ทำความเข้าใจ สิวฮอร์โมน กับวิธีรักษา กู้ผิวหน้าคืนความมั่นใจ
![ทำความเข้าใจ สิวฮอร์โมน กับวิธีรักษา กู้ผิวหน้าคืนความมั่นใจ](https://cdn.prod.website-files.com/640703be00bb957a1ba9adef/65ec1799a8f7dd4e6f0355f7_32.png)
สรุปใจความสำคัญ
- สิวฮอร์โมนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย
- สิวฮอร์โมนสามารถเป็นได้ทั้งสิวอักเสบและสิวไม่อักเสบ
- สิวฮอร์โมนในวัยรุ่นมักพบบริเวณ T-zone
- สิวฮอร์โมนในวัยทำงานมักพบบริเวณกรอบหน้า
- สิวฮอร์โมนสามารถพบได้ในบริเวณอื่นของร่างกาย โดยเฉพาะ แผ่นหลัง ท้ายทอย และต้นแขน
- วิธีการรักษาสิวฮอร์โมนเหมือนกับการรักษาสิวทั่วไป โดยสามารถรักษาได้ด้วยยากิน ยาทา การรักษาความสะอาด และหัตถการอย่าง Dermalight และเลเซอร์
- เลเซอร์ที่ได้รับของบ่งชี้ว่า ควรใช้ในการรักษาปัญหาสิวฮอร์โมน คือเลเซอร์ ADVATX
ทำความรู้จักกับ “สิวฮอร์โมน”
สิวฮอร์โมน คือสิวที่เกิดขึ้นจากระดับความแปรปรวนของฮอร์โมน ประเภทของสิวฮอร์โมนก็มีทั้งสิวอักเสบและสิวอุดตัน ฮอร์โมนหลัก ๆ เกี่ยวข้องกับเกิดสิวฮอร์โมนก็คือ เอสโตรเจน (Estrogen) และ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ค่ะ และเรารู้กันดีว่าช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนเหล่านี้มีความแปรปรวนสูงมาก หนุ่มสาว ๆ ในช่วงวัยรุ่นส่วนใหญ่จึงมีมักปัญหาสิวฮอร์โมนค่ะ
แต่นอกจากคนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น สาว ๆ ที่ยังมีรอบอยู่ก็เดือนอยู่ก็อาจมีปัญหาสิวฮอร์โมนได้ค่ะ โดยสิวฮอร์โมนมักจะมาในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนรอบประจำเดือน และจะมาในช่วงที่เรามีความเครียดสูงค่ะ
สิวฮอร์โมน เป็นแบบไหน
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า สิวที่ขึ้นเป็นสิวฮอร์โมนหรือไม่ ลองสังเกตตัวเองได้ ดังนี้ค่ะ
- สิวฮอร์โมนมักจะขึ้นในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน หรือที่เรียกว่าช่วง PMS (Premenstrual Syndrome)
- สิวฮอร์โมนมักมาในช่วงเวลาที่ร่างกายได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเวลาที่มีความเครียดสูง
- สิวฮอร์โมนมักจะมาเป็นในรูปแบบของ ‘breakout’ หรือสิวเห่อ ที่มาทั้งสิวอักเสบและสิวอุดตัน
- สิวฮอร์โมนมักจะเกิดบริเวณซ้ำกัน โดยหนุ่มสาวช่วงวัยรุ่นมักจะมีสิวฮอร์โมนที่บริเวณ T-zone และหนุ่มสาววัยทำงาน มักจะมีสิวฮอร์โมนบริเวณคางและกรอบหน้า
ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวฮอร์โมน
เราสรุปได้คร่าว ๆ ว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวฮอร์โมนคือ ความแปรปรวนของเอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน และความเครียดค่ะ
เอสโตรเจน (Estrogen) และ เทสโทสเตอโรน (Testosterone)
ร่างกายของเรามีทั้งเอสโตรเจน หรือที่บางคนเรียกว่า ฮอร์โมนเพศหญิง และเทสโทสเตอโรน หรือฮอร์โมนเพศชายค่ะ โดยตัวเทสโทสเทอโรนนี่แหละ ที่เป็นตัวการหลักในการเกิดสิวฮอร์โมน ระดับเทสโทสเทอโรนที่สูงทำให้รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ซึ่งทำให้เป็นสิวได้ง่ายขึ้น ในขณะที่เอสโตรเจนทำหน้าที่ควบคุมการผลิตน้ำมัน ช่วยให้ผิวไม่มันเกินไปค่ะ ในช่วงที่ฮอร์โมนมีความสมดุล สิวฮอร์โมนก็ไม่เกิดค่ะ
สาเหตุที่สิวฮอร์โมนมักจะมาในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือนเป็นเพราะในช่วงนี้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง ต่อมน้ำมันใต้ผิวจึงได้รับผลจากเทสโทสเทอโรนอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดเป็นสิวฮอร์โมนขึ้นมาค่ะ
![](https://cdn.prod.website-files.com/640703be00bb957a1ba9adef/65ec17a599aa446d5c4af30d_qRWe2VrmKSQo4yXpcKP73u4uNtqZOm1KiRT_-awzJImNaNJC1fWwPWWXR2Za0T1SR-ClaM-YXQXogQ2-dY2v4mjjqBhXJyZcxEpZ9lWDxsYr7rTNSnORACbNXqWpN3mFS6AAD07q9DPqR-W-cxADy8Q.png)
ความเครียด
ความเครียดกับสิวฮอร์โมนเป็นของคู่กันค่ะ คนวัยทำงานคงเคยประสบปัญหาสิวฮอร์โมนในช่วงที่งานเยอะหรือพักผ่อนน้อยนะคะ ในช่วงที่เราเผชิญกับความเครียด ร่างกายของเราจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมามาก ฮอร์โมนตัวนี้ โดยปกติแล้วคอร์ติซอลจะสูงในช่วงเช้าหลังจากที่เราตื่นนอน เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมกับกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวันค่ะ
แต่เมื่อเราอยู่ในภาวะเครียด หรือมีการพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจะตอบสนองโดยการผลิตคอลติซอลออกมามากกว่าปกติ ซึ่งคอลติซอลทำให้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น และยังมีผลในการกดภูมิคุ้มกันซึ่งทำให้แบคทีเรีย P.acnes เติบโตบนผิวหนังเราได้ง่ายขึ้น ส่งผลเป็นสิวฮอร์โมนค่ะ
![](https://cdn.prod.website-files.com/640703be00bb957a1ba9adef/65ec17a5a23df51f0a78989e_31v4kBaWo-41MnkF9s1zsSlBJGpm8WVj73aWocmDS3rgfFY_SzL9OeGu7Y3JTjuEpbBIvrLxxj0AyP5lZjbfgbnNmdG2E1ARv6Ke89KReP84fIxfH4Rbvu3NmqhPvJbYqphqEn0qqGh2Rws25mb7Sek.png)
ภาวะที่อาจทำให้เกิดสิวฮอร์โมน
ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome หรือ PCOS)
เป็นภาวะที่ต่อมไร่ท่อมีความผิดปกติที่พบมากถึง 8-13% ในกลุ่มผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ค่ะ ภาวะ PCOS ทำให้ระดับฮอร์โมนไม่สมดุลและมีการแสดงออกทางอาการที่หลากหลาย อาการที่พบได้บ่อยคือ อาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ น้ำหนักขึ้น เป็นสิวฮอร์โมนบ่อย ๆ และอาการ “Hyperandrogenism” หรือ อาการแสดงที่มีฮอร์โมนเพศชายมากเกินไปค่ะ ร่างกายของคนที่มีภาวะ PCOS จะผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนออกมามากกว่าปกติ ทำให้ขนขึ้นตามร่างกายเยอะกว่าปกติโดยเฉพาะบริเวณใบหน้า แขนขา มีผิวมันและมีสิวรุนแรงรักษายากค่ะ
การตั้งครรภ์
ช่วงเวลาตั้งครรภ์เป็นอีกภาวะหนึ่งที่ระดับของฮอร์โมนมีความแปรปรวนสูงนะคะ และยังเป็นช่วงที่ความเครียดสูงไปด้วยทั้งทางร่างกายและจิตใจ จึงทำให้คุณแม่หลาย ๆ คนต้องเจอกับปัญหาสิวฮอร์โมน ซึ่งสิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ก็คือการรักษาความสะอาด ลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ หมอขอย้ำว่าให้หลีกเลี่ยงการใช้ยารักษาสิวฮอร์โมนด้วยตัวเองเพราะอาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ได้ค่ะ
การใช้ยาประเภทสเตียรอยด์
เนื่องจากยาประเภทสเตียรอยด์มีส่วนในการกดระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้แบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนังสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้เกิดเป็นสิวฮอร์โมนได้ง่ายค่ะ โดยพบว่า คนที่ใช้สเตียรอยด์เป็นประจำ มักมีสิวฮอร์โมนจำนวนมากขึ้นที่บริเวณแผ่นหลังค่ะ
บริเวณของการเกิดสิวฮอร์โมน
สำหรับสิวฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่น ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดในพื้นที่ T-zone หรือ บริเวณคาง จมูก และหน้าผาก และสำหรับสิวฮอร์โมนในผู้ใหญ่ ส่วนมากจะขึ้นบริเวณกรอบหน้าด้านล่าง อย่างเช่น ใต้คางและขากรรไกรค่ะ
บริเวณอื่น ๆ ของร่างกายที่มักเกิดสิวฮอร์โมน ได้แก่ บริเวณท้ายทอย แผ่นหลัง แขนช่วงบน
วิธีรักษาสิวฮอร์โมน
ใช้ยารักษาสิวฮอร์โมน
ยาแบบรับประทานที่ใช้กันในการรักษาสิวฮอร์โมน จะเป็นยาปฏิชีวนะ หรือยาอนุพันธ์วิตามินเอ
- ยาปฏิชีวนะ เช่น Tetracycline และ Doxycycline ออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนัง มักจะเป็นตัวเลือกแรกที่แพทย์จ่ายให้กับคนที่มีปัญหาสิวค่ะ
- ยาอนุพันธ์วิตามินเอ หรือ Isotretinoin เป็นยาที่ใช้รักษาสิวที่รุนแรง และสิวที่ไม่ดีขึ้นหลังใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ผลข้างเคียงของยาตัวนี้มีมากมายและค่อนข้างรุนแรง จึงจำเป็นต้องมีใบสั่งยาในการซื้อค่ะ
เกร็ดความรู้
ในช่วงวัยรุ่น สาว ๆ อาจจะเคยได้ยินว่ากินยาคุมจะรักษาสิวฮอร์โมนได้ ซึ่งการใช้ยาคุมกำเนิด (Oral contraceptive pills) แบบรายเดือนสามารถลดอาการเกิดสิวฮอร์โมนได้จริงค่ะ เนื่องจากยาคุมกำเนิดแบบรายเดือนจะปรับระดับฮอร์โมนในร่างกายคงที่ แต่ยาคุมกำเนิดก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้จึงควรทานเฉพาะถ้ามีข้อบ่งชี้ เช่น ต้องการคุมกำเนิดร่วมด้วย หรือคุณหมอวินิจฉัยแล้วว่ามีภาวะ PCOS และยาคุมไม่เหมาะสำหรับการรักษาสิวฮอร์โมนในหนุ่มๆ เลยค่ะ
อย่างไรก็ตาม ก่อนใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนนะคะ
แต้มยารักษาสิวฮอร์โมน
ยาแต้มสามารถช่วยรักษาสิวสิวฮอร์โมนได้ โดยยาส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบของ salicylic acid และ benzoyl peroxide หรืออาจจะเป็นยาปฏิชีวนะ (antibiotic) อย่าง clindamycin ค่ะ
- Salicylic acid มีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวและควบคุมการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันใต้รูขุมขน ช่วยแก้ปัญหาทั้งสิวฮอร์โมนแบบสิวอุดตันและสิวอักเสบ
- Benzoyl Peroxide เป็นตัวยาที่ใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ช่วยรักษาสิวอักเสบและป้องกันการเกิดสิวฮอร์โมนใหม่
- Clindamycin ออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนังค่ะ
ยาแต้มสิวเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นยาที่สามารถซื้อได้ over-the-counter หรือซื้อได้แบบไม่ต้องใช้ใบสั่งยา แต่อย่างไรก็ดี หมอแนะนำให้ปรีกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้จะดีที่สุดค่ะ และยาเหล่านี้อาจทำให้ผิวระคายเคือง และลอกเป็นขุยได้ ฉะนั้นหมอแนะนำว่าควรมีการบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์อย่างต่อเนื่องด้วยค่ะ
รักษาด้วยการฉายแสง Dermalight
Dermalight เป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาผิวหน้าและแก้ปัญหาสิวฮอร์โมนที่มีความเสี่ยงต่ำและไม่เจ็บตัวเลยค่ะ Dermalight ใช้แสงที่ความยาวคลื่นต่างกันในการรักษาผิวหน้า แสงที่ถูกออกมาเพื่อรักษาสิวคือ 1. แสงสีน้ำเงิน (Blue light) ที่ความยาวคลื่นระหว่าง 405-410 นาโนเมตร ซึ่งมีอานุภาพในการทำลายเยื้อหุ้มเซลล์ของแบคทีเรีย P.acnes ทำให้แบคทีเรียตัวนี้ไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ และ 2. แสงสีแดง (Red light) ที่ความยาวคลื่น 630-700 นาโนเมตร มีสรรพคุณในการลดการอักเสบ กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และเร่งกระบวนการสมานแผลค่ะ
รักษาด้วยเลเซอร์
การรักษาผิวหน้าด้วยเลเซอร์เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันนะคะ เพราะเป็นวิธีที่เห็นผลรวดเร็ว มีความเสี่ยงต่ำ และรักษาปัญหาผิวได้ครอบคลุมค่ะ หลักการทำงานของเลเซอร์ในการรักษาสิวฮอร์โมนก็ง่ายๆ ค่ะ คือ พลังงานจากเลเซอร์จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ซึ่งเป็นตัวการให้เกิดสิวอักเสบ และช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน (sebaceous gland) ทำให้ผลิดน้ำมันได้น้อยลงค่ะ
เลเซอร์ได้รับข้อบ่งชี้ชัดเจนจาก FDA ว่ามีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการรักษาสิวฮอร์โมน เพราะ เลเซอร์ AdvaTx หรือ AdvaLight เป็นเลเซอร์แบบ Dual-wavelenghth หรือสองความยาวคลื่น AdvaTx ปล่อยแสงสีเหลืองที่ความยาวคลื่น 589 นาโนเมตรและอินฟราเรดที่ 1319 นาโนเมตร ซึ่งนอกจากจะมีประสิทธิภาพในการรักษาสิวฮอร์โมนแล้ว AdvaTx ยังเป็นหัตถการที่มีข้อบ่งชี้ในการรักษาปัญหาผิวอีกมากมาย เช่น ปานแดง ไฝแดง ฝ้าเลือด แผลเป็นประเภทหลุมสิว ริ้วรอยรอบดวงตาและรอบปากค่ะ
![](https://cdn.prod.website-files.com/640703be00bb957a1ba9adef/65ec12d1312b6bd7cf57a77d_j8c1tMO2cIdtyEEyZNq2P9ZHzFHiQx4IeoZrxHuZCUSy0VySUBy8BAGwG3qgZzm_mgWGWVyaO2vnB-q7Alpa3y52CGji1D2JjKMC5TOkYbUENZjiOjOC5OEA50HLbYZSSQEnxdPGsNg-AR_x2ARFHNg.png)
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวฮอร์โมน
จริงอยู่ที่เราไม่สามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนได้โดยตรง แต่เรามีวิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวฮอร์โมน และลดความรุนแรงของสิวฮอร์โมนได้ดังนี้ค่ะ
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อลดความเครียดที่เป็นปัจจัยของการเกิดสิวฮอร์โมน
- ใช้เครื่องสำอางให้น้อยลง และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อุดตันรูขุมขน
- ดูแลรักษาความสะอาดของผิวหน้าและผิวกาย
- เลือกสกินแคร์ที่เหมาะกับผิวหน้าของตัวเอง
- หากเป็นสิวฮอร์โมนเรื้อรัง หรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อแผนการรักษาที่จะเหมาะกับคุณที่สุด
วิธีดูแลตัวเองระหว่างมีสิวฮอร์โมน
แม้เราจะดูแลผิวอย่างดีแล้ว บางครั้งบางทีสิวฮอร์โมนก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ค่ะ แต่เราก็มีวิธีดูแลตัวเองระหว่างช่วงที่เป็นสิวฮอร์โมนเพื่อลดการเกิดแผลเป็น และลดความรุนแรงของสิวที่ทำได้ง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าด้วยมือที่สกปรก
- ไม่แคะ แกะ กด หรือบีบสิว เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง และนำไปสู่การเกิดหลุมสิว
- แต้มยารักษาสิว เช่น Clindamycin เพื่อระงับการเติบโตของแบคทีเรีย และลดการอักเสบของสิวฮอร์โมน
รักษาสิวฮอร์โมนที่ EY Clinic
- Acne basic: ทรีตเมนต์กดสิว มาสก์หน้าและทรีตเมนต์บำรุงผิว เริ่มต้นที่ 999 บาท
- Acne plus: ทรีตเมนต์กดสิว และ dermalight (ทั่วหน้า) เริ่มต้นที่ 1,699 บาท
- Acne advanced: ทรีตเมนต์กดสิว/มาสก์และทรีตเมนต์บำรุงผิว และ dermalight (ทั่วหน้า) เริ่มต้นที่ 1,999 บาท
- Acne clearsure รวมทรีตเมนต์กดสิว เลเซอร์ AdvaTx (30 จุด) และ dermalight (ทั่วหน้า) 2,599 บาท
ทุกการรักษาที่ EY Clinic จะถูกดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีการให้คำปรึกษาก่อนและหลังการรักษา และมีการติดตามผลการรักษาด้วยค่ะ
![](https://cdn.prod.website-files.com/640703be00bb957a1ba9adef/6454e4c23bc9b9f8b76aab32_image5.png)
กู้ผิวหน้า แก้ปัญหาสิวฮอร์โมนที่ EY Clinic
สำหรับคนที่มีปัญหาสิวฮอร์โมน สิวอุดตัน หรือปัญหาผิวอื่นๆ ที่สร้างความกังวลใจและรักษาไม่หายสักที สามารถเข้ามาปรึกษาที่ EY Clinic ได้ค่ะ เราคือทีมแพทย์ด้านผิวหนัง เวชศาสตร์ความงาม และเวชศาสตร์ฟื้นฟู ที่มีประสบการณ์รวมกับกว่า 30 ปี พร้อมให้คำปรึกษาและรักษาปัญหาทางผิวหนังแบบครอบคลุม โดยจะมุ่งเน้นไปที่ความผลลัพธ์ที่คุณอยากได้ และไม่มีการยัดเยียดทรีตเมนต์ที่ไม่จำเป็นค่ะ แวะมาปรึกษากับหมอผึ้ง และหมอเก่ง ๆ ท่านอื่นได้ที่ EY Clinic ค่ะ
รีวิวจากผู้รับบริการจริง
![](https://cdn.prod.website-files.com/640703be00bb957a1ba9adef/65ec18932860fe2bcea795e1_LINE_ALBUM_%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A7%20(New)_240128_22.jpg)
![](https://cdn.prod.website-files.com/640703be00bb957a1ba9adef/65ec189cb0006561d07b7d0b_LINE_ALBUM_%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A7%20(New)_240128_23.jpg)
![](https://cdn.prod.website-files.com/640703be00bb957a1ba9adef/65ec18aa68426a53f5b5934d_LINE_ALBUM_%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A7%20(New)_240128_24.jpg)
บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว