเลือนริ้วรอย
- ให้ผลลัพธ์ที่นาน
ข้อเสีย:
- หลังทำแล้ว ผิวอาจมีอาการบวมแดง ระคายเคือง หรือเกิดเป็นรอยคล้ำ (Hyperpigmentation)
เลเซอร์รักษาหลุมสิว eMatrix

eMatrix ใช้คลื่น RF ในการรักษาหลุมสิว เหมือนกับ Venus Via MD และ Fractional RF ค่ะ แต่ eMatrix จะใช้เทคโนโลยี Sublative™ ที่เป็นการโฟกัสคลื่นวิทยุไปยังผิวชั้นหนังแท้ เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยจะปล่อยคลื่นออกมาในรูปแบบพีรามิด ที่ไม่ทำร้ายหรือผิวชั้นหนังกำพร้าค่ะ
ข้อดี:
- แก้ปัญหาผิวได้หลายข้อ เช่น จุดด่างดำ ริ้วรอย หรือ รอยดำจากแดด
- ไม่ทำให้หน้าบาง หรือเกิดรอยคล้ำไหม้
- ช่วยกระชับรูขุมขน และปรับสีผิวให้เสมอกันได้
ข้อเสีย:
- หัวของ eMatrix จะปล่อยพลังงานในรูปแบบ stamping ทำให้เกิดสะเก็ดที่ใหญ่ถึง 59,000 ไมครอน^2 ใหญ่กว่าของ Venus Viva ถึง 20 เท่า ตอนทำอาจจะรู้สึกเจ็บกว่า
- ความสามารถในการทะลุผ่านเนื้อเยื่อยังตื้นกว่าและมีความแม่นยำน้อยกว่า Venus Viva
- เห็นผลช้า อาจต้องทำทรีตเมนต์หลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
เลเซอร์รักษาหลุมสิว Pico

Pico laser น่าจะเป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิวที่หลาย ๆ คนคุ้นชื่อ ซึ่ง ‘Pico’ นั้นมาจากคำว่า ‘Picosecond’ (แปลว่า 1ล้านล้านของวินาที) ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการยิงแสงเลเซอร์ในจังหวะที่สั้นและเร็ว ลำแสงเลเซอร์พลังงานสูงจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในบริเวณที่ต้องการได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพค่ะ
โดยในปัจจุบัน Pico สามารถปล่อยเลเซอร์ได้ที่หลายความยาวคลื่น (532, 730, 755, 785 และ 1064 นาโนเมตร) ซึ่งแต่ละความยาวคลื่นก็จะมีข้อบ่งชี้ในการใช้ที่ต่างกันค่ะ
Pico laser หลุมสิว ยังเป็นเลเซอร์แบบ Non-ablative หรือก็คือ ไม่มีการลอกผิวชั้นนอก และยังขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการทำลายเม็ดสีเมลานิน ช่วยแก้ปัญหาฝ้ากระได้ดี และยังเป็นเลเซอร์ที่ใช้ลบรอยสักด้วยค่ะ
ข้อดี:
- ไม่ทำให้หน้าบางลง
- เห็นผลลัพธ์รวดเร็วและชัดเจนในกลุ่มคนที่ปัญหาหลุมสิวไม่รุนแรง
ข้อเสีย:
- ผิวหน้าอาจตกสะเก็ดหลังทำ
- ไม่เหมาะกับคนที่มีหลุมสิวจำนวนมากและรุนแรง
- Pico laser ถูกผลิตมาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องของเม็ดสี แต่มี side effects คือช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ถูกนำมารักษาหลุมสิวได้ แต่ผลอาจจะไม่สม่ำเสมอเท่าเครื่องอื่นๆ
- ด้วยต้นทุนที่สูง อาจทำให้มีราคาเริ่มต้นที่สูงเมื่อเทียบกับเลเซอร์รักษาหลุมสิวตัวอื่น ๆ
เลเซอร์รักษาหลุมสิวต้องทำกี่ครั้ง ถึงจะเห็นผล

โดยทั่วไปแล้ว ผลที่ชัดเจนที่สุดจะเห็นได้หลังทำเลเซอร์รักษาหลุมสิวได้ 3-5 ครั้งค่ะ อย่างไรก็ดี จำนวนครั้งและผลลัพธ์ย่อมขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลและชนิดของหลุมสิวด้วยค่ะ
วิธีการเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์หลุมสิว

การทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว เราควรมีการวางแผนและเตรียมตัวดังนี้ค่ะ
- งดสครับผิวหน้า อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์
- งดใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ Retinol, Glycolic acid, Salicylic acid หรือส่วนประกอบใดที่มีสรรพคุณในการผลัดเซลล์ผิว
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 3-5 วัน ก่อนการทำเลเซอร์
- ไม่แต่งหน้าในก่อนเข้าทำเลเซอร์
- ศึกษาหาข้อมูล และรีวิวของคลินิกที่จะใช้บริการก่อนตัดสินใจทำเสมอ เพราะไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิว ฟิลเลอร์ หรือฉีดสิว ก็ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยของเราค่ะ
วิธีการดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว

เมื่อทำเลเซอร์รักษาหลุมสิวแล้ว เราควรมีการดูแลตัวเองเพื่อลดความรุนแรงของผลข้างเคียง และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ
- หลีกเลี่ยงไม่ให้บริเวณที่เพิ่งยิงเลเซอร์มาโดนน้ำเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง
- เมื่อผ่าน 24 ชั่วโมงไปแล้ว สามารถล้างหน้าได้ตามปกติ แต่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิว
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และกิจกรรมออกแดดในช่วง 24-48 ชั่วโมง หลังทำเสร็จ เนื่องจากเป็นช่วงที่ผิวจะคล้ำได้ง่ายกว่าปกติ
- งดการใช้เครื่องสำอางอย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังทำเลเซอร์เสร็จ
- งดสครับหน้าจนกว่าอาการบวมแดงหรือสะเก็ดจะหายไป
- หากมีสะเก็ดแผล ไม่ควรแกะหรือเกาเพราะอาจจะทำให้เกิดรอยแผลเป็น
- ทามอยเจอร์ไรเซอร์ และครีมกันแดด เพื่อบำรุงและสร้างเกราะป้องกันให้ผิว
รักษาหลุมสิวที่ EY Clinic ดีอย่างไร

อย่างที่กล่าวไปค่ะว่า ไม่ว่าจะเป็นหัตถการประเภทไหน เราก็ควรเลือกเข้ารับบริการกับคลินิกที่มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ และมีใบอนุญาตที่ถูกกฎหมาย ซึ่งหากคุณกำลังมองหาคลินิกที่จะช่วยดูแลสุขภาพผิวของคุณ เข้ามาพูดคุยกับเราที่ EY Clinic ได้ค่ะ เราคือผู้เชี่ยวชาญทางด้านสิว หลุมสิว และปัญหาผิวรอบด้าน นำทีมโดย นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) เป็นแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง เชี่ยวชาญด้าน Dermatosurgery โดยหมอจะมีการประเมินสภาพผิวและพูดคุยกับคุณก่อนที่จะวางแผนการรักษา เพื่อออกแบบทรีตเมนต์ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับคุณโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ยังมีการติดตามผลการรักษา ให้แน่ใจว่าได้ผลลัพธ์ที่คุณพึงพอใจค่ะ
สำหรับคนที่กำลังมองหาแพ็กเกจการรักษาหลุมสิว และฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน ที่ Ey Clinic มีแพ็กเกจให้บริการดังนี้ค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
หมอหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเลเซอร์รักษาหลุมสิวกับคนที่สนใจและต้องการดูแลผิวของตนเองได้ไม่มากก็น้อยค่ะ อย่างไรก็ดี หากมีข้อสงสัยสามารถแวะเข้ามาปรึกษาหมอผึ้งได้ที่ EY Clinic ค่ะ
อ้างอิงข้อมูล:
Arruda, Suleima, et al. (2021) Subject Satisfaction Following Treatment with Nanofractional Radiofrequency for the Treatment and Reduction of Acne Scarring and Rhytids: A Prospective Study, Journal of Cosmetic Dermatology: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/34559923/
รีวิวจากผู้รับบริการจริง




ในบทความนี้ หมอผึ้งจะพาไปรู้จักกับการทำ Subcision หลุมสิว ซึ่งเป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อ แต่ก็เป็นวิธีรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพสูง มีผลข้างเคียงน้อยและน่าสนใจตัวนึงค่ะ
สรุปใจความสำคัญ
- Subcision หลุมสิว คือ การตัดพังผืดใต้หลุมสิวโดยใช้เข็มขนาดเล็ก สามารถช่วยแก้ปัญหาหลุมสิวได้ดีสำหรับหลุมสิวชนิด rolling
- Subcision หลุมสิว นิยมทำคู่กับหัตถการรักษาหลุมสิวตัวอื่น ๆ เพราะสามารถเพื่อประสิทธิภาพการรักษาโดยรวมได้เป็นอย่างดี
- Subcision หลุมสิว เป็นการรักษาที่อาศัยความชำนาญของแพทย์ โดยแพทย์แต่ละคนอาจจะมีเทคนิคการทำที่ต่างกัน ซึ่งคุณสามารถเรียนรู้เทคนิคเฉพาะของหมอผึ้ง ได้ในบทความนี้
Subcision หลุมสิว คืออะไร รักษาหลุมสิวได้อย่างไร

หลังจากที่สิวหาย ร่างกายของเราก็จะเข้าสู่กระบวนการสมานแผลซึ่งทำให้เกิดการสร้างพังผืด (Fibrous tissue) ที่ว่าก็คือเนื้อเยื่อที่ร่างกายสร้างขึ้นมาระหว่างการสมานแผล ซึ่งพังผืดเหล่านี้อาจกลายเป็นตัวการที่ดึงรั้งผิวบริเวณฐานของหลุมสิวของเราไว้ ทำให้หลุมสิวรักษาได้ยาก การทำ Subcision หลุมสิว ก็คือ การตัดเอาเนื้อเยื่อพังผืดเหล่านี้ออก และวิธีนี้ยังกระตุ้นให้ผิวผลิตคอลลาเจนในบริเวณหลุมสิวอีกด้วยค่ะ
การทำ Subcision หลุมสิว ยังนิยมทำคู่กับหัตถการรักษาหลุมสิวตัวอื่น ๆ อย่าง เลเซอร์ สารกระตุ้นคอลลาเจนและฟิลเลอร์ เมื่อทำร่วมกันแล้ว ยิ่งจะทำให้ผลของการรักษาออกมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมค่ะ
เราควรทำ Subcision หลุมสิว ดีไหม - Subcision หลุมสิว เหมาะกับใคร

ได้รู้จักหลักการของหัตถการ Subsicion หลุมสิวไปแล้ว เราอาจจะมีคำถามว่า แล้วการทำ Subcision หลุมสิวนั้นเหมาะกับใครบ้าง
- คนที่มีหลุมสิวแบบลึกและตื้น โดยจะได้ผลดีที่สุดกับหลุมสิวประเภท Rolling scar
- คนมีปัญหาหลุมสิวแบบ Boxcar ที่มีลักษณะเป็นเหมือนกล่อง มีขอบชัดเจน ปากหลุมและก้นหลุมที่กว้างเท่า ๆ กัน
- คนที่อยู่ในคอร์สรักษาหลุมสิวด้วยวิธีอื่น (เช่น เลเซอร์ ฟิลเลอร์ หรือ TCA) และต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
หมอผึ้งขอเสริมค่ะว่า การทำ Subcision หลุมสิวจะได้ผลดีกว่าเมื่อทำร่วมกับหัตถการอื่น เพราะในบางกรณีการตัดพังผืดหลุมสิวอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ
ยกตัวอย่างจากข้อมูลของงานวิจัยจากในปี 2023 จาก Clinical Cosmetic and Investigational Dermatology ที่ระบุว่า การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวร่วมกับการทำ Subsicion ให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจใน 94% ของผู้รับการรักษา ในขณะที่การทำ Subsicion หลุมสิวอย่างเดียวให้ผลลัพธ์ที่ดีเพียง 67% ของผู้รับการรักษาค่ะ
ฉะนั้น หากเลือกใช้ Subsicion หลุมสิวเป็นการรักษาร่วมกับทรีตเมนต์อื่น ๆ ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ
ขั้นตอนการรักษา Subcision หลุมสิว ทำได้อย่างไร

- เริ่มต้นจากการทำความสะอาดผิวหน้าในบริเวณที่จะหัตถการ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- แพทย์อาจทำเครื่องหมายบนใบหน้าบริเวณที่จะมีการทำ Subcision โดยใช้ปากกาสำหรับระบุตำแหน่งบนผิวหนัง
- ฉีดหรือแปะยาชาตรงบริเวณที่จะทำการตัดพังผืดหลุมสิว ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าควรให้ยาชาประเภทไหน
- แพทย์ทำการสอดเข็มขนาดเล็กเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ก่อนจะทำการเลาะพังผืดที่อยู่ใต้หลุมสิวออก
- ระหว่างการทำ Subsicion หลุมสิว จะมีการซับเลือดและประคบเย็นเพื่อลดความเจ็บปวดและอาการบวม
- หลังทำ Subcision หลุมสิวแล้ว ผู้รับการรักษาอาจมีอาการบวมช้ำบริเวณที่ทำหัตถการ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่ปกติของหัตถการ และสามารถประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการได้
- แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตัวเองหลังทำหัตถการ และนัดหมายเพื่อติดตามผลการรักษาครั้งต่อไป
หมอผึ้งขอย้ำว่า ก่อนทำทรีตเมนต์ที่ EY Clinic เราจะมีการให้ประเมินสภาพผิวและให้คำปรึกษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้การรักษาที่เหมาะสมที่สุด และเพื่อการันตีผลลัพธ์ที่อยากได้ค่ะ
เทคนิค Subcision หลุมสิว ของหมอผึ้ง

แพทย์ผิวหนังแต่ละท่านอาจจะมีเทคนิควิธีการทำ Subcision ที่ต่างกัน โดยที่ EY Clinic หมอผึ้งจะมีเทคนิคใช้อยู่ 3 เทคนิคดังนี้ค่ะ
ClearPath - เทคนิคการตัดพังผืดหลุมสิวโดยใช้เข็ม 2 ประเภท: เข็มทู่ Blunt cannula และ เข็มแหลม Sharp needle ซึ่งจะทำให้ตัดพังผืดได้อย่างแม่นยำตามที่ต้องการ และไม่ทำร้ายผิวบริเวณรอบข้างค่ะ
PainShield - หมอผึ้งจะมีเทคนิคในการฉีดยาชาแบบพิเศษ ซึ่งจะทำให้ยาชากระจายตัวทั่วชั้นผิว dermis เพื่อให้ผู้รับการรักษารู้สึกเจ็บน้อยที่สุดระหว่างการทำ Subsicion หลุมสิวค่ะ
MultiPlane - ตัดพังผืดหลุมสิวจากหลายระนาบ เพื่อให้มั่นใจว่า ได้ตัดเอาพังผืดหลุมสิวออกอย่างหมดจด เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุดค่ะ
ย้ำกันนิดนึงค่ะ ว่าการทำ Subcision หลุมสิว เป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ ซึ่งแพทย์ผู้ดำเนินการควรจะเป็นแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการฝึกหัดในการทำหัตถการค่ะ ฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะเลือกทำ Subcision หลุมสิวกับคลินิกไหน อย่าลืมเช็กให้แน่ใจว่า คลินิกนั้น ๆ มีแพทย์เฉพาะทาง และเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐานค่ะ
Subcision หลุมสิว ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล

โดยทั่วไปแล้ว การทำ Subcision หลุมสิวควรทำอย่างน้อย 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 4 สัปดาห์ต่อครั้ง เพื่อให้ผลการรักษาที่ชัดเจนและดีที่สุดค่ะ
ข้อดีของ Subcision หลุมสิว
- มีความเสี่ยงต่ำ ไม่ต้องมีเวลาพักฟื้น
- ให้ผลการรักษาที่ถาวร และไม่มีผลข้างเคียงในระยะยาว
- ไม่มีรอยแผลจากการทำหัตถการ มีเพียงอาการบวมและห้อเลือดเล็กน้อย
- ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นไม่แพง
ข้อเสียของ Subcision หลุมสิว
- เหมาะกับหลุมสิวบางประเภทเท่านั้น และให้ผลดีที่สุดกับหลุมสิวประเภท Rolling
- เป็นหัตถการที่อาศัยความชำนาญจากแพทย์สูง
ทำ Subcision หลุมสิวกับ EY Clinic ดีอย่างไร

อย่างที่ได้กล่าวไปค่ะว่า Subcision หลุมสิว คือหัตถการทำต้องอาศัยความชำนาญและควรทำโดยแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น ซึ่งที่ EY Clinic มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง การันตีความปลอดภัย ความสบายใจ และผลลัพธ์ที่คุณอยากได้ค่ะ โดยแพ็กเกจรักษาหลุมสิวที่ EY Clinic มีดังนี้ค่ะ
โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size S (4,999.-)
- เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน
โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size M (8,999.-)
- Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
- เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน
โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size L (18,999.-)
- Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
- เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน
- Rejuran S รุ่นเฉพาะหลุมสิว (1cc)
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย
เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะมาพูดคุย ปรึกษาปัญหาผิวกับหมอผึ้งได้ที่ EY Clinic ค่ะ
อ้างอิงข้อมูล:
Vempati, A. et al. (2023) Subcision for atrophic acne scarring: A comprehensive review of surgical instruments and combinatorial treatments, Clinical, cosmetic and investigational dermatology: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC9868281
รีวิวจากผู้รับบริการจริง
.jpeg)
.jpeg)
.jpeg)