Profhilo vs Radiesse ต่างกันอย่างไร ตัวไหนดีกว่ากัน?

Profhilo เป็น Bioremodeller ส่วน Radiesse เป็น Biostimulator ซึ่งได้รับความนิยมกันทั้งคู่ค่ะ แต่ถึงจะทำหน้าที่คล้ายกัน แต่ทั้งสองตัวนี้มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันค่ะ ในบทความนี้หมอได้สรุปความแตกต่างของ Profhilo vs Radiesse เอาไว้แล้วค่ะ
สรุปสาระสำคัญ
- Profhilo และ Radiesse มีความสามารถกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินได้เหมือนกัน
- Profhilo คือ Hyaluronic Acid ชนิดพิเศษ ในขณะที่ Radiesse คือ สาร CaHA
- Profhilo ออกฤทธิ์ต่อในทั้งผิวชั้นหนังกำพร้าและชั้นลึกจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวมทั่วใบหน้า
- Radiesse เน้นการทำงานในผิวชั้นลึก เพื่อเสริมโครงสร้างและเพิ่มความวอลลุ่มให้ผิว นิยมใช้กับบริเวณที่มีความหย่อนคล้อย เช่น แก้ม กรอบหน้า หรือหลังมือ
- Profhilo โดดเด่นในด้านการคืนความอ่อนวัย เติมความชุ่มชื้น ลบเลือนริ้วรอย และเพิ่มความกระชับยืดหยุ่นให้ผิว
- Sculptra โดดเด่นในเรื่องการยกกระชับ ลิฟต์กรอบหน้า และเติมเต็มปริมาตรให้ผิวดูอิ่มฟู ไม่เหี่ยวย่น
- Profhilo อยู่ได้นาน 6-12 เดือน ในขณะที่ Radiesse อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
- Profhilo ควรฉีดอย่างน้อย 2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 เดือน และจะเริ่มให้ผลลัพธ์ในช่วง 1-2 เดือนหลังฉีด
- Radiesse อาจมีจำนวนครั้งการฉีดที่มากกว่าหรือถี่กว่า ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของบุคคล โดยจะเห็ยผลลัพธ์ด้านวอลลุ่มของผิวทันทีหลังฉีด และสาร CaHA จะค่อย ๆ กระตุ้นคอลลาเจนต่อไปในระยะยาว
- หลังฉีด Profhilo แล้ว มักไม่ต้องมีเวลาพักฟื้น หรือมีผลข้างเคียงที่น้อยมาก ๆ ในขณะที่ Radiesse อาจทำให้เกิดรอยช้ำหรือบวมแดงเล็กน้อย
Profhilo คืออะไร
Profhilo [โปร-ฟิ-โล] คือ สารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) บริสุทธิ์ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 64 mg/2ml (มากกว่าฟิลเลอร์ทั่วไปถึง 5 เท่า) มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในทุกชั้นผิวค่ะ โดย Profhilo ต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปที่ โมเลกุลไฮยาของ Profhilo จะมีความหนืดต่ำ เมื่อฉีดแล้วสามารถแพร่กระจายในชั้นผิวได้ทันที โดยไม่ขึ้นรูปหรือไม่จับตัวเป็นก้อน การฉีด Profhilo จึงไม่ใช่การเติมเต็มปริมาตรให้ผิว แต่จะเป็นการปรับโครงสร้าง (Bio-remodeling) เติมความชุ่มชื้น (Skin Hydration) และปรับคุณภาพผิว (Skin Quality) โดยรวมนั่นเองค่ะ
Profhilo ทำหน้าที่เป็น Bioremodeller ที่ออกฤทธิ์ในทุกชั้นผิว โดยจะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน (ชนิดที่ 1,3, และ 4) และอีลาสติน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความกระชับยืดหยุ่นให้ผิว ร่วมไปถึงเสริมสร้างโครงสร้างผิวให้แข็งแรงยิ่งขึ้นค่ะ
Profhilo ช่วยอะไรบ้าง
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้ผิวเต่งตึงและยืดหยุ่นมากขึ้น
- ปรับปรุงโครงสร้างและคุณภาพผิวโดยรวม
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างล้ำลึก เนื่องจากมีส่วนประกอบของไฮยาลูรอนิก แอซิดเข้มข้นสูง ช่วยแก้ปัญหาผิวแห้งกร้านได้
- ลดเลือนริ้วรอยตื้นๆ และรอยย่นบนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณแก้มและร่องแก้ม
- ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอ ฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำจากแสงแดดและมลภาวะ
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว เมื่อทำควบคู่กับการตัดพังผืด (Subcision) หรือเลเซอร์หลุมสิวอย่าง Venus Viva MD
ผลลัพธ์ของ Profhilo อยู่ได้นาน 6-12 เดือน และจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในช่วง 1-2 เดือนแรกค่ะ หมอแนะนำให้ฉีดอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 1 เดือน และหลังจากนั้นก็สามารถฉีดเพื่อคงผลลัพธ์ได้ทุก 6 เดือนค่ะ
Radiesse คืออะไร
Radiesse [เร-เดียสซ์] คือ สารแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทด์ (Calcium Hydroxylapatite, CaHA) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็น Biostimulator กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวชั้นลึก และยังสามารถเติมปริมาตรให้ผิวได้คล้ายกับฟิลเลอร์ค่ะ
โดย Radiesse จะเข้าไปเติมเต็มปริมาตรผิวทำให้ผิวดูกระชับและอิ่มฟูขึ้นหลังฉีด และเมื่อสาร CaHA ถูกร่างกายดูดซึมแล้ว ก็จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ให้ผลิตคอลลาเจน (ชนิดที่ 1 และ 3) อีลาสติน และเพิ่มโมเลกุล Proteoglycan ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแรงให้ผิว อีกทั้งยังกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอยใต้ชั้นผิวอีกด้วยค่ะ
Radiesse ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
- ช่วยเติมเต็มให้ผิวอิ่มฟูกระชับ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด
- เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้โครงสร้างผิว
- ช่วยลดริ้วรอยและเติมเต็มร่องลึกบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และริ้วรอยรอบดวงตา
- ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณมุมปาก แก้มตอบ ขมับตอบ และลำคอ
- สามารถฉีดเพื่อลดความเหี่ยวย่นบริเวณหลังมือได้ด้วยค่ะ
ซึ่งผลลัพธ์ของ Radiesse มีอายุอยู่ที่ 15-24 เดือนค่ะ โดยหมอแนะนำว่าควรฉีดติดต่อกันอย่างน้อย 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4-6 สัปดาห์ และสามารถฉีดเพิ่มคงผลลัพธ์ได้ ทุก ๆ 12-18 เดือนค่ะ
Profhilo vs Radiesse แตกต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดของ Profhilo vs Radiesse คือ Profhilo เป็น ไฮยาลูรอนิกแอซิดที่สามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ทุกชั้นผิว โดยไม่เติมวอลลุ่มให้ผิวหรือเปลี่ยนรูปหน้า ในขณะที่ Radiesse คือ แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทด์ จะเติมผิวให้มีความอิ่มฟูได้ทันที และจะออกฤทธิ์กระตุ้นคอลลาเจนในผิวชั้นลึกภายหลังค่ะ โดยหมอผึ้งได้สรุปความแตกต่างที่สำคัญของ Biostimulator ทั้งสองตัวนี้ไว้ในตารางด้านล่างแล้วค่ะ
Profhilo vs Radiesse อันไหนดีกว่ากัน
สำหรับคำถามที่ว่า Profhilo vs Radiesse ตัวไหนดีกว่ากัน ก็ต้องตอบว่า ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่อยากได้ค่ะ โดย Profhilo เหมาะกับคนที่ต้องการเติมน้ำให้ผิว ลดเลือนริ้วรอย และปรับคุณภาพผิวโดยรวม ส่วน Radiesse เหมาะกับคนที่ต้องการเติมวอลลุ่มให้ผิวอย่างรวดเร็ว และกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาวค่ะ
สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะกับ Profhilo หรือ Radiesse มากกว่ากัน สามารถเข้ามาปรึกษาหมอผึ้งที่ EY Clinic ได้ค่ะ โดยเรามีการประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษาก่อนเริ่มหัตถการทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่า คุณจะได้รับการรักษาที่ตรงจุด ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ และไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็นค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย
เพราะเรา คือ ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาปรึกษาคุณหมอ ได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ