รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค

สิว ฝ้า และปัญหาผิวหนังรอบด้าน รักษาโดยแพทย์ผิวหนัง
TCA หลุมสิว ลอกผิวหน้าด้วยกรดผลไม้ ทำให้หน้าเนียนได้อย่างไร
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
TCA หลุมสิว ลอกผิวหน้าด้วยกรดผลไม้ ทำให้หน้าเนียนได้อย่างไร
การทำ TCA เป็นหัตถการในการฟื้นฟูผิวที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและอยู่กับวงการผิวมายาวนานค่ะ การทำ TCA หลุมสิว ถือเป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ TCA ยังสามารถช่วยเพิ่มกระจ่างใสให้ผิวได้อีกด้วยค่ะ

การทำ TCA เป็นหัตถการในการฟื้นฟูผิวที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและอยู่กับวงการผิวมายาวนานค่ะ การทำ TCA หลุมสิว ถือเป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ TCA ยังสามารถช่วยเพิ่มกระจ่างใสให้ผิวได้อีกด้วยค่ะ

สรุปใจความสำคัญ

  • การทำ TCA คือการใช้กรดผลไม้ในการแก้ปัญหาผิว เช่น ริ้วรอย ฝ้า หรือรอยหลุมสิว
  • เราสามารถใช้กรด TCA ทั้งกับผิวหน้า และผิวกาย
  • กรด TCA มีสรรพคุณในการผลัดเซลล์ผิว หรือลอกผิว เพื่อเผยผิวใหม่ที่กระจ่างใส และเรียบเนียนกว่าเดิม
  • กรด TCA ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้น
  • ผลข้างเคียงที่น่ากังวลที่สุดของการทำ TCA หลุมสิวและ TCA ลอกผิว คือ ผิวเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ และการใช้บริการกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน

การทำ TCA หลุมสิว คืออะไร

การทำ TCA หลุมสิว คือ การใช้กรดผลไม้ (Trichloroacetic acid หรือ TCA) ในรักษาหลุมสิวและฟื้นฟูสภาพผิวค่ะ โดยเราจะแบ่งการทำ TCA หลุมสิวได้ออกเป็น 2 วิธีหลัก ๆ ดังนี้ค่ะ

TCA Chemical Peeling

TCA Chemical Peeling หรือ TCA Peel คือ การลอกผิวด้วยกรด TCA ที่ความเข้มข้น 10%-30% ค่ะ โดย TCA Peel จะทำให้ผลัดเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้า และกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมา การรักษานี้จะช่วยแก้ปัญหาผิวคล้ำเสียจากแสงแดด ฝ้า ริ้วรอย และช่วยควบคุมความมันได้ดี รวมถึงสามารถช่วยทำให้หลุมสิวที่ไม่รุนแรงมาก ดูตื้นขึ้นได้ด้วยค่ะ

นอกจากการลอกผิวหน้าแล้ว TCA Peel ก็สามารถทำกับผิวกายได้ด้วยค่ะ โดยจะเป็นตัวเลือกที่เพิ่มความกระจ่างใส ลดความหยาบกร้านของผิว และลดขนคุดได้ดีค่ะ

TCA CROSS

TCA CROSS หรือ TCA Chemical Reconstruction Of Skin Scar คือ การแต้มกรด TCA ลงไปด้านในของหลุมสิวหรือแผลเป็น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการผลิตคอลลาเจนและทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น ซึ่งแตกต่างกับ TCA Peel ที่เป็นการลอกผิวทั้งใบหน้าค่ะ

แพทย์แต่ละคนก็จะมีเทคนิคในการแต้มลงไปในหลุมสิว บางคนอาจจะใช้เป็น เข็มปลายทู่ หรือ บางคนอาจจะใช้เป็นไม้จิ้มฟันค่ะ

TCA CROSS จะใช้กรด TCA ที่ความเข้มข้นสูง 70%-100% ซึ่งมีประสิทธิภาพกับทั้งหลุมสิวประเภท Ice pick, rolling และ boxcar โดยเฉพาะกับหลุมสิวประเภท icepick ที่มีลักษณะเป็นหลุมสิวปากแคบแต่ลึก ซึ่งไม่ค่อยสนองต่อการรักษาวิธีอื่นค่ะ

เราสามารถสรุปอย่างสั้น ๆ ได้ว่า TCA Peel จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคนที่อยากปรับสีผิวและสภาพผิวโดยรวม (ทั้งผิวหน้าและผิวกาย) ในขณะที่ TCA Cross คือ การทำ TCA เพื่อรักษาหลุมสิวโดยเฉพาะค่ะ

TCA หลุมสิว ทำแล้วเจ็บไหม

ระหว่างทำ TCA หลุมสิว หรือ TCA Peel เราจะรู้สึกแสบหรือระคายเคืองเล็กน้อยค่ะ เมื่อทำเสร็จ ผิวบริเวณที่รักษาจะเกิดเป็นฝ้าขาว ๆ (Frosting) ซึ่งเกิดจากการที่กรด TCA ทำปฏิกิริยากับโปรตีนบนชั้นผิวค่ะ ฝ้าขาว ๆ ตรงนี้จะหายไปเองภายใน 3-4 ชั่วโมง หลังจากนั้นผิวจะเริ่มแดง อาจจะมีสะเก็ดเป็นสีเข้ม และลอกออกไปเองตามลำดับค่ะ

หลังทำ TCA หลุมสิว ควรดูแลตัวเองอย่างไร

ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังทำ TCA แล้ว ผิวของเราจะมีความแดง มีสะเก็ดเป็นจุด ๆ (โดยเฉพาะหลังทำ TCA Cross รักษาหลุมสิว) และมีความบอบบางเป็นพิเศษค่ะ เราสามารถดูแลผิวหลังทำ TCA ได้ดังนี้ค่ะ

  • หลีกเลี่ยงการล้างหน้า หรือการอาบน้ำ (ในกรณีทำ TCA ลอกผิวกาย) 4-6 ชั่วโมงหลังทำ
  • ไม่แกะหรือเกาสะเก็ดที่เกิดขึ้น และปล่อยให้สะเก็ดหลุดออกไปเอง
  • บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าและบำรุงผิวที่อ่อนโยน
  • หลีกเลี่ยงการใช้สกินแคร์ที่มีสรรพคุณในการผลัดเซลล์ผิว เช่น Retinol หรือ BHA อย่างน้อย 7-10 วันหลังทำ
  • หลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์อื่น ๆ เช่น เลเซอร์ แว็กซ์ หรือสครับ อย่างน้อย 7-10 วันหลังทำ
  • หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดโดยตรง และใช้ครีมกันแดดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการเกิดผิวคล้ำหลังทำหัตถการ (Post Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH)
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย และกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น การอบซาวน่า หรือการแช่ออนเซ็น อย่างน้อย 3-4 วันหลังทำ

ทำไมทำ TCA แล้วผิวกลายเป็นสีคล้ำ หรือเป็นรอยดำด่าง

อาการผิวคล้ำหลังทำหัตถการ (Post Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) เป็นผลข้างเคียงของ TCA หลุมสิว ที่หลาย ๆ คนกังวลค่ะ ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้เกิดผิวคล้ำหลังทำ TCA มีดังนี้ค่ะ

  • ความเข้มของสีผิว คนที่มีโทนผิวสีเข้ม จะมีเสี่ยงต่อการเกิดผิวคล้ำมากกว่าคนที่มีผิวสีอ่อน
  • ความเข้มข้นของกรด หากแพทย์เลือกใช้ TCA ที่เข้มข้นมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดผิวคล้ำได้ค่ะ
  • การออกแดด ในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังทำ TCA ลอกผิว หรือ TCA หลุมสิว เป็นช่วงเวลาที่ผิวมีความไวต่อแสงแดดมาก ๆ ค่ะ การโดนแดด และไม่ใช้ครีมกันแดดในช่วงเวลานี้ จึงอาจทำให้เกิดผิวคล้ำได้ค่ะ
  • กรดทำปฏิกิริยากับผิวรุนแรงเกินไป ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ขึ้นอยู่กับสุขภาพผิวของแต่ละบุคคลค่ะ แพทย์จึงต้องพิจารณาผิวของเราก่อนที่จะเริ่มทำ เพื่อดูว่า TCA เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับเราหรือไม่ค่ะ

TCA ลอกผิว หรือ TCA หลุมสิว ทำเองที่บ้านได้ไหม

สำหรับคนที่กำลังอยากลองซื้อกรด TCA มาแต้มหลุมสิวเอง หรือลอกผิวที่บ้าน หมอขอแนะนำว่า ไม่ควรทำค่ะ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ค่ะ เช่น ผิวไหม้เป็นด่าง ๆ สิวเห่อ หรือผิวอักเสบรุนแรงจนเกิดตุ่มพุพองและติดเชื้อค่ะ หากต้องการรักษาหลุมสิว หรือปัญหาผิวใด ๆ แนะนำให้เลือกใช้บริการกับคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยดีกว่าค่ะ

ฟื้นฟูผิว รักษาหลุมสิวด้วย TCA ที่ EY Clinic

หมอหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ความรู้ในเรื่องของการทำ TCA หลุมสิวให้กับทุกคนมากขึ้นค่ะ อย่าลืมว่า ไม่ว่าจะทำหัตถการตัวไหน เราควรจะศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน และเลือกรับบริการกับคลินิกที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ค่ะ หากใครยังไม่แน่ใจว่า ปัญหาหลุมผิวของตัวเองต้องแก้ไขอย่างไร เข้ามาปรึกษากับเราที่ EY Clinic ได้ค่ะ

TCA หลุมสิว ราคาเท่าไร

แพ็กเกจ TCA ที่ EY Clinic มีให้บริการมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ

  • TCA acne scar หลุมสิว 1,999 ต่อ 1 ครั้ง หรือ 9,995 ต่อ 6 ครั้ง (คิดเป็นครั้งละ 1,666)

โดยเราจะมีการติดตามและประเมินผลการรักษาอย่างใส่ใจ เพื่อการันตีผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจให้กับคุณค่ะ

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

TCA หลุมสิว ลอกผิวหน้าด้วยกรดผลไม้ ทำให้หน้าเนียนได้อย่างไร
Dr. Patnapa Vejanurug
Jul 8, 2024
เป็นสิวไม่มีหัว ทำไงดี: สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกัน
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
เป็นสิวไม่มีหัว ทำไงดี: สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกัน
หลายคนที่มีปัญหาสิว คงต้องเคยเจอกับสิวที่ทั้งเจ็บทั้งแดง แต่ไม่มีหัว กันมาบ้างแล้วนะคะ ในบทความนี้ เราจะไปเรียนรู้เกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เราเป็นสิวไม่มีหัว พร้อมวิธีการรักษาและวิธีดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้ปัญหาสิวลุกลามจนทำเราหมดความมั่นใจค่ะ

เราจะไปเรียนรู้เกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เราเป็นสิวไม่มีหัว พร้อมวิธีการรักษาและวิธีดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้ปัญหาสิวลุกลามจนทำเราหมดความมั่นใจค่ะ

สรุปใจความสำคัญ

  • สิวไม่มีหัว คือ สิวอักเสบประเภท Papule หรือ Nodule
  • สิวไม่มีหัวเกิดจากการอุดตันและการอักเสบของรูขุมขนเหมือนกันสิวที่มีหัว
  • สิวอุดตันหัวขาวก็นับเป็นสิวไม่มีหัวเช่นกัน
  • การรักษาสิวไม่มีหัวทำได้ด้วยการใช้ยาแต้มสิว การฉีดสิว และเลเซอร์

สิวไม่มีหัว คืออะไร

สิวไม่มีหัว (Blind pimples) คือ สิวที่เป็นตุ่นนูนแดงขึ้นมาแต่ไม่มีหัวเปิดให้เราเห็นค่ะ ซึ่งหลายคนที่เป็นสิวไม่มีหัวจะรู้ดีว่า สิวแบบนี้มักสร้างความเจ็บปวดให้เราเป็นอย่างมาก ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะการอักเสบที่เกิดขึ้นภายใต้ชั้นผิวค่ะ โดยสิวประเภทนี้เรียกว่า สิวอักเสบแบบตุ่มนูนแดง หรือ Papule เป็นสิวที่แข็งเป็นไต และมีขนาดเล็กที่เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 1 เซนติเมตรค่ะ

แต่หากเป็นสิวไม่มีหัวที่สัมผัสแล้วเจ็บ มีลักษณะเป็นตุ่มแดง ๆ ที่ใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร เราจะเรียกมันว่า สิวไต หรือ Nodular acne ซึ่งเป็นสิวอักเสบที่มีรากฐานการอักเสบที่ลึกและรุนแรง และมักมีเลือด/หนอง อยู่ภายในค่ะ (สิวไตที่มีขนาดใหญ่และรุนแรง ก็คือ สิวหัวช้าง หรือ Nodulocystic acne นั่นเอง)

แต่นอกจากสิวอักเสบตุ่มนูนแดงแบบ Papule และสิวเม็ดใหญ่แบบ Nodule แล้ว สิวอุดตันแบบ Closed comedone หรือ สิวขาวหัว ก็จัดเป็นสิวไม่มีหัวเช่นกันค่ะ โดยสิวอุดตันประเภทนี้จะมีขนาดเล็ก ไม่มีการอักเสบที่รุนแรง และไม่แข็งเป็นไตค่ะ

สิวไม่มีหัว เกิดจากอะไร

สิวไม่มีหัว มีกลไกการเกิดสิวเหมือนกับสิวที่มีหัวทั่วไปค่ะ โดยสิวเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยจากน้ำมัน เศษสิ่งตกค้าง และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย P.acnes และการอักเสบของผิว

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวไม่มีหัวก็มีอยู่มากมายค่ะ เช่น

1.พันธุกรรม

ปัจจัยทางพันธุกรรมเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้หลาย ๆ คนเป็นสิวง่ายกว่าคนอื่นค่ะ เพราะพันธุกรรมของเราเป็นตัวกำหนดการทำงานของหลายกระบวนการในร่างกาย เช่น

  • การผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง (Sebum production)
  • การอักเสบของผิว (Inflammatory response)
  • การผลิตเคราตินของผิว (Keratinization)
  • การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน

2. ฮอร์โมน

สาว ๆ หลายคนที่เป็นสิวบ่อย ๆ จะสังเกตได้ว่า สิวมักจะมาในช่วงก่อนมีประจำเดือน ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าระดับฮอร์โมนที่แปรปรวนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่รูขุมขนอุดตันและเกิดเป็นสิวไม่มีหัวค่ะ โดยฮอร์โมนหลัก ๆ ในร่างกายของที่ส่วนเกี่ยวข้องกับสิว ได้แก่ เอสโตรเจน (Estrogen) และ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งทั้งสองตัวนี้จะทำงานสวนทางกัน กล่าวคือ

  • เทสโทสเตอโรน ทำให้ผิวผลิตน้ำมันออกมาเยอะ นำไปสู่การอุดตันของรูขุมขนที่ง่ายขึ้น
  • เอสโตรเจน ทำหน้าที่ควบคุมการผลิตน้ำมัน ไม่ให้ผิวมันเกินไปและลดโอกาสการเกิดสิวค่ะ

3. ความเครียด

เมื่อพูดถึงสิว ไม่ว่าจะเป็นสิวไม่มีหัว หรือ สิวมีหัว เราจะไม่พูดถึงความเครียดไม่ได้เลยค่ะ เพราะความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจมีผลทำให้ผิวเกิดสิวได้ง่ายขึ้น โดยเมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียด เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการทำงานหนัก ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ในร่างกายจะสูงขึ้นค่ะ ซึ่งส่งผลทำให้รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมาเยอะ และทำให้ระดับภูมิคุ้มกันต่ำลง ทำให้เกิดเป็นสิวได้ง่ายขึ้นค่ะ

4. อาหาร

อาหาร เป็นอีกหนึ่งสาเหตุตัวดีที่ทำให้เราเป็นสิวไม่มีหัวค่ะ โดยอาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน และ คาร์โบไฮเดรตแปรรูป (Refined carbohydrates) สูง มีผลทำให้ผิวเป็นสิวง่ายได้ขึ้น เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้ผิวมันและการเกิดการอักเสบได้ง่าย นอกจากนี้ยังทำให้ผิวดูหมองคล้ำด้วยค่ะ

5. การไม่รักษาความสะอาด

การไม่ดูแลรักษาความสะอาดย่อมทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกบนผิวค่ะ ทั้งคราบเหงื่อไคล เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และเครื่องสำอางที่ตกค้าง เมื่อสะสมไปเรื่อย ๆ ก็นำไปสู่การเกิดสิวในที่สุดค่ะ

สิวไม่มีหัว แตกต่างจากสิวประเภทอื่น ๆ อย่างไร

สิวไม่มีหัวจะแตกต่างจากสิวประเภทอื่น ๆ ตรงที่ ความลึกของฐานสิว กระบวนการอักเสบที่เกิดขึ้นภายในตัวสิว และระดับการอุดตันของรูขุมขนค่ะ:

สิวหัวขาว เป็นสิวอุดตันที่ไม่มีหัว ซึ่งที่เกิดขึ้นเพราะ สิ่งที่อุดตันต่าง ๆ อัดแน่นอยู่ในจนทำให้ปิดปากของรูขุมขน ในขณะที่ สิวหัวดำ (Blackhead หรือ Open comedone) ยังมีปากรูขุมขนที่เปิดอยู่ สิ่งที่อุดตันภายในจึงได้สัมผัสกับอากาศภายนอก และเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ส่งผลให้สิ่งอุดตันเหล่านั้นกลายเป็นหัวสีดำ

ส่วนสิวตุ่มแดงและสิวไตจะเป็นสิวที่อักเสบที่มีฐานการอักเสบที่ลึก และมีกระบวนการอักเสบที่แตกต่างกับ สิวหัวหนอง (Pustule) ทำให้มีลักษณะที่ต่างกันค่ะ

บริเวณที่มักเกิดสิวไม่มีหัว

เป็นสิวไม่มีหัวที่หน้าผาก: หน้าผากเป็นบริเวณที่มีความมันมาก และยังเป็นส่วนที่ใกล้กับเส้นผม ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กับผมอาจทำให้ผิวระคายเคืองหรือทำให้เกิดการอุดตันได้ง่ายค่ะ

เป็นสิวไม่มีหัวบริเวณจมูก: จมูกเป็นบริเวณที่เกิดสิวง่าย เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีต่อมน้ำมันจำนวนมาก

เป็นสิวไม่มีหัวที่คาง: เป็นอีกส่วนหนึ่งของใบหน้าที่มีความมันมาก และมักเป็นบริเวณที่จะเกิดสิวเมื่อระดับฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน

เป็นสิวไม่มีหัวที่กรามและกรอบหน้า: เป็นบริเวณที่มักจะเจอกับสิ่งสกปรกและการระคายเคือง เช่น จากไรผม จากการใส่หน้ากากอนามัย หรือ จากการล้างหน้าไม่สะอาด

เป็นสิวไม่มีหัว รักษาได้อย่างไร

เมื่อเป็นสิวเม็ดแดง ๆ ไม่มีหัว และมีอาการเจ็บ เราจะมีวิธีรักษาได้ดังนี้ค่ะ

รักษาด้วยการใช้ยาแต้มสิว

ยาแต้มรักษาสิว เป็นยาที่เราสามารถซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไปโดยไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งยาค่ะ ซึ่งตัวยาที่สามารถใช้ได้เมื่อเป็นสิวไม่มีหัวจะ ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ (antibiotic) เช่น Clindamycin, ตัวยาออกฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวและป้องกันการอุดตันอย่าง Salicyic acid และ ตัวยาลดการอักเสบและฆ่าเชื้ออย่าง Benzyl Peroxide ค่ะ

รักษาด้วยการฉีดสิว

การฉีดสิวเป็นการรักษาสิวไม่มีหัวที่เห็นผลได้วัยค่ะ โดยสามารถช่วยให้สิวยุบได้ภายใน 8 ชั่วโมง ตัวยาที่ใช้มักจะเป็น Triamcinolone ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบ ลดอาการบวมและเจ็บปวดของสิว เหมาะสมสำหรับคนเป็นสิวไม่มีหัวแบบสิวไต และสิวตุ่มนูนค่ะ

รักษาด้วยเลเซอร์ Fractional CO2

เลเซอร์เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับคนเป็นสิวไม่มีหัวแบบสิวอุดตันค่ะ โดยเลเซอร์ Fractional CO2 จะใช้แสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตรซึ่งช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง และลดการอุดตันของรูขุมขนได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ นอกจากนี้ เจ้าเลเซอร์ Fractional CO2 ยังช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิว

และกระชับรูขุมขนให้มีขนาดเล็กลง เผยผิวใหม่ที่เรียบเนียนและแข็งแรงกว่าเดิมด้วยค่ะ

โดยแพ็กเกจเลเซอร์ที่ EY Clinic มีให้บริการมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ

  • CO2 สิวอุดตัน (50 จุด) 1 ครั้ง 999.- (คิดเพิ่มจุดละ 20.-)

วิธีดูแลตัวเองไม่ให้เป็นสิวไม่มีหัว

  1. รักษาความสะอาดของผิว โดยใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับผิวของตัวเอง เพื่อลดโอกาสการระคายเคืองของผิว
  2. ทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดของหวานและของมัน และพักผ่อนให้เพียงพอ
  3. ไม่แกะหรือบีบสิวเอง เนื่องจากจะทำให้การอักเสบของสิวรุนแรงขึ้น และอาจนำไปสู่การเกิดหลุมสิว

เป็นสิวไม่มีหัว รักษาได้ที่ EY Clinic

หมอหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ความรู้กับคนที่เป็นสิวได้ไม่มากก็น้อยนะคะ อย่างไรก็ดี หากใครมีปัญหาสิวเรื้อรังที่รักษาเท่าไรก็ไม่หาย หรือมีปัญหาผิวใด ๆ สามารถเข้ามาปรึกษากับเราที่ EY Clinic ได้ค่ะ

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

เป็นสิวไม่มีหัว ทำไงดี: สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกัน
Dr. Patnapa Vejanurug
Jul 8, 2024
A-Z เลเซอร์หลุมสิว ต่างกันยังไงบ้าง?
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
A-Z เลเซอร์หลุมสิว ต่างกันยังไงบ้าง?
วันนี้หมอผึ้งตั้งใจว่าจะช่วยคลี่คลายข้อสงสัยและคำถามต่างๆเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิวให้ทุกคนที่กำลังมองหาวิธีการรักษาอยู่

สวัสดีค่ะ วันนี้หมอผึ้งตั้งใจว่าจะช่วยคลี่คลายข้อสงสัยและคำถามต่างๆเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิวให้ทุกคนที่กำลังมองหาวิธีการรักษาอยู่ หวังว่าทุกคนจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากข้อมูลนี้นะคะ ถ้าหากมีคอมเมนท์หรือคำถามอะไร สามารถทักเข้ามาสอบถามหมอได้เลยนะคะ

Part 1: ว่าด้วยเรื่องหลุมสิว

หลุมสิวคืออะไร?

หลุมสิวเกิดจากการอักเสบในชั้นหนังแท้ที่เกิดจากสิว เมื่อรูขุมขนบวมขึ้นจะทำให้ผนังรูขุมขนแตกออก รอยสิวบางชนิดมีขนาดเล็กและรอยแผลเป็นตื้นจึงหายเร็ว อย่างไรก็ตาม บางครั้งสิวอาจทำให้เนื้อเยื่อโดยรอบเสียหายและเกิดหลุมสิวลึก ผิวหนังพยายามซ่อมแซมความเสียหายนี้ด้วยการสร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่ แต่ผลลัพธ์มักจะเป็นผิวที่ไม่เรียบเนียนเหมือนเดิม

ความสำคัญของการรักษาหลุมสิว

หลุมสิวสามารถส่งผลกระทบต่อความภาคภูมิใจในตนเองและคุณภาพชีวิตได้มาก ทำให้เกิดความทุกข์ทางอารมณ์ การแยกตัวจากสังคม (Social Isolation) และความรู้สึกมั่นใจที่ลดลง การรักษาหลุมสิวไม่เพียงช่วยปรับปรุงลักษณะทางกายภาพของผิว แต่ยังช่วยฟื้นฟูอารมณ์และเพิ่มความมั่นใจในตนเอง

ภาพรวมของวิวัฒนาการการรักษา

การรักษาหลุมสิวได้พัฒนาไปอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การรักษาที่บ้านและการใช้สมุนไพรไปจนถึงขั้นตอนทางการแพทย์ที่ซับซ้อน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีผลข้างเคียงน้อยลง วิวัฒนาการนี้สะท้อนถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับชีววิทยาของผิวหนังและความพยายามในการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านความงาม

การรักษาในระยะเริ่มแรกโดยส่วนใหญ่จะค่อนข้างผิวเผิน เช่น การขัดผิวด้วยกลไก (Mechanical Exfoliation) และการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling) เมื่อเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าไป การรักษาที่แม่นยำและตรงเป้าหมายมากขึ้น เช่น การใช้ไมโครนีดดิ้งและการรักษาด้วยเลเซอร์ก็เกิดขึ้น ในปัจจุบัน วิธีการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่น Fractional RF และการรักษาด้วย Stem Cell ให้ผลลัพธ์ที่น่าตื่นเต้นโดยมี Downtime และผลข้างเคียงน้อยที่สุด

หัวข้อต่อๆ ไปจะเจาะลึกแต่ละขั้นตอนของวิวัฒนาการนี้ สำรวจการพัฒนา ประสิทธิภาพ และผลกระทบของการรักษาหลุมสิวต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป

Part 2: วิธีการรักษาหลุมสิวในระยะเริ่มแรก

การรักษาที่บ้านและการรักษาตามธรรมชาติ

ก่อนที่จะมีการรักษาทางการแพทย์สมัยใหม่ ผู้คนพึ่งพาการรักษาที่บ้านและการรักษาตามธรรมชาติเพื่อจัดการกับหลุมสิว วิธีการเหล่านี้รวมถึงการใช้ส่วนผสมต่างๆ เช่น น้ำผึ้ง ว่านหางจระเข้ น้ำมะนาว และน้ำมันหอมระเหยต่างๆ เชื่อกันว่าสารธรรมชาติเหล่านี้มีคุณสมบัติในการรักษา สามารถลดการอักเสบและส่งเสริมการสร้างผิวใหม่ แม้ว่าบางคนจะพบว่าการรักษาเหล่านี้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ประสิทธิผลของพวกเขามักถูกจำกัดและไม่สอดคล้องกัน

การขัดผิวด้วยกลไก (Mechanical Exfoliation) และ Dermabrasion

การขัดผิวด้วยกลไกและการกรอผิวด้วยผิวหนัง (Derbabrasion) ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญประการแรกๆ ในการรักษาหลุมสิว เทคนิคเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการขจัดชั้นผิวด้านนอกออกทางกายภาพเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของผิวใหม่และลดการเกิดรอยแผลเป็น

  • การขัดผิวด้วยกลไกการทำงาน : วิธีนี้รวมถึงการใช้วัสดุที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เช่น สครับที่มีไมโครบีดส์ (Micro-beads) หรือสารขัดผิวตามธรรมชาติ เช่น เมล็ดแอปริคอทบด เป้าหมายหลักคือการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและปรับปรุงผิว อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเพียงผิวเผิน และวิธีนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าสำหรับผิวที่มีรอยเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าที่จะเป็นหลุมสิวที่ลึก
  • การกรอผิว :
    • ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการ: Dermabrasion ถือเป็นวิธีการผลัดผิวแบบเข้มข้นมากขึ้น มันเกี่ยวข้องกับการใช้แปรงหรือล้อหมุนความเร็วสูงเพื่อขจัดชั้นนอกของผิวหนัง ขั้นตอนนี้ได้รับการพัฒนาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และได้รับความนิยมในการรักษาโรคผิวหนังต่างๆ รวมถึงหลุมสิว
    • ประสิทธิผลและข้อจำกัด : Dermabrasion สามารถปรับปรุงลักษณะของรอยแผลเป็นตื้น ๆ และความผิดปกติของผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ต้องใช้แพทย์ที่มีทักษะเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ แผลเป็น และสีผิวที่เปลี่ยนไป ขั้นตอนนี้มักเกี่ยวข้องกับ Downtime มากและรู้สึกไม่สบายระหว่างการพักฟื้น

การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling)

การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีกลายเป็นวิธีการยอดนิยมในการรักษาหลุมสิว โดยเป็นวิธีควบคุมการขัดผิวโดยใช้สารเคมี

  • ประวัติความเป็นมา : การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีมีการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีบันทึกทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าหญิงชาวอียิปต์ใช้นมเปรี้ยว (ที่มีกรดแลคติค) เพื่อปรับปรุงผิวของตน การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีสมัยใหม่ได้รับการพัฒนาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นวิธีการขัดผิวที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น
  • ประเภทของการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี
    • การผลัดเซลล์ผิวชั้นตื้น : ใช้กรดอ่อนๆ เช่น กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (AHA) เพื่อขัดผิวชั้นนอกอย่างอ่อนโยน มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงความไม่สมบูรณ์ของผิวเล็กน้อยและการเปลี่ยนสี แต่มีผลกระทบจำกัดต่อรอยแผลเป็นลึก
    • การผลัดเซลล์ผิวชั้นกลาง : สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับกรดที่แรงกว่า เช่น กรดไตรคลอโรอะซิติก (TCA) ซึ่งเจาะลึกเข้าไปในผิวหนังเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่เสียหาย การผลัดเซลล์ผิวปานกลางสามารถรักษาหลุมสิวในระดับปานกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนมากกว่าการผลัดเซลล์ผิวแบบตื้น
    • การผลัดเซลล์ผิวชั้นลึก : การใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์แรง เช่น ฟีนอล การผลัดเซลล์ผิวแบบล้ำลึกจะให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งโดยการขจัดชั้นผิวหนังหลายชั้น มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวอย่างรุนแรง แต่มีความเสี่ยงสูง เช่น ใช้เวลาฟื้นตัวนาน มีโอกาสเกิดการติดเชื้อ และสีผิวเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร
  • ข้อดีและข้อเสีย : การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีให้ประโยชน์หลายประการ รวมถึงการปรับปรุงสภาพผิว การเปลี่ยนสีผิวที่ลดลง และรูปลักษณ์ที่ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น รอยแดง ผิวลอก และอาการแพ้ง่าย ความลึกของการผลัดเซลล์จะเป็นตัวกำหนดความรุนแรงของผลข้างเคียงและระยะเวลาการฟื้นตัว

บทสรุปของวิธีการเบื้องต้น

แม้ว่าวิธีการรักษาหลุมสิวในระยะเริ่มแรก เช่น การรักษาที่บ้าน การขัดผิวด้วยกลไกและการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีช่วยบรรเทาอาการได้ แต่ก็มักจะแทบไม่มีประสิทธิผลเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแผลเป็นที่อยู่ลึกกว่านั้น การรักษาเหล่านี้วางรากฐานสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถรักษาสาเหตุของหลุมสิวได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขั้นต่อไปของเทคโนโลยีการรักษาหลุมสิวจะนำมาซึ่งความก้าวหน้าที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการใช้ Microneedling และการรักษาด้วยเลเซอร์

Part 3: Microneedling

การคิดค้น Microneedling

Microneedling หรือที่เรียกว่าการรักษาด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เป็นวิธีการรักษาที่ค่อนข้างทันสมัยซึ่งได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต้นกำเนิดของไมโครนีดดิ้งเริ่มจากในสมัยโบราณที่มีการใช้เข็มขนาดเล็กในการแพทย์แผนจีนสำหรับแก้ปัญหาสภาพผิวต่างๆ อย่างไรก็ตาม แนวทางปฏิบัติสมัยใหม่ของการใช้ไมโครนีดดิ้งได้รับการพัฒนาในช่วงต้นทศวรรษ 1990 โดยดร. เดสมอนด์ เฟอร์นันเดส (Dr. Desmond Fernandes) ศัลยแพทย์พลาสติกชาวแอฟริกาใต้ เขาเป็นผู้บุกเบิกการใช้เข็มเพื่อรักษาริ้วรอยและรอยแผลเป็น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาอุปกรณ์ไมโครนีดลิ่งต่างๆ

กลไกการทำงานการออกฤทธิ์

Microneedling คือเทคโนโลยีที่ใช้เข็มขนาดเล็กสร้างการบาดเจ็บขนาดจิ๋วที่ควบคุมได้ (Micro-injuries) บนผิว การเจาะเล็กๆ เหล่านี้ช่วยกระตุ้นกระบวนการสมานแผลตามธรรมชาติของร่างกาย กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน กระบวนการนี้ช่วยให้:

  • ส่งเสริมการฟื้นฟูผิว : การบาดเจ็บระดับจุลภาคจะกระตุ้นให้ผิวสร้างเซลล์ใหม่ ส่งผลให้เนื้อผิวเรียบเนียนและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น
  • เพิ่มการดูดซึมเซรั่ม : ช่องไมโครที่สร้างขึ้นโดยเข็มช่วยให้การรักษาเฉพาะที่เจาะลึกเข้าไปในผิวหนัง เพิ่มประสิทธิภาพใครการดูดซึมของเซรั่มที่ใช้ร่วมกับการรักษา

วิวัฒนาการตามกาลเวลา

นับตั้งแต่เริ่มคิดค้น ไมโครนีดลิ่งก็มีการพัฒนาไปอย่างมาก อุปกรณ์แบบแมนนวลในยุคแรกถูกแทนที่ด้วยอุปกรณ์อัตโนมัติที่ให้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอยิ่งขึ้นและลดความรู้สึกไม่สบายให้เหลือน้อยที่สุด การพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ :

  • ปากกาไมโครนีดลิ่งอัตโนมัติ : อุปกรณ์เหล่านี้มีความยาวเข็มที่ปรับได้และการเคลื่อนไหวแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ควบคุมความลึกและพื้นที่การรักษาได้อย่างแม่นยำ
  • Radiofrequency Microneedling (RF Microneedling) : การผสมผสาน microneedling เข้ากับพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ เทคนิคนี้จะส่งความร้อนไปยังชั้นผิวที่ลึกกว่า เพิ่มการผลิตคอลลาเจน และเพิ่มความกระชับให้ผิว

ความนิยมและการนำไปใช้ในปัจจุบัน

Microneedling กลายเป็นวิธีการรักษายอดนิยมสำหรับปัญหาผิวต่างๆ เนื่องจากมีประสิทธิภาพและมี Downtime น้อยที่สุด มักใช้สำหรับ:

  • หลุมสิว : มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแผลเป็นแกร็น microneedling ช่วยสลายเนื้อเยื่อแผลเป็นและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ปรับปรุง Texture ของผิว
  • ริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น : ผลการกระตุ้นคอลลาเจนของ microneedling ทำให้การรักษาต่อต้านริ้วรอยยอดนิยม
  • รอยดำและฝ้า : Microneedling สามารถช่วยลดปัญหาผิวคล้ำโดยส่งเสริมการหมุนเวียนของเซลล์ผิว
  • รอยแตกลาย : ด้วยการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน microneedling สามารถปรับปรุงลักษณะที่ปรากฏของรอยแตกลายเมื่อเวลาผ่านไป

ข้อดีและข้อจำกัด

ข้อดี:

  • ระยะ Downtime น้อยที่สุด : เมื่อเทียบกับการรักษาแบบรุกล้ำมากขึ้น microneedling มีระยะเวลาการฟื้นตัวค่อนข้างสั้น โดยปกติแล้วจะมีอาการแดงและบวมเล็กน้อยเพียง 2-3 วัน
  • ความเหมาะสมกับสภาพผิว : เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและทุกสีผิว microneedling สามารถตอบสนองปัญหาผิวได้หลากหลายเลยทีเดียว
  • ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ : การผลิตคอลลาเจนอย่างค่อยเป็นค่อยไปนำไปสู่การปรับปรุง Texture และโทนสีผิวอย่างเป็นธรรมชาติและยาวนาน

ข้อจำกัด:

  • ต้องทำหลายครั้ง : ผลลัพธ์ที่สำคัญมักต้องใช้การรักษาหลายครั้ง โดยทั่วไปจะเว้นระยะห่างกัน 2-3 สัปดาห์
  • ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : แม้ว่าโดยทั่วไปจะปลอดภัย แต่การใช้ไมโครนีดดิ้งอาจทำให้เกิดรอยแดง บวม และรอยช้ำเล็กน้อยชั่วคราวได้ การติดเชื้อเกิดขึ้นได้ยากแต่เป็นไปได้หากไม่ปฏิบัติตามการดูแลหลังการรักษาอย่างเหมาะสม

บทสรุปของ Microneedling

Microneedling เป็นหนึ่งในความก้าวหน้าที่สำคัญในการรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุดสำหรับการปรับปรุงพื้นผิวและลักษณะที่ปรากฏของผิว วิวัฒนาการจากลูกกลิ้งเข็มธรรมดาไปจนถึงอุปกรณ์อัตโนมัติและความถี่วิทยุที่ซับซ้อนได้ขยายการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพ การพัฒนาและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องของเทคนิคไมโครนีดลิ่งรับประกันผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการลดหลุมสิวและความไม่สมบูรณ์ของผิวอื่นๆ ในขณะที่เราก้าวไปข้างหน้า 

ต่อไปหมอจะเล่าให้ฟังถึงการใช้เลเซอร์เข้ามารักษาหลุมสิว

Part 4: การรักษาด้วยเลเซอร์

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีเลเซอร์

การรักษาด้วยเลเซอร์ได้ปฏิวัติวงการผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาหลุมสิว คำว่า "LASER" ย่อมาจาก Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ลำแสงที่มีความเข้มข้นเพื่อกำหนดเป้าหมายและรักษาปัญหาผิวที่เฉพาะเจาะจง เทคโนโลยีเลเซอร์ให้การควบคุมที่แม่นยำ ช่วยให้สามารถรักษาเนื้อเยื่อแผลเป็นได้อย่างตรงเป้าหมาย ในขณะเดียวกันก็ลดความเสียหายต่อผิวหนังโดยรอบให้เหลือน้อยที่สุด

1st Generation: Full-Field Ablative Laser

ความก้าวหน้าครั้งสำคัญครั้งแรกของการรักษาด้วยเลเซอร์สำหรับหลุมสิวมาพร้อมกับการพัฒนาเลเซอร์ Ablative ชนิด Full-Field เลเซอร์เหล่านี้ทำงานโดยการลอกของผิวชั้นบนออก (Ablate) ส่งเสริมการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่มีสุขภาพดีและการผลิตคอลลาเจน

  • เลเซอร์ CO2 :
    • ประวัติความเป็นมาและการพัฒนา : เลเซอร์ CO2 เป็นหนึ่งในเลเซอร์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ใช้สำหรับการผลัดผิว CO2 ทำหน้าที่ปล่อยแสงอินฟราเรดที่ถูกดูดซับโดยน้ำในผิวหนัง ส่งผลทำให้น้ำระเหยและเนื้อเยื่อเป้าหมายถูกกำจัดออก
    • ประสิทธิผล : เลเซอร์ CO2 มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวลึก สามารถปรับปรุง Texture และโทนสีผิวได้อย่างมาก มีผลลัพธ์ที่ดีมากระดับหนึ่ง
    • ข้อจำกัด : การทำเลเซอร์ CO2 นั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก โดยใช้เวลาพักฟื้นนานและอาจมีผลข้างเคียง เช่น รอยแดง บวม และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ การรักษายังสามารถทำให้เกิดรอยดำได้ โดยเฉพาะในโทนสีผิวเข้มของคนไทย
  • เลเซอร์ Erbium-YAG :
  • ประวัติความเป็นมาและการพัฒนา : เลเซอร์ Erbium-YAG ซึ่งเป็นทางเลือกแทนเลเซอร์ CO2 ทำหน้าที่โดยการปล่อยแสงที่ถูกดูดซับโดยน้ำในผิวหนัง โดยจะทำงานที่ความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน ทำให้สามารถควบคุมการกำจัดเนื้อเยื่อได้แม่นยำยิ่งขึ้น
  • ประสิทธิผล : เลเซอร์ Erbium-YAG มีผลกับรอยแผลเป็นทั้งชั้นตื้นและลึกปานกลาง ส่งผลให้เนื้อเยื่อโดยรอบได้รับความเสียหายจากความร้อนน้อยลง เมื่อเทียบกับเลเซอร์ CO2
  • ข้อจำกัด : แม้ว่าระยะเวลาการฟื้นตัวจะสั้นกว่าและผลข้างเคียงจะรุนแรงน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 แต่ผลลัพธ์อาจไม่น่าทึ่งสำหรับรอยแผลเป็นที่ลึกมาก

การลอกผิวคือการสร้างแผล ซึ่งหากทำมากไปอาจเกิดแผลเป็นนูนและรอยดำได้ หากลอกน้อยไปก็อาจไม่ได้ผลเพราะกระตุ้นคอลลาเจนไม่เพียงพอ ดังนั้น เลเซอร์รักษาหลุมสิวจึงพัฒนาขึ้นโดยยึดหลักการนี้ เลเซอร์ที่ดีต้องกระตุ้นการรักษาหลุมสิวได้ดีและมีผลข้างเคียงน้อย เช่น แผลเป็นหรือรอยดำหลังทำ

2nd Generation: Non-Ablative Laser

เพื่อจัดการกับข้อจำกัดของ Full-Field Ablative Laser จึงได้มีการพัฒนา Non-Ablative Laser ขึ้นมา เลเซอร์เหล่านี้ทำงานโดยการให้ความร้อนแก่เนื้อเยื่อผิวหนังที่อยู่ด้านล่างโดยไม่ต้อง Ablate ผิวชั้นตื้นออก สามรถกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและปรับปรุง Skin Texture โดยมี Downtime น้อยที่สุด

  • Erbium Glass Laser
    • กลไกการทำงาน : เลเซอร์เหล่านี้จะทำความร้อนให้กับน้ำในผิวหนังเพื่อสร้างความร้อนแก่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพื้นผิวอย่างมีนัยสำคัญ
    • ประสิทธิผล : เหมาะสำหรับหลุมสิวเล็กน้อยถึงปานกลาง เลเซอร์แก้วเออร์เบียมมีการปรับปรุงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีผลข้างเคียงและ Downtime น้อยที่สุด
    • ข้อจำกัด : ผลลัพธ์ที่ได้จะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเลเซอร์ระเหย และมักต้องทำหลายครั้ง
  • เลเซอร์ Nd:YAG
    • กลไกการทำงาน : เลเซอร์ Nd:YAG ทำหน้าที่เจาะลึกเข้าไปในผิวหนัง เพื่อยิงทั้งน้ำและเมลานิน มีประโยชน์หลากหลาย ใช้สำหรับสภาพผิวต่างๆ รวมถึงหลุมสิว
    • ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพในการลดรอยแดงและปรับปรุงผิว เลเซอร์เหล่านี้ปลอดภัยสำหรับทุกสภาพผิว
    • ข้อจำกัด : เช่นเดียวกับเลเซอร์แบบไม่ทำลายอื่นๆ จำเป็นต้องมีการรักษาหลายครั้ง และผลลัพธ์ที่ได้จะละเอียดกว่า

3rd Generation: Fractional Laser

เทคโนโลยี Fractional Laser แสดงถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการรักษาหลุมสิว โดยผสมผสานคุณประโยชน์ของเลเซอร์ทั้งแบบ Ablative และ Non-Ablative 

Fractional Laser จะรักษาผิวหนังเพียงบริเวณเล็กบริเวณเดียวในแต่ละครั้ง ทำให้เกิดการบาดเจ็บขนาดเล็ก (Micro-Injuries) ที่รายล้อมไปด้วยเนื้อเยื่อที่มีสุขภาพดี ซึ่งจะช่วยเร่งการรักษาและลด Downtime 

  • เลเซอร์ Fractional CO2 :
  • กลไกการทำงาน : เลเซอร์ Fractional CO2 จะส่งลำแสงที่โฟกัสซึ่งจะสร้างคอลัมน์เนื้อเยื่อที่เสียหายเล็กๆ และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในขณะที่เนื้อเยื่อโดยรอบไม่เสียหาย
  • ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่อยู่ลึก โดยช่วยทำ Texture และโทนสีผิวให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • ข้อจำกัด : แม้ว่า Downtime จะลดลงเมื่อเทียบกับ Full-Field Ablative Laser แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เช่น รอยแดง บวม และรอยดำ โดยเฉพาะในสีผิวที่เข้มกว่าเช่นผิวคนไทยเป็นต้น
  • Fractional Erbium-YAG
    • กลไกการทำงาน : เลเซอร์เหล่านี้สร้างการบาดเจ็บขนาดเล็กคล้ายกับเลเซอร์ Fractional CO2 แต่สร้างความเสียหายจากความร้อนน้อยกว่า
    • ประสิทธิผล : เหมาะสำหรับหลุสิวตื้นถึงลึกปานกลาง ให้ผลลัพธ์ที่ดี ใช้เวลาพักฟื้นสั้นกว่า
    • ข้อจำกัด : ผลลัพธ์อาจไม่เด่นชัดเท่ากับเลเซอร์ CO2 แบบเศษส่วน และยังคงมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรง

4th Generation: Fractional RF (RF)

ความก้าวหน้าล่าสุดในการรักษาหลุมสิว ได้แก่ Fractional RF ซึ่งใช้พลังงานคลื่นวิทยุเพื่อให้ความร้อนแก่ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยไม่ต้องใช้แสงเลเซอร์

  • Fractional RF (เช่น eMatrix, Venus Viva)
    • กลไกการทำงาน : Fractional RF ทำงานโดยสร้างการบาดเจ็บขนาดเล็กในผิวหนังโดยใช้พลังงานคลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและกระชับผิว
    • ประสิทธิผล : ใช้ได้กับหลุมสิวหลายประเภท รวมถึงหลุมสิวแบบลึก Fractional RF เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยดำน้อยที่สุดในกลุ่มเทคโนโลยีในยุคนี้
    • ข้อดี : ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ใช้ Downtime น้อยที่สุด และสามารถรักษารอยแผลเป็นที่อยู่ลึกลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • Microneedle RF (เช่น Fractora, Scarlet)
    • กลไกการทำงาน : ผสมผสาน microneedling เข้ากับพลังงาน Fractional RF ให้การรักษาที่ตรงเป้าหมายลึกลงสู่ผิว
    • ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่รุนแรงและลึก โดยให้การปรับปรุง Texture และสีผิวอย่างมีนัยสำคัญ
    • ข้อดี : ควบคุมความลึกของการรักษาได้อย่างแม่นยำ Downtime น้อย และลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเลเซอร์

บทสรุปของการรักษาด้วยเลเซอร์

การรักษาด้วยเลเซอร์ทำให้การรักษาหลุมสิวก้าวหน้าไปอย่างมาก โดยมีตัวเลือกมากมายเพื่อให้เหมาะกับประเภทของหลุมสิวและสภาพผิวที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ Full-Field Ablative Laser ในยุคแรกๆ ไปจนถึง Fractional RF ล่าสุด แต่ละรุ่นได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า ทำให้มีตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและผลข้างเคียงน้อยลง การพัฒนาเทคโนโลยีเลเซอร์อย่างต่อเนื่องเป็นผลดีสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาหลุมสิวและทำให้ผิวเรียบเนียนและมีสุขภาพดีขึ้น หัวข้อถัดไปจะกล่าวถึงการผสมผสานวิธีการรักษาต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มผลลัพธ์และจัดการกับหลุมสิวประเภทต่างๆ อย่างครอบคลุม

Part 5: การรักษาแบบผสมผสาน

ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการรักษาแบบผสมผสาน

เนื่องจากความเข้าใจเกี่ยวกับหลุมสิวและการนำเสนอที่หลากหลายมากขึ้น แพทย์ผิวหนังจึงหันมาผสมผสานวิธีการรักษาที่แตกต่างกันมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การรักษาแบบผสมผสานสามารถจัดการกับรอยแผลเป็นในด้านต่างๆ ได้ โดยนำเสนอแนวทางการรักษาและฟื้นฟูผิวที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Subcision + Laser

หนึ่งในการผสมผสานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการรักษา Rolling Scar และ Boxcar Scar บางประเภทคือการทำ subcision ตามด้วยการรักษาด้วยเลเซอร์

  • Subcision
    • กลไกการทำงาน : Subcision คือการใช้เข็มตัดเนื้อเยื่อที่ยึดผิวหนังและทำให้เกิดหลุมให้หลุดออก โดยจะสร้างการบาดเจ็บที่ควบคุมได้ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและช่วยให้ผิวยกขึ้น
    • ขั้นตอนการรักษา : เริ่มด้วยการแปะยาชาเฉพาะที่ให้คนไข้ หลังจากนั้นก็ใช้เข็มเล็กๆ สอดเข้าไปใต้แผลเป็นแล้วตัดเนื้อเยื่อที่ยึดหลุมออก
    • ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Rolling Scar โดยการ Subcision หลังทำแล้วจะเห็นผลทันที
  • Subcison + Laser
    • กลไกการทำงาน : หลังจากการ Subcision สามารถใช้การรักษาด้วยเลเซอร์ เช่น Fractional CO2 หรือ Erbium-YAG เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและผลัดผิวใหม่
    • ประสิทธิผล : การผสมผสานระหว่างการ Subcision และการรักษาด้วยเลเซอร์ทำให้เกิดผลเสริมฤทธิ์กัน ทำให้ผลลัพธ์โดยรวมดีขึ้น และรักษาหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการรักษาด้วยวิธีเดียว

Subcison + Fractional RF

การรักษาหลุมสิวแบบผสมผสานที่ได้ผลดีอีกชนิดหนึ่งคือการทำ Subcision คู่กับ Fractional RF โดยเฉพาะเมื่อเลือกทำกับ Rolling Scar

  • Fractional RF (เช่น Venus Viva)
    • กลไกการทำงาน : Fractional RF ใช้ microneedles เพื่อส่งพลังงาน RF ลึกเข้าไปในผิวหนัง สร้างการบาดเจ็บจากความร้อนที่ควบคุมได้ ซึ่งกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการกระชับผิว
    • ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพสำหรับรอยแผลเป็นทั้งตื้นและลึก Fractional RF ช่วยเพิ่มเนื้อผิวและส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงคอลลาเจนอย่างมีนัยสำคัญ
  • Fractional RF + Subcision
    • กลไกการทำงาน : แพทย์ส่วนใหญ่จะเลือกทำ Subcision ก่อนเพื่อตัดพังผืดที่ยึดหลุมอยู่ออก จากนั้นจึงใช้ Fractional RF เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและทำให้ผิวกระชับ
    • ประสิทธิผล : การรักษาร่วมกันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดของทั้งสองวิธี โดย subcision จะให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดทันที ส่วน RF จะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในระยะยาว

TCA Cross + Laser

TCA CROSS (การสร้างรอยแผลเป็นจากผิวหนังโดยใช้กรดไตรคลอโรอะซิติก) เป็นเทคนิคหลักที่ใช้ในการรักษารอยแผลเป็นชนิด ice pick ซึ่งมีความลึกเกินกว่าจะรักษาด้วยเลเซอร์เพียงอย่างเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

TCA Cross:

  • กลไกการทำงาน: TCA ที่มีความเข้มข้นสูงจะถูกทาลงบนแผลเป็นโดยตรง ทำให้เกิดการบาดเจ็บแบบควบคุม จากสารเคมีซึ่งช่วยส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนและการผลัดเซลล์ผิว
  • ขั้นตอน: ใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กทา TCA ลงบนแผลเป็นอย่างแม่นยำ บริเวณนั้นอาจเกิดเปลือกและหลุดลอกเป็นเวลาหลายวัน
  • ประสิทธิผล: TCA CROSS มีประสิทธิภาพสูงในการรักษารอยแผลเป็นชนิด ice pick สามารถลดความลึกและการมองเห็นของรอยแผลเป็นได้อย่างมาก

การใช้ร่วมกับเลเซอร์:

  • กลไกการทำงาน: หลังจากทำ TCA CROSS แล้วก็ต่อด้วยการรักษาด้วย Fractional Laser สามารถใช้เพื่อทำให้ผิวเรียบเนียนและส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนต่อไป
  • ประสิทธิผล: การผสมผสานนี้ช่วยแก้ไขทั้งความลึกและพื้นผิวของรอยแผลเป็นชนิด ice pick ทำให้มีการปรับปรุงที่ครอบคลุมมากขึ้น

บทสรุปของการรักษาแบบผสมผสาน

การผสมผสานวิธีการรักษาที่แตกต่างกันช่วยให้การรักษาหลุมสิวมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถจัดการกับรอยแผลเป็นประเภทต่าง ๆ และปรับปรุงผลลัพธ์โดยรวมได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ subcision ร่วมกับเลเซอร์หรือ Fractional RF, TCA CROSS, microneedling ด้วย PRP และการผสมผสานระหว่างเลเซอร์และการใช้ยาทา ล้วนเป็นวิธีการผสมผสานที่มีประสิทธิภาพสูง การรักษาเสริมฤทธิ์กันเหล่านี้ช่วยปรับปรุง Skin Texture โทนสี และรูปลักษณ์ภายนอกได้อย่างครอบคลุม ทำให้บุคคลที่ต้องเผชิญกับปัญหาหลุมสิวได้รับความหวังและความมั่นใจ 

หัวข้อถัดไปจะเจาะลึกถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเน้นความก้าวหน้าล่าสุดและทิศทางในอนาคตของการรักษาหลุมสิว

Part 6: เทคโนโลยีใหม่

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่

ในขณะที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง การรักษาหลุมสิวก็เกิดขึ้นใหม่และเป็นนวัตกรรมใหม่ แนวทางที่ล้ำหน้าเหล่านี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าคาดหวังโดยมีผลข้างเคียงน้อยลงและใช้เวลาฟื้นตัวสั้นลง ในส่วนนี้จะสำรวจการพัฒนาล่าสุดบางส่วนในเทคโนโลยีการรักษาหลุมสิว

การผลัดเซลล์ผิวด้วยพลาสม่า (Plasma Skin Resurfacing)

การผลัดเซลล์ผิวด้วยพลาสม่าเป็นเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่ใช้พลังงานพลาสม่าเพื่อฟื้นฟูผิวและรักษาหลุมสิว

  • กลไกการทำงาน : การผลัดผิวด้วยพลาสมาเกี่ยวข้องกับการใช้อุปกรณ์ที่สร้างพลังงานพลาสม่าเพื่อส่งความร้อนที่ควบคุมไปยังพื้นผิว พลังงานนี้สร้างอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการฟื้นฟูผิว
  • ขั้นตอน : อุปกรณ์ถูกส่งผ่านผิวหนัง และพลังงานพลาสมาจะถูกส่งไปในชุดของพัลส์ที่ควบคุม สามารถปรับแต่งการรักษาให้เหมาะกับพื้นที่และความลึกเฉพาะได้
  • ประสิทธิผล : การผลัดผิวด้วยพลาสมามีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นและปรับปรุงสีผิวโดยรวม
  • ข้อดี : ใช้ Downtime น้อยที่สุดและลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำ เมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเลเซอร์แบบดั้งเดิม เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

Cryotherapy รักษาหลุมสิว

Cryotherapy ซึ่งแต่เดิมใช้ในการขจัดหูดและรักษาสภาพผิวบางชนิด ปัจจุบันได้ถูกทำมาวิจัยเพื่อใช้รักษาหลุมสิว

  • กลไกการทำงาน : Cryotherapy คือการใช้ความเย็นจัดส่งไปยังบริเวณผิวเป้าหมาย กระบวนการนี้ทำให้เกิดความเสียหายที่ควบคุมได้ต่อเนื้อเยื่อแผลเป็น และส่งเสริมการเจริญเติบโตของผิวใหม่ที่มีสุขภาพดี
  • ขั้นตอน : นำไนโตรเจนเหลวหรือสารแช่แข็งอื่นๆ มาใช้กับบริเวณที่เกิดแผลเป็นโดยใช้อุปกรณ์พิเศษ นับว่าเป็นการรักษาที่ไม่เจ็บมาก
  • ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพในการลดการปรากฏของรอยแผลเป็นนูนและรอยนูนมากเกินไป นอกจากนี้ยังสามารถปรับปรุง Texture และโทนสีผิวได้อีกด้วย
  • ข้อดี : ผลข้างเคียงน้อย และมี Downtime น้อยที่สุด มีขั้นตอนที่รวดเร็วและไม่เจ็บปวด

การรักษาด้วย Stem Cell และ Growth Factor

การรักษาด้วย Stem Cell และการใช้ Growth Factor ถือเป็นขอบเขตที่มีแนวโน้มในการรักษาหลุมสิว โดยใช้ประโยชน์จากกลไกการทำงานการรักษาตามธรรมชาติของร่างกาย

  •  Stem Cell
    • กลไกการทำงาน : เซลล์ต้นกำเนิดมีความสามารถในการแยกแยะเซลล์ประเภทต่างๆ และส่งเสริมการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ในการรักษาหลุมสิว มีการใช้ Stem Cell เพื่อกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่และคอลลาเจน
    • ขั้นตอน : สามารถเก็บ Stem Cell จากเนื้อเยื่อไขมันหรือไขกระดูกของคนไข้เอง แล้วฉีดเข้าไปบริเวณที่เป็นแผลเป็น อีกทางเลือกหนึ่ง สามารถใช้เซรั่มที่ได้มาจาก Stem Cell เฉพาะที่ก็ได้
    • ประสิทธิผล : มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงเนื้อผิว ลดความลึกของแผลเป็น และส่งเสริมการฟื้นฟูผิวโดยรวม
    • ข้อดี : การรักษาตามธรรมชาติและเข้ากันได้ทางชีวภาพพร้อมศักยภาพในการให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน
  • Growth Factor
    • กลไกการทำงาน : Growth Factor คือโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตของเซลล์ การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และการผลิตคอลลาเจน สามารถใช้ทาหรือฉีดเพื่อเพิ่มการรักษาและการฟื้นฟูผิว
    • ขั้นตอน : Growth Factor สามารถหาได้จากเลือดของคนไข้ (PRP) หรือสังเคราะห์ในห้องแลป โดยจะนำไปใช้กับผิวหนังในระหว่างการรักษา เช่น การฉีดไมโครนีดดิ้งหรือการรักษาด้วยเลเซอร์
    • ประสิทธิผล : ช่วยให้การรักษาเร็วขึ้น ลดการอักเสบ และเพิ่มการผลิตคอลลาเจน ส่งผลให้เนื้อผิวดีขึ้น และลดลักษณะรอยแผลเป็น
    • ข้อดี : ช่วยเพิ่มผลของการรักษาอื่นๆ และเร่งกระบวนการฟื้นฟูให้เร็วขึ้น

การรักษาด้วยแสง LED

การรักษาด้วยแสง LED เป็นการรักษาแบบ Non-Invasive ซึ่งใช้ความยาวคลื่นแสงที่แตกต่างกันเพื่อแก้ปัญหาผิวต่างๆ รวมถึงหลุมสิว

  • กลไกการทำงาน : การรักษาด้วยแสง LED เกี่ยวข้องกับการใช้ไดโอดเปล่งแสงเพื่อส่งความยาวคลื่นเฉพาะของแสงไปยังผิวหนัง ความยาวคลื่นที่แตกต่างกันจะแทรกซึมเข้าสู่ผิวที่ระดับความลึกที่แตกต่างกัน และมีหน้าที่ส่งเสริมการรักษาและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
  • ขั้นตอน : คนไข้นั่งหรือนอนใต้อุปกรณ์ไฟ LED และโดยทั่วไปการรักษาจะไม่เจ็บปวดและผ่อนคลาย แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที
  • ประสิทธิผล : มีผลกับหลุมสิวเล็กน้อยและการฟื้นฟูผิวโดยรวม ช่วยลดการอักเสบ ปรับสภาพผิว และส่งเสริมการผลิตคอลลาเจน
  • ข้อดี :  Non-Invasive โดยสิ้นเชิงและไม่มี Downtime  เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและสามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

บทสรุปของเทคโนโลยีเกิดใหม่

เทคโนโลยีใหม่ในการรักษาหลุมสิวนำเสนอโอกาสใหม่ ๆ สำหรับคนไข้ที่มองหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด การผลัดผิวด้วยพลาสมา การรักษาด้วยความเย็นจัด การรักษาด้วยสเต็มเซลล์ และการรักษาด้วยแสง LED เป็นความก้าวหน้าล่าสุด แต่ละวิธีมีกลไกการทำงานและประโยชน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เมื่อการวิจัยและพัฒนาดำเนินต่อไป นวัตกรรมเหล่านี้สัญญาว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น นำไปสู่การรักษาหลุมสิวที่มีความเป็นส่วนตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

หัวข้อถัดไปจะเปรียบเทียบเทคโนโลยีรักษาหลุมสิวเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อช่วยให้ทุกคนมีข้อมูลในการตัดสินใจเกี่ยวกับตัวเลือกการรักษาของตัวเอง

Part 7: การเปรียบเทียบเทคโนโลยีหลุมสิวต่างๆ

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเปรียบเทียบเทคโนโลยีหลุมสิว

การเลือกการรักษาหลุมสิวที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายเมื่อพิจารณาจากเทคโนโลยีที่มีอยู่มากมาย ในส่วนนี้จะแสดงการเปรียบเทียบการรักษาหลุมสิวแบบต่างๆ อย่างครอบคลุม โดยเน้นที่ประสิทธิภาพ ระยะ Downtime  ผลข้างเคียง ต้นทุน และความเหมาะสมสำหรับสภาพผิวและความรุนแรงของแผลเป็นต่างๆ แต่ละหมวดหมู่จะมีคะแนนตั้งแต่ 0 ถึง 10 โดย 0 คือแย่ที่สุด และ 10 คือดีที่สุด

ตารางเปรียบเทียบการรักษาหลุมสิว

คำอธิบายการเปรียบเทียบ

ประสิทธิผล

  • Fractional CO2 Lasers: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่อยู่ลึก ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนอย่างมีนัยสำคัญและการผลัดผิวใหม่ เหมาะสำหรับแผลเป็นตีบอย่างรุนแรง รวมถึงรอยแผลเป็นจากรถลากและไม้ Icepick คะแนน: 4
  • Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): มีประสิทธิภาพมากกับรอยแผลเป็นทั้งตื้นและลึก กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและกระชับผิว ปรับปรุงทันทีพร้อมสิทธิประโยชน์อย่างต่อเนื่อง คะแนน: 4.5
  • Fractional Erbium-YAG Lasers: มีประสิทธิภาพสำหรับหลุมสิวปานกลางและมีความเสียหายจากความร้อนน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นตื้นๆ ถึงลึกปานกลาง คะแนน: 4
  • Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): มีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนและปรับปรุงผิว เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นเล็กน้อยถึงปานกลาง คะแนน: 4.5

Downtime และ Recovery

  • Fractional RF (เช่น Venus Viva): ใช้ Downtime น้อยที่สุดถึงปานกลาง โดยมีรอยแดงและบวมเล็กน้อยนานสองสามวัน คะแนน: 4.5
  • Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): Downtime ปานกลาง โดยทั่วไปจะมีอาการแดงและบวมสองสามวัน คะแนน: 4
  • Fractional Erbium-YAG Lasers: ระยะ Downtime สั้นกว่าเลเซอร์ CO2 ซึ่งปกติจะใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ คะแนน: 3
  • Fractional CO2 Lasers: ระยะ Downtime ยาวนานที่สุด โดยมีรอยแดงและการหลุดลอกอย่างเห็นได้ชัดยาวนานถึงสองสัปดาห์ คะแนน: 2

ผลข้างเคียงและความเสี่ยง

  • Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำและการติดเชื้อ โดยจะมีรอยแดงและบวมชั่วคราว คะแนน: 4.5
  • Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำและการติดเชื้อ โดยมีรอยแดงและบวมชั่วคราว คะแนน: 4
  • Erbium-YAG Lasers: มีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 โดยมีรอยแดงและลอกชั่วคราว คะแนน: 3.5
  • Fractional CO2 Lasers: มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดรอยดำ การติดเชื้อ และรอยแดงเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในสีผิวที่เข้มกว่า คะแนน: 2

ค่าใช้จ่าย

  • Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): ต้นทุนปานกลาง สะท้อนถึงประสิทธิภาพและเทคโนโลยีขั้นสูง คะแนน: 4
  • เลเซอร์ Erbium-YAG: ต้นทุนปานกลาง โดยทั่วไปแล้วจะถูกกว่าเลเซอร์ CO2 คะแนน: 3.5
  • Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): ต้นทุนสูงปานกลาง สะท้อนถึงเทคโนโลยีขั้นสูงและประสิทธิผล คะแนน: 3
  • เลเซอร์ Fractional CO2: โดยปกติแล้วค่าใช้จ่ายจะต่ำกว่าตัวอื่นๆ คะแนน: 5

ความเหมาะสมกับสภาพผิวต่างๆ และความรุนแรงของแผลเป็น

  • Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ใช้ได้กับแผลเป็นทุกระดับ อีกทั้งยังช่วยผลัดผิวให้ขาวขึ้น คะแนน: 4.5
  • Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ใช้ได้กับแผลเป็นทุกระดับ คะแนน: 4
  • Erbium-YAG Lasers: เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นปานกลาง และสีผิวสีอ่อนถึงปานกลาง คะแนน: 3.5
  • Fractional CO2 Lasers: เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นที่รุนแรงและสีผิวที่สว่างกว่า ข้อควรระวังสำหรับผิวคล้ำเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการสร้างเม็ดสี คะแนน: 2.5

สรุปการเปรียบเทียบ

การรักษาหลุมสิวแต่ละวิธีมีจุดแข็งและข้อจำกัดของตัวเอง การเลือกวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล เช่น ความรุนแรงของแผลเป็น ประเภทของผิว ความทนทานต่อ Downtime และงบประมาณ

  • Fractional CO2 Lasers: ดีที่สุดสำหรับรอยแผลเป็นที่รุนแรง แต่มาพร้อมกับ Downtime อย่างมาก ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และความเสี่ยง ทำให้ไม่เหมาะกับสีผิวคล้ำ
  • Fractional RF + Microneedle (เช่น Fractora): มีประสิทธิภาพมากสำหรับแผลเป็นประเภทต่างๆ โดยให้ความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพ ระยะ Downtime และผลข้างเคียงที่รับได้
  • Fractional Erbium-YAG Lasers: มีประสิทธิภาพสำหรับรอยแผลเป็นระดับปานกลาง โดยมีผลข้างเคียงและ Downtime น้อยกว่าเลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวสว่างถึงปานกลาง
  • Fractional RF (เช่น Venus Viva eMatrix): โดยรวมแล้วดีที่สุด ด้วยคะแนนด้านประสิทธิผลสูง ระยะ Downtime น้อยที่สุด ความเสี่ยงต่ำ และเหมาะสมกับทุกสภาพผิว อีกทั้งยังช่วยปรับ Texture ผิวอีกด้วย ทำให้เป็นตัวเลือกที่ทำได้หลากหลายและเป็นที่แนะนำมากที่สุด

เทคโนโลยีที่หมอเลือกในปี 2024

เมื่อพิจารณาคะแนนและการเปรียบเทียบ การรักษาด้วย Fractional RF เช่น Venus Viva ถือเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในการรักษาหลุมสิวหลายประเภท มีความสมดุลในด้านประสิทธิผล Downtime ที่น้อย และความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ลดลง ทำให้เหมาะกับคนไข้ส่วนใหญ่ สำหรับผู้ที่มองหาการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ใช้เวลาฟื้นตัวน้อย และมีความเสี่ยงน้อย Fractional RF เป็นตัวเลือกที่แนะนำ 

อย่างไรก็ตามการปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการรักษานี้เหมาะสมกับความต้องการและประเภทผิวของเราเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

Part 8: การเลือกการรักษาที่เหมาะสม

ปัจจัยที่ต้องพิจารณา

การเลือกการรักษาหลุมสิวที่ดีที่สุดนั้นเกี่ยวข้องกับการประเมินปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยทางการแพทย์ต่างๆ เพื่อให้มั่นใจถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความพึงพอใจของคนไข้ ข้อควรพิจารณาที่สำคัญมีดังนี้:

  1. ประเภทของหลุมสิว
  1. ประเภทของหลุมสิว
    • หลุมสิวทั่วไป : ได้แก่ Ice Pick Scar Boxcar Scar และ Rolling Scar  การรักษาที่แตกต่างกันจะได้ผลดีกับแผลเป็นประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะsome text
      • Icepick Scars : รักษาได้ดีที่สุดด้วย TCA Cross หรือ Fractional CO2 lasers
      • Boxcar และ Rolling Scars : Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ Fractional RF ที่มี microneedle (เช่น Fractora) เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพ
    • รอยแผลเป็น Hypertrophic และ คีลอยด์ : รอยแผลเป็นนูนเหล่านี้อาจต้องได้รับการรักษาที่แตกต่างกัน เช่น การฉีดสเตียรอยด์หรือการใช้แผ่นซิลิโคน
  2. ประเภทผิว
  1. โทนสีผิว
    • สีผิวอ่อน : การรักษาด้วยเลเซอร์ส่วนใหญ่ รวมถึง Fractional CO2 และ Erbium-YAG จะมีความเหมาะสมมากกว่า
    • สีผิวที่เข้มกว่า : แนะนำให้ใช้การรักษาด้วย Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ RF ด้วย microneedle (เช่น Fractora) เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดเม็ดสีมากเกินไปน้อยกว่า
  1. ความรุนแรงของหลุมสิว
    • หลุมชนิดตื้นถึงปานกลาง : เลเซอร์ Fractional RF และ Erbium-YAG มีประสิทธิภาพโดยใช้ Downtime น้อยที่สุด
    • หลุมลึก : เลเซอร์ Fractional CO2 และ Fractional RF พร้อม microneedle จะเหมาะสมที่สุด แต่ต้องใช้ระยะเวลาการพักฟื้นนานกว่า
  2. Downtime
    •  Downtime น้อยที่สุด : Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ TCA CROSS ใช้เวลาฟื้นตัวสั้นกว่า
    •  Downtime ปานกลางถึงยาวนาน : เลเซอร์ Fractional CO2 และ Fractional RF พร้อม microneedle อาจต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า
  1. ค่ารักษา
    • ค่ารักษาต่ำกว่า : TCA Cross จะคุ้มค่ามากแต่อาจต้องรักษาหลายครั้ง และต้องทำกับแพทย์ผู้เชียวชาญเพื่อลดความเสี่ยง
    • ค่ารักษาปานกลาง : Fractional RF (เช่น Venus Viva) ให้ความสมดุลระหว่างต้นทุนและประสิทธิผล
    • ค่ารักษาสูง : Microneedle RF มักจะมีราคาแพงกว่าเนื่องจากต้นทุนเครื่องที่สูงกว่า
  2. ผลข้างเคียง
    • ผลข้างเคียงต่ำ : Fractional RF (เช่น Venus Viva) และ RF พร้อมการรักษาด้วย microneedle จะมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงน้อยกว่า
    • ผลข้างเคียงที่สูงขึ้น : เลเซอร์ Fractional CO2 มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียง โดยเฉพาะในสีผิวที่เข้มกว่า

การปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

การปรึกษาอย่างละเอียดกับแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรอง (Board-Certified Dermatologist) เป็นสิ่งสำคัญในการประเมินความต้องการและประวัติการรักษาของแต่ละบุคคล แพทย์ผิวหนังจะตรวจสอบประเภทและความรุนแรงของหลุมสิว ประเภทของผิว และสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อแนะนำการรักษาที่เหมาะสมที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่คาดหวัง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และจำนวนครั้งที่ต้องการในการรักษา

แผนการรักษาเฉพาะบุคคล

แพทย์ผิวหนังอาจแนะนำให้รวมการรักษาต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น:

  • Subcision + Fractional RF : สำหรับ Rolling Scar การรวม Subcision เข้ากับ Fractional RF (เช่น Venus Viva) สามารถทำร่วมกันเพื่อให้ได้ผลดีมากขึ้นได้
  • TCA CROSS + Fractional CO2 : สำหรับหลุมสิวชนิด Ice Pick การใช้ TCA CROSS ตามด้วยการรักษาด้วยเลเซอร์ Fractional CO2 จะช่วยเพิ่มผลลัพธ์ได้

การตั้งความคาดหวังที่สมจริง

การทำความเข้าใจผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นและข้อจำกัดของการรักษาแต่ละครั้งเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าการรักษาบางอย่างจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นมาก แต่การมีผิวที่ปราศจากรอยแผลเป็นอย่างสมบูรณ์อาจเป็นไปไม่ได้ การตั้งเป้าหมายที่สมจริงและมีความอดทนต่อกระบวนการรักษาจะนำไปสู่ความพึงพอใจที่ดีขึ้น ส่วนใหญ่การรักษาแต่ละครั้งจะสามารถทำให้หลุมสิวดีขึ้นประมาณ 20-30% เท่านั้น

การบำรุงรักษาและการดูแลหลังรักษา

การดูแลหลังการรักษามีความสำคัญอย่างยิ่งในการให้ผลลัพธ์สูงสุดและป้องกันภาวะแทรกซ้อน แพทย์ผิวหนังจะให้คำแนะนำการดูแลหลังการรักษาโดยเฉพาะ ซึ่งอาจรวมถึง:

  • หลีกเลี่ยงแสงแดด : เพื่อป้องกันการเกิดรอยดำและปกป้องการรักษาผิว
  • การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสูตรอ่อนโยน : เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองและส่งเสริมการรักษา
  • การนัดหมายติดตาม ผล : เพื่อติดตามความคืบหน้าและปรับเปลี่ยนแผนการรักษาตามที่จำเป็น

บทสรุป

การเลือกการรักษาหลุมสิวที่เหมาะสมนั้นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบจากหลายปัจจัย รวมถึงชนิดและความรุนแรงของรอยแผลเป็น ประเภทของผิว ความทนทานต่อ Downtime งบประมาณ และการยอมรับความเสี่ยง การรักษาด้วย Fractional RF เช่น Venus Viva และ eMatrix โดดเด่นในฐานะตัวเลือกที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ โดยให้ประสิทธิภาพที่ดี Downtime น้อย และมีความเสี่ยงต่ำ การปรึกษากับแพทย์ผิวหนังเพื่อพัฒนาแผนการรักษาเฉพาะบุคคลจะช่วยให้มั่นใจได้ถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ช่วยให้แต่ละบุคคลมีผิวที่เรียบเนียน มีสุขภาพดีขึ้น และเพิ่มความมั่นใจ

Part 9: บทสรุปและทิศทางในอนาคต

สรุปการรักษาหลุมสิว

การรักษาหลุมสิวได้รับการพัฒนาอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยจะมีหลายทางเลือกที่ดีเพื่อจัดการกับหลุมสิวประเภทและความรุนแรงที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้เป็นบทสรุปโดยย่อของการรักษาที่กล่าวถึง:

  • Fractional CO2 Lasers: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวที่ลึก เช่น Ice Pick Scar แต่ต้องหยุดทำงานอย่างมีนัยสำคัญและมีความเสี่ยงสูงกว่า ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวสีอ่อนกว่าเป็นหลัก
  • Fractional RF พร้อม Microneedle (เช่น Fractora): เป็นการรักษาที่เหมาะสำหรับหลุมสิวประเภทต่างๆ โดยมี Downtime และความเสี่ยงปานกลาง ทำให้เป็นตัวเลือกที่ค่อนข้าง versatile
  • Fractional Erbium-YAG Lasers: มีประสิทธิภาพสำหรับรอยแผลเป็นระดับปานกลางโดยมี Downtime สั้นกว่าและมีความเสี่ยงน้อยกว่าเลเซอร์ CO2 เหมาะสำหรับผิวสีอ่อนถึงปานกลาง
  • Fractional RF (เช่น Venus Viva): มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลุมสิวประเภท Rolling Scar และ Boxcar Scar  โดยมี Downtime น้อยที่สุดและความเสี่ยงต่ำ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวและความรุนแรงของแผลเป็น นอกจากนี้ การใช้ร่วมกับ subcision ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาแผลเป็นลึกได้อย่างดี
  • TCA CROSS: มีประสิทธิภาพสูงสำหรับแผลเป็นที่อยู่ลึกและตรงเป้าหมาย เช่น Ice Pick Scar โดยใช้ Downtime น้อยที่สุดถึงปานกลางและมีค่าใช้จ่ายน้อย เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

การเลือกการรักษาที่เหมาะสม

การเลือกการรักษาที่เหมาะสมเกี่ยวข้องกับการพิจารณาปัจจัยส่วนบุคคล เช่น ประเภทของแผลเป็น ประเภทของผิว ความรุนแรง ความทนทานต่อ Downtime  งบประมาณ และการยอมรับความเสี่ยง การปรึกษาหารือกับแพทย์ผิวหนังถือเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาแผนการรักษาเฉพาะบุคคลเพื่อเพิ่มผลลัพธ์สูงสุดและลดความเสี่ยง

ทิศทางในอนาคตของการรักษาหลุมสิว

การรักษาหลุมสิวมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยการวิจัยและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ต่อไปนี้เป็นแนวทางในอนาคตที่น่าหวัง:

  1. เทคนิค Microneedling สมัยใหม่
    • Automated Microneedling : ให้ความแม่นยำและการควบคุมมากขึ้น ลดความรู้สึกไม่สบายและปรับปรุงผลลัพธ์
    • Microneedling พร้อมสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive Agents) : ผสมผสาน Growth Factor เปปไทด์ และสารประกอบออกฤทธิ์ทางชีวภาพอื่นๆ เพื่อเพิ่มการฟื้นฟูและการรักษาผิว
  2. การรักษาด้วย Stem Cell และ Growth Factor
    • การรักษาด้วย Stem Cell : การใช้ Stem Cell เพื่อส่งเสริมการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจช่วยรักษาแผลเป็นที่รุนแรงได้ในระยะยาว
    • การฉีด Growth Factor : การใช้ Growth Factor เข้มข้นเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเร่งการรักษา ซึ่งอาจช่วยเพิ่มผลลัพธ์ของการรักษาอื่นๆ
  3. พลาสมาและ Cryotherapy
    • Plasma Skin Resurfacing : ใช้พลังงานพลาสม่าเพื่อฟื้นฟูผิวโดยเสียหายจากความร้อนน้อยที่สุด เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มีสีผิวคล้ำหรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำมากกว่า
    • Cryotherapy : การใช้ความเย็นจัดเพื่อคัดเลือกทำลายเนื้อเยื่อแผลเป็นและส่งเสริมการสร้างผิวใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแผลเป็นที่มีไขมันมากเกินไปและแผลเป็นคีลอยด์
  4. การรักษาแบบ Non-Invasive
    • HIFU : กำหนดเป้าหมายชั้นผิวที่ลึกลงไปเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นผิว ซึ่งอาจเสนอทางเลือกที่ Non-Invasive สำหรับการปรับปรุงรอยแผลเป็น
    • Radiofrequency (RF) Microneedling : การผสมผสานพลังงาน RF เข้ากับ microneedling เพื่อเพิ่มการกระตุ้นคอลลาเจนและการกระชับผิว ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพโดยใช้ Downtime น้อยที่สุด

ความสำคัญของแผนการรักษาเฉพาะบุคคล

เมื่อมีเทคโนโลยีและการรักษาใหม่ๆ เกิดขึ้น ความสำคัญของแผนการรักษาเฉพาะบุคคลจึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น แพทย์ผิวหนังสามารถปรับการผสมผสานการรักษาขั้นสูงเหล่านี้ให้เข้ากับสภาพผิวที่เฉพาะเจาะจงและความต้องการของคนไข้แต่ละราย เพื่อให้มั่นใจถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การตั้งความคาดหวังที่สมจริง

แม้ว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการรักษาหลุมสิวจะมีแนวโน้มที่ดี แต่คนไข้จะต้องตั้งความคาดหวังตามความเป็นจริง การบรรลุผิวที่ปราศจากรอยแผลเป็นอย่างสมบูรณ์อาจเป็นไปไม่ได้ แต่การปรับปรุงเนื้อผิว โทนสี และรูปลักษณ์โดยรวมอย่างมีนัยสำคัญจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก

ทิ้งท้าย

หนทางสู่ผิวที่เรียบเนียนและสุขภาพดีขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องพิจารณาหลายอย่าง ด้วยตัวเลือกการรักษาที่หลากหลายและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน ทำให้เรามีวิธีจัดการกับหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญเพื่อหาแผนการรักษาที่เหมาะสมเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้ผลลัพธ์ดีและคืนความมั่นใจ ในขณะที่การวิจัยและการพัฒนาวิธีรักษาใหม่ๆ ยังคงดำเนินต่อไป อนาคตของการรักษาหลุมสิวก็ยิ่งดูดีขึ้น มอบความหวังและผลลัพธ์ที่ดีขึ้นสำหรับคนที่มีปัญหาผิวนี้

Part 10: แหล่งข้อมูลการรักษาหลุมสิวในประเทศไทย

ค้นหาแพทย์ผิวหนังที่ผ่านการรับรอง (Board-Certified Dermatologist)

การเลือกแพทย์ผิวหนังที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาหลุมสิวให้เห็นผล นี่คือขั้นตอนในการค้นหาผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในประเทศไทย:

  1. การวิจัยและการอ้างอิง
    • ขอคำแนะนำจากเพื่อน ครอบครัว หรือแพทย์ประจำของเรา
    • มองหาแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการซึ่งเชี่ยวชาญด้านการรักษาหลุมสิวในประเทศไทย
    • สามารถเช็ครหัสจากชื่อและนามสกุลได้ที่แพทยสภา https://checkmd.tmc.or.th/
  2. หนังสือรับรองและประสบการณ์ของแพทย์
    • ตรวจสอบข้อมูลรับรองของแพทย์ผิวหนัง รวมถึงใบรับรองจากคณะกรรมการ การศึกษา และการฝึกอบรม
    • ทบทวนประสบการณ์ของพวกเขากับการรักษาเฉพาะที่เรากำลังพิจารณา
  3. การให้คำปรึกษาและการสื่อสาร
    • นัดเวลารับคำปรึกษาเพื่อหารือเกี่ยวกับข้อกังวล ทางเลือกการรักษา และเป้าหมายของเรา
    • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแพทย์ผิวหนังรับฟังความต้องการของคุณ อธิบายขั้นตอนต่างๆ อย่างชัดเจน และตั้งความคาดหวังตามความเป็นจริง
  4. บทวิจารณ์และ Review
    • อ่าน Review ของคนไข้และคำรับรองเพื่อวัดความพึงพอใจของคนไข้รายเดิม
    • พิจารณาภาพถ่ายก่อนและหลังเพื่อประเมินผลลัพธ์ของแพทย์ผิวหนัง

Review การรักษาหลุมสิวที่ EY Clinic

การเตรียมตัวสำหรับการนัดหมายของเรา

การเตรียมตัวเป็นกุญแจสำคัญในการใช้ประโยชน์สูงสุดจากการนัดหมายด้านผิวหนังของเรา คำแนะนำบางประการมีดังนี้:

  1. รวบรวมข้อมูล
    • บันทึกประวัติหลุมสิวของเรา รวมถึงการรักษาที่เราได้ลองใช้และผลลัพธ์ที่ได้
    • ระบุยาหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เรากำลังใช้อยู่
  2. ถามคำถาม
    • เตรียมรายการคำถามเกี่ยวกับการรักษา ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการฟื้นตัว
    • ถามเกี่ยวกับประสบการณ์ของแพทย์ผิวหนังเกี่ยวกับการรักษาเฉพาะทางและวิธีการดูแลหลังการรักษา
  3. ตั้งเป้าหมาย
    • กำหนดเป้าหมายและความคาดหวังของเราสำหรับการรักษาอย่างชัดเจน
    • พูดคุยถึงผลลัพธ์ที่เป็นจริงโดยพิจารณาจากประเภทหลุมสิวและสภาพผิวของเรา

การพิจารณาทางการเงินและการประกันภัย

การทำความเข้าใจด้านการเงินของการรักษาหลุมสิวถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวางแผน คำแนะนำบางประการมีดังนี้:

  1. ค่ารักษา
    • รับข้อมูลประมาณการค่าใช้จ่ายโดยละเอียดสำหรับแผนการรักษาที่แนะนำ รวมถึงช่วงติดตามผลที่อาจเกิดขึ้น
    • เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างแพทย์ผิวหนังต่างๆ หากเป็นไปได้
  2. การกำหนดงบประมาณ
    • วางแผนงบประมาณของเราเพื่อรองรับต้นทุนการรักษา โดยพิจารณาถึงความจำเป็นที่อาจเกิดขึ้นสำหรับการรักษาหลายครั้ง
    • คำนึงถึงต้นทุนสำหรับผลิตภัณฑ์หลังการดูแลและการนัดตรวจติดตามผล

การสนับสนุนทางอารมณ์และจิตวิทยา

หลุมสิวสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อความภาคภูมิใจในตนเองและความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์ การขอความช่วยเหลืออาจเป็นประโยชน์:

  1. กลุ่มสนับสนุนและ community ต่างๆ
    • เข้าร่วมฟอรัมออนไลน์หรือกลุ่มสนับสนุนในพื้นที่ซึ่งเราสามารถแบ่งปันประสบการณ์และรับกำลังใจจากผู้อื่นที่เผชิญกับความท้าทายที่คล้ายกัน
  2. การให้คำปรึกษาและการรักษา
    • พิจารณาการให้คำปรึกษาหรือการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อจัดการกับความทุกข์ทางอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพผิวของเรา
    • ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตสามารถช่วยเราพัฒนากลยุทธ์ในการรับมือและปรับปรุงภาพลักษณ์ของตนเองได้
  3. การดูแลตัวเองและความมั่นใจ
    • ฝึกฝนกิจวัตรการดูแลตัวเองที่ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง เช่น การดูแลผิว การออกกำลังกาย และงานอดิเรก
    • มุ่งเน้นไปที่จุดแข็งและความสำเร็จของเราเพื่อสร้างความมั่นใจนอกเหนือจากรูปลักษณ์ภายนอกของเรา

แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

รับข่าวสารเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิวผ่านแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ:

  1. องค์กรวิชาชีพ
    • สมาคมโรคผิวหนังไทย: thaiderma.or.th
    • การประชุมและเวิร์คช็อปโรคผิวหนังนานาชาติ
  2. วารสารและสิ่งพิมพ์ทางการแพทย์
    • เข้าถึงบทความวิจัยและการวิจารณ์ในวารสารโรคผิวหนังเพื่อดูความก้าวหน้าล่าสุดและการรักษาตามหลักฐานเชิงประจักษ์
  3. เว็บไซต์สุขภาพที่เชื่อถือได้
    • สถาบันโรคผิวหนัง: https://www.iod.go.th
    • โรงพยาบาลศิริราช: https://si.mahidol.ac.th
    • โรงพยาบาลรามาธิบดี: https://www.rama.mahidol.ac.th
    • โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์: https://chulalongkornhospital.go.th

การดูแลหลังการรักษาและการบำรุงรักษา

การดูแลหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและรักษาสุขภาพผิวของเรา:

  1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผิวหนัง :
    • ปฏิบัติตามแนวทางการดูแลหลังการรักษาโดยแพทย์ผิวหนังของเราอย่างเคร่งครัด
    • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่แนะนำเพื่อช่วยในการรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
  2. การติดตามผลเป็นประจำ :
    • กำหนดเวลาและเข้าร่วมการนัดหมายติดตามผลเพื่อติดตามความคืบหน้าของเราและแก้ไขข้อกังวลใด ๆ
    • ปรึกษาปัญหาใหม่หรือปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับแพทย์ผิวหนังของเราทันที
  3. ปกป้องผิวของเรา :
    • ใช้ครีมกันแดดทุกวันเพื่อปกป้องผิวจากความเสียหายจากรังสียูวีและป้องกันการเกิดรอยดำ
    • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่รุนแรงและการรักษาที่อาจทำให้ผิวของเราระคายเคือง

บทสรุป

การรักษาหลุมสิวนั้นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ การตัดสินใจอย่างมีข้อมูล และการหาการสนับสนุนที่เหมาะสม การค้นหาแพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญ การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการนัดหมาย และการทำความเข้าใจเรื่องการเงินและอารมณ์ จะช่วยให้เราเลือกวิธีที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพผิวของเราได้ ติดตามข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และปฏิบัติตามแนวทางการดูแลหลังการรักษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โปรดจำไว้ว่าหนทางสู่ผิวที่เรียบเนียนขึ้นนั้นเป็นประสบการณ์ส่วนตัว และด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เราจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและเพิ่มความมั่นใจในตัวเองได้

อ้างอิง

  1. Thai Dermatological Society. Thai Dermatological Society. Accessed May 18, 2024. http://www.thaiderma.or.th
  2. International Dermatology Conferences and Workshops. Accessed May 18, 2024.
  3. Siriraj Hospital. Siriraj Hospital. Accessed May 18, 2024. http://www.si.mahidol.ac.th
  4. Bangkok Hospital. Bangkok Hospital. Accessed May 18, 2024. https://www.bangkokhospital.com

A-Z เลเซอร์หลุมสิว ต่างกันยังไงบ้าง?
Dr. Patnapa Vejanurug
Jun 10, 2024
เจาะลึก สาเหตุของการเกิดสิว: กลไก ปัจจัย และวิธีรักษา
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
เจาะลึก สาเหตุของการเกิดสิว: กลไก ปัจจัย และวิธีรักษา
เมื่อถามว่า สิวเกิดจากอะไร เราอาจจะตอบได้ว่า สิวเกิดจากฮอร์โมน ความสกปรก ความเครียด หรือปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย แต่สาเหตุของการเกิดสิวหลัก ๆ คืออะไรกันแน่ กลไกเกิดการเกิดสิวเป็นอย่างไร และการรักษาสิวแบบไหนถึงจะช่วยดูแลและป้องกันได้ หมอผึ้งจะพาคุณไปหาคำตอบในบทความนี้ค่ะ

เมื่อถามว่า สิวเกิดจากอะไร เราอาจจะตอบได้ว่า สิวเกิดจากฮอร์โมน ความสกปรก ความเครียด หรือปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย แต่สาเหตุของการเกิดสิวหลัก ๆ คืออะไรกันแน่ กลไกเกิดการเกิดสิวเป็นอย่างไร และการรักษาสิวแบบไหนถึงจะช่วยดูแลและป้องกันได้ หมอผึ้งจะพาคุณไปหาคำตอบในบทความนี้ค่ะ

สรุปใจความสำคัญ

  • สาเหตุของการเกิดสิว หรือกลไกการเกิดสิวมีอยู่ 4 ข้อหลัก ๆ ได้แก่ 1.ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันมากเกินไป, 2.การอุดตันของรูขุมขน, 3. การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย 4. มีการอักเสบของผิว
  • สิว แบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่ สิวอักเสบ และสิวไม่อักเสบ (สิวหัวขาว, สิวหัวดำ)
  • ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวมีอยู่หลายข้อ ทั้งปัจจัยภายนอก อย่าง ฝุ่นควัน ปัจจัยทางพฤติกรรม อย่าง การรักษาความสะอาด และปัจจัยภายในอย่าง พันธุกรรมและฮอร์โมน
  • เราสามารถดูและผิวและป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้ ด้วยการดูแลรักษาความสะอาด บำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ และรักษาสิวอย่างถูกวิธี

เจาะลึก สาเหตุของการเกิดสิว

หมอขอสรุปสาเหตุของการเกิดสิวเป็น 4 สาเหตุ ดังนี้ค่ะ: 1. ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป, 2. การอุดตันของรูขุมขนด้วยเคราติน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งตกค้าง, 3. การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย 4. มีการอักเสบของผิว

โดยปกติแล้ว ต่อมไขมัน (Sebaceous gland) ใต้ชั้นผิวของเรามีหน้าที่ผลิตน้ำมัน (Sebum) ออกมาเคลือบผิวชั้นนอกเพื่อคงความชุ่มชื่นและป้องกันผิวจากแบคทีเรียที่เป็นอันตรายค่ะ หากผิวของเราไม่มีน้ำมันเลย ผิวก็จะแห้งกร้าน ระคายเคือง และติดเชื้อง่ายค่ะ

นอกจากนี้ บนผิวของเรายังแบคทีเรีย P. acnes (หรือ C. acnes) ที่เป็น “normal flora” หรือแบคทีเรียที่อยู่อาศัยโดยที่ไม่ทำอันตรายใด ๆ โดย P. acnes เป็นตัวช่วยปกป้องผิวของเราจากแบคทีเรียตัวอื่นที่อาจเป็นอัตรายค่ะ

กลไกการเกิดสิว เริ่มจากการที่ต่อมไขมันของเราผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ร่วมกับการที่ผิวของเราผลิตเคราตินออกมามากเกินไป (Hyperkeratinization) ทั้งเคราติน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และน้ำมันจะรวมตัวกระจุกกันอยู่ในรูขุมขน จนทำให้เกิดการอุดตัน (ซึ่งทางการแพทย์จะเรียกว่า Microcomedones มีขนาดเล็ก และมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า) และนำไปสู่การเกิดสิวในที่สุดค่ะ

รูขุมขนที่อุดตันเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมของการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย P. acnes เมื่อแบคทีเรียเกิดการสะสมมากขึ้น ๆ เรื่อย ร่างกายก็จะตอบสนองด้วยการส่งเม็ดเลือดขาวมาจัดการ ผ่านกระบวนการการอักเสบ นั่นเองค่ะ

การเข้าใจสาเหตุของการเกิดสิวเหล่านี้ จะทำให้เราเข้าใจการแบ่งประเภทของสิวและการรักษามากขึ้นค่ะ

ทำความรู้จักกับประเภทของสิว

ประเภทของสิวแบ่งออกเป็น สิวไม่อักเสบ หรือสิวอุดตัน และสิวอักเสบ ค่ะ

สิวไม่อักเสบ หรือ สิวอุดตัน (Comedones)

  • สิวหัวขาว (Whitehead หรือ Closed comedone) คือ สิวอุดตันหัวปิด มีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก หากไม่ได้รับการรักษา สามารถพัฒนาต่อไปเป็นสิวอักเสบได้ค่ะ
  • สิวหัวดำ (Blackhead หรือ Open comedone) คือ สิวอุดตันที่มีหัวเปิด ทำให้สิ่งที่อุดตันอยู่ข้างในได้สัมผัสกับอากาศภายนอก และเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ส่งผลให้สิ่งอุดตันเหล่านั้นกลายเป็นสีดำ ซึ่งเราก็จะเห็นเป็นหัวสิวสีดำนั่นเองค่ะ

สิวอักเสบ (Inflammatory acnes)

  • สิวตุ่มแดง (Papule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงแข็ง ๆ เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 1 เซนติเมตร สัมผัสแล้วรู้สึกเจ็บ
  • สิวหัวหนอง (Pustule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง มีหัวหนองสีขาว
  • สิวไต (Nodule) มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ แข็งเป็นไต ภายในเป็นหนองและเลือด รากฐานการอักเสบลึกได้ถึง 2 เซนติเมตร สามารถมาในรูแบบของสิวไตหัวเปิดเป็นหนอง (Cystic acne) หรือ อาจเป็นสิวเม็ดใหญ่และมีหนองอยู่ภายใน ที่เรียกกันว่า สิวหัวช้าง (Nodulocystic acne) ซึ่งมีอักเสบที่รุนแรง รักษาให้หายได้ยากค่ะ

ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดสิว

เมื่อรู้ถึงกลไกและสาเหตุของการเกิดสิวไปแล้ว เราจะมาพูดกันถึงปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่ทำให้เราเป็นสิวมากขึ้นกันค่ะ

ฮอร์โมน

ในหลาย ๆ กรณี ปัญหาสิว เกิดจากความแปรปรวนของฮอร์โมนค่ะ ซึ่งฮอร์โมนตัวดีที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้ง่าย คือ ฮอร์โมนเอนโดรเจน (Androgens) หรือ เทสโทสเทอโรน (Testosterone) หรือ ที่เรียกกันว่า ฮอร์โมนเพศชาย นั่นเองค่ะ ฮอร์โมนตัวนี้มีผลทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังทำงานหนักขึ้น ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ส่งผลให้ผิวมัน และนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขน

ส่วนฮอร์โมนเพศหญิง หรือ เอสโตรเจน (Estrogen) จะเป็นฮอร์โมนที่ให้ผลตรงกันข้ามกับเทสโทสเทอโรน ค่ะ กล่าวคือ เอสโตรเจนทำให้ผิวมันน้อยลงนั่นเองค่ะ

สิวมักจะมาในช่วงนี้ระดับฮอร์โมนของเราแปรปรวน เช่น ช่วงก่อนมีประจำเดือน เนื่องจากเป็นช่วงที่ระดับเอสโตรเจนในร่างกายของเราต่ำ ส่งผลให้เทสโทสเทอโรนทำงานได้โดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง ผิวของเราจึงมีความมันมากขึ้นและเป็นสิวได้ง่ายขึ้นค่ะ

ความเครียด

ความเครียดทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวค่ะ สังเกตกันไหมคะว่า สิวมักจะมาในช่วงที่เราทำงานหนัก และไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ นั่นก็เป็นเพราะว่า ในช่วงเราเจอกับความเครียด ร่างกายของเราจะตอบสนองด้วยการปล่อย ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมากขึ้น โดยปกติแล้ว ระดับคอร์ติซอลในร่างกายของเราจะพีคที่สุดในตอนเช้า เพื่อทำหน้าที่เตรียมร่างกายให้พร้อมกับกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน แต่ความเครียดจะดึงระดับคอร์ติซอลให้สูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีผลทำให้ผิวมีความมัน เกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น และเป็นสิวง่ายขึ้นนั่นเองค่ะ

นอกจากนี้ ความเครียดที่สะสมยังมีผลทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ซึ่งเปิดช่องทางให้แบคทีเรีย P.acnes เติบโตได้ง่ายและไวขึ้นด้วยค่ะ

ปัจจัยทางพันธุกรรม

ปัจจัยทางพันธุกรรมที่เป็นสาเหตุใหญ่ของการเกิดสิวเช่นกันค่ะ ว่ากันง่าย ๆ ก็คือ ถ้าพ่อแม่ของเรามีประวัติเป็นสิว โอกาสที่เราจะเป็นสิวก็มีสูงค่ะ เนื่องจากพันธุกรรมเป็นมีผลต่อการทำงานของต่อมไขมัน ภูมิคุ้มกันบนผิวหนัง และกระบวนการอักเสบของผิวหนังค่ะ

ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้กับผิว

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิว เช่น เครื่องสำอาง ครีมกันแดด หรือมอยเจอร์ไรเซอร์ อาจทิ้งสารตกค้างและอุดตันรูขุมขนของเราได้ค่ะ ในทางกลับกัน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าบางชนิดก็สามารถทำให้ผิวระคายเคือง เซนซิทีฟ แห้ง ซึ่งนำไปสู่การเกิดสิวได้ค่ะ

อาหารที่รับประทาน

อาหารที่เราเลือกทานมีผลต่อสุขภาพผิวค่ะ โดยงานวิจัยจาก American Journal of Clinical Dermatology ในปี 2021 ระบุอย่างชัดเจนว่าอาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน และ คาร์โบไฮเดรตแปรรูป (Refined carbohydrates) สูง มีผลทำให้ผิวเป็นสิวง่ายขึ้น ซึ่งอาหารเหล่านี้ก็ได้แก่ ฟาสฟู้ด ของทอด และเครื่องดื่มหวาน ๆ ที่คนไทยชื่นชอบอย่าง ชานมไข่มุกค่ะ อาหารเหล่านี้มีส่วนทำให้ผิวมันและการเกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น และยังทำให้ผิวดูหมองคล้ำ ไม่สดใสด้วยค่ะ

เหงื่อไคล และเสื้อผ้าที่คับแน่น

เหงื่อไคล เครื่องประดับ และเสื้อผ้าที่คับแน่น คือตัวการสาเหตุของการเกิดสิวของบริเวณแผ่นหลังและลำคอค่ะ โดยสิวเกิดจากเสื้อผ้าที่คับจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง แถมยังระบายอากาศไม่ดี ส่งผลให้เหงื่อไม่ระเหยและกลายเป็นแหล่งรวมตัวของแบคทีเรียในที่สุดค่ะ

การไม่รักษาความสะอาดของร่างกายและข้าวของเครื่องใช้

อีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดสิวที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลย ก็คือ การไม่รักษาความสะอาดค่ะ นอกจากการอาบน้ำชำระร่างกาย และการเช็ดเครื่องสำอางออกให้หมดจดแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ที่สัมผัสกับผิวของเราอยู่ทุกวันก็ควรจะได้รับการดูแลทำความสะอาดด้วยค่ะ 

ของใช้ อย่าง ปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว และแปรงแต่งหน้า เป็นแหล่งรวบรวมสิ่งตกค้างและแบคทีเรียอย่างดี หากเราไม่ดูแลรักษาความสะอาด ของใช้เหล่านี้ก็อาจกลายเป็นตัวการที่ทำให้เรามีปัญหาสิวซ้ำแล้ว ซ้ำอีกได้ค่ะ

มลภาวะทางอากาศ

ฝุ่นควัน และมลภาวะทางอากาศเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดสิวที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปค่ะ มลภาวะทางอากาศนอกจากจะส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจ แล้วยังเป็นส่งผลทำให้ผิวของเราสูญเสียเกราะป้องกันตามธรรมชาติและเสียสมดุลด้วยค่ะ โดยงานวิจัยจาก International Journal of Women’s Dermatology ปี 2020 ระบุว่า มลภาวะทางอากาศมีอิทธิพลต่อการเกิดโรคสิว โรคผิวหนังอักเสบ (Atopic dermatitis) โรคสะเก็ดเงิน (Psoariasis) และผิวหมองคล้ำ (Hyerperpigmentation) ค่ะ

ฝุ่นควันเต็มไปด้วยสารอนุมูลอิสระที่ส่งผลทำให้เซลล์ผิวของเราเสื่อมสภาพเร็ว เมื่อผิวต้องเจอกับฝุ่นและมลภาวะนาน ๆ ก็จะทำให้ผิวแก่เร็ว เป็นสิวง่าย และหมองคล้ำไม่สดใสด้วยค่ะ

การใช้ยาบางชนิด

ในบางกรณี สาเหตุของการเกิดสิวก็มาจากการใช้ยาค่ะ โดยเฉพาะยากลุ่มสเตียรอยด์ และสเตียรอยด์ที่ใช้เพื่อการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ เนื่องจากสเตียรอยด์โดยสิวสเตียรอยด์มีผลทำให้: 1. ผิวของเราผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น 2. ภูมิคุ้มกันต่ำลง ส่งผลให้แบคทีเรียเจริญเติบโตบนผิวได้ง่ายขึ้น 3. ระดับฮอร์โมนในร่างกายมีความแปรปรวน ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว สิวสเตียรอยด์จะพบได้ที่บริเวณแผ่นหลังค่ะ

อย่างไรก็ดี หากเราเจอปัญหาสิวที่เกิดจากการใช้ยา หมอผึ้งแนะนำว่า อย่าหยุดใช้ยาเองค่ะ แต่ควรปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้ หรือแพทย์ผิวหนัง และควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งถึงยาที่ใช้ เพื่อจะได้วางแผนการรักษาตามความเหมาะสมค่ะ

ดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้เป็นสิว

เราเห็นแล้วว่า ปัจจัยและสาเหตุของการเกิดสิวมีอยู่หลายประการ แต่เราก็สามารถดูแลตัวเองเพื่อรักษาสุขภาพผิวให้แข็งแรง และลดโอกาสการเกิดสิวได้ตามวิธีต่อไปนี้ค่ะ

1. รักษาความสะอาด

การรักษาความสะอาดเป็นวิธีป้องกันและรักษาสิวเบื้องต้นที่หมอผิวหนังทุกคนแนะนำค่ะ สำหรับคนที่ใช้เครื่องสำอางเป็นประจำ อย่าลืมเช็ดเครื่องสำอางออกก่อนล้างหน้า หรืออาจจะใช้วิธี Double cleansing ก็ได้ค่ะ และที่สำคัญ อย่าลืมทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ โดยเฉพาะอุปกรณ์แต่งหน้า และผ้าเช็ดตัว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกและแบคทีเรียค่ะ

2. บำรุงและรักษาสมดุลให้ผิว

ผิวจะสุขภาพดีได้ ต้องอาศัยการบำรุงอย่างสม่ำเสมอค่ะ การบำรุงผิวขั้นพื้นฐานที่เราสามารถทำได้ในทุก ๆ วัน คือการทามอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อเก็บล็อกความชุ่มชื้นให้ผิวค่ะ เนื่องจากความชุ่มชื้นเป็นหัวใจสำคัญของเซลล์ผิวที่แข็งแรง และยังช่วยในเรื่องของกระบวนสมานแผลด้วยค่ะ

3. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิว

การเลือกใช้ครีมบำรุง ครีมกันแดด และเครื่องสำอางที่ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน (Non-comedogenic) จะสามารถช่วยลดการเกิดสิวได้ค่ะ สำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย อย่าลืมเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน เพื่อป้องกันการอักเสบ และระคายเคืองของผิวค่ะ

4. ลดอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง

เลือกทานอาหารที่มีวิตามินและไฟเบอร์สูง และลดอาหารจำพวกของหวาน ของทอด ฟาสฟู้ด และน้ำหวาน สามารถช่วยลดการอักเสบของผิว และลดโอกาสการเกิดสิวได้ดีค่ะ ทั้งนี้ไม่ได้แปลว่าเราไม่สามารถทานอาหารพวกนี้ได้เลย เพียงแต่เราสามารถลดปริมาณและความบ่อยในการทานลงได้ เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพผิวที่ดีขึ้นค่ะ

5. ไม่แกะ บีบ หรือกดสิวเอง และรักษาสิวอย่างถูกวิธี

เราอาจจะรู้สึกรำคาญเมื่อเห็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่ที่ทั้งแดงทั้งเจ็บ และอยากจะบีบออกให้จบ ๆ ไป หมอผึ้งขอย้ำเลยค่ะว่า การบีบสิวไม่ใช่วิธีรักษาที่ดีเลย เเพราะการบีบสิวจะทำให้การอักเสบ กระจายออกมายังผิวบริเวณรอบข้าง นำไปสู่การเกิดสิวใหม่มีการอักเสบที่รุนแรงกว่าเดิม และยังเป็นการทำร้ายผิวซึ่งอาจส่งผลให้เกิดเป็นแผลเป็นด้วยค่ะ

และสำหรับคนที่ชอบกดสิวเสี้ยน หรือกดสิวอุดตันออกเองที่บ้าน หมอขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงค่ะ เนื่องจากการกดสิวที่ไม่ถูกวิธีจะเป็นการทำร้ายผิวมากกว่าการรักษา และควรให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนทำดีกว่าค่ะ

และสำหรับคนที่มีปัญหาสิว เราสามารถรักษาเองได้ด้วยการใช้ยาแต้มสิว เช่น Benzyl peroxide, Salicylic acid, Tretinoin หรือ ยาปฏิชีวนะอย่าง Clindamycin ค่ะ ซึ่งยาเหล่านี้เราสามารถซื้อและขอคำแนะนำการใช้ได้จากเภสัชกร แต่หากเป็นการรักษาสิวด้วยยากิน หรือ หัตถการอื่น ๆ หมอขอแนะนำให้เข้ารับการรักษากับคลินิกที่ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้ค่ะ

ปัญหาสิว รักษาได้ที่ EY Clinic

หมอผึ้งหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้เข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดสิวมากขึ้น สำหรับคนที่มีปัญหาสิวเรื้อรัง รักษาไม่หายสักที ลองเข้ามาพูดคุยกับหมอได้ที่ EY Clinic ค่ะ เราเข้าใจถึงความท้อใจที่มาจากปัญหาผิวที่น่าหงุดหงิด คลินิกของเราจึงมุ่งมั่นที่ช่วยดูแลและมอบสุขภาพผิวที่ดีให้กับคุณค่ะ โดยโปรแกรมรักษาสิวที่ EY Clinic มีให้บริการมีดังนี้ค่ะ

  • Acne basic: ทรีตเมนต์กดสิว มาสก์หน้าและทรีตเมนต์บำรุงผิว เริ่มต้นที่ 999 บาท
  • Acne plus: ทรีตเมนต์กดสิว และ DermaLight IPL (ทั่วหน้า) เริ่มต้นที่ 1,799 บาท
  • Acne clearsure รวมทรีตเมนต์กดสิว เลเซอร์ AdvaTx (30 จุด) และ DermaLight IPL (ทั่วหน้า) เริ่มต้นที่ 2,599 บาท

ทั้งนี้ เราจะมีการวางแผนการรักษาให้เหมาะกับตัวคุณ โดยไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็น และมีการติดตามผลการรักษาเพื่อการันตีความพึงพอใจของคุณด้วยค่ะ

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย


เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ


อ้างอิงข้อมูล:

  • Arruda, S., Swearingen, A., Medrano, K., & Sadick, N. (2021). Subject satisfaction following treatment with nanofractional radiofrequency for the treatment and reduction of acne scarring and rhytids: A prospective study. Journal of Cosmetic Dermatology.  https://doi.org/10.1111/jocd.14455 

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

เจาะลึก สาเหตุของการเกิดสิว: กลไก ปัจจัย และวิธีรักษา
Dr. Patnapa Vejanurug
May 28, 2024
ทำความรู้จัก “Subcision หลุมสิว” ตัวช่วยรักษารอยแผลเป็นสิว
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
ทำความรู้จัก “Subcision หลุมสิว” ตัวช่วยรักษารอยแผลเป็นสิว
ในบทความนี้ หมอผึ้งจะพาไปรู้จักกับการทำ Subcision หลุมสิว ซึ่งเป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อ แต่ก็เป็นวิธีรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพสูง มีผลข้างเคียงน้อยและน่าสนใจตัวนึงค่ะ

ในบทความนี้ หมอผึ้งจะพาไปรู้จักกับการทำ Subcision หลุมสิว ซึ่งเป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อ แต่ก็เป็นวิธีรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพสูง มีผลข้างเคียงน้อยและน่าสนใจตัวนึงค่ะ

สรุปใจความสำคัญ

  • Subcision หลุมสิว คือ การตัดพังผืดใต้หลุมสิวโดยใช้เข็มขนาดเล็ก สามารถช่วยแก้ปัญหาหลุมสิวได้ดีสำหรับหลุมสิวชนิด rolling
  • Subcision หลุมสิว นิยมทำคู่กับหัตถการรักษาหลุมสิวตัวอื่น ๆ เพราะสามารถเพื่อประสิทธิภาพการรักษาโดยรวมได้เป็นอย่างดี
  • Subcision หลุมสิว เป็นการรักษาที่อาศัยความชำนาญของแพทย์ โดยแพทย์แต่ละคนอาจจะมีเทคนิคการทำที่ต่างกัน ซึ่งคุณสามารถเรียนรู้เทคนิคเฉพาะของหมอผึ้ง ได้ในบทความนี้

Subcision หลุมสิว คืออะไร รักษาหลุมสิวได้อย่างไร

หลังจากที่สิวหาย ร่างกายของเราก็จะเข้าสู่กระบวนการสมานแผลซึ่งทำให้เกิดการสร้างพังผืด (Fibrous tissue) ที่ว่าก็คือเนื้อเยื่อที่ร่างกายสร้างขึ้นมาระหว่างการสมานแผล ซึ่งพังผืดเหล่านี้อาจกลายเป็นตัวการที่ดึงรั้งผิวบริเวณฐานของหลุมสิวของเราไว้ ทำให้หลุมสิวรักษาได้ยาก การทำ Subcision หลุมสิว ก็คือ การตัดเอาเนื้อเยื่อพังผืดเหล่านี้ออก และวิธีนี้ยังกระตุ้นให้ผิวผลิตคอลลาเจนในบริเวณหลุมสิวอีกด้วยค่ะ

การทำ Subcision หลุมสิว ยังนิยมทำคู่กับหัตถการรักษาหลุมสิวตัวอื่น ๆ อย่าง เลเซอร์ สารกระตุ้นคอลลาเจนและฟิลเลอร์ เมื่อทำร่วมกันแล้ว ยิ่งจะทำให้ผลของการรักษาออกมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมค่ะ

เราควรทำ Subcision หลุมสิว ดีไหม - Subcision หลุมสิว เหมาะกับใคร

ได้รู้จักหลักการของหัตถการ Subsicion หลุมสิวไปแล้ว เราอาจจะมีคำถามว่า แล้วการทำ Subcision หลุมสิวนั้นเหมาะกับใครบ้าง

  • คนที่มีหลุมสิวแบบลึกและตื้น โดยจะได้ผลดีที่สุดกับหลุมสิวประเภท Rolling scar
  • คนมีปัญหาหลุมสิวแบบ Boxcar ที่มีลักษณะเป็นเหมือนกล่อง มีขอบชัดเจน ปากหลุมและก้นหลุมที่กว้างเท่า ๆ กัน
  • คนที่อยู่ในคอร์สรักษาหลุมสิวด้วยวิธีอื่น (เช่น เลเซอร์ ฟิลเลอร์ หรือ TCA) และต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา

หมอผึ้งขอเสริมค่ะว่า การทำ Subcision หลุมสิวจะได้ผลดีกว่าเมื่อทำร่วมกับหัตถการอื่น เพราะในบางกรณีการตัดพังผืดหลุมสิวอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ

ยกตัวอย่างจากข้อมูลของงานวิจัยจากในปี 2023 จาก Clinical Cosmetic and Investigational Dermatology ที่ระบุว่า การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวร่วมกับการทำ Subsicion ให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจใน 94% ของผู้รับการรักษา ในขณะที่การทำ Subsicion หลุมสิวอย่างเดียวให้ผลลัพธ์ที่ดีเพียง 67% ของผู้รับการรักษาค่ะ

ฉะนั้น หากเลือกใช้ Subsicion หลุมสิวเป็นการรักษาร่วมกับทรีตเมนต์อื่น ๆ ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ

ขั้นตอนการรักษา Subcision หลุมสิว ทำได้อย่างไร

  1. เริ่มต้นจากการทำความสะอาดผิวหน้าในบริเวณที่จะหัตถการ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  2. แพทย์อาจทำเครื่องหมายบนใบหน้าบริเวณที่จะมีการทำ Subcision โดยใช้ปากกาสำหรับระบุตำแหน่งบนผิวหนัง
  3. ฉีดหรือแปะยาชาตรงบริเวณที่จะทำการตัดพังผืดหลุมสิว ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าควรให้ยาชาประเภทไหน
  4. แพทย์ทำการสอดเข็มขนาดเล็กเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ก่อนจะทำการเลาะพังผืดที่อยู่ใต้หลุมสิวออก
  5. ระหว่างการทำ Subsicion หลุมสิว จะมีการซับเลือดและประคบเย็นเพื่อลดความเจ็บปวดและอาการบวม
  6. หลังทำ Subcision หลุมสิวแล้ว ผู้รับการรักษาอาจมีอาการบวมช้ำบริเวณที่ทำหัตถการ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่ปกติของหัตถการ และสามารถประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการได้
  7. แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตัวเองหลังทำหัตถการ และนัดหมายเพื่อติดตามผลการรักษาครั้งต่อไป

หมอผึ้งขอย้ำว่า ก่อนทำทรีตเมนต์ที่ EY Clinic เราจะมีการให้ประเมินสภาพผิวและให้คำปรึกษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้การรักษาที่เหมาะสมที่สุด และเพื่อการันตีผลลัพธ์ที่อยากได้ค่ะ

เทคนิค Subcision หลุมสิว ของหมอผึ้ง

แพทย์ผิวหนังแต่ละท่านอาจจะมีเทคนิควิธีการทำ Subcision ที่ต่างกัน โดยที่ EY Clinic หมอผึ้งจะมีเทคนิคใช้อยู่ 3 เทคนิคดังนี้ค่ะ

ClearPath - เทคนิคการตัดพังผืดหลุมสิวโดยใช้เข็ม 2 ประเภท: เข็มทู่ Blunt cannula และ เข็มแหลม Sharp needle ซึ่งจะทำให้ตัดพังผืดได้อย่างแม่นยำตามที่ต้องการ และไม่ทำร้ายผิวบริเวณรอบข้างค่ะ

PainShield - หมอผึ้งจะมีเทคนิคในการฉีดยาชาแบบพิเศษ ซึ่งจะทำให้ยาชากระจายตัวทั่วชั้นผิว dermis เพื่อให้ผู้รับการรักษารู้สึกเจ็บน้อยที่สุดระหว่างการทำ Subsicion หลุมสิวค่ะ

MultiPlane - ตัดพังผืดหลุมสิวจากหลายระนาบ เพื่อให้มั่นใจว่า ได้ตัดเอาพังผืดหลุมสิวออกอย่างหมดจด เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุดค่ะ

ย้ำกันนิดนึงค่ะ ว่าการทำ Subcision หลุมสิว เป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ ซึ่งแพทย์ผู้ดำเนินการควรจะเป็นแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการฝึกหัดในการทำหัตถการค่ะ ฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะเลือกทำ Subcision หลุมสิวกับคลินิกไหน อย่าลืมเช็กให้แน่ใจว่า คลินิกนั้น ๆ มีแพทย์เฉพาะทาง และเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐานค่ะ

Subcision หลุมสิว ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล

โดยทั่วไปแล้ว การทำ Subcision หลุมสิวควรทำอย่างน้อย 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 4 สัปดาห์ต่อครั้ง เพื่อให้ผลการรักษาที่ชัดเจนและดีที่สุดค่ะ

ข้อดีของ Subcision หลุมสิว

  • มีความเสี่ยงต่ำ ไม่ต้องมีเวลาพักฟื้น
  • ให้ผลการรักษาที่ถาวร และไม่มีผลข้างเคียงในระยะยาว
  • ไม่มีรอยแผลจากการทำหัตถการ มีเพียงอาการบวมและห้อเลือดเล็กน้อย
  • ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นไม่แพง

ข้อเสียของ Subcision หลุมสิว

  • เหมาะกับหลุมสิวบางประเภทเท่านั้น และให้ผลดีที่สุดกับหลุมสิวประเภท Rolling
  • เป็นหัตถการที่อาศัยความชำนาญจากแพทย์สูง

ทำ Subcision หลุมสิวกับ EY Clinic ดีอย่างไร

อย่างที่ได้กล่าวไปค่ะว่า Subcision หลุมสิว คือหัตถการทำต้องอาศัยความชำนาญและควรทำโดยแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น ซึ่งที่ EY Clinic มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง การันตีความปลอดภัย ความสบายใจ และผลลัพธ์ที่คุณอยากได้ค่ะ โดยแพ็กเกจรักษาหลุมสิวที่ EY Clinic มีดังนี้ค่ะ

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size S (4,999.-)

  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size M (8,999.-)

  • Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size L (18,999.-)

  • Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน
  • Rejuran S รุ่นเฉพาะหลุมสิว (1cc)

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย


เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะมาพูดคุย ปรึกษาปัญหาผิวกับหมอผึ้งได้ที่ EY Clinic ค่ะ

อ้างอิงข้อมูล:

Vempati, A. et al. (2023) Subcision for atrophic acne scarring: A comprehensive review of surgical instruments and combinatorial treatments, Clinical, cosmetic and investigational dermatology: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC9868281 

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

ทำความรู้จัก “Subcision หลุมสิว” ตัวช่วยรักษารอยแผลเป็นสิว
Dr. Patnapa Vejanurug
May 28, 2024
เจาะลึก “เลเซอร์รักษาหลุมสิว” มีกี่แบบ ทำงานยังไง
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
เจาะลึก “เลเซอร์รักษาหลุมสิว” มีกี่แบบ ทำงานยังไง
ในบทความนี้ หมอผึ้งได้รวบรวมเอาเรื่องควรรู้เกี่ยวกับ “เลเซอร์รักษาหลุมสิว” อย่าง Pico laser, Fractional CO2 laser, และ Fractional RF laser ซึ่งหมอได้สรุปวิธีการทำงาน ข้อดี และข้อจำกัดของเลเซอร์รักษาหลุมสิวแต่ละแบบ มาให้ทุกคนที่มีปัญหา “หลุมสิว” ได้อ่านก่อนตัดสินใจเลือกการรักษาค่ะ

ในบทความนี้ หมอผึ้งได้รวบรวมเอาเรื่องควรรู้เกี่ยวกับ “เลเซอร์รักษาหลุมสิว” อย่าง Pico laser, Fractional CO2 laser, และ Fractional RF laser ซึ่งหมอได้สรุปวิธีการทำงาน ข้อดี และข้อจำกัดของเลเซอร์รักษาหลุมสิวแต่ละแบบ มาให้ทุกคนที่มีปัญหา “หลุมสิว” ได้อ่านก่อนตัดสินใจเลือกการรักษาค่ะ

สรุปใจความสำคัญ

  • หลุมสิว คือรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว มีลักษณะเป็นแอ่งหรือหลุม ซึ่งรักษาได้ยาก
  • เลเซอร์ เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาหลุมสิวที่ความเสี่ยงต่ำ และมีประสิทธิภาพสูง
  • เลเซอร์รักษาหลุมสิวด้วยการใช้ความร้อนเพื่อกระตุ้นให้ผิวเข้าสู่กระบวนการสมานแผล ทำให้ผิวผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ออกมา ซึ่งช่วยทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น
  • เลเซอร์ยังสามารถแก้ปัญหาผิวอื่น ๆ เช่น สิว ฝ้า กระ และช่วยปรับสีผิวให้เสมอกัน
  • เลเซอร์รักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันได้แก่ Venus Viva MD, Fractional RF, Frational CO2, Fotona, และ eMatrix ค่ะ

หลุมสิว คืออะไร

หลุมสิว (Atrophic acne scar) คือ แผลเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดที่มากับปัญหาสิว หลุมสิวเกิดจากการที่เซลล์ผิวไม่สามารถผลิตคอลลาเจนและเนื้อเยื่อมาทดแทนส่วนที่เป็นสิวอักเสบได้ จึงทิ้งเป็นรอยแผลเป็นที่มีลักษณะเหมือนรอยบุ๋มหรือหลุม และส่งผลให้ใบหน้าของเราดูไม่เรียบเนียนค่ะ

เราสามารถแบ่งประเภทของหลุมสิวออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ค่ะ

  • Ice pick หรือ หลุมสิวแบบจิก เป็นประเภทที่พบมากที่สุด (60-70% ของแผลเป็นจากสิว) และรักษายากที่สุด มีความลึกประมาณ 2 มิลลิเมตร ลักษณะจะเป็นแผลปากแคบ หลุมลึกและแหลม
  • Rolling หรือ หลุมสิวแอ่งกระทะ มีลักษณะเป็นแอ่งตื้น ไม่มีขอบที่ชัดเจน มักเกิดที่บริเวณแก้ม และสามารถกินพื้นที่ได้ถึง 5 มิลลิเมตร หลุมสิวประเภทพบได้ไม่บ่อยเมื่อเทียบกับอีกสองประเภทแต่เป็นประเภทที่รักษาได้ง่ายที่สุด
  • Boxcar หรือ หลุมสิวแบบกล่อง มีลักษณะเป็นกล่องหรือบ่อกว้างที่มีขอบชัดเจน ความกว้างอยู่ที่ 1.5 - 4 มิลลิเมตร ซึ่งนอกจากสิวแล้ว แผลจากตุ่มโรคอีสุกอีใสก็มักทำให้เกิดเป็นแผลแบบ Boxcar ได้

เลเซอร์รักษาหลุมสิว ทำงานอย่างไร ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้จริงไหม

หมอขอสรุปง่าย ๆ ว่า เลเซอร์รักษาหลุมสิวได้ด้วยการกระตุ้นกระบวนการสมานแผล (Wound Healing) ในร่างกายของเราค่ะ ซึ่งเรามีกลไกการทำงานได้คร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ

  • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนด้วยความร้อน (Collagen Stimulation) : เมื่อแสงเลเซอร์ถูกส่งผ่านเข้าไปในขั้นผิวหนังแล้ว แสงเลเซอร์จะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อน ซึ่งความร้อนนี้จะกระตุ้นให้เซลล์ผลิตคอลลาเจนมากขึ้นและเกิดการปรับโครงสร้างของเส้นใยคอลลาเจน (Collagen remodeling) ที่ช่วยให้ผิวเน้นฟูขึ้น และทำให้หลุมสิวเริ่มจางลง
  • ทำลายเนื้อเยื่อส่วนแผลเป็น (Scar Tissue Vaporization) : เลเซอร์บางตัว เช่น เลเซอร์ CO2 สามารถทำให้เนื้อเยื่อแผลเป็นบางส่วน “ระเหย” หายไปได้ค่ะ ซึ่งการระเหยตรงนี้ก็จะทำให้เซลล์บริเวณนั้นเข้าสู่วงจรการผลัดเซลล์ผิว (Cell Turnover) ส่งผลให้ผิวเรียบเนียนมากขึ้นค่ะ
  • ขจัดผิวเก่าและเผยผิวใหม่ (Ablative Resurfacing) : เลเซอร์บางตัวที่มี Ablative technology จะสามารถขจัดเอาผิวชั้นนอกสุดออก ซึ่งช่วยให้ร่างกายได้ผลัดเซลล์ผิวและสร้างคอลลาเจนเพิ่ม ซึ่งจะช่วยเติมเต็มหลุมสิวและปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้นค่ะ

นอกจากนี้ เลเซอร์ยังรักษาได้มากกว่าหลุมสิว: เลเซอร์ที่ใช้รักษาหลุมสิวสามารถช่วยแก้ไขปัญหารอยดำ รอยแดง ริ้วรอยและปรับโทนสีผิวให้เสมอกันได้ด้วยค่ะ

และเมื่อเทียบกับทรีตเมนต์อื่นๆเลเซอร์รักษาหลุมสิว ถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย ทำได้ง่าย มีความเสี่ยงต่ำ และเห็นผลไวด้วยค่ะ

เลเซอร์รักษาหลุมสิว มีอะไรบ้าง

ในปัจจุบัน เทคโนโลยีเลเซอร์ให้เราเลือกอยู่มากมายค่ะ หมอผึ้งจึงขอยกตัวอย่าง 3 เลเซอร์รักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยมมาก มีประสิทธิภาพสูง พร้อมข้อดี-ข้อเสียของแต่ละตัวค่ะ

เลเซอร์รักษาหลุมสิว Venus Viva MD

Venus Viva MD เป็นการรักษาหลุมสิวด้วยเทคโนโลยี NanoFractional™ Radiofrequency ค่ะ ซึ่งเทคโนโลยีตัวนี้โดดเด่นในเรื่องของ Skin Resurfacing เจ้าเลเซอร์ตัวนี้รักษาหลุมสิวด้วย คลื่นความถี่วิทยุที่ส่งผ่านเข้าสู่ชั้นผิวด้วยเข็มที่มีขนาดเล็กเพียงประมาณ 300 นาโนเมตร (1 นาโนเมตร เท่ากับ 1 ในสิบล้านเซนติเมตร) ค่ะ

แล้วเข็มเล็กนาโนแบบนี้ดีอย่างไร เข็มขนาดเล็กเหล่านี้เข้าสู่ชั้นผิวได้ลึก (สูงสุดที่ความลึก 800 µm) กระจายคลื่นวิทยุเข้าสู่เนื้อเยื่อได้อย่างสม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพสูง โดยที่ไม่สร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง และยังไม่สร้างความเจ็บปวดระหว่างการรักษาด้วยค่ะ

Venus Viva MD การันตีเรื่องความสบายหน้าระหว่างการรักษาค่ะ โดยงานวิจัยของ Journal of Cosmetic Dermatology ในปี 2021 ระบุไว้ว่า ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว 30 คนที่ได้ทำเลเซอร์รักษาหลุมสิวตัวนี้ ให้คะแนนความเจ็บปวดระหว่างการทำ เพียง 3 ใน 10 (0 =ไม่เจ็บเลย และ 10 = เจ็บมาก) และที่สำคัญ หลังการรักษาก็ไม่มีผลข้างเคียงระยะยาวใด ๆ ด้วยค่ะ

คลื่นวิทยุที่ถูกส่งผ่านเข้าไปในชั้นผิวด้วยเข็มขนาดเล็กเหล่านี้ จะทำความร้อนเป็นจุดเล็ก ๆ (เรียกว่า Microthermal zone) ซึ่งกระตุ้นกระบวนการสมานแผลของเซลล์ในบริเวณที่เราต้องการค่ะ

นอกจาก เทคโนโลยีเข็มจิ๋ว แล้วเลเซอร์รักษาหลุมสิว Venus Viva MD ยังมีเทคโนโลยี SmartScan™ ซึ่งจะสามารถปรับเปลี่ยนแพตเทิร์นในการปล่อยคลื่นวิทยุได้ตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล ทำให้เลเซอร์รักษาหลุมสิวตัวนี้มีความยืดหยุ่น ปลอดภัยต่อผู้รับการรักษามากขึ้น และยังลดโอกาสเกิดผิวไหม้คล้ำ (Hyperpigmentation) หลังทำเลเซอร์ด้วยค่ะ

ข้อดี:

  • เหมาะกับหลุมสิวประเภท rolling และ boxcar
  • จุดเด่นคือเป็น Fractional RF ชนิด Ablative ที่สร้างความร้อนถึงจุดที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวด้านบนได้ ทำให้ได้เซลล์ผิวใหม่ที่มาพร้อมกับ Skin Texture ที่ดีขึ้น
  • ได้ในเรื่องของ Patient Comfort ระหว่างการรักษาเพราะปล่อยพลังงานจากหัว pin ขนาดจิ๋ว
  • โอกาสการเกิดรอยไหม้ หรือ รอยคล้ำ หลังทำการรักษาต่ำ ด้วยเทคโนโลยี SmartScan™
  • ปลอดภัยกับผิวทุกประเภท

ข้อเสีย:

  • มีเวลาพักฟื้นประมาณ 2-3 วัน
  • การปล่อยพลังงานจะเป็นการปล่อยผ่านหัว pin ซึ่งอาจจะทำให้พลังงานลงลึกเท่าเครื่องที่ใช้ Microneedle ปล่อยไม่ได้

เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional RF

เลเซอร์หลุมสิว Fractional RF (Fractional Radiofrequency) คือการใช้คลื่นความถี่วิทยุในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งคลื่นวิทยุนี้พอเข้าสู่ชั้นผิวแล้วจะทำให้เกิดความร้อน ซึ่งผลักดันให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ โดยเลเซอร์ Fractional RF มีทั้งแบบ Ablative และ Non-Ablative ซึ่งแพทย์จะเป็นคนพิจารณาว่าจะใช้แบบไหนค่ะ 

ที่ EY Clinic จะมีการใช้เลเซอร์ Fractional RF ชนิด Microneedling ค่ะ เทคนิคนี้คือ การใช้เข็มขนาดเล็ก (ขนาด 0.5-3 มิลลิเมตร ซึ่งใหญ่กว่าเข็มของ Venus Viva MD) ทิ่มเข้าไปในชั้นผิวเพื่อสร้างแผลเป็นจุดเล็ก ๆ ที่จะกระตุ้นกระบวนการสมานแผล และยังช่วยให้คลื่น RF เข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกและทั่วถึงมากขึ้นด้วยค่ะ

ข้อดี:

  • สามารถรักษาหลุมสิวในบริเวณที่ผิวมีความบอบบางได้ดี
  • เทคนิค Microneedling ช่วยให้คลื่น RF เข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกมากกว่า Pico laser
  • ผลข้างเคียงน้อย เมื่อเทียบกับเลเซอร์ตัวอื่น

ข้อเสีย:

  • ไม่เหมาะกับคนที่มีหลุมสิวที่ลึกและรุนแรง
  • อาจต้องทำทรีตเมนต์หลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน

บริการเลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional RF มีรายละเอียดดังนี้ค่ะ

  • Fractional RF (size S) 1 ครั้ง ราคา 4,999.-
  • Fractional RF (size M) 2 ครั้ง  ราคา 8,999.- 
  • Fractional RF (size L) ทั่วหน้า 5 ครั้งแถม 1 ครั้ง ราคา 24,995.- 

เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional CO2

เลเซอร์ Fractional CO2 ปล่อยแสงเลเซอร์ที่ความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร ใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวกลางในการแทรกตัวเข้าสู่เซลล์ผิว ซึ่งที่ EY Clinic ก็มีบริการเลเซอร์หลุมสิว Fractional CO2 โดยใช้ชื่อว่า “Smooth X” ค่ะ

เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional CO2 เป็นเลเซอร์ประเภท Ablative มีหลักการทำงานดังนี้ค่ะ:

เมื่อยิงเลเซอร์เข้าสู่ผิวหนังแล้ว ความร้อนของเลเซอร์จะเข้าไปทำให้น้ำในเนื้อเยื่อร้อนขึ้น ทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการผลิตคอลลาเจน ผลัดเซลล์ผิว และเร่งผลิตเซลล์ผิวใหม่ค่ะ ซึ่งเราก็ไม่ต้องกลัวว่า ผิวหน้าส่วนอื่นจะได้รับความร้อนสูงเข้าไปด้วย เพราะ Fractional CO2 จะให้ความร้อนเป็นจุดเล็ก ๆ และไม่ให้เนื้อเยื่อบริเวณรอบข้างเสียแน่นอนค่ะ

สำหรับที่ EY Clinic หลังทำเลเซอร์ Fractional CO2 เสร็จแล้ว บริเวณที่ทำจะมีแผลเล็ก ๆ พร้อมกับสะเก็ดแผลเล็กน้อย 

ข้อดี:

  • รักษาหลุมสิวที่ลึกได้ดี โดยเฉพาะหลุมสิวประเภท rolling และ boxcar
  • มีความยืดหยุ่นในการรักษา แก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย เช่น กระ สิวข้าวสาร สิวอุดตันหัวปิด และช่วยลบเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณ หน้าผาก รอบดวงตา แก้ม และรอบปากได้ด้วยค่ะ
  • ช่วยกระชับรูขุมขน

ข้อเสีย:

  • อาจมีผลข้างเคียงหลังทำเสร็จ (อาการบวมแดง หรือสะเก็ดแผล) ที่มากกว่าเมื่อเทียบกับเลเซอร์ตัวอื่น
  • มีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยคล้ำ (Hyperpigmentation) หลังทำ หากแพทย์ไม่มีความชำนาญหรือเครื่องมือไม่ได้มาตรฐาน

ซึ่งเลเซอร์รักษาหลุมสิว Smooth X ที่มีให้บริการที่ EY Clinic มีรายละเอียดราคาดังนี้ค่ะ

  • SmoothX หลุมสิวที่แก้ม 3,499.- ต่อครั้ง และมีแพ็กเกจ 17,495.- ต่อ 6 ครั้ง
  • SmoothX หลุมสิวทั่วหน้า 3,999.- ต่อครั้ง และมีแพ็กเกจ 19,995.- ต่อ 6 ครั้ง

เลเซอร์รักษาหลุมสิว Fotona

Fotona เป็นเลเซอร์ YAG ซึ่งเลเซอร์ YAG ใช้ในการรักษาหลุมสิวคือ Er:YAG มีกลไกในการกระตุ้นกระบวนการสมานแผล และช่วยปรับผิวให้เรียบเนียนค่ะ ซึ่งเลเซอร์ Fotona ก็มีทั้งแบบ Ablative ที่ช่วยผลัดเซลล์ได้ และ Non-ablative ที่ไม่ทำให้หน้าบาง แต่การเลือกใช้ก็จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ผู้ดูแลค่ะ

ข้อดี:

  • มีความแม่นยำ ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สามารถรักษาปัญหาผิวอื่น ๆ นอกจากหลุมสิวได้ เช่น ช่วยลบเลือนริ้วรอย
  • ให้ผลลัพธ์ที่นาน

ข้อเสีย:

  • หลังทำแล้ว ผิวอาจมีอาการบวมแดง ระคายเคือง หรือเกิดเป็นรอยคล้ำ (Hyperpigmentation)

เลเซอร์รักษาหลุมสิว eMatrix

eMatrix ใช้คลื่น RF ในการรักษาหลุมสิว เหมือนกับ Venus Via MD และ Fractional RF ค่ะ แต่ eMatrix จะใช้เทคโนโลยี Sublative™ ที่เป็นการโฟกัสคลื่นวิทยุไปยังผิวชั้นหนังแท้ เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยจะปล่อยคลื่นออกมาในรูปแบบพีรามิด ที่ไม่ทำร้ายหรือผิวชั้นหนังกำพร้าค่ะ

ข้อดี:

  • แก้ปัญหาผิวได้หลายข้อ เช่น จุดด่างดำ ริ้วรอย หรือ รอยดำจากแดด
  • ไม่ทำให้หน้าบาง หรือเกิดรอยคล้ำไหม้
  • ช่วยกระชับรูขุมขน และปรับสีผิวให้เสมอกันได้

ข้อเสีย:

  • หัวของ eMatrix จะปล่อยพลังงานในรูปแบบ stamping ทำให้เกิดสะเก็ดที่ใหญ่ถึง 59,000 ไมครอน^2 ใหญ่กว่าของ Venus Viva ถึง 20 เท่า ตอนทำอาจจะรู้สึกเจ็บกว่า
  • ความสามารถในการทะลุผ่านเนื้อเยื่อยังตื้นกว่าและมีความแม่นยำน้อยกว่า Venus Viva
  • เห็นผลช้า อาจต้องทำทรีตเมนต์หลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน

เลเซอร์รักษาหลุมสิว Pico

Pico laser น่าจะเป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิวที่หลาย ๆ คนคุ้นชื่อ ซึ่ง ‘Pico’ นั้นมาจากคำว่า ‘Picosecond’ (แปลว่า 1ล้านล้านของวินาที) ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการยิงแสงเลเซอร์ในจังหวะที่สั้นและเร็ว ลำแสงเลเซอร์พลังงานสูงจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในบริเวณที่ต้องการได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพค่ะ

โดยในปัจจุบัน Pico สามารถปล่อยเลเซอร์ได้ที่หลายความยาวคลื่น (532, 730, 755, 785 และ 1064 นาโนเมตร) ซึ่งแต่ละความยาวคลื่นก็จะมีข้อบ่งชี้ในการใช้ที่ต่างกันค่ะ

Pico laser หลุมสิว ยังเป็นเลเซอร์แบบ Non-ablative หรือก็คือ ไม่มีการลอกผิวชั้นนอก และยังขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการทำลายเม็ดสีเมลานิน ช่วยแก้ปัญหาฝ้ากระได้ดี และยังเป็นเลเซอร์ที่ใช้ลบรอยสักด้วยค่ะ

ข้อดี:

  • ไม่ทำให้หน้าบางลง
  • เห็นผลลัพธ์รวดเร็วและชัดเจนในกลุ่มคนที่ปัญหาหลุมสิวไม่รุนแรง

ข้อเสีย:

  • ผิวหน้าอาจตกสะเก็ดหลังทำ
  • ไม่เหมาะกับคนที่มีหลุมสิวจำนวนมากและรุนแรง
  • Pico laser ถูกผลิตมาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องของเม็ดสี แต่มี side effects คือช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ถูกนำมารักษาหลุมสิวได้ แต่ผลอาจจะไม่สม่ำเสมอเท่าเครื่องอื่นๆ
  • ด้วยต้นทุนที่สูง อาจทำให้มีราคาเริ่มต้นที่สูงเมื่อเทียบกับเลเซอร์รักษาหลุมสิวตัวอื่น ๆ

เลเซอร์รักษาหลุมสิวต้องทำกี่ครั้ง ถึงจะเห็นผล

โดยทั่วไปแล้ว ผลที่ชัดเจนที่สุดจะเห็นได้หลังทำเลเซอร์รักษาหลุมสิวได้ 3-5 ครั้งค่ะ อย่างไรก็ดี จำนวนครั้งและผลลัพธ์ย่อมขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลและชนิดของหลุมสิวด้วยค่ะ

วิธีการเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์หลุมสิว

การทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว เราควรมีการวางแผนและเตรียมตัวดังนี้ค่ะ

  • งดสครับผิวหน้า อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์
  • งดใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ Retinol, Glycolic acid, Salicylic acid หรือส่วนประกอบใดที่มีสรรพคุณในการผลัดเซลล์ผิว
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 3-5 วัน ก่อนการทำเลเซอร์
  • ไม่แต่งหน้าในก่อนเข้าทำเลเซอร์
  • ศึกษาหาข้อมูล และรีวิวของคลินิกที่จะใช้บริการก่อนตัดสินใจทำเสมอ เพราะไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิว ฟิลเลอร์ หรือฉีดสิว ก็ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยของเราค่ะ

วิธีการดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว

เมื่อทำเลเซอร์รักษาหลุมสิวแล้ว เราควรมีการดูแลตัวเองเพื่อลดความรุนแรงของผลข้างเคียง และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ

  • หลีกเลี่ยงไม่ให้บริเวณที่เพิ่งยิงเลเซอร์มาโดนน้ำเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง
  • เมื่อผ่าน 24 ชั่วโมงไปแล้ว สามารถล้างหน้าได้ตามปกติ แต่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิว
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และกิจกรรมออกแดดในช่วง 24-48 ชั่วโมง หลังทำเสร็จ เนื่องจากเป็นช่วงที่ผิวจะคล้ำได้ง่ายกว่าปกติ
  • งดการใช้เครื่องสำอางอย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังทำเลเซอร์เสร็จ
  • งดสครับหน้าจนกว่าอาการบวมแดงหรือสะเก็ดจะหายไป
  • หากมีสะเก็ดแผล ไม่ควรแกะหรือเกาเพราะอาจจะทำให้เกิดรอยแผลเป็น
  • ทามอยเจอร์ไรเซอร์ และครีมกันแดด เพื่อบำรุงและสร้างเกราะป้องกันให้ผิว

รักษาหลุมสิวที่ EY Clinic ดีอย่างไร

อย่างที่กล่าวไปค่ะว่า ไม่ว่าจะเป็นหัตถการประเภทไหน เราก็ควรเลือกเข้ารับบริการกับคลินิกที่มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ และมีใบอนุญาตที่ถูกกฎหมาย ซึ่งหากคุณกำลังมองหาคลินิกที่จะช่วยดูแลสุขภาพผิวของคุณ เข้ามาพูดคุยกับเราที่ EY Clinic ได้ค่ะ เราคือผู้เชี่ยวชาญทางด้านสิว หลุมสิว และปัญหาผิวรอบด้าน นำทีมโดย นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) เป็นแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง เชี่ยวชาญด้าน Dermatosurgery โดยหมอจะมีการประเมินสภาพผิวและพูดคุยกับคุณก่อนที่จะวางแผนการรักษา เพื่อออกแบบทรีตเมนต์ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับคุณโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ยังมีการติดตามผลการรักษา ให้แน่ใจว่าได้ผลลัพธ์ที่คุณพึงพอใจค่ะ

สำหรับคนที่กำลังมองหาแพ็กเกจการรักษาหลุมสิว และฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน ที่ Ey Clinic มีแพ็กเกจให้บริการดังนี้ค่ะ

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size S (4,999.-)

  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size M (8,999.-)

  • Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size L (18,999.-)

  • Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน
  • Rejuran S รุ่นเฉพาะหลุมสิว (1cc)

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

หมอหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเลเซอร์รักษาหลุมสิวกับคนที่สนใจและต้องการดูแลผิวของตนเองได้ไม่มากก็น้อยค่ะ อย่างไรก็ดี หากมีข้อสงสัยสามารถแวะเข้ามาปรึกษาหมอผึ้งได้ที่ EY Clinic ค่ะ

อ้างอิงข้อมูล: 

Arruda, Suleima, et al. (2021) Subject Satisfaction Following Treatment with Nanofractional Radiofrequency for the Treatment and Reduction of Acne Scarring and Rhytids: A Prospective Study, Journal of Cosmetic Dermatology: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/34559923/ 

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

เจาะลึก “เลเซอร์รักษาหลุมสิว” มีกี่แบบ ทำงานยังไง
Dr. Patnapa Vejanurug
May 28, 2024
ฟิลเลอร์ฉีดหลุมสิว vs Rejuran S ตัวไหนดีกว่ากัน
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
ฟิลเลอร์ฉีดหลุมสิว vs Rejuran S ตัวไหนดีกว่ากัน
ในปัจจุบันเรามีวิธีการรักษาหลุมสิวให้เลือกอยู่มากมาย และแน่นอนว่า การฉีดหลุมสิว ก็เป็นวิธีที่หลายคนกำลังให้ความสนใจค่ะ ในบทความนี้ หมอผึ้งจะพาไปทำความรู้จักกับการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ และ Rejuran S ไปดูกันว่าแต่ละวิธี มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร และอันไหนจะเหมาะกับคุณที่สุดค่ะ

ในปัจจุบันเรามีวิธีการรักษาหลุมสิวให้เลือกอยู่มากมาย และแน่นอนว่า การฉีดหลุมสิว ก็เป็นวิธีที่หลายคนกำลังให้ความสนใจค่ะ ในบทความนี้ หมอผึ้งจะพาไปทำความรู้จักกับการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ และ Rejuran S ไปดูกันว่าแต่ละวิธี มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร และอันไหนจะเหมาะกับคุณที่สุดค่ะ

สรุปใจความสำคัญ

  • การฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ เป็นการฉีดสารไฮยาลูรอนิก แอซิด ในการเติมเต็มปริมาตรของผิวบริเวณหลุมสิว
  • การฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S เป็นการฉีดสารสกัดที่ได้จากปลาแซลมอนเข้าสู่ชั้นผิว 
  • Rejuran S เป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาหลุมสิว และรอยแผลเป็นโดยเฉพาะ
  • ฟิลเลอร์หลุมสิว ให้ผลการรักษาที่รวดเร็ว ในขณะที่ Rejuran S ให้ผลการรักษาที่ช้ากว่า แต่ถาวร
  • การฉีดหลุมสิวสามารถทำร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ได้ เช่น การตัดพังผืด และเลเซอร์หลุมสิวได้ โดยเมื่อทำร่วมกันแล้ว จะเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้น

การฉีดหลุมสิว ด้วยฟิลเลอร์

การฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ คือ การใช้สารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) ในการเติมเต็ม หรือทดแทนเนื้อเยื่อที่หายไปบริเวณหลุมสิวค่ะ ฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดหลุมสิวก็เป็นฟิลเลอร์ชนิดเดียวกับที่ใช้ฉีดเพื่อลดริ้วรอยให้หน้าดูอิ่มฟู อ่อนวัย โดยสารไฮยาลูรอนิก แอซิดเป็นสารที่พบได้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มีหน้าที่ในการอุ้มน้ำและเพิ่มความยืดหยุ่นในอวัยวะต่าง ๆ เมื่อฉีดแล้ว สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีค่ะ โดยจะเห็นว่าหลุมสิวจางลง ผิวมีความเต่งตึง และเรียบเนียนค่ะ นอกจากนี้ ตัวสารไฮยาลูรอนิก แอซิดยังมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนด้วยค่ะ

การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว เป็นวิธีแก้ปัญหาหลุมสิวที่ทำได้ง่าย เห็นผลได้ไว และไม่ต้องการเวลาพักฟื้นค่ะ 

ใครเหมาะกับการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์

  • คนที่มีหลุมสิวแบบ Boxcar หรือ Rolling ที่มีระดับความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง
  • คนที่มีหลุมสิวจำนวนน้อย
  • คนที่ต้องการการรักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว และไม่ยุ่งยาก
  • คนที่มีต้องการการรักษาที่ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
  • คนที่มีรอยแผลเป็นจากโรคอีสุกอีใส

ผลลัพธ์ของการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์จะอยู่ได้ตั้งแต่ 6-12 เดือน (หรือนานกว่านั้น) ตามอายุของฟิลเลอร์ที่ใช้ค่ะ โดยฟิลเลอร์จะสลายตัวไปตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย และไม่ทิ้งสารตกค้างใด ๆ ในร่างกายค่ะ 

นอกจากนี้ การฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์มักนิยมทำควบคู่กับการตัดพังผืด (Subcision) เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นค่ะ

ข้อควรระวัง: การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว เป็นวิธีการรักษาหลุมสิวที่อาศัยเทคนิคและความชำนาญของแพทย์สูงค่ะ เนื่องจากแพทย์จะต้องมีการประเมินว่าจะต้องฉีดตำแหน่งไหน และใช้ปริมาณฟิลเลอร์เท่าไรต่อหลุมสิว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและเป็นธรรมชาติที่สุดค่ะ

การฉีดหลุมสิว ด้วย Rejuran S

Rejuran S คือ สารโพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide หรือ PN) สกัดจากปลาแซลมอนที่พัฒนามาเพื่อแก้ปัญหาแผลเป็นและหลุมสิวโดยเฉพาะ โดย Rejuran S จะมีความเข้มข้นมากกว่า Rejuran Healer ที่ใช้เพื่อบำรุงและคืนความอ่อนวัย (Rejuvenation) อย่างล้ำลึกให้ผิวโดยรวมค่ะ โดยกระบวนการทำงานของ Rejuran S มีดังนี้ค่ะ

  • โพลีนิวคลีโอไทด์จากปลาแซลมอนทำงานในระดับดีเอ็นเอในการกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่และการหลั่งสาร Growth Factor ที่ช่วยสร้างเนื่อเยื่อใหม่
  • โพลีนิวคลีโอไทด์ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอย (Angiogenesis) ซึ่งเพิ่มการกำจัดของเสียเซลล์ที่ตายแล้วและช่วยในการทำงานของเซลล์
  • โพลีนิวคลีโอไทด์ยังมีสรรพคุณในการลดการอักเสบของเซลล์ (Anti-inflammatory effects) และลดแผลของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
  • Rejuran S ยังช่วยเสริมโครงสร้างให้สารที่เคลือบเซลล์ (Extracellular matrix หรือ ECM) ซึ่งทำให้ผิวยืดหยุ่นและแข็งแรงยิ่งขึ้น

ซึ่งสารสกัดโพลีนิวคลีโอไทด์ที่ได้มาจากปลาแซลมอนใน Rejuran S นับเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Stimulator) ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพ (Biocompatibility) กับดีเอ็นเอของมนุษย์ สามารถทำงานในเซลล์ของเราได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย และสามารถย่อยสลายได้ตามกลไกธรรมชาติค่ะ

ใครที่เหมาะกับการฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S

  • คนที่มีหลุมสิวแบบ Boxcar หรือ Rolling ที่มีระดับความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง
  • คนที่ต้องการการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
  • คนที่มีปัญหาแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรอยบุ๋ม

เมื่อพูดถึงผลลัพธ์ เราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง 2-3 สัปดาห์หลังฉีด Rejuran S  ครั้งแรกเพราะ Rejuran S ทำงานที่ลึกถึงระดับดีเอ็นเอในการผลักผิวเข้าสู่กระบวนการสมานแผลและฟื้นฟูเซลล์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่อย่างถาวรค่ะ

หมอขอแนะนำให้เริ่มต้นการรักษาที่การฉีด Rejuran S จำนวน 3-5 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 เดือนค่ะ เมื่อเริ่มฉีดแล้ว หลุมสิวจะเริ่มจางลงเรื่อย ๆ ประกอบกับผิวจากมีความกระชับและเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ นอกจากนี้ การฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S ก็สามารถทำร่วมกับการตัดพังผืด หรือเลเซอร์หลุมสิวได้ เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ

ข้อควรระวัง: เนื่องจาก Rejuran S มีเป็นสารสกัดที่ได้มาจากปลาแซลมอน การฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S จึงไม่เหมาะกับคนที่มีประวัติปลาทะเล หรือมีประวัติแพ้ผลิตภัณฑ์ Rejuran ตัวอื่นมาก่อนค่ะ

เปรียบเทียบการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ และ Rejuran S

การฉีดหลุมสิวทั้งด้วยฟิลเลอร์และ Rejuran S เป็นการรักษาที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีประสิทธิภาพค่ะ

ฟิลเลอร์ vs Rejuran S

ฟิลเลอร์เป็นสารไฮยาลูรอนิก แอซิด ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดเดียวกันกับที่พบได้ตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ ในขณะที่ Rejuran S คือสารโพลีนิวคลีโอไทด์หรือชิ้นส่วนดีเอ็นเอที่ได้มาจากปลาแซลมอนค่ะ ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยต่อร่างกายมนุษย์ สามารถใช้ในหัตถการการรักษาหลุมสิวได้โดยไม่ทิ้งสารตกค้างและไม่เป็นอันตรายค่ะ

การทำงานของฟิลเลอร์ vs Rejuran S

ฟิลเลอร์หลุมสิว เมื่อฉีดแล้วจะเข้าไปเติมเต็มปริมาตร หรือ ทดแทนเนื้อเยื้อส่วนที่หายไปบริเวณหลุมสิว หลังฉีดแล้วจึงสามารถเห็นผลได้ทันทีว่า หลุมสิวดูจางลงค่ะ แต่ Rejuran S จะมีการทำงานที่ซับซ้อนกว่า กล่าวคือ ตัวสารโพลีนิวคลีโอไทด์จะเข้าไปกระตุ้นกระบวนการสมานแผลและผลิตเซลล์ผิวใหม่ของร่างกายผ่านการทำงานระดับดีเอ็นเอ จึงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ก่อนจะเห็นความเปลี่ยนแปลงค่ะ

ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ vs Rejuran S

การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวเป็นการรักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์ได้เร็วค่ะ จึงเหมาะกับคนที่ต้องรักษาหลุมสิวแบบเร่งด่วน และฉีดเพิ่มเติม 3-5 ครั้ง ติดต่อกันได้ และทำควบคู่กับการตัดพังผืด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นค่ะ

โดยผลของการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวจะคงอยู่ได้ราว ๆ 6-12 เดือน หรือมากกว่านั้น ตามอายุของฟิลเลอร์ที่ใช้ค่ะ เมื่อเวลาผ่านไป ฟิลเลอร์จะค่อย ๆ สลายตัวไปทางกลไกธรรมชาติของร่างกายค่ะ

ในทางกลับกันผลลัพธ์ของ Rejuran S จะใช้เวลาสักระยะหนึ่ง โดยควรฉีดติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 3-4 สัปดาห์ โดยเราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงเรื่อย ๆ จนเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ซึ่งจะคงอยู่อย่างถาวรค่ะ

ฟิลเลอร์ฉีดหลุมสิว vs Rejuran S ตัวไหนดีกว่ากัน

หมอคิดว่า หัตถการทั้งสองตัวมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันค่ะ ฉะนั้นถ้าถามว่า ตัวไหนดีกว่า หมอขอตอบว่า ขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพผิวของแต่ละบุคคลค่ะ นอกจากนี้ เราก็ยังมีวิธีการรักษาหลุมสิวอีกมากมาย ซึ่งไม่ว่าคุณจะเลือกฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ หรือ Rejuran S สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้ค่ะ เพื่อความปลอดภัยของคุณค่ะ

การรักษาหลุมสิวด้วยวิธีต่าง ๆ

นอกจากการฉีดฟิลเลอร์และ Rejuran S เพื่อรักษาหลุมสิวแล้ว ในปัจจุบัน เรายังมีวิธีการรักษาอีกมากมายที่จะช่วยคืนความเรียบเนียนให้ผิวหน้าของคุณได้ค่ะ โดยในบทความนี้ หมอจะขอยกตัวอย่างวิธีการรักษาที่ได้มีความเสี่ยงต่ำ และได้รับความนิยมสูงค่ะ ได้แก่ การใช้เรตินอยด์ การตัดพังผืด เลเซอร์ และ PRP ค่ะ

การใช้เรตินอยด์ (Retinoid)

สารกลุ่มเรตินอยด์ คือ อนุพันธ์ของวิตามินเอค่ะ ซึ่งสารกลุ่มเรตินอยด์ที่เราน่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง ได้แก่ Retinol, Tretinoin และ Isotretinoin สารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ในการเร่งการผลิตเซลล์ผิวใหม่ ทำให้หลุมสิวจางลง และช่วยปรับให้ผิวเรียบเนียนค่ะ

แต่แน่นอนว่า การรักษาหลุมสิวใช้เรตินอยด์จะใช้เวลานานกว่าการรักษาแบบอื่น และจำเป็นต้องใช้อย่างสม่ำเสมอ วิธีนี้จึงไม่เหมาะคนที่ต้องการการรักษาแบบเร่งด่วน และไม่เหมาะกับคนที่มีผิวแพ้ง่ายด้วยค่ะ

การตัดพังผืด (Subcision)

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นค่ะว่า การฉีดหลุมสิวสามารถทำควบคู่กับการตัดพังผืดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาได้ โดยการทำ Subcision ก็คือการใช้เข็มขนาดเล็กสอดเข้าไปใต้หลุมสิวเพื่อเลาะเอาเนื้อเยื่อส่วนที่ดึงรั้งบริเวณฐานหลุมสิวออก วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเข้าสู่กระบวนการสมานแผลและสร้างคอลลาเจนใหม่ค่ะ

เลเซอร์รักษาหลุมสิว

เลเซอร์เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ทำร่วมกับการฉีดหลุมสิวได้ เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุดค่ะ โดยเลเซอร์ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่

เลเซอร์ Venus Viva MD

เลเซอร์รักษาหลุมสิวที่มีเทคโนโลยี NanoFractional™ Radiofrequency หรือการส่งคลื่นวิทยุผ่านเข้าสู่ชั้นผิวด้วยเข็มที่มีขนาดเล็กเพียงประมาณ 300 นาโนเมตร ซึ่งไม่สร้างความเจ็บปวดระหว่างการรักษาซึ่งต่างจากเลเซอร์ตัวอื่นค่ะ และยังลดโอกาสเกิดผิวไหม้คล้ำ (Hyperpigmentation) หลังทำเลเซอร์ด้วยค่ะ

คลื่นวิทยุที่ถูกส่งผ่านเข้าไปในชั้นผิวด้วยเข็มขนาดเล็กเหล่านี้ จะทำความร้อนเป็นจุดเล็ก ๆ (เรียกว่า Microthermal zone) ซึ่งกระตุ้นกระบวนการสมานแผลของเซลล์ในบริเวณหลุมสิวของเราค่ะ

เลเซอร์ Fractional RF

เลเซอร์ Fractional RF เป็นเลเซอร์อีกหนึ่งตัวที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการสร้างเซลล์ผิวใหม่ค่ะ โดยที่ EY Clinic จะใช้เลเซอร์ Fractional RF ด้วยเทคนิค Microneedling ค่ะ เทคนิคนี้คือ การใช้เข็มขนาดเล็ก (ขนาด 0.5-3 มิลลิเมตร ซึ่งใหญ่กว่าเข็มของ Venus Viva MD) ทิ่มเข้าไปในชั้นผิวเพื่อสร้างแผลเป็นจุดเล็ก ๆ ที่จะกระตุ้นกระบวนการสมานแผล และยังช่วยให้คลื่น RF เข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกและทั่วถึงมากขึ้นด้วยค่ะ

บริการเลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional RF ที่ EY Clinic มีรายละเอียดดังนี้ค่ะ

  • Fractional RF (size S) 1 ครั้ง ราคา 4,999.-
  • Fractional RF (size M) 2 ครั้ง ราคา 8,999.-
  • Fractional RF (size L) ทั่วหน้า 5 ครั้งแถม 1 ครั้ง ราคา 24,995.-

เลเซอร์ Fractional CO2

Fractional CO2 คือเลเซอร์ที่ความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร โดยใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวกลางในการแทรกตัวเข้าสู่เซลล์ผิวค่ะ เมื่อเข้าสู่ผิวหนังแล้ว ความร้อนของเลเซอร์จะเข้าไปทำให้น้ำในเนื้อเยื่อร้อนขึ้น ทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการผลิตคอลลาเจน ผลัดเซลล์ผิว และเร่งผลิตเซลล์ผิวใหม่ค่ะ

นอกจากหลุมสิวแล้ว เลเซอร์ Fractional CO2 ยังช่วยแก้ไขปัญหาผิวอย่าง กระ สิวข้าวสาร สิวอุดตันหัวปิดและลบเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณ หน้าผาก รอบดวงตา แก้ม และรอบปากได้ด้วยค่ะ

EY Clinic จะใช้เครื่องเลเซอร์ Fractional CO2 ที่ชื่อว่า “Smooth X” ค่ะ

  • SmoothX หลุมสิวที่แก้ม 3,499.- ต่อครั้ง และมีแพ็กเกจ 17,495.- ต่อ 6 ครั้ง
  • SmoothX หลุมสิวทั่วหน้า 3,999.- ต่อครั้ง และมีแพ็กเกจ 19,995.- ต่อ 6 ครั้ง

หลังทำเลเซอร์ Fractional CO2 เสร็จแล้ว บริเวณที่ทำจะมีแผลเล็ก ๆ พร้อมกับสะเก็ดแผลเล็กน้อย โดยแพทย์จะทายาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น

PRP รักษาหลุมสิว

PRP หรือ Plasma-Rich Platelet เป็นการใช้สารสกัดจากเกล็ดเลือดของตัวเราในการฟื้นบำรุงผิวหน้าค่ะ โดยในเกล็ดเลือดของเราจะมีโปรตีนที่เรียกว่า Growth factor ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน อีลาสติน และเร่งการสมานแผล โดยแพทย์จะเจาะเลือดของเราเพื่อนำไปปั่นและสกัดเกล็ดเลือดออกมา จากนั้นจะฉีดเกล็ดเลือดฉีดเข้าชั้นผิวหนังคล้ายกับการฉีดเมโสหน้าใสค่ะ ซึ่งวิธีนี้นอกจากจะรักษาหลุมสิวได้แล้ว ยังเพิ่มความอ่อนวัย กระชับ และเสริมความแข็งแรงให้กับผิวหน้าได้ด้วยค่ะ

เตรียมตัวก่อนฉีดหลุมสิว

ทั้งการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ และ Rejuran S เป็นการรักษาที่มีความเสี่ยงต่ำ ทำได้ง่ายและไม่ต้องการเวลาพักฟื้นค่ะ ซึ่งก่อนเข้ารับการฉีดหลุมสิว เราสามารถเตรียมตัวได้ตามวิธีต่อไปนี้ค่ะ

ก่อนตัดสินใจฉีดหลุมสิว:

  • เลือกคลินิกที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ โดยอ่านรีวิวจากผู้เข้ารับบริการจริงและเช็กข้อมูลของคลินิก - เนื่องจากในปัจจุบัน เราสามารถเจอมิจฉาชีพในรูปแบบของหมอกระเป๋า ฟิลเลอร์ปลอม หรือคลินิกที่ไม่ต่อใบอนุญาต ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยควรศึกษาข้อมูลเหล่านี้ก่อนค่ะ
  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดหลุมสิว - เพื่อให้มั่นใจว่า เรารู้ถึงข้อจำกัด ราคา วิธีการทำหัตถการ และวิธีดูแลตัวเอง ก่อน-หลัง การรักษาค่ะ
  • พูดคุยกับแพทย์ถึงผลลัพธ์ที่คาดหวัง - เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเราที่สุดค่ะ
  • แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัวและยาที่ใช้เสมอ

เตรียมตัวก่อนไปฉีดหลุมสิว:

  • หยุดใช้ยาที่มีผลทำให้เลือดแข็งตัวช้า เช่น ยากลุ่ม NSAIDS, กลุ่มยาแก้ปวด คลายกล้ามเนื้อ หรืออาหารเสริมต่าง ๆ ในช่วง 3-4 วันก่อนฉีดหลุมสิว เพื่อลดโอกาสการเกิดอาการบวมช้ำจากเข็มหลังการรักษาค่ะ
  • งดการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงก่อนฉีดหลุมสิว เนื่องจากแอลกอฮอล์อาจทำให้มีอาการบวมช้ำเข็มรุนแรงขึ้นค่ะ
  • งดการทำหัตถการอื่น ๆ เช่น การสครับใบหน้า เลเซอร์ หรือการรักษาอื่น ๆ อย่างน้อย 3 วันก่อนฉีดหลุมสิว

ขั้นตอนการฉีดหลุมสิว

การฉีดหลุมสิวทั้งด้วยฟิลเลอร์และ Rejuran S จะมีขั้นตอนคล้าย ๆ กันค่ะ โดยจะเริ่มจากการแปะยาชาหรือประคบเย็น ก่อนจะเริ่มฉีดค่ะ ซึ่งก่อนฉีด แพทย์ควรจะนำกล่องฟิลเลอร์หรือกล่อง Rejuran S ให้เราดูก่อนที่จะแกะ เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่กำลังจะใช้เป็นผลิตภัณฑ์ของแท้ค่ะ

ผลข้างเคียงหลังฉีดหลุมสิว

ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังฉีดหลุมสิว คือ อาการบวม แดง ช้ำ จากเข็มค่ะ ซึ่งอาการเหล่านี้จะบรรเทาลงไปเองภายใน 2-3 วันหลังการรักษาค่ะ

วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดหลุมสิว

หลังฉีดหลุมสิวแล้ว เราสามารถดูแลตัวเองได้อย่างง่าย ๆ ด้วยวิธีการต่อไปนี้ค่ะ

  • ทำความสะอาดใบหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว แต่ควรรอหลังฉีด 4-6 ชั่วโมงก่อนจะล้างหรือเช็ดหน้า
  • งดใช้เครื่องสำอางเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อปกป้องกันติดเชื้อ
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย กิจกรรมออกแดด การอบซาวน่า หรือกิจกรรมใด ๆ ที่ทำให้เลือดสูบฉีดเป็นเวลา 48-72 ชั่วโมงหลังฉีด เพื่อลดการบวมแดงจากเข็ม

ฉีดหลุมสิว ถาวร ต้องฉีดตัวไหน?

สำหรับคนที่ต้องการการฉีดหลุมสิวที่มีผลลัพธ์ถาวร หมอจะแนะนำเป็นตัว Rejuran S ค่ะ เนื่องจาก Rejuran S เป็นสาร Polynucleotide เข้าไปที่กระตุ้นการกระบวนซ่อมแซมหลุมสิวตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นผลลัพธ์ที่ถาวร แต่จะใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เมื่อเทียบกับการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวค่ะ

โดยทั่วไปแล้วการฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S ควรจะเริ่มต้นที่ อย่างน้อย 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 3-4 สัปดาห์ และหลังจากนั้น สามารถฉีดกระตุ้นได้ทุก ๆ 6-12 เดือนค่ะ

ในทางกลับกัน การฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์สามารถให้ผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่เป็นผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร เนื่องจากฟิลเลอร์เป็นเพียงสารไฮยาลูรอนิก แอซิดที่เข้าไปเติมเต็มปริมาตรของหลุมสิวค่ะ ผลลัพธ์จึงจะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือนตามอายุของฟิลเลอร์ค่ะ

รักษาหลุมสิว คืนความเรียบเนียนให้ผิวหน้า ที่ EY Clinic

ที่ EY Clinic เราเข้าใจถึงความท้อใจกับปัญหาหน้าขรุขระ ไม่เรียบเนียนค่ะ เราจึงมุ่งมั่นที่จะคืนความมั่นใจให้คุณผ่านการดูแลรักษาที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล โดยไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็น โดยแพ็กเกจรักษาหลุมสิวที่ EY Clinic มีดังนี้ค่ะ

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size S (4,999.-)

  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size M (8,999.-)

  • Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน

โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size L (18,999.-)

  • Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
  • เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน
  • Rejuran S รุ่นเฉพาะหลุมสิว (1cc)

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะมาพูดคุย ปรึกษาปัญหาผิวกับหมอผึ้ง หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

ฟิลเลอร์ฉีดหลุมสิว vs Rejuran S ตัวไหนดีกว่ากัน
Dr. Patnapa Vejanurug
May 28, 2024
ทำความรู้จัก สิวเป็นไต: สาเหตุ ลักษณะ และวิธีรักษา
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
ทำความรู้จัก สิวเป็นไต: สาเหตุ ลักษณะ และวิธีรักษา
มารู้จักกับสิวอักเสบที่มีความแข็งและเจ็บ ซึ่งสร้างความกวนใจให้กับเราค่ะ มาดูกันว่า สิวเป็นไต เกิดจากอะไร มีลักษณะเป็นอย่างไร และสามารถรักษาด้วยวิธีไหนได้บ้างในบทความนี้ค่ะ

มารู้จักกับสิวอักเสบที่มีความแข็งและเจ็บ ซึ่งสร้างความกวนใจให้กับเราค่ะ มาดูกันว่า สิวเป็นไต เกิดจากอะไร มีลักษณะเป็นอย่างไร และสามารถรักษาด้วยวิธีไหนได้บ้างในบทความนี้ค่ะ

สรุปสาระสำคัญ

  • สิวเป็นไต คือสิวอักเสบ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนใหญ่ ไม่มีหัวสิว มีความแข็งและเจ็บ
  • สิวเป็นไต เกิดจากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม ฮอร์โมน ความเครียด อาหารการกิน และความอับชื้น
  • สิวเป็นไต มักพบได้บริเวณ T-zone แต่ก็สามารถพบได้บริเวณอื่น เช่น คอ กราม และหลัง
  • สิวเป็นไต ดูแลรักษาได้เหมือนสิวชนิดอื่น ๆ วิธีการรักษา ได้แก่ การใช้ยาแต้มสิว การทานยา การฉีดสิว และเลเซอร์ AdvaTx

สิวเป็นไต (Nodular acne) คืออะไร

สิวเป็นไต คือ สิวอักเสบ (Inflammatory acne) ชนิดหนึ่งค่ะ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนใหญ่ ไม่มีหัวสิว มีความแข็ง เราจึงเรียกมันว่า สิวไต มีการอักเสบรุนแรง ซึ่งอาจจะความคล้ายคลึงกับสิวหัวช้าง แต่สิวหัวช้างจะมีขนาดใหญ่กว่า และมีการอักเสบที่เรื้อรังและรุนแรงกว่าสิวเป็นไตค่ะ

สิวเป็นไต หรือ Nodule ก็ยังคล้ายคลึงกับสิวตุ่มนูนแดงแบบ Papule ค่ะ ความแตกต่างจะอยู่ตรงที่ สิวเป็นไตจะเม็ดใหญ่กว่า และมีฐานการอักเสบที่ลงลึกกว่าสิวแบบ Papule ด้วยค่ะ

สิวเป็นไต เกิดจากอะไร

การกลไกเกิดสิวเป็นไต ก็ไม่ต่างกับการเกิดสิวอักเสบประเภทอื่น ๆ ค่ะ กล่าวคือ สิวเป็นไตเกิดจากรูขุมขนที่อุดตันไปด้วย เศษขน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว ไขมัน และสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่ตกค้างอยู่บนผิว สร้างสภาพแวดล้อมที่แบคทีเรีย P.acnes ชื่นชอบ เมื่อแบคทีเรียเข้ามาสะสม รูขุมขนและผิวหนังรอบข้างจึงเกิดการอักเสบ และเกิดเป็นสิวในที่สุดค่ะ

ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดสิวเป็นไต มีดังนี้ค่ะ

พันธุกรรม

พันธุกรรมมีผลต่อการเกิดสิวอุดตัน สิวเป็นไต และสิวอักเสบประเภทอื่น ๆ ค่ะ เนื่องจากพันธุกรรมเป็นตัวกำหนดการทำงานของหลายกระบวนการในร่างกาย เช่น

  • การผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง (Sebum production)
  • การอักเสบของผิว (Inflammatory response)
  • การผลิตเคราติน (Keratinization)
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

ซึ่งปัจจัยทางพันธุกรรมทำให้หลาย ๆ คนเป็นสิวได้ง่ายกว่าคนอื่นค่ะ

เกร็ดความรู้: เคราติน (Keratin) คือเส้นใยโปรตีนที่พบได้บนผิวชั้นหนังกำพร้า ทำหน้าที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นต่อผิวชั้นนอก ซึ่งการสะสมของเคราตินก็จะนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขนและเกิดเป็นสิวในที่สุดค่ะ

ฮอร์โมน

หากสังเกตดี ๆ เราจะพบว่าหลายครั้งสิวเป็นไตหรือสิวอักเสบอื่น ๆ จะมาในช่วงที่ฮอร์โมนมีความแปรปรวนค่ะ เช่น ช่วง 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือนค่ะ ซึ่งฮอร์โมนหลัก ๆ ในร่างกายของที่ส่วนเกี่ยวข้องกับสิว คือ เอสโตรเจน (Estrogen) และ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) โดยระดับเทสโทสเทอโรนที่สูงจะทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมาจากรูขุมขนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดเป็นสิวได้ง่ายขึ้น ในขณะที่เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการผลิตน้ำมัน ทำให้โอกาสการเกิดสิวน้อยลงค่ะ

นอกจากฮอร์โมน 2 ตัวนี้แล้ว ก็ยังมี คอร์ติซอล (Cortisol) ฮอร์โมนแห่งความเครียดมีผลต่อการเกิดสิวด้วยค่ะ

ความเครียด และการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ

เมื่อเรามีความเครียดและเมื่อร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ในร่างกายสูงขึ้นค่ะ ระดับคอร์ติซอลที่สูงทำให้รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมาเยอะ ประกอบกับภูมิคุ้มกันที่ต่ำลงเนื่องจากร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนเพียงพอ ส่งผลให้เกิดเป็นสิวได้ง่ายขึ้นค่ะ

เหงื่อและสิ่งสกปรก

เหงื่อและสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิวเป็นตัวการหลักของการเกิดสิวเลยค่ะ การที่เราไม่รักษาความสะอาด ย่อมทำให้เกิดการสะสมของคราบเหงื่อไคล เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรกต่าง ๆ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสของการอุดตันรูขุมขนและการเจริญเติบโตของแบคทีเรียค่ะ

การทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง

อาหารที่มีไขมันสูงย่อมทำให้ผิวของเราผลิตน้ำมันเยอะไปด้วย และอาหารที่มีน้ำตาลสูงก็ยังจะทำให้ผิวอักเสบได้ง่ายค่ะ การทานของทอด ของมัน และของหวาน รวมไปถึงน้ำหวาน เป็นประจำจึงมีส่วนทำให้ผิวเป็นสิวได้ง่ายขึ้นค่ะ

การใช้ยาสเตียรอยด์

ยาในกลุ่มของสเตียรอยด์ มีส่วนทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้นค่ะ เนื่องจากสเตียรอยด์ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันในร่างกาย ส่งผลให้แบคทีเรีย P.acnes เติบโตได้ง่ายและรวดเร็วค่ะ

บริเวณที่มักเกิดสิวเป็นไต

จริงอยู่ที่ สิวเป็นไตมักเกิดในบริเวณ T-zone เมื่อเทียบกับส่วนอื่นของใบหน้า แต่จริง ๆ แล้วสิวเป็นไตสามารถเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ หากมีการอุดตันและอักเสบของรูขุมขนค่ะ

บริเวณ T-zone

สิวเป็นไตที่หน้าผาก: หน้าผากเป็นบริเวณที่มีความมันมาก เหมือนกับจมูก และยังเป็นส่วนที่ใกล้กับเส้นผม ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กับผมอาจทำให้ผิวบริเวณหน้าผากระคายเคืองหรือทำให้เกิดการอุดตันได้ค่ะ

สิวเป็นไตบริเวณจมูก: จมูกเป็นบริเวณที่เกิดสิวง่าย เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีต่อมน้ำมันจำนวนมาก

สิวเป็นไตที่คาง: เป็นอีกส่วนหนึ่งของใบหน้าที่มีความมันมาก และยังเป็นบริเวณที่สิวฮอร์โมนขึ้นบ่อย

บริเวณนอก T-zone

สิวเป็นไตที่คอ: สิวเป็นไตที่คอมักเกิดจากความอับชื้น การใส่เครื่องประดับที่ทำให้ผิวระคายเคือง และสิ่งตกค้างที่มากับเส้นผมที่สัมผัสกับลำคอค่ะ

สิวเป็นไตที่กราม และใต้คาง: สิวไตบริเวณนี้มักเกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะในสาว ๆ วัยทำงานค่ะ

สิวเป็นไตที่หลัง: สิวเป็นไตที่หลัง ส่วนใหญ่เกิดจากเหงื่อและสิ่งสกปรก การอาบน้ำที่ไม่ทั่วถึง และ การใส่เสื้อผ้าที่ไม่ระบายอากาศ อีกทั้งหลังยังเป็นพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดสิวเยอะที่สุดเมื่อมีการใช้ยาสเตียรอยด์ด้วยค่ะ

สิวเป็นไต รักษาอย่างไร

สิวเป็นไตรักษาได้เหมือนสิวอักเสบชนิดอื่น ๆ ค่ะ โดยวิธีการรักษาได้แก่ การใช้ยาทาแต้มสิวหรือยากิน การฉีดสิว และรักษาด้วยเลเซอร์ค่ะ

การใช้ยาทาแต้มสิวหรือยากิน

ยาแต้มรักษาสิวเป็นไตที่ใช้ได้จะมีอยู่ 3 ตัวหลัก ๆ ได้แก่ Benzoyl peroxide, Salicylic acid, และ ยาปฏิชีวนะ (antibiotic) อย่าง Clindamycin ค่ะ

  • Benzoyl Peroxide เป็นตัวยาที่ใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ช่วยรักษาสิวอักเสบและป้องกันการเกิดสิวใหม่
  • Salicylic acid มีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวและควบคุมการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันใต้รูขุมขน ช่วยแก้ปัญหาทั้งสิวฮอร์โมนแบบสิวอุดตันและสิวอักเสบ
  • Clindamycin ออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนังค่ะ

ยาทาแต้มสิวเหล่านี้สามารถซื้อได้ที่ร้านขายยาทั่วไปโดยไม่ต้องมีใบสั่งค่ะ แต่ควรปรึกษาวิธีการใช้จากเภสัชกรก่อนใช้ และมีการบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์อยู่เสมอค่ะ

ส่วนยากิน จะใช้ก็ต่อกับคนที่มีโรคสิวรุนแรง หรือรักษาด้วยยาแต้มแล้วอาการไม่ดีขึ้นค่ะ โดยตัวยาที่มักใช้ในการรักษาสิวได้แก่ ยาปฏิชีวนะอย่าง Doxycycline และยาอนุพันธ์วิตามินเอ อย่าง Isotretinoin ค่ะ

  • Doxycycline ยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนัง
  • Isotretinoin บล็อกการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ผิวหนังมีความมันน้อยลง และลดการผลิตเคราติน

ถึงแม้เราจะรู้จักตัวยาแล้ว หมอก็ไม่แนะนำให้เราซื้อยามาทานเองค่ะ เพราะยากินเพื่อรักษาสิวมักมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ค่ะ ฉะนั้น เพื่อความปลอดภัยและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เราควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ยาทุกครั้งค่ะ

การฉีดสิว

การฉีดสิวเป็นการรักษาสิวเป็นไตที่มีประสิทธิภาพและให้ผลได้ค่อนข้างไวค่ะ โดยตัวยาที่ใช้มักจะเป็น Triamcinolone ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบ ลดอาการบวมและเจ็บปวดของสิว การฉีดสิวสามารถช่วยให้สิวยุบได้ภายใน 8 ชั่วโมง เหมาะสมสำหรับคนที่มีสิวเป็นไตที่ใหญ่และเจ็บมาก ๆ แต่จะไม่เหมาะกับคนที่มีสิวจำนวนมากค่ะ

รักษาด้วยเลเซอร์ ADVATX

เลเซอร์ AdvaTx หรือ AdvaLight เป็นหัตถการทางเลือกที่ให้ช่วยแก้ปํญหาได้มากกว่าอาการสิวเป็นไตค่ะ โดย FDA และ CE ได้รับรองชัดเจนว่า เลเซอร์ AdvaTx สามารถใช้รักษาโรคสิว (Acne Vulgaris) ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง และยังสามารถแก้ปัญหาผิวได้อีกมากกว่า 25 ปัญหาค่ะ

หลักการทำงานของเลเซอร์ในการรักษาสิวก็ง่ายๆ ค่ะ คือ พลังงานจากเลเซอร์จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ซึ่งเป็นตัวการให้เกิดสิวอักเสบ และช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ผลิตน้ำมันได้น้อยลงค่ะ

Advatx เป็นเลเซอร์แบบ Dual-wavelength ซึ่งทำงานที่สองความยาวคลื่น โดยจะประกอบได้ด้วย

  • แสงสีเหลือง (Yellow light) ที่ความยาวคลื่น 589 นาโนเมตร มีประสิทธิภาพสูงในการแก้ปัญหาโรคสิว ริ้วรอยรอบปากและริ้วรอยรอบดวงตา
  • อินฟราเรด (Infrared) ที่ความยาวคลื่น 1319 นาโนเมตร มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาสิวอักเสบ ช่วยลบเลือนริ้วรอยร่องลึก และช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นค่ะ

สิวเป็นไต รักษาได้ที่ EY Clinic

ไม่ว่าจะเป็นคุณจะมีปัญหาสิวเป็นไต สิวหัวช้าง หรือปัญหาผิวแบบไหน หมอเชื่อค่ะว่า มีการรักษาที่ดีที่สุด คือการรักษาที่เหมาะกับคุณที่สุด ที่ EY Clinic เราให้ความสำคัญกับสุภาพผิวของแต่ละบุคคลอย่างเคร่งครัด มีการวางแผนการรักษาเพื่อให้มั่นใจว่าจะเป็นแผนที่เหมาะกับงบประมาณและไลฟ์สไตล์ของคุณ และยังมีการติดตามผลเพื่อการันตีความพึงพอใจของคุณค่ะ โดยแพ็กเกจการรักษาสิวที่ EY Clinic มีดังนี้ค่ะ

  • Acne basic: ทรีตเมนต์กดสิว มาสก์หน้าและทรีตเมนต์บำรุงผิว เริ่มต้นที่ 999 บาท
  • Acne plus: ทรีตเมนต์กดสิว และ DermaLight IPL (ทั่วหน้า) เริ่มต้นที่ 1,799 บาท
  • Acne clearsure รวมทรีตเมนต์กดสิว เลเซอร์ AdvaTx (30 จุด) และ DermaLight IPL (ทั่วหน้า) 2,599 บาท

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ

ตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาสิวเป็นไต

สิวเป็นไต หายเองได้มั้ย

สิวเป็นไต สามารถหายเองได้ค่ะ แต่อาจจะใช้เวลามากถึง 2-4 สัปดาห์ และมักจะมีอาการเจ็บเมื่อถูกสัมผัส ซึ่งเป็นอะไรที่กวนใจเราไม่น้อย นอกจากนี้ หากปล่อยสิวเป็นไต ให้หายเอง ก็อาจทำให้เกิดเป็นแผลเป็น เช่น รอยดำจากสิว หรือหลุมสิวด้วยค่ะ

สิวเป็นไต ทำไมไม่มีหัว

สิวเป็นไต ไม่มีหัว เนื่องจากสิวที่มีฐานการอักเสบอยู่ลึก และร่างกายของเราก็ตอบสนองด้วยการสร้างถุงซีสต์เล็ก ๆ ขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียไม่กระจายตัว ถุงซีสต์เมื่ออยู่ลึกลงไปใต้ชั้นผิว จึงไม่มีหัวเปิดให้เห็นบนชั้นหนังกำพร้าค่ะ

สิวเป็นไต ไม่มีหัวบีบได้มั้ย

เช่นเดียวกับสิวชนิดอื่น ๆ สิวเป็นไต ไม่ควรบีบค่ะ เพราะอาจทำให้การอักเสบของสิวรุนแรงยิ่งขึ้น และ ทำให้เกิดเป็นรอยหลุมสิวได้ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

ทำความรู้จัก สิวเป็นไต: สาเหตุ ลักษณะ และวิธีรักษา
Dr. Patnapa Vejanurug
May 26, 2024
ตอบคำถาม สิวหิน เกิดจากอะไร และรักษาได้ยังไงบ้าง
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
ตอบคำถาม สิวหิน เกิดจากอะไร และรักษาได้ยังไงบ้าง
หลาย ๆ คน เวลาส่องกระจกใกล้ ๆ อาจจะพบว่า ตัวเองมีตุ่มเม็ดเล็ก ๆ หรือ “สิวหิน” อยู่บริเวณใต้ตา แต่ถึงจะมีลักษณะคล้ายสิว สิวหินก็ไม่ใช่สิวค่ะ ใบบทความนี้ เราจะได้เรียนรู้กันว่า สิวหิน คืออะไร, สิวหิน เกิดจากอะไร, สิวหิเคราตินที่กระจุกตัวกันอยู่ในรูขุมขน

หลาย ๆ คน เวลาส่องกระจกใกล้ ๆ อาจจะพบว่า ตัวเองมีตุ่มเม็ดเล็ก ๆ หรือ “สิวหิน” อยู่บริเวณใต้ตา แต่ถึงจะมีลักษณะคล้ายสิว สิวหินก็ไม่ใช่สิวค่ะ ใบบทความนี้ เราจะได้เรียนรู้กันว่า สิวหิน คืออะไร, สิวหิน เกิดจากอะไร, สิวหิเคราตินที่กระจุกตัวกันอยู่ในรูขุมขน

  • สิวข้าวสารและสิวหิน รักษาได้หลายวิธี โดยวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยม ได้แก่ เลเซอร์ CO2, Cryotherapy, Electrotherapy และ Chemical Peeling 
  • การดูแลบำรุงผิวให้แข็งแรง สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดสิวหินและสิวข้าวสารได้

สิวหิน (Syringoma) คืออะไร

สิวหิน (Syringoma) คือ เนื้องอกที่มาจากต่อมเหงื่อ มีลักษณะเหมือนสิวเม็ดเล็ก ๆ ขนาด 2 - 4 มิลลิเมตร มักเกิดที่บริเวณเปลือกตาด้านล่าง รอบดวงตา และ แก้ม ซึ่งจะพบในผู้หญิงบ่อยกว่าผู้ชายค่ะ พอได้ยินคำว่า เนื้องอก เราก็อาจจะกังวล แต่หมอขอบอกเลยว่า สิวหิน คือ เนื้องอกของต่อมเหงื่อที่ไม่อันตราย (Benign neoplasm) และไม่มีผลใด ๆ ต่อการทำงานของต่อมเหงื่อหรือส่วนอื่นของร่างกายค่ะ

สิวหิน เกิดจากอะไร

สิวหิน เกิดจากการที่ต่อมเหงื่อของเราผลิตเซลล์ออกมามากเกินจำเป็น ก่อให้เกิดเป็นก้อนเนื้อเล็ก ๆ ที่รูปร่างคล้ายสิว ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวหิน ได้แก่ เปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อายุ และปัจจัยทางพันธุกรรม ค่ะ โดยสิวหินมักจะเกิดครั้งแรกในช่วงที่เข้าวัยเจริญพันธุ์ (Puberty) และอาจเพิ่มจำนวนขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งนอกจากบริเวณใบหน้าแล้ว ก็ยังสามารถเกิดที่บริเวณอื่นของร่างกาย เช่น หน้าอก หน้าท้อง หรือรักแร้ ได้ด้วยค่ะ

สิวหิน เหมือน สิวข้าวสาร หรือไม่

ได้เข้าใจกันไปแล้วว่า สิวหิน เกิดจากอะไร เรามาทำความรู้จักกับ “สิวข้าวสาร” ที่มีลักษณะคล้าย ๆ กัน และมักเกิดในบริเวณเดียวกันค่ะ 

สิวข้าวสาร (Milia) คือเส้นใยเคราตินกับเซลล์ที่ตายแล้วที่กระจุกตัวกันอยู่ในรูขุมขน มีลักษณะเป็นเม็ดสีขาวขุ่นคล้ายกับเม็ดข้าวสาร ในขณะที่สิวหินคือเซลล์จากต่อมเหงื่อที่ร่างกายผลิตออกมามากเกินไป แต่สิวทั้งสองชนิดนี้มักพบได้มากบริเวณรอบดวงตา แก้ม และเปลือกตา หลาย ๆ คนจึงอาจจะเข้าใจวว่าสิวหินและสิวข้าวสารคือสิวชนิดเดียวกันค่ะ

สิวข้าวสาร เกิดจากอะไร

เราสามารถแบ่งสิวข้าวสารได้เป็น 2 ชนิด ตามสาเหตุของการเกิดสิวค่ะ

สิวข้าวสารชนิดปฐมภูมิ (Primary milia)

สิวข้าวสารชนิดปฐมภูมิ คือ สิวข้าวสารที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีตัวกระตุ้น พบได้ในบริเวณเปลือกตา หน้าผาก ข้างจมูก หรือแม้แต่อวัยวะเพศค่ะ สิวข้าวสารแบบนี้เกิดขึ้นเองและมักจะหายไปเองเมื่อเวลาผ่านไปค่ะ ตัวอย่างของสิวข้าวสารปฐมภูมิ ได้แก่

  • สิวข้าวสารในเด็กเล็ก (Congenital milia) เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งพบในเด็กแรกเกิดหรือในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังคลอด
  • สิวข้าวสารในวัยหนุ่มสาว (Primary milia in young adults) เป็นสิวอีกชนิดที่พบได้ค่อนข้างบ่อย และมักเกิดในหนุ่มสาววัยรุ่น และวัยทำงาน ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่า ความเครียด ฮอร์โมน และการใช้เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงบางประเภทอาจส่งผลทำให้เกิดสิวข้าวสารประเภทนี้ค่ะ
  • สิวข้าวสารแบนราบ (Milia en plaque) เป็นสิวข้าวสารพบได้ยาก และมีลักษณะเฉพาะตัว คือเป็นสิวข้าวสารที่รวมตัวกันเป็นกระจุก มีฐานรูปร่างแบนที่นูนขึ้นจากระนาบผิวหนังเล็กน้อย มักพบบริเวณเปลือกตาและแก้ม โดยสิวข้าวสารแบบแบนราบจะมีความเกี่ยวข้องกับโรคทางพันธุกรรมและโรคแพ้ภูมิตัวเอง (autoimmune disease) ที่แสดงออกทางผิวหนังค่ะ

สิวข้าวสารชนิดทุติยภูมิ (Secondary milia) 

สิวข้าวสารชนิดทุติยภูมิ คือ สิวข้าวสารที่เกิดจากการใช้ยา โรคต่าง ๆ หรือเกิดหลังผิวถูกทำร้าย เช่น การเผาไหม้จากแสงแดด อาการแพ้ หรืออาการระคายเคืองจากทรีตเมนต์อย่าง การกรอหน้า (Dermabrasion) 

สิวข้าวสาร สิวหิน รักษาอย่างไร

เมื่อเข้าใจแล้วว่า สิวข้าวสาร และสิวหินเกิดจากอะไร เรามาดูวิธีรักษาสิวเหล่านี้กันค่ะ

ถึงแม้สิวหินและสิวข้าวสาร จะไม่มีการอักเสบ อุดตัน หรือติดเชื้อ แต่มันก็เป็นปัญหาที่อาจจะทำให้หลายคนหมดความมั่นใจได้ค่ะ ซึ่งวิธีรักษาสิวหินและสิวข้าวสารที่เราจะกล่าวถึง ได้แก่ เลเซอร์ CO2, Cryotherapy, Electrotherapy และ Chemical Peeling ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมสูงค่ะ

เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 Laser)

ทั้งสิวข้าวสารและสิวหิน รักษาได้ด้วยเลเซอร์ CO2 ค่ะ ซึ่งเลเซอร์ชนิดนี้จะใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในส่งผ่านแสงอินฟราเรด (Infrared) เข้มข้น ซึ่งจะถูกดูดซับโดยน้ำในเซลล์ผิวค่ะ เลเซอร์ CO2 ทำงานผ่านกลไก 3 ตัวนี้ค่ะ

  1. Ablation: แสงอินฟราเรดเข้มข้นจากเลเซอร์ CO2 มีความสามารถผลัดเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้าซึ่งช่วยกำจัดสิวข้าวสารและสิวหินที่อยู่ในผิวชั้นนั้นไปด้วย
  2. Vaporization: ความร้อนจากแสงอินฟราเรดช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ ที่เกลี้ยงและกระชับ
  3. Coagulation: เลเซอร์ CO2 มีสรรพคุณในการช่วยให้เลือดตัว ซึ่งทำให้สามารถกำจัดสิวหินและสิวข้าวสารได้โดยไม่มีเลือดไหล

รักษาด้วยความเย็น (Cryotherapy)

สิวข้าวสารและสิวหิน รักษาได้ด้วยการจี้ไอเย็นหรือ Cryotherapy ค่ะ วิธีการก็คือ แพทย์จะใช้ไอเย็นจากไนโตรเจนเหลวจี้ไปที่สิวหินหรือสิวข้าวสาร ทำให้เซลล์บริเวณนั้นตายและหลุดออกจากผิวในที่สุดค่ะ หลังจากนั้นร่างกายของเราก็จะเข้าสู่กระบวนการสมานแผลค่ะ

Cryotherapy เป็นวิธีที่แพทย์ผิวหนังใช้ในกำจัดเนื้องอก หูด และติ่งเนื้อ ซึ่งทำได้ง่าย ความเสี่ยงต่ำ และใช้เวลาไม่นานค่ะ แต่อาจต้องทำมากกว่า 1 ครั้ง และยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผลเป็น

จี้ด้วยไฟฟ้า (Electrosurgery)

การจี้ด้วยไฟฟ้าเป็นอีกวิธีรักษาสิวหินและสิวข้าวสารที่ทำได้ง่ายและรวดเร็วค่ะ โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าความถี่สูง จี้ไปยังจุดที่ต่างการรักษา ซึ่งกระแสไฟฟ้าก็จะสามารถตัดสิวหินและสิวข้าวสารออกได้อย่างง่ายดายค่ะ

รักษาด้วยการลอกผิวด้วยกรด TCA (Chemical Peeling)

การลอกผิวด้วยกรด TCA นอกจากจะช่วยรักษาหลุมสิว ปรับสิวผิว และช่วยลบเลือนริ้วรอยแล้ว ยังสามารถกำจัดสิวข้าวสารและสิวหินได้ด้วยค่ะ โดยกรด TCA (Trichloro-acetic acid) โดดเด่นในเรื่องของสรรพคุณการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งจะลอกผิวชั้นหนังกำพร้า รวมถึงสิวหินออกได้ นอกจากนี้กรด TCA ยังมีสรรพคุณเรื่องการลดสิ่งอุดตัน ช่วยสลายกระจุกเคราตินที่ทำให้เกิดเป็นสิวข้าวสารได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

สิวข้าวสาร สิวหิน รักษาด้วยการผ่าตัด (Surgical excision) ได้ไหม

การผ่าตัดมักเป็นวิธีสุดท้ายที่แพทย์จะเลือกในการกำจัดสิวหินหรือสิวข้าวสารค่ะ เนื่องจากเป็นวิธีที่ใช้เวลานาน เสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และเสี่ยงต่อการเกิดสิวหินหรือสิวข้าวสารซ้ำค่ะ นอกจากนี้บริเวณที่มักเกิดสิวหินและสิวข้าวสาร ยังเป็นบริเวณที่บอบบาง เช่น เปลือกตา หรือใต้ตา ทำให้การผ่าตัดเป็นวิธีที่แพทย์จะใช้ต่อไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นได้เท่านั้นค่ะ

สิวข้าวสาร สิวหิน รักษาด้วยการยาแต้มได้ไหม

การแต้มยาที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids) มีรายงานว่ามีการนำมาใช้รักษาสิวข้าวสารและสิวหิน แต่ได้ผลในบางเคส และได้ผลช้า จึงไม่แนะนำการรักษาด้วยวิธีนี้ 

วิธีดูแลผิวไม่ให้เกิดสิวข้าวสาร และสิวหิน

หมอต้องขอบอกก่อนค่ะว่า สิวข้าวสารและสิวหินที่รักษาไปแล้ว มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นอีกได้ การดูแลผิวให้มีสุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดสิวเหล่านี้ค่ะ

  1. ทำความสะอาด และบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ - การดูแลผิวอย่างเสมอจะช่วยให้รากฐานของผิวแข็งแรงค่ะ โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่เหมาะกับสภาพผิว และใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA หรือ BHA เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และลดโอกาสของการเกิดสิวข้าวสารค่ะ
  2. สครับผิวบ้าง 1 ครั้งต่อสัปดาห์ - การสครับผิวเป็นการช่วยผลัดเซลล์ผิว และขจัดสิ่งตกค้าง ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวข้าวสารได้ค่ะ แต่ควรเลือกใช้สครับที่อ่อนโยนนะคะ
  3. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหากมีสิวหินหรือสิวข้าวสารเกิดขึ้นเยอะ - สำหรับคนที่มีสิวหิน หรือสิวข้าวสารเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความกังวล หมอขอแนะนำว่า อย่าพยายามกดหรือสิวเหล่านี้เองที่บ้าน และปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อหาสาเหตและวิธีการรักษาที่ถูกต้องดีกว่าค่ะ

รักษาสิวหิน สิวข้าวสาร และปัญหาผิวรอบด้านที่ EY Clinic

หมอหวังว่าบทความนี้จะช่วยอธิบายให้ความรู้กับคุณเกี่ยวกับสิวหิน และสิวข้าวสารได้ไม่มากก็น้อยนะคะ และหากคุณมีปัญหาสิวหิน สิวข้าวสาร หรือ ไม่แน่ใจว่าสิวที่เป็นอยู่เกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่ สามารถเข้ามาพูดคุยปรึกษาหมอได้ที่ EY Clinic ค่ะ

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

อ้างอิงข้อมูล

ตอบคำถาม สิวหิน เกิดจากอะไร และรักษาได้ยังไงบ้าง
Dr. Patnapa Vejanurug
May 21, 2024
ตอบคำถามคาใจ สิวสเตียรอยด์ คืออะไร รักษายังไง
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
ตอบคำถามคาใจ สิวสเตียรอยด์ คืออะไร รักษายังไง
ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับปัญหาสิวไม่เหมือนโรคสิวธรรมดาค่ะ มาดูกันว่า สิวสเตียรอยด์ คืออะไร มีกลไกการเกิดแบบไหน และรักษาได้อย่างไงบ้างค่ะ

ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับปัญหาสิวไม่เหมือนโรคสิวธรรมดาค่ะ มาดูกันว่า สิวสเตียรอยด์ คืออะไร มีกลไกการเกิดแบบไหน และรักษาได้อย่างไงบ้างค่ะ

สรุปสาระสำคัญ

  • สิวสเตียรอยด์ คือ สิวที่เกิดจากการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ ขึ้นความแรงของตัวยา ปริมาณยาที่ใช้ ระยะเวลาในการใช้ยา และร่างกายของแต่ละบุคคลค่ะ
  • สิวสเตียรอยด์มีลักษณะคล้ายโรคสิว แต่มีความแตกต่างชัดเจนที่สิวสเตียรอยด์สามารถเกิดได้กับคนทุกวัยหากมีการใช้ยาสเตียรอยด์ ในขณะที่โรคสิวมักจะเกิดขึ้นในกลุ่มอายุ 12-24 ปี
  • สิวสเตียรอยด์ สามารถรักษาได้ด้วยการแต้มยา การทานยา 

สิวสเตียรอยด์ คืออะไร

สิวสเตียรอยด์ คือ โรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Steroids หรือ Corticosteroids) ค่ะ ซึ่งกลุ่มยา Corticosteriods มีสรรพคุณในการลดการอักเสบได้ดี และมักถูกใช้เพื่อบรรเทาอาการของโรคหลายชนิด เช่น โรคหอบหืด (Asthma) โรคผื่นภูมิแพ้แบบเอคซิม่า (Eczema) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) และ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease หรือ IBD)

ยากลุ่ม Steroid ยังมีสรรพคุณในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ (หรือที่เรียกว่า Anabolic Steroid) โดยพบว่านักกีฬาและนักเพาะกายที่มีการใช้ยากลุ่มนี้ยังต่อเนื่องจะมีสิวขึ้นบริเวณคอแผ่นหลังเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังอยู่ในรูปแบบยาทาหรือโลชั่นสำหรับรักษาโรคผิวหนังหรือลดอาการแพ้ด้วยค่ะ

ซึ่งการเกิดสิวสเตียรอยด์ย่อมขึ้นความแรงของตัวยา ปริมาณยาที่ใช้ เวลาในการใช้ยา และร่างกายของแต่ละบุคคลค่ะ

เกร็ดความรู้: ศัพท์เฉพาะทางที่เอาไว้เรียกสิวสเตียรอยด์ คือ Acnefiform Eruptions และสิวสเตียรอยด์ไม่นับเป็นโรคสิว หรือ Acne Vulgaris ค่ะ

สิวสเตียรอยด์ เป็นอย่างไร

สิวสเตียรอยด์มีลักษณะคล้ายสิวอักเสบ ประกอบได้ด้วย สิวตุ่มนูนแดง (Papule) สิวหัวหนอง (Pustule) และสิวไต (Nodule) ค่ะ ซึ่งสิวสเตียรอยด์มักจะขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่เหมือนผื่น และมักจะขึ้นบริเวณแผ่นหลัง ท้ายทอย แขนและหน้าอกค่ะ

สิวสเตียรอยด์ไม่นับเป็นโรคสิว (Acne Vulgaris) ค่ะ ความแตกต่างระหว่างโรคสิวกับสิวสเตียรอยด์ คือลักษณะของสิวสเตียรอยด์ที่จะประกอบด้วย สิวอักเสบ ตุ่มแดง แต่มักจะไม่มีสิวอุดตันอย่างสิวหัวขาวและสิวหัวดำ และสิวสเตียรอยด์ยังพบได้ในคนทุกวัยหากมีการเริ่มใช้สเตียรอยด์ ในขณะที่โรคสิวมักพบในกลุ่มอายุ กลุ่มอายุ 12-24 ปีค่ะ

สิวสเตียรอยด์ เกิดขึ้นได้อย่างไร

อย่างได้กล่าวไปค่ะ ว่า สิวสเตียรอยด์คือสิวที่เกิดจากการใช้ยา แต่คำถามที่สำคัญก็คือ ยาสเตียรอยด์ทำให้เกิดสิวได้อย่างไร

ยาสเตียรอยด์มีผลทำให้เราเป็นสิวได้ง่ายขึ้นผ่าน 3 กลไกนี้ค่ะ

สเตียรอยด์ทำให้ผิวมันมากขึ้น

ยาสเตียรอยด์มีผลทำให้ต่อมน้ำมันในรูขุมขน (Sebaceous gland) ผลิตน้ำมัน (Sebum) ออกมากขึ้น ส่งผลทำให้รูขุมขนอุดตันได้ง่าย และกลายเป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรกและแบคทีเรียในที่สุดค่ะ

สเตียรอยด์ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง

สเตียรอยด์ลดการอักเสบได้ดี แต่ก็ลดความสามารถของภูมิคุ้มของเราไปด้วย ทำให้แบคทีเรีย P.acnes และ เชื้อรา Malessezia furfur (เดิมเคยใช้ชื่อว่า Pityrosporum ovale) สามารถเติบโตบนผิวหนังของเราได้ง่ายและไวขึ้น ซึ่งนำไปสู่เกิดการสิวในที่สุดค่ะ

สเตียรอยด์ทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน

ยาสเตียรอยด์บางกลุ่มมีผลทำให้ฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายของเราแปรปรวน ทั้งฮอร์โมนเพศชาย และเพศหญิง ทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้นค่ะ

สิวสเตียรอยด์ (Steroid acne) vs ผื่นติดสาร (Steroid rosacea)

เราอาจจะได้ยินคำว่าผื่นติดสาร หรือ ผื่นสเตียรอยด์ มาบ้างนะคะ ซึ่งอันที่จริงแล้วผื่นติดสาร ก็คือ ปัญหาผิวที่เกิดจากการใช้สเตียรอยด์เช่นกัน แต่เกิดจากยาสเตียรอยด์ประเภทใช้ภายนอก กล่าวคือ เป็นสเตียรอยด์เกิดจากการใช้ครีม เจล หรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ค่ะ ซึ่งมีความแตกต่างกับสิวสเตียรอยด์ที่เกิดได้ทั้งจากการกินยา ทายาหรือฉีดยาสเตียรอยด์ ค่ะ

สิวจากการใช้ยาสเตียรอยด์ หรือ Steroid acne

สิวสเตียรอยด์ประเภทนี้มักจะขึ้นบริเวณแผ่นหลัง ท้ายทอย แขน และหน้าอก

ลักษณะของสิวสเตียรอยด์

  • มีลักษณะเหมือนโรคสิวที่เต็มไปด้วยสิวตุ่มนูนแดง สิวหัวหนอง 
  • มักจะไม่มีสิวอุดตัน
  • เกิดขึ้นได้ในทุกเพศ ทุกวัย

ผื่นจากการใช้ยาสเตียรอยด์ประเภทใช้ภายนอก หรือ Steroid rosacea

Steroid rosacea หรือที่บางคนอาจจะเรียกว่า “ผื่นติดสาร” มักจะเกิดในบริเวณที่มีเราทาครีมหรือเครื่องสำอางนั้น ๆ ลงไป ซึ่งปกติแล้วก็จะเป็น บริเวณหน้าผาก จมูก และแก้ม

ลักษณะของผื่นติดสาร

  • ผิวมีสีแดง สามารถมองเห็นเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังได้ เนื่องจากสเตียรอยด์มีผลทำให้หลอดเลือดฝอยขยายตัว (Telangiectasia)
  • มีอาการคันระคายเคือง
  • มีสิวประเภทตุ่มนูนแดงและสิวหัวหนอง
  • มักมีอาการผิวลอก
  • ผิวมีความบอบบาง และตอบสนองรวดเร็วต่อตัวกระตุ้น เช่น แสงแดด ฝุ่นควัน หรือสารเคมี มากขึ้น

นอกจากนี้ สิวแบบ steroid acne และ ผื่น steroid rosacea ก็วิธีการรักษาที่ต่างกันด้วยค่ะ

ใครที่เสี่ยงต่อการเป็นสิวสเตียรอยด์

หมอผึ้งจะขอยกตัวอย่างกลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเป็นสิวสเตียรอยด์มาให้อ่านเพิ่มเติมค่ะ

  • นักกีฬา และนักเพาะกาย ที่ใช้ Anabolic steroids เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และสมรรถภาพร่างกาย
  • คนที่มีโรคเรื้อรังและต้องใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานเพื่อรักษา เช่น โรคหอบหืด โรคลูปัส โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือกลุ่มโรคทางระบบภูมิคุ้มกัน (Autoimmune diseases)
  • คนที่มีภาวะความผิดปกติทางฮอร์โมน เช่น กลุ่มอาการคุชชิ่ง (Cushing syndrome)
  • คนที่ทายาเสตียรอยด์ต่อเนื่องกันนาน

จะเห็นว่าในหลาย ๆ กรณี เราก็จำเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์ถึงแม้มันจะเป็นตัวการที่ทำให้เราเกิดสิว ฉะนั้น ก่อนวางแผนการรักษาสิว อย่าลืมปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้และแจ้งแพทย์ผิวหนังให้ทราบถึงข้อมูลเกี่ยวกับโรคประจำตัวของคุณด้วยค่ะ

สิวสเตียรอยด์ รักษาอย่างไร

วิธีการรักษาสิวสเตียรอยด์ก็คล้ายกับวิธีรักษาสิวปกติค่ะ กล่าวคือ สามารถใช้ยาแต้ม ทานยา หรือใช้หัตถการเลเซอร์ได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ควรหยุดใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ (ซึ่งสำหรับคนที่มีโรคประจำตัว ที่ไม่สามารถหยุดยาเองได้ ควรปรึกษาแพทย์เจ้าของโรคก่อนนะคะ)

รักษาด้วยการใช้ยาแต้มที่มี Retinoids

ตัวยาเรตินอยด์ (Retinoids) เป็นยาแต้มที่มีประสิทธิภาพสูง และพิสูจน์แล้วว่าช่วยแก้ปัญหาสิวสเตียรอยด์ได้ดีค่ะ โดยเรตินอยด์จะช่วยลดการผลิตน้ำมันของต่อมน้ำมันใต้ผิวหนัง ทำให้การเกิดสิวน้อยลง นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์คลีนซิ่งที่มีส่วนผสมของ Benzyl peroxide และ Salicylic acid ก็สามารถใช้ร่วมกับยาแต้มได้ค่ะ

รักษาด้วยยาปฏิชีวนะแบบทาน

ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาสิวสเตียรอยด์ คือตัวยา Doxycyline ค่ะ ซึ่งเป็นตัวยาที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อและยับยั้งการเจริญเติบโตแบคทีเรีย P.acnes 

หมอต้องย้ำนะคะว่า เราไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะหรือยาต้านเชื้อรามาใช้เอง แต่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางผิวหนังและให้แพทย์เป็นวางแผนการรักษาดีกว่าค่ะ

รักษาด้วย DermaLight

อีกหนึ่งวิธีรักษาแก้ปัญหาสิวสเตียรอยด์ที่สามารถทำได้คือ DermaLight IPL ซึ่งถือเป็นการรักษาที่ทำได้ง่าย ความเสี่ยงต่ำ และมีประสิทธิภาพสูงค่ะ

โปรแกรม DermaLight ของ EY Clinic จะใช้เทคโนโลยี IPL (Intense Pulsed Light) ซึ่งปล่อยแสงที่มีความเข้มข้นสูงออกมาเป็นจังหวะสั้น ๆ ซึ่งช่วยให้เราสามารถควบคุมพลังงานความร้อนจากแสงได้อย่างแม่นยำ โดยแสงที่ใช้ มีอานุภาพในการทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ของแบคทีเรีย P.acnes ทำให้แบคทีเรียตัวนี้ไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้คะ

วิธีการดูแลผิวเมื่อเป็นสิวสเตียรอยด์

  • รักษาความสะอาดของร่างกายและใบหน้า โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าและสบู่ที่ปราศจากน้ำหอม พาราเบน และแอลกอฮอล์ เพื่อลดโอกาศการระคายเคืองของผิว
  • บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์หรือโลชั่น เพืพ่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิว เนื่องจากความชุมชื้นเป็นสิงที่จำเป็นต่อกระบวนการสมานแผล และสุขภาพผิวที่ดี
  • ทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกแดด เพื่อต้องสร้างเกราะป้องกันให้ผิวจากรังสียูวี
  • ไม่แกะ กด หรือบีบสิวเอง เพราะจะทำให้การอักเสบรุนแรงมากขึ้น และยังเสี่ยงต่อการเกิดหลุมสิว หรือจุดด่างดำจากสิว

สิวสเตียรอยด์รักษาได้ที่ EY Clinic

เราได้สรุปกันไปแล้วว่า สิวสเตียรอยด์ คือสิวที่เกิดจากการใช้สเตียรอยด์ และในบางครั้ง เราก็ไม่สามารถหยุดใช้สเตียรอยด์ได้ ฉะนั้นการรักษาก็ควรอยู่ใต้การดูแลของแพทย์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญค่ะ

ที่ EY Clinic เราเข้าใจดีถึงปัญหาความเครียดและความไม่มั่นใจที่มากกับสิวหรือปัญหาผิวอื่น ๆ เราจึงมุ่งมั่นที่จะช่วยคุณฟื้นฟูสุขภาพผิว และคืนความมั่นใจให้คุณอย่างเต็มความสามารถค่ะ

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย
เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ

ตอบคำถามที่พบบ่อยเรื่องสิวสเตียรอยด์

สิวสเตียรอยด์หายเองได้ไหม

สิวสเตียรอยด์หายเองได้ค่ะ อย่างที่เรารู้กันว่า สิวสเตียรอยด์คือสิวที่เกิดจากการใช้ยาสเตียรอยด์ หากหยุดการใช้ยาแล้ว สิวก็จะเริ่มดีขึ้นด้วยตัวเองค่ะ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิวและสภาพผิวของแต่ละคนด้วยค่ะ

สิวสเตียรอยด์รักษานานไหม กี่วันถึงจะหาย

สิวสเตียรอยด์มักใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1-2 เดือนในการรักษาค่ะ และในบางกรณีก็อาจจะไม่หายขาดหากยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยารักษาโรคกลุ่มสเตียรอยด์อยู่ แต่อย่างไรก็ดี การรักษาก็จะช่วยให้อาการสิวดีขึ้นได้ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

ตอบคำถามคาใจ สิวสเตียรอยด์ คืออะไร รักษายังไง
Dr. Patnapa Vejanurug
May 21, 2024
สิวขึ้นคอ ทำไงดี: สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกันสิวเห่อขึ้นคอ
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
สิวขึ้นคอ ทำไงดี: สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกันสิวเห่อขึ้นคอ
หมอเชื่อว่า อาการสิวขึ้นคอ น่าจะเป็นปัญหาที่ใครหลาย ๆ คน เจอมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นถึงวัยทำงานค่ะ สิวขึ้นคอนอกจากจะเจ็บ แดง น่ารำคาญแล้ว บางครั้งยังทิ้งแผลเป็นไว้ให้ลำคอของเราไม่เรียบเนียนอีกด้วย แล้วเคยสงสัยกันไหมคะว่า สิวขึ้นคอเกิดจากอะไร ขึ้นที่หน้าแล้วทำไมต้องขึ้นที่คออีก แล้วเราจะมีวิธีการจัดการกับอาการสิวขึ้นคอได้อย่างไร มาหาคำตอบได้ในบทความนี้ค่ะ

หมอเชื่อว่า อาการสิวขึ้นคอ น่าจะเป็นปัญหาที่ใครหลาย ๆ คน เจอมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นถึงวัยทำงานค่ะ สิวขึ้นคอนอกจากจะเจ็บ แดง น่ารำคาญแล้ว บางครั้งยังทิ้งแผลเป็นไว้ให้ลำคอของเราไม่เรียบเนียนอีกด้วย แล้วเคยสงสัยกันไหมคะว่า สิวขึ้นคอเกิดจากอะไร ขึ้นที่หน้าแล้วทำไมต้องขึ้นที่คออีก แล้วเราจะมีวิธีการจัดการกับอาการสิวขึ้นคอได้อย่างไร มาหาคำตอบได้ในบทความนี้ค่ะ

สรุปสาระสำคัญ

  • สิวขึ้นคอ เกิดจากการอุดตันและอักเสบของรูขุมขน เหมือนกันสิวบริเวณใบหน้า
  • สิวที่ขึ้นคอ มีทั้ง สิวอักเสบ สิวอุดตัน สิวเสี้ยน สิวผด และ สิวเชื้อราหรือสิวยีสต์
  • ปัจจัยที่ทำให้สิวขึ้นคอมีอยู่หลายประการ เช่น การไม่รักษาความสะอาด อากาศร้อน ฮอร์โมน ความเครียด ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม และเครื่องประดับที่ทำให้เกิดการระคายเคืองของผิวที่คอ

สิวที่คอ เกิดจากอะไร

สิวที่คอเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยไขมัน สิ่งสกปรก เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และการสะสมของแบคทีเรีย P.acnes ซึ่งนำไปสู่การอักเสบของผิวหนังค่ะ หรือก็คือ หลักการเดียวกันกับการเกิดสิวบนใบหน้าเลยค่ะ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวขึ้นคอก็คล้ายกับการเกิดสิวบนใบหน้าด้วย แต่อาจจะมีข้อแตกต่างเล็กน้อยค่ะ

ปัจจัยที่ทำให้สิวขึ้นคอ

คราบเหงื่อไคล สิ่งสกปรก และการอาบน้ำไม่สะอาด

ปัจจัยเรื่องความสกปรกถือเป็นตัวการสำคัญของการเกิดสิวที่คอค่ะ ซึ่งบริเวณลำคอส่วนที่หลาย ๆ คนอาจจะละเลยระหว่างอาบน้ำ หรือคนที่ชอบแต่งหน้าก็อาจจะลืมเช็ดเครื่องสำอางบริเวณใต้คางและคอ ซึ่งการสะสมของเหงื่อ ขี้ไคล และสิ่งตกค้างต่าง ๆ เหล่านี้จึงนำไปสู่เกิดสิวขึ้นคอค่ะ

สภาพอากาศที่ร้อน

เรารู้กันดีค่ะว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอากาศร้อนชื้น ไปไหนมาไหน ไม่ต้องออกแดดก็เหงื่อไหลไคลย้อยได้ ทำให้เกิดเป็นสิวง่ายค่ะ นอกจากนี้ บริเวณลำคอก็ยังเป็นส่วนของร่างกายที่เหงื่อออกเยอะ โดยเฉพาะกับคนที่มีผมหนาและยาว

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

ไม่ว่าจะเป็นสิวขึ้นคอ ขึ้นหน้า หรือขึ้นหลัง ปัจจัยเรื่องฮอร์โมนย่อมมีความเกี่ยวข้องทั้งนั้นค่ะ โดยสาว ๆ ที่มีรอบเดือนจะรู้ดีว่า สิวมักจะมาใกล้กับช่วงประจำเดือน มักจะขึ้นตามกรอบหน้าหรือคอ และยังสามารถทิ้งรอยสิวไว้กวนใจเราหากรักษาไม่ถูกวิธีค่ะ

ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ

ความเครียดทางด้านร่างกายและจิตใจนำไปสู่ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ที่สูงค่ะ ซึ่งคอร์ติซอลมีผลทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลง ทำให้ผิวเกิดการอักเสบได้ง่ายและเปิดช่องให้แบคทีเรีย P.acnes เติบโตได้อย่างรวดเร็ว จนนำไปสู่ปัญหาสิวขึ้นคอในที่สุดค่ะ

การใช้ยาบางชนิด

ยาประเภทเช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Steroids) มีผลข้างเคียงทำให้เกิดสิวค่ะ โดยพบว่า นักเพาะกายหรือนักกีฬาที่มีการใช้ Anabolic Steroids เพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ มักจะมีอาการสิวขึ้นคอ และแผ่นหลัง ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะ ยากลุ่มนี้มีผลทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลง ทำให้ผิวอักเสบและเกิดเป็นสิวง่ายค่ะ

นอกจาก Anabolic steroid แล้วก็ยังมียาที่ใช้ในการบรรเทาอาการหอบหืดและอาการแพ้ อย่าง Prednisolone ก็เป็นยากลุ่มสเตียรอยด์ด้วยค่ะ

ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ ยาสระผม ครีมนวดผม น้ำมันบำรุงเส้นผม โลชั่นทาผิว

ปัจจัยต่อมาที่ทำให้เกิดสิวขึ้นคอคือ ผลิตภัณฑ์อาบน้ำหรือครีมทาผิวที่เราใช้ค่ะ โดยเฉพาะยาสระผม ครีมนวด และน้ำมันบำรุงเส้นผมที่จะต้องสัมผัสกับลำคอของเราอยู่ประจำ ผลิตภัณฑ์บางตัวอาจจะมีองค์ประกอบที่ระคายเคืองต่อผิวหรือทำให้เกิดการอุดตัน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาสิวขึ้นคอได้ค่ะ

เสื้อผ้า สร้อยคอ และเครื่องประดับอื่น ๆ

เสื้อผ้าที่คับบริเวณคอจะทำให้คอระบายเหงื่อได้ไม่ดีซึ่งส่งผลให้เกิดเป็นสิวที่คอได้ และสร้อยคอ สายคล้องมาสก์ หรือสายคล้องแว่น ก็สามารถทำให้สิวขึ้นคอได้เช่นกันค่ะ เนื่องจากสิ่งของเหล่านี้จะเสียดสีกับผิวหนังบริเวณคอของเรา ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคือง และเกิดเป็นสิวหรือผื่นคันได้ค่ะ

การใส่แมส

การใส่แมสเป็นเวลานาน หรือใส่ซ้ำๆ อาจทำให้เกิดความอับชื้นหรือสิ่งสกปรกหมักหมมได้ นอกจากนี้ขอบแมสยังกดทับผิวหน้าเป็นเวลานาน ทำให้เกิดสิว หรือผื่นได้

สิวที่คอ มีกี่ประเภท

ประเภทของสิวที่ขึ้นคอ ก็เหมือนกับสิวที่ขนบนใบหน้าค่ะ โดยเราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ซึ่งก็คือ สิวอักเสบ และ สิวไม่อักเสบหรือสิวอุดตันค่ะ

สิวอักเสบ (Inflammatory acnes)

  • สิวตุ่มแดง (Papule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงแข็ง ๆ สัมผัสแล้วรู้สึกเจ็บ
  • สิวหัวหนอง (Pustule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง มีหัวหนองสีขาว
  • สิวไต (Nodule) มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ แข็งเป็นไต ภายในเป็นหนองและเลือด ซึ่งอาจมีหัวเปิดเป็นหนอง (Cystic acne) หรือ อาจเป็นสิวเม็ดใหญ่และมีหนองอยู่ภายใน ที่เรียกกันว่า สิวหัวช้าง (Nodulocystic acne) ซึ่งอักเสบรุนแรง และรักษาให้หายได้ยาก

สิวไม่อักเสบ หรือ สิวอุดตัน (Comedones)

  • สิวหัวขาว (Whitehead หรือ Closed comedone) คือสิวอุดตันหัวปิด ตุ่มมักมีขนาดเล็ก สิ่งที่อุดตันอยู่ภายในกลายเป็นแหล่งเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งจะทำให้สิวหัวขาวจะกลายเป็นสิวอักเสบในที่สุดค่ะ 75% ของสิวหัวขาวจะเปลี่ยนไปเป็นสิวอักเสบ ซึ่งรักษาได้ยากกว่าและมักทิ้งรอยแผลเป็นหรือทำให้เกิดหลุมสิวค่ะ
  • สิวหัวดำ (Blackhead หรือ Open comedone) คือสิวอุดตันที่มีหัวเปิด ทำให้สิ่งที่อุดตันอยู่ข้างในได้สัมผัสกับอากาศภายนอก และเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ส่งผลให้สิ่งอุดตันเหล่านั้นกลายเป็นสีดำ ซึ่งเราก็จะเห็นเป็นหัวสิวสีดำนั่นเองค่ะ

ซึ่งนอกจากสิวอุดตันและสิวอักเสบแล้ว ก็สิวขึ้นคอก็สามารถเป็น สิวเสี้ยน สิวผด และ สิวยีสต์หรือสิวเชื้อราได้เช่นกันค่ะ

สิวเสี้ยน (Filaments)

สิวเสี้ยน (Trichostasis Spinulosa หรือ Filaments) แท้จริงแล้วไม่ใช่สิว แต่เป็นการรวมตัวของเส้นขน เซลล์ผิว ไขมัน เคราติน และสิ่งตกค้างต่าง ๆ ในรูขุมขนค่ะ สิวเสี้ยนจะไม่มีการอักเสบ ติดเชื้อ และไม่อุดตันรูขุมขน แต่อาจมีลักษณะคล้าย ๆ สิวหัวดำ ซึ่งเห็นแล้วกวนตากวนใจเราได้ค่ะ

สิวผด (Mallorca acne)

สิวผด (Acne Aestivalis หรือ Mallorca acne) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก ไม่มีหัว ขึ้นเป็นกลุ่มคล้ายผื่น กลไกการเกิดสิวผดนั้นยังไม่แน่ชัด แต่มีข้อสรุปว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวผด ได้แก่ แสงแดด การเปลี่ยนไดเอท และ อากาศหรือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปค่ะ

สิวยีสต์ หรือสิวเชื้อรา (Fungal acne)

สิวเชื้อรา หรือที่บางคนเรียกว่าสิวยีสต์ (Malessezia Foliculitis หรือ Fungal acne) เกิดจากเชื้อราชื่อ Malessezia furfur (เดิมเคยใช้ชื่อว่า Pityrosporum ovale) ซึ่งเป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของเราเหมือนกับแบคทีเรีย P.acnes สิวเชื้อรามักขึ้นตามไรผมบริเวณคอ คนที่เป็นสิวเชื้อรามักจะประสบปัญหารังแคไปด้วย เนื่องจากเชื้อที่ทำให้เป็นรังแคก็คือเชื้อรา M. furfur ตัวนี้เองค่ะ

สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อสิวขึ้นคอ

เราสามารถสรุปได้ว่า สิวที่ขึ้นคอ มีทั้งสิวอักเสบ สิวอุดตัน สิวหัวช้าง สิวผด และสิวเชื้อราค่ะ ก่อนเรียนรู้วิธีรักษา เรามาดูสิ่งที่ควรไม่ทำเมื่อเป็นสิวขึ้นคอกันก่อนค่ะ

ไม่แกะ บีบ หรือ กดสิวเอง

หมอย้ำเสมอค่ะว่า การแกะสิว หรือบีบสิว จะยิ่งทำให้สิวเกิดการอักเสบรุนแรง และอาจส่งผลให้เป็นสิวมากขึ้น ที่สำคัญยัง การบีบสิวยังเป็นการทำร้ายผิวและจะทิ้งให้เกิดรอยแผลเป็น ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นสิวอักเสบ อุดตัน เม็ดเล็ก หรือเม็ดใหญ่ ก็ไม่ควรบีบหรือแกะค่ะ

หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่จะทำให้เกิดการระคายเคือง และการสครับผิวที่คอ

ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือน้ำหอม และการสครับผิวในช่องที่มีสิวขึ้นคอ สร้างความเกิดการระคายเคืองให้กับผิว ซึ่งอาจทำให้สิวที่คอมีอาการแย่ลงค่ะ

หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันบำรุงเส้นผม

ช่วงที่เป็นสิวขึ้นคอ หมอขอแนะนำให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์จำพวก Hair Oil ไปก่อนค่ะ เนื่องจากผลิตภัณฑ์จากเส้นผมอาจจะตกค้างอยู่บนลำคอ และทำให้เกิดการระคายเคืองและอุดตันรูขุมขนมากขึ้นค่ะ

หลีกเลี่ยงการใส่เครื่องประดับ หรือ เสื้อผ้าที่คับ

ช่วงที่สิวขึ้นคอ แนะนำให้เลือกใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่คับจนเกินไป และหลีกเลี่ยงการใส่เครื่องประดับที่คอ เพื่อลดการเสียดสีของผิวหนังบริเวณคอค่ะ

สิวขึ้นคอ รักษาอย่างไรให้หายขาด ไม่ทิ้งรอยสิว

ในปัจจุบัน มีวิธีรักษาสิวอยู่มากมาย ทั้งแบบที่ทำได้เองที่บ้าน และแบบมีหัตถการค่ะ โดยวิธีรักษาสิวขึ้นคอมีดังนี้ค่ะ

ใช้แผ่นแปะสิว

สำหรับคนที่มีสิวขึ้นคอแบบไม่รุนแรง สามารถเลือกใช้แผ่นแปะสิวได้ แผ่นแปะสิวมีส่วนผสมหลักเป็น ไฮโดรคอลลอยด์ (hydrocolloid) ซึ่งจะช่วยดูดซับของเหลว ไขมัน และสิ่งสกปรกต่าง ๆ ในสิวทำให้สิวแห้ง และหายไว รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้เราแกะเกาสิวอีกด้วยค่ะ แต่วิธีนี้ก็จะไม่สามารถรักษาสิวขึ้นคอที่เป็นสิวหัวช้าง หรือ สิวที่อักเสบรุนแรงได้ค่ะ

ใช้ยาแต้มรักษาสิว

ยาแต้มสิวส่วนมากจะเป็นยาที่สามารถซื้อได้ over-the-counter หรือซื้อได้แบบไม่ต้องใช้ใบสั่งยา โดยทั่วไปแล้วยาแต้มสิวจะเป็นยาประเภท salicylic acid, benzoyl peroxide หรืออาจจะเป็นยาปฏิชีวนะ (antibiotic) อย่าง clindamycin ค่ะ โดยแต่ละตัวยามีสรรพคุณคร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ

  • Salicylic acid มีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวและควบคุมการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันใต้รูขุมขน ช่วยแก้ปัญหาทั้งสิวฮอร์โมนแบบสิวอุดตันและสิวอักเสบ
  • Benzoyl Peroxide เป็นตัวยาที่ใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ช่วยรักษาสิวอักเสบและป้องกันการเกิดสิวใหม่
  • Clindamycin ออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนัง


แต่อย่างไรก็ดี ก่อนใช้ยา ควรสอบถามวิธีการใช้ที่ถูกต้องจากเภสัชกร และยาบางตัวอาจทำให้ผิวระคายเคือง และลอกเป็นขุยได้ ฉะนั้น ควรมีการบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์อย่างต่อเนื่องด้วยค่ะ

ใช้ยารักษาสิว

ยาเม็ดที่ใช้เพื่อรักษาสิวขึ้นคอ จะเป็นยาปฏิชีวนะ หรือยาอนุพันธ์วิตามินเอค่ะ

  • ยาปฏิชีวนะ เช่น Tetracycline และ Doxycycline ออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนัง มักจะเป็นตัวเลือกแรกที่แพทย์จ่ายให้กับคนที่มีปัญหาสิวค่ะ
  • ยาอนุพันธ์วิตามินเอ หรือ Isotretinoin เป็นยาที่ใช้รักษาสิวที่รุนแรง และสิวที่ไม่ดีขึ้นหลังใช้ยาปฏิชีวนะ

ซึ่งทั้งสองตัวนี้เป็นยาที่มีผลข้างเคียงโดยเฉพาะ Isotretinoin เราจึงไม่ควรหาซื้อยาเหล่านี้มาใช้เอง และเลือกที่จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่าค่ะ

เพิ่มเติม: ยาสำหรับสิวยีสต์หรือสิวเชื้อรา

สิวเชื้อราจะมีการรักษาที่ต่างกับสิวอักเสบธรรมดา เนื่องจากตัวการที่ทำให้เกิดสิวเป็นเชื้อรา ไม่ใช่แบคทีเรียค่ะ เราจึงจำเป็นต้องใช้ยาต้านเชื้อรา (Antifungal drugs) ในการรักษาและป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นสิวเชื้อราอีก โดยยาต้านเชื้อราที่ใช้การรักษาสิวจะมี

  • ชนิดทา เช่น คีโตโคนาโซล (Ketoconazole)
  • ชนิดเม็ด เช่น อิทราโคนาโซล (Itraconazole) หรือฟลูโคนาโซล (Fluconazole) ค่ะ

รักษาสิวด้วยเลเซอร์

เลเซอร์ได้รับข้อบ่งชี้ชัดเจนจาก FDA ว่ามีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการรักษาสิวคือ เลเซอร์ AdvaTx หรือ AdvaLight ค่ะ โดยหลักการทำงานของเลเซอร์ในการรักษาสิว คือ พลังงานจากเลเซอร์จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ซึ่งเป็นตัวการให้เกิดสิวอักเสบ และช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน (sebaceous gland) ทำให้ผลิตน้ำมันได้น้อยลงค่ะ

AdvaTx เป็นเลเซอร์แบบ Dual-wavelength หรือสองความยาวคลื่น ที่ปล่อยแสงสีเหลืองที่ความยาวคลื่น 589 นาโนเมตรและอินฟราเรดที่ 1319 นาโนเมตร ทำให้นอกจากจะมีประสิทธิภาพในการรักษาสิวแล้ว ยังสามารถแก้ไขปัญหาผิวอีกได้อีกมากมาย เช่น ปานแดง ไฝแดง ฝ้าเลือด แผลเป็นประเภทหลุมสิว รวมไปถึง ริ้วรอยรอบดวงตาและรอบปากด้วยค่ะ

วิธีป้องกันไม่ให้สิวขึ้นคอ

อย่างที่เรารู้กันว่า กันไว้ดีกว่าแก้ ซึ่งวิธีป้องกันไม่ให้สิวขึ้นคอก็สามารถทำได้ง่าย ๆ และยังหลาย ๆ ข้อยังเป็นวิธีที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นสิวบริเวณใบหน้า และส่วนอื่น ๆ ของร่างกายด้วยค่ะ

  • อาบน้ำชำระล้างร่างกายทุกครั้งที่มีเหงื่อออก
  • ไม่ลืมที่จะถูทำความสะอาดบริเวณลำคอ เพื่อชำระล้างสบู่ แชมพู หรือ ครีมนวดให้หมดจด
  • ใช้ฟองน้ำขัดตัว ทำความสะอาดบริเวณคอ เพื่อกำจัดสิ่งสกปรก และขี้ไคล
  • รักษาความสะอาดของข้าวของเครื่องใช้ เช่น ปลอกหมอนผ้า ปูที่นอน และแปรงแต่งหน้า
  • เลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
  • เปลี่ยนเสื้อผ้าหลังการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันการสะสมของสิ่งสกปรกและแบคทีเรีย
  • หลีกเลี่ยงการสวมเครื่องประดับบริเวณคอตลอดเวลา เช่น อาจจะใส่เครื่องประดับเฉพาะเวลาที่ออกจากบ้าน
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวไม่ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน (non-comedogenic) และเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวของตนเอง
  • ใส่แมสเท่าที่จำเป็นและควรเปลี่ยนแมสทุกวัน

และหากมีอาการสิวขึ้นคอมีความรุนแรงขึ้น หรือใช้ยาแต้มรักษาแล้วไม่หาย ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังค่ะ

รักษาสิวขึ้นคอที่ EY Clinic

เราสามารถสรุปได้ว่า ปัญหาสิวขึ้นคอเกิดได้จากหลากหลายปัจจัย และสิวที่ขึ้นคอก็เป็นได้หลายประเภท แต่เราก็มีวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่จะช่วยแก้ปัญหาสิวขึ้นคอได้ค่ะ

หากใครยังมีปัญหาสิวขึ้นคอ สามารถแวะเข้ามาปรึกษาหมอได้ที่ EY Clinic ค่ะ 

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย


เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

สิวขึ้นคอ ทำไงดี: สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกันสิวเห่อขึ้นคอ
Dr. Patnapa Vejanurug
May 21, 2024
สิวที่หลัง เกิดจากอะไร – ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง และวิธีแก้
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
สิวที่หลัง เกิดจากอะไร – ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง และวิธีแก้

สิวที่หลัง เกิดจากอะไร

สิวที่หลังและสิวที่ขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมีกลไกการเกิดสิวที่เหมือนสิวบนใบหน้าค่ะ สิวที่หลัง เกิดจากการที่น้ำมันจากรูขุมขน (Sebum) เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรก รวมตัวกันอุดตันรูขุมขนทำให้เกิดสิว และเมื่อเกิดการอุดตันก็จะเกิดการสะสมของแบคทีเรีย P.acnes ซึ่งปกติแล้ว เจ้าแบคทีเรียตัวนี้เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของเราโดยไม่ทำอันตรายใด ๆ แต่เมื่อเกิดการสะสมมาก ๆ ก็ทำให้เกิดการอักเสบ และเกิดเป็นสิวนั่นเองค่ะ

สิวที่หลัง ไม่หายสักที

สาเหตุที่รักษาสิวที่หลังไม่หายเสียที อาจจะเป็นเพราะวิธีการรักษาที่ใช่ไม่ถูกต้อง หรือ รักษาได้ไม่ตรงสาเหตุค่ะ อย่างที่เราได้กล่าวกันไปว่า สิวที่หลังเกิดได้จากสาเหตุ หลายประการ ก็แผนการรักษาที่ดีที่สุดจึงควรเป็นแผนการรักษาที่เหมาะกับสภาพผิวและปัจจัยการเกิดสิวของแต่ละบุคคลค่ะ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง

สิวที่หลัง ไม่ว่าจะเป็นสิวอักเสบ สิวไม่มีหัว หรือสิวหัวดำ มีปัจจัยอยู่หลายข้อด้วยกันค่ะ

พันธุกรรม

พันธุกรรมมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาสิวที่หลังค่ะ เพราะพันธุกรรมจะผลในเรื่องของการทำงานของต่อมน้ำมัน ในรูขุมขน ปฏิกิริยาตอบสนองแบบการอักเสบ (Inflammatory response) และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนค่ะ

ฮอร์โมน

ฮอร์โมนหลักๆ ในร่างกายของที่ส่วนเกี่ยวข้องกับสิว คือ เอสโตรเจน (Estrogen) และ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ค่ะ ซึ่งเราอาจจะเคยได้ยินมาว่า เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนเพศหญิง และเทสโทสเตอโรนเป็นฮอร์โมนเพศชาย แต่ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ย่อมมีฮอร์โมนทั้งสองตัวนี้อยู่ในร่างกายทั้งนั้นค่ะ โดยระดับเทสโทสเทอโรนที่สูงจะทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมาจากรูขุมขนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดเป็นสิวได้ง่ายขึ้น ในขณะที่เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการผลิตน้ำมัน ทำให้โอกาสการเกิดสิวน้อยลงค่ะ สิวที่หลัง จึงเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อาทิเช่น ในช่วงประจำเดือน หรือระยะตั้งครรภ์ได้ค่ะ

ซึ่งนอกจากฮอร์โมน 2 ตัวนี้แล้ว ก็ยังมี คอร์ติซอล (Cortisol) มีผลต่อการเกิดสิวที่หลังด้วยค่ะ

ความเครียด

ความเครียดเป็นปัจจัยที่ทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) สูงค่ะ ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้ทำให้รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมาเยอะ ส่งผลให้เกิดเป็นสิวได้ง่ายทั้งสิวบนใบหน้าและสิวที่หลัง และยังมีส่วนในการกดภูมิคุ้มกันซึ่งทำให้แบคทีเรียเติบโตบนผิวหนังเราได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ

เหงื่อและสิ่งสกปรก

พอมีคำถามว่าสิวที่หลัง เกิดจากอะไรแล้ว ความสะอาดเป็นสิ่งที่ต้องเน้นย้ำกันเสมอค่ะ การที่เราไม่รักษาความสะอาดบริเวณหลังที่มักเป็นพื้นที่ที่เหงื่อออกง่าย โดยเฉพาะกับสภาพอากาศของเมืองไทยก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวที่หลังค่ะ

เสื้อผ้าที่คับ ไม่ระบายอากาศ

บางครั้ง สิวที่หลังอาจเกิดจากเสื้อผ้าที่คับ ซึ่งทำให้เกิดความอับชื้นบริเวณหลังและเกิดเป็นสิวได้ค่ะ นนอกจากนี้การเสียดสีของเนื้อผ้า อย่างเช่น การสะพายกระเป๋าเป้นานๆ ก็สามารถทำให้เกิดการระคายเคือง อับชื้น และเกิดเป็นสิวได้ค่ะ

การใช้ยาบางชนิด

ยาบางประเภท อย่างเช่น ยาในกลุ่มของสเตียรอยด์ มีส่วนทำให้เกิดสิวที่หลังได้ง่ายขึ้นค่ะ เนื่องจากสเตียรอยด์มีผลข้างเคียงในการกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้แบคทีเรีย P.acnes เติบโตได้ง่ายและรวดเร็ว ทำให้เกิดเป็นสิวในที่สุดค่ะ

ประเภทของสิวที่หลัง

สิวที่หลังก็ไม่ต่างกับสิวที่หน้าเลยค่ะ โดยเราจะแบ่งประเภทของสิวที่หลังได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ สิวชนิดไม่อักเสบและสิวชนิดอักเสบค่ะ

สิวที่หลังชนิดไม่อักเสบ (Comedones)

  • สิวหัวขาว (Whitehead หรือ Closed comedone) คือสิวอุตตันหัวปิด ตุ่มมักมีขนาดเล็ก สิ่งที่อุดตันอยู่ภายในกลายเป็นแหล่งเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งจะทำให้สิวหัวขาวจะกลายเป็นสิวอักเสบในที่สุดค่ะ 75% ของสิวหัวขาวจะเปลี่ยนไปเป็นสิวอักเสบ ซึ่งรักษาได้ยากกว่าและมักทิ้งรอยแผลเป็นหรือทำให้เกิดหลุมสิวค่ะ
  • สิวหัวดำ (Blackhead หรือ Open comedone) คือสิวอุดตันที่มีหัวเปิด ทำให้สิ่งที่อุดตันอยู่ข้างในได้สัมผัสกับอากาศภายนอก และเกิดปฏิกริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ส่งผลให้สิ่งอุดตันเหล่านั้นกลายเป็นสีดำ ซึ่งเราก็จะเห็นเป็นหัวสิวสีดำนั่นเอง ซึ่งสิวหัวดำมักจะถูกสับสนกับ สิวเสี้ยน แต่ความจริงแล้ว สิวเสี้ยนเป็นเส้นขน หรือสิ่งอื่นๆ ที่ตกค้างอยู่ในรูขุมขนเท่านั้น แต่ไม่มีการอุดตันแต่อย่างใดค่ะ

สิวที่หลังชนิดอักเสบ (Inflammatory acnes)

เกิดจากกระสะสมของแบคทีเรีย P. acnes

  • สิวตุ่มแดง (Papule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงแข็ง ๆ สัมผัสแล้วรู้สึกเจ็บ
  • สิวหัวหนอง (Pustule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง มีหัวหนองสีขาว
  • สิวหัวช้าง (Nodule) มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ แข็งเป็นไต ภายในเป็นหนองและเลือด ซึ่งอาจมีหัวเปิดเป็นหนอง (Cystic acne) อักเสบรุนแรง และรักษาให้หายได้ยาก

วิธีป้องกันและรักษาสิวที่หลัง

สิวที่หลังเกิดจากหลายสาเหตุ หลายปัจจัย แต่ก็มีวิธีการป้องกันและรักษาที่ทำได้ไม่ยากค่ะ

1. อาบน้ำทุกครั้งหลังเหงื่อออก

การอาบน้ำทันทีหลังจากที่มีเหงื่อเป็นวิธีรักษาความสะอาดที่ดีและยังป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรก ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวที่หลังค่ะ

2. ขัดหลังด้วยแปรงหรือฟองน้ำเพื่อผลัดเซลล์ผิว

ใช้แปรงหรือฟองน้ำถูหลัง อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งเพื่อช่วยชำระล้างสิ่งสกปรก กำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และป้องกันการอุดตันของรูขมขน แต่ต้องเลือกใช้แบบที่อ่อนนุ่มนะคะ ไม่งั้นอาจทำให้ผิวระคายเคืองและทำให้สิวที่หลังรุนแรงขึ้นได้

3. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน

ทำความสะอาดหลังด้วยสบู่หรือครีมอาบน้ำที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม และไม่ขัดถูแรงจนเกินไปเพราะจะทำให้เกิดความระคายเคืองได้ค่ะ รวมไปถึงเลือกน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ไม่ทำให้ผิวระคายเคืองด้วยค่ะ

4.เลือกใส่เสื้อผ้าที่ไม่คับ และมีการระบายอาการที่ดี

เสื้อผ้าที่คับเกินไปจะระบายเหงื่อได้ไม่ดีและทำให้เกิดสิวที่หลังได้ค่ะ ฉะนั้น ควรเลือกใส่เสื้อผ้าที่มีขนาดพอดี และสามารถระบายอากาศได้ดีเพื่อป้องกันการอับชื้นและเสียดสีบริเวณแผ่นหลัง

5. ไม่แกะหรือบีบสิวเอง

การแกะสิวและบีบสิวอาจให้ปัญหาสิวที่หลังแย่ลงและยังสามารถทำให้เกิดเป็นรอยแผลเป็นด้วยค่ะ

6. ใช้ยาแต้มสิวที่หลัง

ใช้ยาแต้มที่มีส่วนผสมของ benzoyl peroxide, salicylic acid หรือยาทาที่เป็นยาปฏิชีวนะ ยาเหล่านี้มีในร้านขายยาทั่วไปสามารถซื้อได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ค่ะ

วิธีการรักษาสิวที่หลัง สูตรธรรมชาติ

สูตรมะขามเปียกและผงขมิ้น

มะขามเปียกและขมิ้นมีสรรพคุณในเรื่องของการต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบของเซลล์และสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวที่หลังได้ค่ะ สูตรนี้ใช้มะขามเปียกหนึ่งกำมือ ผสมน้ำอุ่นแล้วคั้นเอาแต่น้ำ ผสมผงขมิ้นลงไป 1 ช้อนชา ก่อนนำมาพอกที่หลังและทิ้งไว้เป็นเวลา 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

สูตรเกลือขัดผิวและเปลือกส้ม

เกลือขัดผิวเป็นสครับจากธรรมชาติที่หาซื้อได้ง่ายและช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้อย่างดีค่ะ ส่วนเปลือกส้มจะมีสรรพคุณในการกำจัดแบคทีเรีย ต่อต้านสารอนุมูลอิสระ และช่วยให้ผิวกระชับขึ้นด้วยค่ะ ผสมเกลือขัดผิวเข้ากับกับน้ำอุ่นเล็กน้อย และใส่เปลือกส้มปั่นละเอียดลงไป คนให้เป็นเนื้อเดียวกันและนำมาขัดให้ทั่วบริเวณหลัง ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด

สูตรดินสอพองผสมน้ำมะนาว

ดินสอพองที่เราเอาไว้แต้มหน้ากันในวันสงกรานต์มีสรรพคุณหลายอย่างที่หลายคนไม่รู้ค่ะ ดินสองพองเป็นแร่คาร์บอเนตที่มีสรรพคุณในการลดการอักเสบของสิว ลดผื่นคัน และช่วยให้ผิวเนียนใสขึ้น ซึ่งการแต้มหน้าหรือพอกหน้าด้วยดินสอพองก็เป็นภูมิปัญญาความงามของไทยที่ทำกันมาเนิ่นนานแล้วค่ะ ส่วนน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและผลัดเซลล์ผิวได้อย่างที่ สูตรนี้ทำได้ง่ายๆ โดยการนำดินสอพองมาผสมน้ำและน้ำมะนาวเล็กน้อยเพื่อให้ได้เนื้อเหลวๆ แล้วพอกลงที่หลังหรือบริเวณที่เป็นสิว จากนั้นทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้วล้างออก

รอยสิวที่หลัง รอยดำรักษาอย่างไร

รอยดำจากสิวที่หลังสามารถรักษาได้ด้วยเจลแต้มแผลเป็นและมอยเจอร์ไรเซอร์ค่ะ แต่การรักษาอาจจะใช้เวลาและความอดทนสักหน่อย อย่างไรก็ดี เราสามารถทาครีมบำรุง ร่วมกับหัตถการอย่าง เลเซอร์เพื่อเร่งการรักษารอยดำจากสิวที่หลังได้ค่ะ

รักษาสิวที่หลังให้หายขาด ที่ EY Clinic

สำหรับคนที่มีปัญหาสิวที่หลังเรื้อรัง กวนใจ รักษาไม่หายสักที สามารถเข้ามาพูดคุยกับหมอผึ้งที่ EY Clinic ได้ค่ะ เราได้รับการรับรองว่าเป็นคลินิกรักษาสิวที่ดีที่สุดในย่านบางนา และทีมแพทย์ของเราก็มีประสบการณ์ร่วมกันกว่า 30 ปีเลยค่ะ

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว

สิวที่หลัง เกิดจากอะไร – ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง และวิธีแก้
Dr. Patnapa Vejanurug
Mar 8, 2024
หมดปัญหา ฝ้าเป็นปื้น ด้วยวิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติและแบบหัตถการ
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
หมดปัญหา ฝ้าเป็นปื้น ด้วยวิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติและแบบหัตถการ
ในบทความนี้ หมอผึ้งจะมาอธิบายเกี่ยวกับปัญหาฝ้าที่ทำให้หลายๆ คนสูญเสียความมั่นใจ และแชร์วิธีรักษาฝ้าทั้งแบบทำเองได้ที่บ้านและแบบทำที่คลินิกด้วยค่ะ

ในบทความนี้ หมอผึ้งจะมาอธิบายเกี่ยวกับปัญหาฝ้าที่ทำให้หลายๆ คนสูญเสียความมั่นใจ และแชร์วิธีรักษาฝ้าทั้งแบบทำเองได้ที่บ้านและแบบทำที่คลินิกด้วยค่ะ

ฝ้า คืออะไร

ฝ้า (Melasma) คือ จุดหรือรอยคล้ำมักมีสีน้ำตาลหรือเทา พบบ่อยที่บริเวณโหนกแก้ม จมูก หน้าผาก และคาง แต่ก็สามารถพบได้ที่หน้าอกหรือต้นแขนเช่นกันค่ะ รอยคล้ำนี้มีรูปร่างที่ไม่ตายตัวและเกิดขึ้นในระนาบเดียวกับผิวหนัง ฝ้าเกิดจากการทำงานผิดปกติของเซลล์เมลาโนไซท์ (Melanocytes) ซึ่งเป็นตัวผลิตเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ใต้ผิวหนังของเรานั่นเองค่ะ

ฝ้า เกิดจากอะไร

แสงแดด - แสงแดดเป็นปัจจัยหลักของการเกิดฝ้าค่ะ เนื่องจากรังสียูวีกระตุ้นเซลล์ผิวสร้างเม็ดสีออกมา ยิ่งโดนแดดบ่อย และเป็นเวลานาน ยิ่งทำให้เกิดการผลิตเม็ดสีมากขึ้นค่ะ

ฮอร์โมน - การเกิดฝ้าพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งวงการแพทย์ผิวหนังได้สรุปว่าเป็นเพราะฮอร์โมนเพศหญิง 2 ตัว ได้แก่ เอสโตรเจนและโพรเจนเตอโรน นอกจากนี้ยังพบว่ายาคุมกำเนิดและฮอร์โมนเสริม (Hormonal Supplement) ยังมีส่วนทำให้เกิดฝ้าด้วยค่ะ

โรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ - โรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้โอกาสของการเกิดฝ้ามีมากขึ้น โดยเฉพาะภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ (Hypothyroidism) ที่เพิ่มโอกาสการเกิดฝ้ามากถึง 4 เท่า

กรรมพันธุ์ - นอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว กรรมพันธุ์ยังเป็นอีกหนี่งหลักปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้าค่ะ โดยมีรายงานว่ากว่า 50% ของผู้ที่มีปัญหาฝ้ามักจะมีคุณพ่อ คุณแม่ หรือคนในครอบครัวที่มีปัญหาฝ้าด้วยค่ะ

ประเภทของฝ้า

ฝ้าแบบตื้น (Epidermal type) คือ ฝ้าที่เกิดขึ้นเแค่เพียงในผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ลักษณะของฝ้าแบบตื้นจะมีขอบเขตชัดเจน รักษาให้หายได้ง่าย

ฝ้าแบบลึก (Dermal type) คือ ฝ้าที่เกิดขึ้นในชั้นหนังแท้ (Dermis) มีขอบเขตที่ไม่ชัดเจน และเป็นประเภทที่รักษาได้ยากที่สุด

ฝ้าแบบผสม (Mixed type) คือ ฝ้าที่เกิดทั้งในชั้นหนังแท้และหนังกำพร้า และเป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด

ฝ้าเลือด (vascular melasma) คือ ฝ้าที่เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดฝอย มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลแดง ขึ้นเป็นปื้นหรือเป็นกระจุก และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

ฝ้าฮอร์โมน (hormone-induced melasma) คือ ฝ้าที่เกิดจากความแปรปรวนของระดับฮอร์โมนเพศหญิง เช่น ฝ้าที่เกิดช่วงตั้งครรภ์ หรือ ช่วงวัยทอง

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าเป็นปื้น

จากที่กล่าวไปข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้าเป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ค่ะ จะมีก็เพียง แสงแดด ที่เป็นปัจจัยที่เราสามารถจัดการได้ ฉะนั้น วิธีป้องกันไม่ให้หน้ามีฝ้าเป็นปื้น คือ ทาครีมกันแดดก่อนเพื่อสร้างเกราะป้องกันให้ผิวค่ะ เลือกครีมกันแดดที่กันเหงื่อหากต้องทำกิจกรรมออกแดด และปกป้องผิวด้วยการใส่เสื้อแขนยาวและหมวกค่ะ

วิธีรักษาฝ้า สูตรธรรมชาติ

การรักษาฝ้าเป็นอะไรที่ต้องใช้ความอดทนและใช้เวลา หมอคิดว่าสุขภาพผิวก็ไม่ต่างจากสุขภาพกาย ต้องอาศัยการดูแลบำรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ฝ้าดูจางลงและปรับสภาพผิวให้ผ่องใสขึ้น

สำหรับคนที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ หมอผึ้งก็มีวิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติที่ทำกันได้บ้านมาฝากค่ะ

สูตรหัวไชเท้า

หัวไชเท้าอุดมไปด้วยวิตามินซีซึ่งมีสรรพคุณในการยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน ช่วยรักษาผิวที่ถูกทำร้ายจากรังสียูวีและช่วยให้ฝ้าดูจากลง และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง Anthocyanin และ Catechin ที่ช่วยเสริมสร้างให้ผิวแข็งแรง

วิธีใช้: หั่นหัวไชเท้าเป็นซีกแล้วนำไปแช่เย็น 10-15 นาที เพื่อลดความเผ็ดร้อนของหัวไชเท้า จากนั้นนำออกมาบดให้ละเอียด แล้วนำมาพอกในจุดที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ไม่เกิน 5 นาทีก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด

สูตรใบบัวบก

ใบบัวบกเป็นสมุนไพรที่อยู่กับคนไทยมานมนาน หลาย ๆ บ้านจะมีสูตรน้ำใบบัวบกที่นำไปต้มแล้วดื่มเพื่อแก้ช้ำใน เพราะใบบัวบกมีสารไกลโคไซด์ (Glycoside) ที่กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในร่างกาย ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรงทำให้แผลหายเร็ว ใบบัวบกจึงเป็นสูตรที่ดีสำหรับคนที่มีปัญหาริ้วรอย และปัญหาจุดด่างดำหรือผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด นอกจากนี้ตัวไกลโคไซด์ยังสามารถกำจัดแบคทีเรียที่เป็นตัวการของการเกิดสิวได้อีกด้วย

วิธีใช้: ใช้ใบบัวบกปริมาณ 1 กำมือมาบดหรือปั่นหยาบ ๆ แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้เป็นเวลา 15-20 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด

สูตรมะละกอและน้ำผึ้ง

มะละกอมี AHA และเอนไซม์ปาเปน (Papain) ซึ่งทั้งตัวจะเข้าไปกระตุ้นการผลัดเซลล์และช่วยสมานแผล ช่วยให้ผิวหน้าสว่างใส ตัวปาเปนยังช่วยกำจัดเซลล์ที่ตายแล้วได้ดี ทำให้การอุดตันของรูขุมขนลดลง

วิธีใช้: นำมะละกอสุกมาปั่นให้ละเอียด แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาทีก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด

สูตรมะเขือเทศ

มะเขือเทศก็อุดมไปด้วยวิตามินเอที่ช่วยซ่อมแซมผิวหน้าและลดการอักเสบของเซลล์ อีกทั้งยังมีวิตามินซีที่ช่วยในเรื่องของความกระจ่างใส

วิธีใช้: บดมะเขือเทศสด ก่อนนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก

วิธีรักษาฝ้าด้วยหัตถการ

IPL (Intensed Pulsed Light)

เราอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ IPL ในการกำจัดขนมาบ้างแล้วนะคะ ซึ่งหลักการของ IPLที่ใช้เป็นวิธีรักษาฝ้า คือการปล่อยแสงที่มีความเข้มสูง ลงไปยังชั้นผิวหนังแต่จะโฟกัสไปที่เป้าหมายหลัก ซึ่งก็คือเม็ดสีเมลานิน เมลานินจะดูดเอาพลังงานแสงนี้เข้าไป ซึ่งพลังงานจะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อน ส่งผลให้เม็ดสีแตกตัวและสลายเป็นอนุภาคเล็ก ๆ ค่ะ ก่อนจะถูกร่างกายกำจัดออกไปตามกลไกทางธรรมชาติค่ะ

ข้อดี: ทำได้ง่าย ทำได้รวดเร็ว และมีความเสี่ยงต่ำ

ข้อเสีย: ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวสีเข้ม ต้องทำหลายครั้งก่อนจะเริ่มเห็นผล ไม่ทำให้ฝ้าหายขาดและทำให้ผิวไวต่อแสงแดด (เฉพาะหลังจากทำเสร็จแล้ว) ซึ่งอาจทำให้ผิวหมองคล้ำถ้าไม่ได้หลบแดดเพียงพอ

เลเซอร์ AdvaTx

เลเซอร์ Advatx เป็นหนึ่งในทรีทเมนต์วิธีการรักษาฝ้าที่ได้รับการรับรองจาก FDA ปลอดภัยแล้วมีประสิทธิภาพสูง เลเซอร์ AdvaTx โดดเด่นด้วยการเทคโนโลยีการปล่อยแสงแบบ Dual Wavelength ที่ประกอบไปด้วย: แสงสีเหลืองที่ 589 นาโนเมตร และ อินฟราเรดที่1319 นาโนเมตร ซึ่งทำให้ AdvaTx มีความแม่นยำสูง เลเซอร์ AdvaTx ยังถูกรับรองว่าให้ผลข้างเคียงที่น้อยเมื่อเทียบกับเลเซอร์ชนิดอื่นด้วยค่ะ ถือว่าเป็นวิธีการรักษาฝ้าที่เจ็บตัวน้อย เห็นผลเร็ว และปลอดภัยค่ะ ซึ่งนอกจากฝ้าแล้ว AdvaTx ยังสามารถแก้ไขปัญหาผิวอื่น ๆ อย่างเช่น สิวอักเสบ เส้นเลือดฝอย ริ้วรอยเล็ก รวมไปถึงปัญหาผิวแตกลาย และรอยแผลเป็นด้วยค่ะ

ข้อดี: แก้ปัญหาได้ครอบคลุม ประสิทธิภาพสูง ผลข้างเคียงต่ำ ไม่เสี่ยงผิวไหม้

ข้อเสีย: มีราคาเริ่มต้นที่สูงว่าการฉีดฝ้า Mela Clear

ราคาที่เริ่มต้นที่ EY Clinic: ADVA Clear ทั่วหน้า ครั้งละ 3,299บาท

ฉีดเมลาเคลียร์ (Mela Clear)

เมลาเคลียร์คือการรักษาฝ้าด้วยเทคนิคการฉีดแบบเมโสค่ะ โดยจะฉีดเมลาเคลียร์ซึ่งเป็นตัวยาที่ออกแบบมาเพื่อการรักษาฝ้าโดยเฉพาะเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ เมลาเคลียร์ประกอบไปด้วย active agent ที่ชื่อว่า Tranexamic acid ซึ่งทำหน้าที่ลดการผลิตเม็ดสีเมลานินและระงับการกระจายตัวของฝ้า 

คนที่เริ่มรักษาฝ้าด้วยเมลาเคลียร์แรก ๆ หมอจะขอแนะนำให้ฉีดทุก 1-2 สัปดาห์เพื่อปรับสภาพผิว ซึ่งผลลัพธ์หลังฉีดเมลาเคลียร์เห็นได้ชัดเจนภายใน 1 เดือนและจะผิวหน้าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้นค่ะ

ข้อดี: ปลอดภัยกับทุกสีผิว ให้ผลลัพธ์รวดเร็วและผลลัพธ์อยู่ได้นาน

ข้อเสีย: ไม่เหมาะกับคนที่มีฝ้าเยอะเป็นปื้นหนา

ราคาที่เริ่มต้นที่ EY Clinic: Melaclear 1,799บาท/1 ครั้ง แพ็กเกจ: 8,995บาท/ 6ครั้ง และ 17,990บาท/13ครั้ง

รักษาฝ้าและฟื้นฟูผิวที่ EY Clinic

สำหรับคนที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ สามารถเข้ามาคุยกับหมอผึ้งที่ EY Clinic ได้ค่ะ คลินิกของเรามีทีมแพทย์เฉพาะทาง มากประสบการณ์ และเรามุ่งมั่นที่จะมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ เรายังใส่ใจในทุกขั้นตอนในการรักษาและมีการติดตามผลลัพธ์หลังการฉีดฝ้า พร้อมให้คำแนะนำกับคุณเพื่อให้ผิวหน้าของคุณกระจ่างใส แข็งแรง สุขภาพดี และที่สำคัญไม่กลับมาเป็นฝ้าอีกค่ะ

เคสฉีดฝ้า Mela Clear ที่ EY Clinic

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว

หมดปัญหา ฝ้าเป็นปื้น ด้วยวิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติและแบบหัตถการ
Dr. Patnapa Vejanurug
Mar 8, 2024
ปัญหาใหญ่วัยรุ่น สิวหัวช้างรักษายังไง ให้หายขาด ไม่เป็นหลุมสิว
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
ปัญหาใหญ่วัยรุ่น สิวหัวช้างรักษายังไง ให้หายขาด ไม่เป็นหลุมสิว
หลายคงเคยผ่านประสบการณ์เป็น “สิวหัวช้าง” ที่เม็ดใหญ่และเจ็บจนน่ารำคาญกันมาบ้าง ก่อนเราจะไปศึกษากันว่าสิวหัวช้าง รักษาอย่างไรโดยไม่ทิ้งแผลเป็น เรามาทำความเข้าใจถึงการเกิดสิวหัวช้างและลักษณะของมันกันก่อนค่ะ

หลายคงเคยผ่านประสบการณ์เป็น “สิวหัวช้าง” ที่เม็ดใหญ่และเจ็บจนน่ารำคาญกันมาบ้าง ก่อนเราซึ่งในบทความนี้เราจะไปศึกษากันว่าสิวหัวช้างคืออะไร มีลักษณะอย่างไร บริเวณที่สิวหัวช้างมักขึ้นคือบริเวณไหน และสิวหัวช้าง รักษาอย่างไรโดยไม่ทิ้งแผลเป็น

สิวหัวช้าง เกิดจากอะไร

แท้จริงแล้ว สิวหัวช้างก็คือ สิวอักเสบรุนแรงประเภท Nodulocystic ค่ะ กระบวนการเกิดสิวหัวช้างก็เหมือนการเกิดสิวอักเสบทั่วไป คือ รูขุมขนเกิดการอุดตันด้วยเซลล์ที่ตายแล้ว สิ่งสกปรกตกค้าง และน้ำมันที่มากเกินไป ซึ่งส่งผลเกิดแบคทีเรีย P.acnes สะสมและเติบโตได้รวดเร็ว เม็ดเลือดขาวที่อยู่บริเวณรอบข้างจึงต้องเข้ามาทำหน้าที่ยับยั้งการเติบโตตรงนี้ ส่งผลให้เกิดเป็นการอักเสบบวมแดงขึ้นมาค่ะ

ลักษณะของสิวหัวช้าง

ลักษณะของสิวหัวช้างคือ เป็นสิวอักเสบที่มีขนาดที่ใหญ่ มีอาการบวม มีสีแดงและเจ็บเมื่อสัมผัสเนื่องจากการอักเสบที่รุนแรง รอบ ๆ สิวมีอาการคัน อาจจะหัวหรือไม่มีหัวก็ได้ ภายในสิวมักประกอบไปด้วยเลือดและหนอง การอักเสบของสิวหัวช้างมักลุกลามลงไปยังชั้นผิวที่ลึก ทำให้มักเกิดเป็นรอยแผลเป็นเมื่อสิวหายค่ะ

บริเวณที่มักเกิดสิวหัวช้าง

สิวหัวช้างเป็นปัญหาที่พบบ่อยในหนุ่มสาวช่วงวัยรุ่นค่ะ เนื่องจากเป็นช่วงที่ต่อมไขมันมีการผลิตน้ำมันออกมามากเนื่องจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งบริเวณที่สามารถพบสิวหัวช้างได้บ่อยมีดังนี้ค่ะ

  • แก้ม
  • จมูก และบริเวณข้างจมูก
  • คาง และขากรรไกร
  • แผ่นหลัง
  • หน้าอก

สิวหัวช้างในบางกรณีอาจจะเป็นการรวมตัวกันของสิวอุดตัน (comedones) สิวซีสต์ (cysts) หรือสิวหัวหนอง (pustules) ก่อให้เกิดเป็นสิวขนาดใหญ่ที่มีการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งแพทย์ผิวหนังจะเรียกสิวหัวช้างแบบนี้ว่า “Acne conglobata” ซึ่งเป็นกลุ่มสิวที่พบได้ยากและพบได้แม้ในผู้ใหญ่ช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไปค่ะ

ทำไมสิวหัวช้าง มีหนอง

หนอง (Pus) ที่อยู่ในสิวหัวช้างหรือสิวอักเสบประเภทอื่นๆ คือของเหลวที่เกิดจากการทำงานของเม็ดเลือดขาวค่ะ เราสามารถสรุปได้ว่าหนองก็คือเหล่าสิ่งตกค้าง เซลล์ที่ตายแล้ว และแบคทีเรียที่ถูกเม็ดเลือดขาวสกัดไว้ การบีบสิวจึงไม่ใช่วิธีการรักษาสิวที่ดีเนื่องจากจะทำให้ให้สิ่งสกปรกเหล่านี้กระจายตัว ทำให้เกิดสิวมากขึ้น และยังทำให้เกิดเป็นแผลเป็นด้วยค่ะ

สิวหัวช้างแตกต่างจากฝีและสิวไตอย่างไร

สิวหัวช้างแตกต่างจากฝีตรงที่ สิวหัวช้างคือสิวอักเสบ และ ฝี (abscess) คือการรวมตัวกันของหนองที่เกิดจากการติดเชื้อค่ะ ซึ่งฝีสามารถเกิดได้แทบจะทุกที่ในร่างกาย ทั้งบริเวณผิวหนัง และอวัยวะภายใน โดยฝีที่ผิวหนัง (Cutaneous abscess) มักเกิดจากการแบคทีเรียกลุ่ม Staphylococcus พบบ่อยบริเวณรักแร้ บริเวณก้นกบ บริเวณอวัยวะเพศ และทวารหนักค่ะ

ส่วนสิวไตจะแตกต่างกับสิวหัวช้างตรงที่ สิวไตมักจะมีขนาดเล็กกว่า และแข็งกว่าสิวหัวช้างค่ะ โดยสิวไตก็คือสิวอักเสบประเภท Nodular acne ที่ไม่หนองอยู่ภายในและการอักเสบไม่รุนแรงเท่าสิวหัวช้างค่ะ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวหัวช้าง

ผลกระทบจากฮอร์โมน

อย่างที่ได้กล่าวไปว่าสิวหัวช้างมักจะเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่นเนื่องจากระดับฮอร์โมนที่ไม่สมดุลนะคะ โดยจะหลัก ๆ แล้วฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย หากมีระดับที่สูงมีผลทำให้รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมากขึ้น ทำให้เป็นรูขุมขนอุดตันและเกิดเป็นสิวได้ง่าย และคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียด ก็มีส่วนทำให้เกิดสิวเช่นกันค่ะ

สิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิวหนัง

สิ่งสกปรกเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสิวหัวช้างค่ะ หากมีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่บนผิวหนังไม่ว่าจะเป็น เหงื่อไคล เครื่องสำอาง หรือฝุ่น โอกาสการเกิดสิวก็มากขึ้นไปด้วยค่ะ นอกจากนี้ ข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่สะอาด เช่น ผ้าห่ม ปลอกหมอน ผ้าเช็ดตัวที่ไม่ค่อยได้ซัก หรือพฤติกรรมอย่างการจับหน้า ลูบหน้าบ่อยๆ ก็เพิ่มโอกาสในการเกิดสิวหัวช้างได้เช่นกันค่ะ

การใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์

เนื่องจากสเตียรอยด์มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ นั่นคือ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ส่งผลให้แบคทีเรีย P.acnes เติบโตและเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบและสิวหัวช้างได้ง่ายค่ะ

สิวหัวช้าง รักษาอย่างไร กี่วันหาย

อย่างที่กล่าวไปว่า สิวหัวช้างเป็นสิวที่มีฐานอยู่ในชั้นผิวที่ลึก และมีการอักเสบที่รุนแรง หากดูแลรักษาอย่างไม่ถูกวิธี ก็อาจจะทิ้งรอยแผลเป็นอย่างหลุมสิว หรือรอยดำบนใบหน้าของเราได้ค่ะ

รักษาสิวหัวช้างด้วยยาแต้มสิว

การใช้ยาแต้มสิวเป็นวิธีการรักษาสิวหัวช้างที่ทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพค่ะ โดยยาแต้มสิวอักเสบมักจะมีส่วนประกอบของ Benzyl peroxide, Salicylic acid, Tretinoin หรือ ยาปฏิชีวนะอย่าง Clindamycin ค่ะ

  • Benzoyl peroxide ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อและยับยั้งการเติบโตแบคทีเรีย P.acnes
  • Salicylic Acid ลดการอักเสบของเซลล์ ทำให้สิวยุบตัว และลดน้ำมันส่วนเกินในรูขุมขน
  • Clindamycin ออกฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตแบคทีเรีย P.acnes
  • Tretinoin เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ เร่งกระบวนการการผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น

ยาแต้มสิวเหล่านี้ต้องใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาสิวอักเสบรวมไปถึงสิวหัวช้าง ซึ่งอาจจะใช้เวลา 3-4 สัปดาห์ในการรักษาสิวหัวช้างให้หายสนิทค่ะ

รักษาสิวหัวช้างด้วยการฉีดสิว

การฉีดสิวเป็นวิธีการรักษาสิวหัวช้างแบบตรงจุดด้วยยา triamcinolone ค่ะ ซึ่งตัวยานี้จะเข้าไปลดการอักเสบและทำให้สิวหัวช้างยุบตัวลงภายใน 24 ชั่วโมงค่ะ แต่การรักษาวิธีนี้ไม่สามารถซื้อมาทำเองได้เหมือนยาแต้มสิว จำเป็นต้องทำที่คลินิกและมีการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอค่ะ

รักษาสิวหัวช้างด้วยการทานยา

ยาเม็ดที่ใช้รักษาอาการสิวหัวช้างจะเป็นยาปฏิชีวนะ อย่าง Tetracycline หรือ doxycycline ค่ะ ซึ่งยาเหล่านี้ออกฤทธิ์เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย P.acnes และลดการอักเสบด้วยค่ะ แต่หมอแนะนำว่าการใช้ยาควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ผิวหนัง ไม่ควรซื้อยามาใช้เองค่ะ

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวหัวช้าง

วิธีป้องกันไม่ให้เป็นสิวหัวช้างก็เหมือนวิธีป้องกันการเกิดสิวทั่วไป ซึ่งทำได้ง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ

  • ล้างหน้า และรักษาความสะอาดของผิวเสมอ
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและบำรุงผิวที่ถูกกับผิวของตัวเอง และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน
  • รักษาความสะอาดของข้าวของเครื่องใช้ เช่น ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน แปรงแต่งหน้า และฟองน้ำแต่งหน้า
  • รักษาสิวที่เป็นอยู่ให้ถูกวิธีโดยไม่แกะ บีบ หรือกดสิวเอง เพราะอาจทำให้ปัญหาสิวแย่ลงและเกิดเป็นสิวหัวช้างได้ค่ะ
  • ลดอาหารมัน อาหารหวาน และอาหารที่มีไขมันสูงมีส่วนทำให้ผิวมันและเป็นสิวง่ายค่ะ

รักษาสิวหัวช้างด้วยเลเซอร์ AdvaTx

AdvaTx เป็นเลเซอร์ที่ได้รับการยอมรับจาก FDA แล้วว่าเป็นหัตถการที่รักษาปัญหาสิวได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพค่ะ โดย AdvaTx จะเป็นการใช้เลเซอร์ที่สองความยาวคลื่น ได้แก่ Yellow Light ที่ 589 นาโนเมตร และ Infrared ที่ 1319 นาโนเมตร ซึ่งนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาสิวหัวช้างได้แล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาผิวอย่าง หลุมสิว และรอยแผลเป็นได้ด้วยค่ะ

การทำทรีตเมนต์ AdvaTx 1 ครั้งจะใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที โดยจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำค่ะ โดยที่ EY Clinic จะมีการให้บริการเลเซอร์ AdvaTx อยู่หลายแบบ ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและความต้องการของแต่ละตัวบุคคลค่ะ โดยมี:

  • แพ็กเกจ ADVA clear แบบเฉพาะจุด 20 จุด เริ่มต้นที่ 799 บาท ต่อ ครั้ง
  • แพ็กเกจ ADVA clear แบบทั่วหน้า ไม่จำกัดจุด 3,299 บาท ต่อ ครั้ง หรือ 16,495 บาท ต่อ 6 ครั้ง
  • แพ็กเกจ Acne clearsure รวมทรีตเมนต์กดสิว เลเซอร์ AdvaTx (30 จุด) และ Dermalight (ทั่วหน้า) 2,599 บาทต่อครั้ง หรือ 12,995 บาท ต่อ 6 ครั้ง

และมีการ Follow-up หลังการรักษาเพื่อติดตามผลและให้คำปรึกษาแนะนำอย่างใกล้ชิดด้วยค่ะ

รักษาสิวหัวช้างให้หายขาดที่ EY Clinic

หลายท่านคงเบื่อและท้อใจกับการเป็นสิวซ้ำไปซ้ำมา โดยเฉพาะสิวหัวช้างที่ใหญ่และเจ็บมาก ๆ ลองเข้ามาพูดคุยกับหมอที่ EY Clinic ได้ค่ะ เราเป็นคลินิกรักษาโรคผิวหนังรอบด้านและเป็นคลินิกอันดับ 1 ด้านปัญหาสิวในย่านบางนา มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังและเวชศาสตร์ความงามที่มีประสบการณ์ร่วมกันกว่า 30 ปีที่ยินดีจะช่วยให้คุณได้มีผิวที่แข็งแรง และผ่องใสอย่างที่คุณต้องการค่ะ ทุกหัตถการที่ EY Clinic จะถูกดำเนินการด้วยแพทย์ มีเครื่องมือที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน และรักษาโดยยึดความต้องการของตัวบุคคลเป็นหลัก ไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็นแน่นอนค่ะ

ปัญหารอยสิว สิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวหัวช้าง รักษาได้ ที่ EY Clinic

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว

ปัญหาใหญ่วัยรุ่น สิวหัวช้างรักษายังไง ให้หายขาด ไม่เป็นหลุมสิว
Dr. Patnapa Vejanurug
Mar 8, 2024
สิวผด รักษาอย่างไรให้หาย
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
สิวผด รักษาอย่างไรให้หาย
“สิวผด” สิวเม็ดเล็กที่ขึ้นเป็นกลุ่ม ลักษณะเหมือนผื่น ส่งผลให้หน้าไม่เรียบเนียน และทำให้เราเสียความมั่นใจ แท้จริงแล้วคืออะไร เกิดจากสาเหตุอะไร ต่างกับสิวเชื้อราอย่างไร และสิวผด รักษาได้อย่างไรบ้าง มาหาคำตอบกันในบทความนี้ค่ะ

“สิวผด” สิวเม็ดเล็กที่ขึ้นเป็นกลุ่ม ลักษณะเหมือนผื่น ส่งผลให้หน้าไม่เรียบเนียน และทำให้เราเสียความมั่นใจ แต่แท้จริงแล้ว สิวผดคืออะไร เกิดจากสาเหตุอะไร ต่างกับสิวเชื้อราอย่างไร และสิวผด รักษาได้อย่างไรบ้าง มาหาคำตอบกันในบทความนี้ค่ะ

สรุปใจความสำคัญ

  • สิวผด มักเกิดในช่วงหน้าร้อนเนื่อจากผิวถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด
  • สิวผด มักขึ้นเป็นกลุ่มและมีลักษณะคล้ายกับสิวยีสต์ แต่มีกลไกการเกิดและวิธีรักษาที่ต่างกัน
  • สิวผด อาจเป็นการตอบสนองของร่างกาย เมื่อมีการเปลี่ยนของสภาพแวดล้อม พฤติกรรม หรืออาหารการกิน
  • กลไกของการเกิดสิวผดยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในวงการแพทย์ผิวหนัง
  • วิธีป้องกันสิวผดที่สามารถทำได้ที่บ้าน คือ รักษาความสะอาด บำรุงผิวด้วยสกินแคร์ และทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด
  • วิธีการรักษาสิวผดที่แนะนำคือ เลเซอร์ ADVATX

สิวผด คืออะไร

สิวผด (Mallorca acne หรือ Acne Aestivalis) เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก ไม่มีหัว มักขึ้นเป็นกลุ่ม เรามักจะเจอกับปัญหาสิวผดในช่วงอากาศร้อน ซึ่งสิวผดมักจะเป็น ๆ หาย ๆ และสามารถทิ้งรอยแดงไว้บนใบหน้าของเราได้ค่ะ สิวผดเป็นกลุ่มสิวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม และพบบ่อยในคนที่เป็นผิวแพ้ง่ายหรือเกิดสิวง่ายค่ะ

สิวผด เกิดจากอะไร

สิวผดเกิดจากการที่ผิวถูกกระตุ้นด้วยรังสียูวีเอ และมักจะเกิดในช่วง 24-72 ชั่วโมงหลังจากที่ผิวสัมผัสกับแสงแดดค่ะ แต่ด้วยลักษณะของสิวผดที่ไม่มีหัว ไม่มีอาการเจ็บ และ บ่อยครั้งก็หายเองโดยไม่ต้องมีการรักษา ซึ่งตอนนี้เรายังมีข้อมูลไม่มากพอต่อที่จะสรุปกลไกการเกิดสิวผดค่ะ แต่เราสามารถสรุปปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวผดได้ดังนี้ค่ะ

แสงแดดและเหงื่อ - อย่างที่ได้กล่าวไปค่ะ ว่าสิวผดเกิดหลังจากที่ผิวถูกกระตุ้นด้วยรังสียูวีเอ ปัญหาสิวผดจึงมักเกิดในช่วงหน้าร้อนและช่วงที่เราโดนแดดแรง ๆ ค่ะ ประกอบกับเหงื่อที่เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียก็ยิ่งทำให้เกิดสิวผดง่ายขึ้นไปอีกค่ะ

สกินแคร์ เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่ถูกกับสภาพผิว - ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกกับผิวหน้าของเราจะสร้างความระคายเคือง อุดตันรูขุมขน และทำให้ผิวเสียสมดุล ซึ่งทำให้ผิวเป็นสิวผดได้ง่ายค่ะ

อาหารการกินที่เปลี่ยนไป - สิวผดอาจเป็นการตอบสนองของร่างกายต่อการเปลี่ยนไดเอทใหม่หรือการลองทานอาหารที่ไม่เคยทานมาก่อนก็ได้ค่ะ

สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป - สิวผดอาจเป็นการตอบสนองของร่างกายต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป อาทิ เช่น อากาศที่มีฝุ่นควันมากขึ้น น้ำประปาจากแหล่งน้ำต่างถิ่น หรือระดับความชื้นในอากาศที่เปลี่ยนไปค่ะ

บริเวณที่มักเกิดสิวผด

  • สิวผดบริเวณหน้าผาก
  • สิวผดบริเวณคาง ขากรรไกร และกรอบหน้า
  • สิวผดบริเวณแก้ม
  • สิวผดบริเวณแผ่นหลังด้านบน และแขน

สิวผด vs สิวเชื้อราหรือสิวยีสต์

สิวเชื้อรา (Fungal acne หรือ Malessezia Foliculitis) หรือที่บางคนอาจจะเรียกว่าสิวยีสต์ มีลักษณะคล้ายกับสิวผดค่ะ กล่าวคือ เป็นตุ่มนูนแดง มักขึ้นเป็นกลุ่ม ไม่มีอาการเจ็บหรือคัน แต่สิวเชื้อราจะเกิดจากเจ้าเชื้อราชื่อ Malessezia furfur (เดิมเคยใช้ชื่อว่า Pityrosporum ovale) ซึ่งเป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของเรา ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวเชื้อรามีดังนี้ค่ะ

  • เหงื่อไคล และอากาศที่อับชื้น ซึ่งทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี
  • ผิวที่มัน ทำให้สิวเชื้อราเป็นปัญหาที่เกิดในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากเป็นช่วงที่ผิวผลิตน้ำมันออกมามาก
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว ทำให้รูขุมขนอุดตัน
  • การใช้ยาสเตียรอยด์ ที่มีผลทำให้ผิวมันและภูมิคุ้มกันต่ำ ทำให้เชื้อราเติบโตบนผิวหนังได้รวดเร็ว

บริเวณที่มักจะเกิดสิวเชื้อรา: หน้าผาก ไรผม หลัง หน้าอก และหลังแขน

จะเห็นได้ว่าสิวเชื้อราและสิวผดมีความคล้ายคลึงกันในบ้างส่วน แต่กลไกการเกิดสิวสองประเภทนี้เชื้อราและสิวผดมีความแตกต่างกัน และการรักษาก็ต่างกันด้วยค่ะ เนื่องจากสิวเชื้อราจำเป็นต้องใช้ยาต้านเชื้อรา (Antifungal drugs) ชนิดทา อย่าง คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) และชนิดเม็ดอย่าง อิทราโคนาโซล (Itraconazole) หรือฟลูโคนาโซล (Fluconazole) เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพและเพื่อไม่ให้กลับมาเป็นสิวเชื้อราอีก ในขณะที่สิวผด บางครั้งสามารถยุบไปเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาประเภทนี้ค่ะ

สิวผด รักษาอย่างไร

อย่างที่กล่าวไปค่ะ ว่าเรายังไม่เข้าใจกลไกของสิวผดดีพอ เพราะฉะนั้นวิธีการรักษาสิวผดที่ดีที่สุดคือรักษาความสะอาดและดูแลผิวหน้าของเราให้แข็งแรงที่สุด

ล้างหน้าให้สะอาด

หลายคนที่กำลังสงสัยว่า หน้าเป็นสิวผดใช้อะไรดี หมอขอตอบสั้น ๆ ว่าใช้โฟมล้างหน้าหรือเจลล้างที่ถูกกับสภาพผิวของเราค่ะ สำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย หรือผิวที่เกิดสิวง่าย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่โอนโยน ปราศจากแอลกอฮอล์และน้ำหอม สำหรับคนที่ใช้เครื่องสำอางเป็นประจำ ลองใช้วิธีล้างหน้าแบบ Double Cleansing หโดยใช้น้ำยาเช็ดเครื่องสำอางเนื้อออยเช็ดก่อนล้างด้วยโฟมล้างหน้าหรือคลีนเซอร์

เสริมความแข็งแรงให้ผิวด้วย มาเด้คอลลาเจน

มาเด้ คอลลาเจน (Made collagen) คือทรีตเมนต์เมโสหน้าใสที่โดดเด่นด้วยคุณสมบัติของการดีท็อกซ์และเสริมความแข็งแรงให้กับผิวค่ะ มาเด้ คอลลาเจนเหมาะกับคนที่มีผิวแพ้ง่าย ใบหน้าหมองคล้ำ และมีสิวผดบ่อย โดยที่ EY Clinic จะใช้เทคนิคการฉีดแบบ 16 จุด ซึ่งก็คือการฉีดมาเด้คอลลาเจน 16 จุดตามตำแหน่งของต่อมน้ำเหลืองที่อยู่บนใบหน้า เพื่อให้การรักษาได้ประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ค่ะ

มาเด้คอลลาเจน ที่ EY Clinic มีราคาเริ่มต้นที่ 2,499 บาท ต่อ 1 ครั้ง และคุณสามารถเลือก

  • แพ็กเกจ 12,495 บาท ต่อ 6 ครั้ง (คิดเป็น 2,083 บาท ต่อครั้ง) หรือ
  • แพ็กเกจ 24,990 บาท ต่อ 13 ครั้ง (คิดเป็น 1,922 บาท ต่อครั้ง) ก็ได้ค่ะ

สิวผด กี่วันหาย

สิวผดหายได้ภายใน 1 สัปดาห์ เพียงเปลี่ยนพฤติกรรมของเราค่ะ ลองเปลี่ยนอาหารการกิน เปลี่ยนผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ทำความสะอาดหน้าให้บ่อยขึ้น และทาครีมกันแดดเพื่อสร้างเกราะป้องกันให้ผิว ก็สามารถกำจัดสิวผดได้แล้วค่ะ แต่หากเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว สิวผดยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น หรือมีความรุนแรงมากกว่าเดิม ก็ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางค่ะ

วิธีรักษาสิวผดแบบเร่งด่วน มีไหม

เนื่องจากสิวผดเกิดสามารถเกิดได้จากสภาพอากาศที่ร้อน ซึ่งเป็นอะไรที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ในประเทศไทย ฉะนั้น

วิธีรักษาสิวผดแบบเร่งด่วน คงจะเป็นการดูแลผิวให้แข็งแรง และรักษาความสะอาด และใช้ครีมกันแดดค่ะ แต่สำหรับคนที่มีปัญหาสิวผดรุนแรง ไม่หาย และต้องการวิธีรักษาสิวผดแบบเร่งด่วน หมอขอแนะนำปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อหาสาเหตุ และหาวิธีแก้ที่ตรงจุดที่สุดค่ะ หากใครยังอยู่แถบบางนา ก็สามารถเข้ามาคุยกับหมอผึ้งที่ EY Clinic ได้ค่ะ

แก้สิวผดและปัญหาผิวแบบรอบด้านด้วยเลเซอร์ ADVA

ADVATX หรือ ADVALight เป็นนวัตรกรรมเลเซอร์เดนมาร์กที่มีประสิทธิภาพสูงในการแก้ไขปัญหาสิวและรอยแดงจากสิวค่ะ โดยเครื่อง ADVA จะใช้คลื่นพลังงานที่ 2 ความยาวคลื่น ได้แก่: แสงสีเหลืองที่ 589 นาโนเมตร และ อินฟราเรดที่ 1319 นาโนเมตร ทำให้แก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลายทั้ง ปัญหาสิวผด สิวอักเสบ รอยแผลเป็นจากสิว และริ้วรอยค่ะ โดยที่ EY Clinic มี

  • แพ็กเกจ ADVA clear แบบเฉพาะจุด 20 จุด เริ่มต้นที่ 799 บาท ต่อ ครั้ง
  • แพ็กเกจ ADVA clear แบบทั่วหน้า ไม่จำกัดจุด 3,299 บาท ต่อ ครั้ง หรือ 16,495 บาท ต่อ 6 ครั้ง

ทรีตเมนต์เลเซอร์ ADVA ตัวนี้ เป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงต่ำ ไม่ทำให้หน้าบาง และไม่ต้องรอพักฟื้นด้วยค่ะ

เลือกใช้ครีมบำรุงที่ถูกต้อง

ครีมบำรุงที่ถูกประเภทจะช่วยผิวแข็งแรง และช่วยให้เกิดสิวผดน้อยลงค่ะ เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ:

  • AHA และ BHA ซึ่งช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันของรูขุมขน และลดโอกาสการเกิดสิวทั่วไปและสิวผด
  • Benzyl peroxide เพื่อลดการอักเสบของเซลล์และป้องกันการเติบโตของแบคทีเรีย
  • อนุพันธ์วิตามิเอ (Retinoids) เพื่อปรับสมดุลให้กับผิว ป้องกันการอุดตันของรูขุมขน และช่วยผลัดเซลล์ผิว

และควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่ปราศจากส่วนผสมน้ำมัน (Oil-free) และเหมาะกับผิวที่เกิดสิวง่ายเพื่อปกป้องการเกิดสิวผดค่ะ

ปัญหาสิวผด รักษาได้ที่ EY Clinic

หากยังสับสนว่ามีสิวผดต้องใช้อะไร หรือสิวผดรักษาอย่างไร เข้ามาพูดคุยกับหมอได้ที่ EY Clinic คลินิกอันดับหนึ่งเรื่องสิว ๆ ในย่านบางนาค่ะ เป้าหมายของเราคือสร้างความแข็งแรงให้ผิวและคืนความมั่นใจให้คุณ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ที่ร่วมกันกว่า 30 ปี เครื่องมือและห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน และตัวยาที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ใช้ยาเต็มปริมาตร ไม่มีการเจือจางยา และทุกทรีตเมนต์จะถูกดำเนินการโดยแพทย์ นอกจากนี้ยังมีการติดตามผลการรักษาเพื่อการันตีความพึงพอใจของคุณด้วยค่ะ 

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว

สิวผด รักษาอย่างไรให้หาย
Dr. Patnapa Vejanurug
Mar 8, 2024
เจาะลึกเรื่องสิวเสี้ยน สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกัน
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
เจาะลึกเรื่องสิวเสี้ยน สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกัน
ในบทความนี้ เราจะมีพูดถึงปัญหาผิวที่ทำให้ใครหลายคนกังวลใจและปวดหัว อย่าง “สิวเสี้ยน” ที่เกิดขึ้นทั้งกับหนุ่มสาววัยรุ่น และวัยทำงานค่ะ

ในบทความนี้ เราจะมีพูดถึงปัญหาผิวที่ทำให้ใครหลายคนกังวลใจและปวดหัว อย่าง “สิวเสี้ยน” ที่เกิดขึ้นทั้งกับหนุ่มสาววัยรุ่น และวัยทำงานค่ะ

สิ้วเสี้ยน คืออะไร มีลักษณะเป็นอย่างไร

หมอผึ้งเชื่อว่าเราคงจะเคยเห็นคลิปลอกสิวเสี้ยวด้วยมาส์กหรือคลิปบีบสิวตาม Tiktok หรือ YouTube กันมาบ้างแล้วนะคะ สิวเสี้ยน (Trichostasis Spinulosa) มีลักษณะเหมือนเสี้ยนหนามเส้นน้อย ๆ ที่กระจุกอยู่ในรูขมขน อาจจะมีสีดำหรือสีเหมือนเส้นขนเห็นได้ชัดเจนบริเวณจมูก

คำว่า “สิวเสี้ยน” ทำให้หลายคนมีความเข้าใจว่าสิวเสี้ยนคือสิวอุดตัน (Comedone) หรือ สิวหัวดำ (Blackheads) ที่ต้องรีบกำจัด แต่แท้จริงแล้ว สิวเสี้ยน คือไม่ใช่สิวนะคะ แต่เป็นเส้นขนที่รวมตัวกันอยู่ในรูขุมขน ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของการสร้างขนค่ะ เส้นขนเหล่านี้ก็จะรวมตัวกัน และรวมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และไขมันจากรูขมขนทำให้มองเห็นเป็นจุดสีดำนั้นเอง หมอขอสรุปความแตกต่างของสิวเสี้ยนและสิวหัวดำแบบนี้ค่ะ

  • สิวเสี้ยน เกิดจากการรวมตัวของเส้นขน เซลล์ผิว ไขมัน เคราติน และสิ่งตกค้างต่าง ๆ ในรูขุมขน ไม่มีการอักเสบ ติดเชื้อ และไม่อุดตันรูขุมขน
  • สิวหัวดำ คือสิวอุดตันหัวเปิดที่เกิดจากการที่รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป เมื่อรวมตัวกับเซลล์ผิว เคราติน และสิ่งตกค้างต่าง ๆ บนใบหน้าจึงทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน

บริเวณที่มักเกิดสิวเสี้ยน

พอพูดถึงสิวเสี้ยน หมอผึ้งเชื่อว่าทุกคนจะนึกถึงบริเวณจมูก ซึ่งสาเหตุที่เรามีสิวเสี้ยนเยอะตรงจมูกก็เพราะว่าจมูกเป็นพื้นที่ที่มีรูขุมขนอยู่เป็นจำนวนมาก บริเวณคาง ใต้คาง และหน้าผากก็เช่นกัน ซึ่งเราเรียกบริเวณเหล่านี้ของใบหน้าว่า T-zone นอกจากใบหน้า บริเวณหลังและหน้าอกก็ยังเป็นพื้นที่ที่มักเกิดสิวเสี้ยนค่ะ

สิวเสี้ยน เกิดจากอะไร

ต้องบอกก่อนว่าการมีสิวเสี้ยนนั้นเป็นเรื่องปกติ ปัญหาสิวเสี้ยนเยอะตรงจมูก หน้าผาก หรือคาง อาจกวนใจใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะกับคนที่มีรูขุมขนกว้างและคนที่มีผิวมัน สาเหตุของสิวเสี้ยนยังไม่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าอาจมีสาเหตุจากปัจจัยภายในร่างกายบางอย่างถูกรบกวน เช่น ระบบฮอร์โมนและต่อมไร้ท่อในร่างกายและยังมีข้อสันนิษฐานว่า อาจจะเกิดจากการรบกวนผิว หรือทำให้ผิวระคายเคือง เช่นการใช้ผลิตภัณฑ์บางอย่าง หรือขัดถูบริเวณผิวบ่อยๆ นอกจากนี้แพทย์บางท่านยังเชื่อว่าอาจเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนเช่นเดียวกับสิวซึ่งเกิดได้จากพฤติกรรมดังนี้ค่ะ

ล้างหน้าไม่สะอาด

การรักษาความสะอาดเป็นปัจจัยสำคัญของการดูแลผิวหน้า โดยเฉพาะกับคนที่ใช้เครื่องสำอาง ควรจะมีการเช็ดเมคอัพออกก่อนที่จะล้างหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้มีสารเคมีหรือสิ่งสกปรกตกค้างอยู่บนใบหน้ามากเกินไป

ซึ่งนอกจากการล้างหน้าให้สะอาดแล้ว เราควรหลีกเลี่ยงการจับหน้า หรือลูบหน้าบ่อย ๆ เพื่อรักษาความสะอาดด้วยค่ะ

ใช้สกินแคร์ โฟมล้างหน้า หรือเมคอัพที่ไม่ถูกกับผิว

ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกกับสภาพผิวของเราอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้า และส่งผลให้เกิดสิวเสี้ยนมากขึ้นค่ะ

ทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง

ของทอด ของมัน และของหวานเป็นสาเหตุตัวดีที่ทำให้ร่างกายของเราผลิตน้ำมันออกมาจากรูขุมขนมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การเกิดสิวอุดตันและสิวเสี้ยนที่มากขึ้น นอกจากนี้ อาหารเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบอีกด้วยค่ะ

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

ใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA หรือ Retinoid

กรด AHA ช่วยผลัดเซลล์ผิว และ BHA ช่วยสิ่งตกค้างที่มีส่วนผสมของน้ำมันและลดการอุดตันของรูขุมขนได้ดี รวมถึงช่วยผลัดเซลล์ผิวด้วย การดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มี AHA และ BHA ถือเป็นวิธีลดสิวเสี้ยนที่ได้ผลดี ส่วน Retinoid ก็มีสรรพคุณในการควบคุมความมันและยังเป็นตัวช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ดี สามารถใช้เพื่อรักษาสิวเสี้ยนได้เช่นกันค่ะ

ใช้มาสก์หรือแผ่นลอกสิวเสี้ยน

การใช้แผ่นหรือมาสก์เป็นอีกหนึ่งวิธีกำจัดสิวเสี้ยนที่ทำได้ง่าย และรวดเร็วที่บ้านค่ะ โดยเฉพาะกับคนที่มีสิวเสี้ยนเยอะตรงจมูก ปัจจุบันมีแผ่นลอกสิวเสี้ยนให้เลือกใช้มากมาย แต่สิ่งต้องระวังก็คือ หลังจากใช้แผ่นลอกสิวแล้วหรือมาสก์แล้ว ผิวหน้าอาจจะมีความแห้งหรือระคายเคืองได้ และอาจทำให้เกิดการแพ้ได้ค่ะ

กำจัดสิวเสี้ยนด้วยที่กดสิว

ที่กดสิวหรือ Comedone Extractor เป็นเครื่องมือที่หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เสริมความงาม และร้านค้าออนไลน์ แต่ข้อควรระวังของการใช้ที่กดสิวเพื่อกำจัดสิวเสี้ยนเองที่บ้านก็คือ ควรทำอย่างเบามือค่ะ การกดแรงเกินไปจะเป็นการทำร้ายผิวหน้า และอาจะทำให้เกิดเป็นแผล หรือการอักเสบได้ค่ะ หมอจึงไม่แนะนำวิธีกำจัดสิวเสี้ยนแบบนี้

กำจัดสิวเสี้ยนด้วย TCA Peeling

การลอกหน้าด้วยกรดผลไม้หรือ Trichloroacetic Acid (TCA) เป็นทรีตเมนต์ฟื้นฟูผิวหน้าที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้ง สิวเสี้ยน สิวอุดตัน หลุมสิว และสีผิวไม่สม่ำเสมอค่ะ วิธีนี้จะเป็นการใช้กรดเพื่อผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกออก ซึ่งจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว น้ำมันส่วนเกิน รวมถึงสิ่งสกปรกต่างๆ ออกจากผิวหน้า และกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสมานแผลและการผลิตคอลลาเจนค่ะ ซึ่งการลอกผิวยังช่วยกระชับรูขุมขนอีกด้วยค่ะ

กำจัดสิวเสี้ยนด้วยเลเซอร์กำจัดขน Long pulse NdYAG

เนื่องจากสาเหตุของสิวเสี้ยนคือการสร้างเส้นขนมากเกินไปในรูขุมขน การเลือกใช้วิธีการกำจัดขนจึงเป็นวิธีหนึ่งที่รักษาได้ตั้งแต่ต้นเหตุ และทำให้ป้องกันการเกิดซ้ำได้ระยะนึง อย่างไรก็ตามควรทำต่อเนื่อง 6-8 ครั้ง ระยะห่าง 4-6 สัปดาห์จึงจะได้ผลที่ดี และเป็นวิธีการที่ค่อนข้างปลอดภัยสูง

วิธีดูแลผิวหน้าให้ไม่มีสิวเสี้ยน

รักษาความสะอาดและล้างหน้าแบบ Double Cleansing

การรักษาความสะอาดช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากผิวหน้า ซึ่งเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ป้องกันปัญหาสิวเสี้ยน สิวอุดตันและสิวอักเสบได้ดีค่ะ

ส่วน Double Cleansing คือการทำความสะอาดผิวหน้า 2 ครั้ง ครั้งแรกด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็น Oil-based cleanser และครั้งที่สองด้วย Water-based cleanser ค่ะ การทำความสะอาดครั้งแรกด้วย Oil-based cleanser อย่างน้ำยาเช็ดเครื่องสำอาง จะช่วนกำจัดสิ่งตกค้างที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เช่น เครื่องสำอางและครีมกันแดด และการล้างครั้งที่สองด้วยเจลหรือโฟมที่เป็น Water-based cleanser จะช่วยให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งสกปรกหลงเหลืออยู่ให้แล้วค่ะ

หลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารมัน และอาหารที่มีน้ำตาลสูง

อย่างที่เรารู้กันว่า ของทอด ของมัน และของหวาน เป็นอาหารที่กินอร่อย แต่ก็ส่งผลเสียต่อร่างกายในหลาย ๆ ด้านค่ะ นอกจากของทอดของมันจะไม่ดีต่อระบบเลือดและหัวใจของเราแล้ว อาหารเหล่านี้ยัง

ทำให้ร่างกายของเราผลิตน้ำมันออกมาจากรูขุมขนมากขึ้น ดังนั้นการหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ จึงสามารถช่วยให้การเกิดสิวเสี้ยนลดน้อยลงได้ค่ะ

เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว

ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ก็ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของตนเองเพื่อไม้ให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว และเพื่อการบำรุงที่ดีที่สุดค่ะ

  • ผิวแห้ง - เลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อครีมและมีส่วนผสมของเซราไมด์ (Ceramide) และไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
  • ผิวมัน - เลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อเจลและมีส่วนผสมของซาลิซิลิก แอซิด (Salicylic acid) และไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) ซึ่งช่วยคุมความมันและกระชับรูขุมขน
  • ผิวแพ้ง่าย - เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน ปราศจากส่วนผสมของน้ำหอม (fragrance-free) และส่วนผสมอื่น ๆ ที่ทำมักทำให้เกิดการระคายเคือง (Hypoallergenic) ที่สำคัญ ควรมีการทดสอบผลิตภัณฑ์ในพื้นที่เล็ก ๆ ก่อนใช้ทั่วใบหน้า

รักษา ฟื้นฟู ดูแลผิวหน้าที่ EY Clinic

สำหรับคนที่มีปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นสิวเสี้ยน สิวอักเสบ รอยแผลเป็นจากสิว ริ้วรอย หรือผิวหน้าหมองคล้ำไม่สดใส ลองมาปรึกษาหมอผึ้ง แพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนังที่ EY Clinic ดูค่ะ คลินิกของเราถือเป็นคลินิกรักษาสิวที่ดีที่สุดในย่านบางนา มีทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์รวมกันถึง 30 ปี ที่พร้อมจะดูแลให้คำปรึกษากับคุณอย่างเต็มที่ค่ะ

EY Clinic พร้อมดูแลและแก้ปัญหาผิวให้คุณอย่างใส่ใจ ให้สุขภาพผิวของคุณดีขึ้น และมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับคุณค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว

เจาะลึกเรื่องสิวเสี้ยน สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกัน
Dr. Patnapa Vejanurug
Mar 8, 2024
ทำความเข้าใจ สิวฮอร์โมน กับวิธีรักษา กู้ผิวหน้าคืนความมั่นใจ
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
ทำความเข้าใจ สิวฮอร์โมน กับวิธีรักษา กู้ผิวหน้าคืนความมั่นใจ

สรุปใจความสำคัญ

  • สิวฮอร์โมนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย
  • สิวฮอร์โมนสามารถเป็นได้ทั้งสิวอักเสบและสิวไม่อักเสบ
  • สิวฮอร์โมนในวัยรุ่นมักพบบริเวณ T-zone
  • สิวฮอร์โมนในวัยทำงานมักพบบริเวณกรอบหน้า
  • สิวฮอร์โมนสามารถพบได้ในบริเวณอื่นของร่างกาย โดยเฉพาะ แผ่นหลัง ท้ายทอย และต้นแขน
  • วิธีการรักษาสิวฮอร์โมนเหมือนกับการรักษาสิวทั่วไป โดยสามารถรักษาได้ด้วยยากิน ยาทา การรักษาความสะอาด และหัตถการอย่าง Dermalight และเลเซอร์
  • เลเซอร์ที่ได้รับของบ่งชี้ว่า ควรใช้ในการรักษาปัญหาสิวฮอร์โมน คือเลเซอร์ ADVATX

ทำความรู้จักกับ “สิวฮอร์โมน”

สิวฮอร์โมน คือสิวที่เกิดขึ้นจากระดับความแปรปรวนของฮอร์โมน ประเภทของสิวฮอร์โมนก็มีทั้งสิวอักเสบและสิวอุดตัน ฮอร์โมนหลัก ๆ เกี่ยวข้องกับเกิดสิวฮอร์โมนก็คือ เอสโตรเจน (Estrogen) และ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ค่ะ และเรารู้กันดีว่าช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนเหล่านี้มีความแปรปรวนสูงมาก หนุ่มสาว ๆ ในช่วงวัยรุ่นส่วนใหญ่จึงมีมักปัญหาสิวฮอร์โมนค่ะ

แต่นอกจากคนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น สาว ๆ ที่ยังมีรอบอยู่ก็เดือนอยู่ก็อาจมีปัญหาสิวฮอร์โมนได้ค่ะ โดยสิวฮอร์โมนมักจะมาในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนรอบประจำเดือน และจะมาในช่วงที่เรามีความเครียดสูงค่ะ 

สิวฮอร์โมน เป็นแบบไหน

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า สิวที่ขึ้นเป็นสิวฮอร์โมนหรือไม่ ลองสังเกตตัวเองได้ ดังนี้ค่ะ

  • สิวฮอร์โมนมักจะขึ้นในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน หรือที่เรียกว่าช่วง PMS (Premenstrual Syndrome)
  • สิวฮอร์โมนมักมาในช่วงเวลาที่ร่างกายได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเวลาที่มีความเครียดสูง
  • สิวฮอร์โมนมักจะมาเป็นในรูปแบบของ ‘breakout’ หรือสิวเห่อ ที่มาทั้งสิวอักเสบและสิวอุดตัน
  • สิวฮอร์โมนมักจะเกิดบริเวณซ้ำกัน โดยหนุ่มสาวช่วงวัยรุ่นมักจะมีสิวฮอร์โมนที่บริเวณ T-zone และหนุ่มสาววัยทำงาน มักจะมีสิวฮอร์โมนบริเวณคางและกรอบหน้า

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวฮอร์โมน

เราสรุปได้คร่าว ๆ ว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวฮอร์โมนคือ ความแปรปรวนของเอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน  และความเครียดค่ะ

เอสโตรเจน (Estrogen) และ เทสโทสเตอโรน (Testosterone)

ร่างกายของเรามีทั้งเอสโตรเจน หรือที่บางคนเรียกว่า ฮอร์โมนเพศหญิง และเทสโทสเตอโรน หรือฮอร์โมนเพศชายค่ะ โดยตัวเทสโทสเทอโรนนี่แหละ ที่เป็นตัวการหลักในการเกิดสิวฮอร์โมน ระดับเทสโทสเทอโรนที่สูงทำให้รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ซึ่งทำให้เป็นสิวได้ง่ายขึ้น ในขณะที่เอสโตรเจนทำหน้าที่ควบคุมการผลิตน้ำมัน ช่วยให้ผิวไม่มันเกินไปค่ะ ในช่วงที่ฮอร์โมนมีความสมดุล สิวฮอร์โมนก็ไม่เกิดค่ะ

สาเหตุที่สิวฮอร์โมนมักจะมาในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือนเป็นเพราะในช่วงนี้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง ต่อมน้ำมันใต้ผิวจึงได้รับผลจากเทสโทสเทอโรนอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดเป็นสิวฮอร์โมนขึ้นมาค่ะ

ความเครียด

ความเครียดกับสิวฮอร์โมนเป็นของคู่กันค่ะ คนวัยทำงานคงเคยประสบปัญหาสิวฮอร์โมนในช่วงที่งานเยอะหรือพักผ่อนน้อยนะคะ ในช่วงที่เราเผชิญกับความเครียด ร่างกายของเราจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมามาก ฮอร์โมนตัวนี้ โดยปกติแล้วคอร์ติซอลจะสูงในช่วงเช้าหลังจากที่เราตื่นนอน เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมกับกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวันค่ะ

แต่เมื่อเราอยู่ในภาวะเครียด หรือมีการพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจะตอบสนองโดยการผลิตคอลติซอลออกมามากกว่าปกติ ซึ่งคอลติซอลทำให้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น และยังมีผลในการกดภูมิคุ้มกันซึ่งทำให้แบคทีเรีย P.acnes เติบโตบนผิวหนังเราได้ง่ายขึ้น ส่งผลเป็นสิวฮอร์โมนค่ะ

ภาวะที่อาจทำให้เกิดสิวฮอร์โมน

ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome หรือ PCOS)

เป็นภาวะที่ต่อมไร่ท่อมีความผิดปกติที่พบมากถึง 8-13% ในกลุ่มผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ค่ะ ภาวะ PCOS ทำให้ระดับฮอร์โมนไม่สมดุลและมีการแสดงออกทางอาการที่หลากหลาย อาการที่พบได้บ่อยคือ อาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ น้ำหนักขึ้น เป็นสิวฮอร์โมนบ่อย ๆ และอาการ “Hyperandrogenism” หรือ อาการแสดงที่มีฮอร์โมนเพศชายมากเกินไปค่ะ ร่างกายของคนที่มีภาวะ PCOS จะผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนออกมามากกว่าปกติ ทำให้ขนขึ้นตามร่างกายเยอะกว่าปกติโดยเฉพาะบริเวณใบหน้า แขนขา มีผิวมันและมีสิวรุนแรงรักษายากค่ะ

การตั้งครรภ์

ช่วงเวลาตั้งครรภ์เป็นอีกภาวะหนึ่งที่ระดับของฮอร์โมนมีความแปรปรวนสูงนะคะ และยังเป็นช่วงที่ความเครียดสูงไปด้วยทั้งทางร่างกายและจิตใจ จึงทำให้คุณแม่หลาย ๆ คนต้องเจอกับปัญหาสิวฮอร์โมน ซึ่งสิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ก็คือการรักษาความสะอาด ลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ หมอขอย้ำว่าให้หลีกเลี่ยงการใช้ยารักษาสิวฮอร์โมนด้วยตัวเองเพราะอาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ได้ค่ะ

การใช้ยาประเภทสเตียรอยด์

เนื่องจากยาประเภทสเตียรอยด์มีส่วนในการกดระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้แบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนังสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้เกิดเป็นสิวฮอร์โมนได้ง่ายค่ะ โดยพบว่า คนที่ใช้สเตียรอยด์เป็นประจำ มักมีสิวฮอร์โมนจำนวนมากขึ้นที่บริเวณแผ่นหลังค่ะ

บริเวณของการเกิดสิวฮอร์โมน

สำหรับสิวฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่น ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดในพื้นที่ T-zone หรือ บริเวณคาง จมูก และหน้าผาก และสำหรับสิวฮอร์โมนในผู้ใหญ่ ส่วนมากจะขึ้นบริเวณกรอบหน้าด้านล่าง อย่างเช่น ใต้คางและขากรรไกรค่ะ

บริเวณอื่น ๆ ของร่างกายที่มักเกิดสิวฮอร์โมน ได้แก่ บริเวณท้ายทอย แผ่นหลัง แขนช่วงบน

วิธีรักษาสิวฮอร์โมน

ใช้ยารักษาสิวฮอร์โมน

ยาแบบรับประทานที่ใช้กันในการรักษาสิวฮอร์โมน จะเป็นยาปฏิชีวนะ หรือยาอนุพันธ์วิตามินเอ

  • ยาปฏิชีวนะ เช่น Tetracycline และ Doxycycline ออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนัง มักจะเป็นตัวเลือกแรกที่แพทย์จ่ายให้กับคนที่มีปัญหาสิวค่ะ
  • ยาอนุพันธ์วิตามินเอ หรือ Isotretinoin เป็นยาที่ใช้รักษาสิวที่รุนแรง และสิวที่ไม่ดีขึ้นหลังใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ผลข้างเคียงของยาตัวนี้มีมากมายและค่อนข้างรุนแรง จึงจำเป็นต้องมีใบสั่งยาในการซื้อค่ะ

เกร็ดความรู้

ในช่วงวัยรุ่น สาว ๆ อาจจะเคยได้ยินว่ากินยาคุมจะรักษาสิวฮอร์โมนได้ ซึ่งการใช้ยาคุมกำเนิด (Oral contraceptive pills) แบบรายเดือนสามารถลดอาการเกิดสิวฮอร์โมนได้จริงค่ะ เนื่องจากยาคุมกำเนิดแบบรายเดือนจะปรับระดับฮอร์โมนในร่างกายคงที่ แต่ยาคุมกำเนิดก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้จึงควรทานเฉพาะถ้ามีข้อบ่งชี้ เช่น ต้องการคุมกำเนิดร่วมด้วย หรือคุณหมอวินิจฉัยแล้วว่ามีภาวะ PCOS และยาคุมไม่เหมาะสำหรับการรักษาสิวฮอร์โมนในหนุ่มๆ เลยค่ะ

อย่างไรก็ตาม ก่อนใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนนะคะ

แต้มยารักษาสิวฮอร์โมน

ยาแต้มสามารถช่วยรักษาสิวสิวฮอร์โมนได้ โดยยาส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบของ salicylic acid และ benzoyl peroxide หรืออาจจะเป็นยาปฏิชีวนะ (antibiotic) อย่าง clindamycin ค่ะ

  • Salicylic acid มีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวและควบคุมการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันใต้รูขุมขน ช่วยแก้ปัญหาทั้งสิวฮอร์โมนแบบสิวอุดตันและสิวอักเสบ
  • Benzoyl Peroxide เป็นตัวยาที่ใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ช่วยรักษาสิวอักเสบและป้องกันการเกิดสิวฮอร์โมนใหม่
  • Clindamycin ออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนังค่ะ

ยาแต้มสิวเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นยาที่สามารถซื้อได้ over-the-counter หรือซื้อได้แบบไม่ต้องใช้ใบสั่งยา แต่อย่างไรก็ดี หมอแนะนำให้ปรีกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้จะดีที่สุดค่ะ และยาเหล่านี้อาจทำให้ผิวระคายเคือง และลอกเป็นขุยได้ ฉะนั้นหมอแนะนำว่าควรมีการบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์อย่างต่อเนื่องด้วยค่ะ

รักษาด้วยการฉายแสง Dermalight

Dermalight เป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาผิวหน้าและแก้ปัญหาสิวฮอร์โมนที่มีความเสี่ยงต่ำและไม่เจ็บตัวเลยค่ะ Dermalight ใช้แสงที่ความยาวคลื่นต่างกันในการรักษาผิวหน้า แสงที่ถูกออกมาเพื่อรักษาสิวคือ 1. แสงสีน้ำเงิน (Blue light) ที่ความยาวคลื่นระหว่าง 405-410 นาโนเมตร ซึ่งมีอานุภาพในการทำลายเยื้อหุ้มเซลล์ของแบคทีเรีย P.acnes ทำให้แบคทีเรียตัวนี้ไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ และ 2. แสงสีแดง (Red light) ที่ความยาวคลื่น 630-700 นาโนเมตร มีสรรพคุณในการลดการอักเสบ กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และเร่งกระบวนการสมานแผลค่ะ

รักษาด้วยเลเซอร์

การรักษาผิวหน้าด้วยเลเซอร์เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันนะคะ เพราะเป็นวิธีที่เห็นผลรวดเร็ว มีความเสี่ยงต่ำ และรักษาปัญหาผิวได้ครอบคลุมค่ะ หลักการทำงานของเลเซอร์ในการรักษาสิวฮอร์โมนก็ง่ายๆ ค่ะ คือ พลังงานจากเลเซอร์จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ซึ่งเป็นตัวการให้เกิดสิวอักเสบ และช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน (sebaceous gland) ทำให้ผลิดน้ำมันได้น้อยลงค่ะ

เลเซอร์ได้รับข้อบ่งชี้ชัดเจนจาก FDA ว่ามีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการรักษาสิวฮอร์โมน เพราะ เลเซอร์ AdvaTx หรือ AdvaLight เป็นเลเซอร์แบบ Dual-wavelenghth หรือสองความยาวคลื่น AdvaTx ปล่อยแสงสีเหลืองที่ความยาวคลื่น 589 นาโนเมตรและอินฟราเรดที่ 1319 นาโนเมตร ซึ่งนอกจากจะมีประสิทธิภาพในการรักษาสิวฮอร์โมนแล้ว AdvaTx ยังเป็นหัตถการที่มีข้อบ่งชี้ในการรักษาปัญหาผิวอีกมากมาย เช่น ปานแดง ไฝแดง ฝ้าเลือด แผลเป็นประเภทหลุมสิว ริ้วรอยรอบดวงตาและรอบปากค่ะ

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวฮอร์โมน

จริงอยู่ที่เราไม่สามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนได้โดยตรง แต่เรามีวิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวฮอร์โมน และลดความรุนแรงของสิวฮอร์โมนได้ดังนี้ค่ะ

  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อลดความเครียดที่เป็นปัจจัยของการเกิดสิวฮอร์โมน
  • ใช้เครื่องสำอางให้น้อยลง และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อุดตันรูขุมขน
  • ดูแลรักษาความสะอาดของผิวหน้าและผิวกาย
  • เลือกสกินแคร์ที่เหมาะกับผิวหน้าของตัวเอง
  • หากเป็นสิวฮอร์โมนเรื้อรัง หรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อแผนการรักษาที่จะเหมาะกับคุณที่สุด

วิธีดูแลตัวเองระหว่างมีสิวฮอร์โมน

แม้เราจะดูแลผิวอย่างดีแล้ว บางครั้งบางทีสิวฮอร์โมนก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ค่ะ แต่เราก็มีวิธีดูแลตัวเองระหว่างช่วงที่เป็นสิวฮอร์โมนเพื่อลดการเกิดแผลเป็น และลดความรุนแรงของสิวที่ทำได้ง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าด้วยมือที่สกปรก
  • ไม่แคะ แกะ กด หรือบีบสิว เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง และนำไปสู่การเกิดหลุมสิว
  • แต้มยารักษาสิว เช่น Clindamycin เพื่อระงับการเติบโตของแบคทีเรีย และลดการอักเสบของสิวฮอร์โมน

รักษาสิวฮอร์โมนที่ EY Clinic

  • Acne basic: ทรีตเมนต์กดสิว มาสก์หน้าและทรีตเมนต์บำรุงผิว เริ่มต้นที่ 999 บาท
  • Acne plus: ทรีตเมนต์กดสิว และ dermalight (ทั่วหน้า) เริ่มต้นที่ 1,699 บาท
  • Acne advanced: ทรีตเมนต์กดสิว/มาสก์และทรีตเมนต์บำรุงผิว และ dermalight (ทั่วหน้า) เริ่มต้นที่ 1,999 บาท
  • Acne clearsure รวมทรีตเมนต์กดสิว เลเซอร์ AdvaTx (30 จุด) และ dermalight (ทั่วหน้า) 2,599 บาท

ทุกการรักษาที่ EY Clinic จะถูกดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีการให้คำปรึกษาก่อนและหลังการรักษา และมีการติดตามผลการรักษาด้วยค่ะ

กู้ผิวหน้า แก้ปัญหาสิวฮอร์โมนที่ EY Clinic

สำหรับคนที่มีปัญหาสิวฮอร์โมน สิวอุดตัน หรือปัญหาผิวอื่นๆ ที่สร้างความกังวลใจและรักษาไม่หายสักที สามารถเข้ามาปรึกษาที่ EY Clinic ได้ค่ะ เราคือทีมแพทย์ด้านผิวหนัง เวชศาสตร์ความงาม และเวชศาสตร์ฟื้นฟู ที่มีประสบการณ์รวมกับกว่า 30 ปี พร้อมให้คำปรึกษาและรักษาปัญหาทางผิวหนังแบบครอบคลุม โดยจะมุ่งเน้นไปที่ความผลลัพธ์ที่คุณอยากได้ และไม่มีการยัดเยียดทรีตเมนต์ที่ไม่จำเป็นค่ะ แวะมาปรึกษากับหมอผึ้ง และหมอเก่ง ๆ ท่านอื่นได้ที่ EY Clinic ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว

ทำความเข้าใจ สิวฮอร์โมน กับวิธีรักษา กู้ผิวหน้าคืนความมั่นใจ
Dr. Patnapa Vejanurug
Mar 8, 2024
Fractional RF ทางออกปัญหา หลุมสิว ผิวหย่อนคล้อย และริ้วรอย
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
Fractional RF ทางออกปัญหา หลุมสิว ผิวหย่อนคล้อย และริ้วรอย
ในบทความนี้ หมอผึ้งจะมาพาไปรู้จักกับ Fractional RF การรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อ หมอจะมาอธิบายถึงวิธีการทำงาน ประสิทธิภาพ และข้อเปรียบเทียบของ Fractional RF กับเลเซอร์ แบบเข้าใจง่ายกันค่ะ

ในบทความนี้ หมอผึ้งจะมาพาไปรู้จักกับ Fractional RF การรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อ หมอจะมาอธิบายถึงวิธีการทำงาน ประสิทธิภาพ และข้อเปรียบเทียบของ Fractional RF กับเลเซอร์ แบบเข้าใจง่ายกันค่ะ

สรุปสาระสำคัญ

  • Fractional RF คือการรักษาปัญหาผิวด้วยคลื่นความถี่วิทยุที่ส่งผ่านเข็มขนาดจิ๋ว (Microneedle)
  • Fractional RF กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิวและกระบวนการสมานแผล ซึ่งทำให้รักษาหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผลของเคียงของ Fractional RF น้อยกว่าเมื่อเทียบกับหัตถการที่ใกล้เคียงกัน เช่น เลเซอร์
  • Fractional RF ถือเป็นทรีตเมนต์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ประสิทธิภาพสูง และเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนหลังทำทรีตเมนต์เพียงไม่กี่ครั้ง

Fractional RF ทำงานอย่างไร

เรามาเริ่มที่คำว่า RF กันก่อนค่ะ RF หรือ Radiofrequency ก็คือคลื่นความถี่วิทยุ ที่ใช้ในการกระตุ้น ฟื้นฟู และปรับสภาพผิวนั่นเอง เมื่อคลื่นวิทยุส่งผ่านเข้าสู่ชั้นผิวหนัง คลื่นตรงนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนที่ 55-65°C ซึ่งทำให้เส้นใยคอลลาเจน (Collagen fiber) และผิวชั้นหนังแท้เกิดการหดตัวค่ะ จากนั้นร่างกายของเราจะตอบสนองด้วยกระบวนการสมานแผล (Wound-healling process) ในกระบวนการนี้ เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ในชั้นผิวจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้น มีการปรับปรุงโครงสร้างของผิว (Skin Remodelling) และมีการเกิดใหม่ของเซลล์ (Regeneration) ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผิวยกกระชับ เต่งตึง ดูอ่อนวัย และ หลุมสิวและริ้วรอยที่ดูจางลงค่ะ

คำว่า Fractional หมายถึงอะไร

คำว่า Fractional ที่แปลว่า เป็นเศษส่วนเล็กน้อย บ่งบอกถึงวิธีการส่งคลื่นความถี่วิทยุเข้าสู่ผิวหนังค่ะ Fractional RF คือการส่งคลื่นวิทยุเข้าสู่ชั้นผิวด้วย Microneedle เข็มจิ๋วที่มีขนาดหัวเพียง 0.03 มิลลิเมตร และความยาว 0.5 ถึง 2.0 มิลลิเมตร เข็มจิ๋วเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นอิเล็กโทรดที่ถ่ายเทคลื่นวิทยุเข้าสู่ชั้นผิวค่ะ ซึ่งนอกจากจะทำให้ส่งผ่านคลื่น RF ได้ลึกแล้ว การใช้ microneedle คือการสร้างแผลเล็กๆ (Micro-injuries) ซึ่งเป็นการกระตุ้นกระบวนการสมานแผลไปในตัวด้วยค่ะ

เปรียบเทียบความแตกต่างของ Fractional RF และ RF 

บริเวณที่รักษา

RF ธรรมดาส่งผ่านคลื่นความถี่วิทยุผ่านหัวอิเล็กโทรด ทำให้ทั้งบริเวณที่สัมผัสกับแท่งโลหะที่ได้รับพลังงานความร้อนไปด้วย ในขณะที่ Fractional RF ใช้ microneedle ซึ่งส่งผ่านคลื่นความถี่ได้แม่นยำและตรงจุด โดยไม่รบกวนการทำงานของผิวหนังบริเวณรอบข้าง

ความลึกของการส่งผ่านคลื่น RF

RF ธรรมดาสามารถทำได้ทั่วหน้าโดยจะมีความลึกของการส่งคลื่น RF เท่ากันในทุกพื้นที่ค่ะ แต่สำหรับ Fractional RF แล้ว Microneedle จะช่วยให้เราสามารถกำหนดความลึกของการส่งคลื่น RF ได้ ซึ่งทำให้รักษาได้แม่นยำมากขึ้นเนื่องจากผิวหนังในแต่ละส่วนของใบหน้ามีความหนาไม่เท่ากันค่ะ อย่างเช่น ชั้นหนังแท้บริเวณแก้มอยู่ที่ความลึก 1.1 มิลลิเมตรและชั้นหนังแท้ของรอบดวงตาอยู่ที่ความลึก 0.47 มิลลิเมตรค่ะ

ผลข้างเคียงจากการรักษา

ทั้ง RF และ Fractional RF เป็นการใช้พลังงานความร้อนในการกระตุ้นเซลล์ผิวเหมือนกัน ผลข้างเคืองที่สามารถเกิดขึ้นได้ก็จะคล้าย ๆ กันค่ะ เช่น อาการบวม แดง ระคายเคือง หรือมีการเปลี่ยนแปลงของสีผิวบริเวณที่ทำทรีตเมนต์ แต่ RF อาจทำให้ผิวไหม้เป็นวงๆ เนื่องจากการส่งผ่านความร้อนผ่านหัวอิเล็กโทรดขนาดใหญ่ ได้ค่ะ (โดยเฉพาะในกรณีที่รักษากับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน)

Fractional RF ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง 

  • แก้ปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อย ช่วยยกกระชับใบหน้า
  • แก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึกและร่องตื้น
  • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้ผิว
  • กระชับรูขมขน
  • ฟื้นฟูผิวให้มีความกระจ่างใส ปรับสีผิวและผิวหน้าให้เรียบเนียน
  • ปัญหาหลุมสิว และรอยดำ รอยแดงจากสิว

คุณสมบัติของ Fractional RF

หมอขออธิบายลงลึกไปถึงคุณสมบัติที่ทำให้ Fractional RF เป็นทรีตเมนต์มีความยืดหยุ่น แม่นยำ และมีประสิทธิภาพนะคะ ทรีตเมนต์ตัวนี้จะใช้ความถี่อยู่ 3 รูปแบบ ซึ่งแต่ละความถี่จะมีประโยชน์ต่างกัน

  • 1.0 Mhz เหมาะกับผิวหน้าบริเวณที่มีความบอบบาง เช่น หน้าผาก รอบดวงตา และจมูก
  • 0.8 Mhz เหมาะกับผิวหน้าบริเวณที่มีเนื้อเยอะ เช่น แก้ม คางและบริเวณคอ
  • 1.0 Mhz และ 0.8 Mhz ร่วมกัน เหมาะกับการรักษาแผลเป็นจากสิวและหลุมสิว

ซึ่งการปล่อยคลื่นวิทยุยังสามารถปรับได้เป็น 2 โหมด ได้แก่ Pulse Mode และ CW Mode โดย Pulse Mode จะเป็นการปล่อยคลื่นแบบเป็นช่วงจังหวะ ซึ่งลดความระคายเคืองและลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงลง และ CW (Continuous-Wave) ซึ่งเป็นการปล่อยคลื่นแบบติดต่อกัน เหมาะสำหรับการฟื้นฟูในพื้นที่ใหญ่ค่ะ

ประสิทธิภาพของ Fractional RF ในการรักษาหลุมสิว

หลุมสิว (Atopic acne scar) คือแผลเป็นจากสิวที่ขึ้นชื่อว่ารักษาได้ยาก ใช้เวลานานค่ะ และเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนสูญเสียความมั่นใจ แต่ Fractional RF ก็ถือเป็นทรีตเมนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงและความเสี่ยงต่ำมากสำหรับการรักษาหลุมสิวค่ะ

งานวิจัยจาก Journal of Cosmetic Dermatology ได้ทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ Fractional RF ในการรักษาหลุมสิวในผู้ทดลอง ซึ่งทุกคน จะได้รับทรีตเมนต์ Fractional RF 3 ครั้งในช่วงเวลา 1 เดือน หลังการทดลองได้มีการสอบถามความพึงพอใจของทรีตเมนต์ และพบว่า 89% ของกลุ่มผู้ทดลองรู้พึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ และผลข้างเคียงที่พบได้แก้อาการเจ็บและบวมแดงเล็กน้อยหลังทรีตเมนต์ ไม่พบรอยด่างดำ รอยไหม้ หรือแผลเป็นถาวรใดๆ จากการรักษาค่ะ

เราจึงสามารถสรุปได้ว่า Fractional RF เป็นวิธีรักษาหลุมสิวที่ปลอดภัยด้วยโอกาสการเกิดผลข้างเคียงที่ต่ำและมีประสิทธิภาพสูงค่ะ

เปรียบเทียบ Fractional RF และ Fractional CO2 Laser

Fractional CO2 Laser เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ในปัจจุบันค่ะ ตัว Fractional CO2 เองมีการทำงานคล้าย ๆ กับ Fractional RF ซึ่งก็คือการใช้พลังงานความร้อนกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสมานแผลและฟื้นฟูผิว โดย Fractional CO2 Laser จะใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใต้ชั้นผิวเป็นตัวส่งผ่านเลเซอร์ ในขณะที่ Fractional RF ใช้เป็นเข็ม Microneedle ในการส่งผ่านคลื่นความถี่วิทยุค่ะ

ทั้ง RF และ CO2 Laser เป็นทรีตเมนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง แก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย โดยเฉพาะปัญหาหลุมสิว แต่สิ่งที่เป็นข้อได้เปรียบของ RF ก็คือโอกาสการเกิดรอยดำ (Hyperpigmentation) หลังการรักษาที่ต่ำค่ะ

Fractional RF และ Fractional CO2 Laser; รอยดำหลังการทำทรีตเมนต์

อย่างที่รู้กันว่าการทำหัตถการ Laser จะมาพร้อมกับอาการบวมแดง รอยไหม้ แผลเป็น และรอยด่างดำ หรือที่เรียกว่า Postinflammatory Hyperpigmentation (PIH) รอยดำเหล่านี้เกิดจากการที่เซลล์ผิวผลิตเม็ดสีเมลานินออกมามากเกินไปในผิวชั้นหนังกำพร้าและ/หรือหนังแท้ ซึ่งพบได้หลังจากที่ผิวหนังมีการอักเสบ และงานวิจัยจาก Journal of Cosmetic Dermatology ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า Fractional RF มีความเสี่ยงในการเกิดรอยด่างดำที่ต่ำกว่า โอกาสของการเกิดรอยไหม้ แผลเป็นน้อยกว่า และเจ็บน้อยกว่า เมื่อเทียบกับ Fractional CO2 เลเซอร์ค่ะ

สรุปข้อดีของ Fractional RF

  • เป็นทรีตเมนต์ที่ให้ได้หลากหลาย มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ
  • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่รบกวนการทำงานของเซลล์อื่น ๆ
  • แก้ไขปัญหาหลุมได้รวดเร็ว และเห็นผลชัดเจนหลังการรักษาเพียงไม่กี่ครั้ง
  • ผลข้างเคียงต่ำ ความเสี่ยงของการเกิดรอยไหม้ รอยแผลเป็น หรือรอยดำ หลังทำทรีตเมนต์มีน้อยเมื่อเทียบกับทรีตเมนต์ตัวอื่น
  • ใช้หน้าได้ตามปกติ ไม่ต้องรอพักฟื้นหลังทำ
  • เหมาะกับทุกเฉดสีผิว

Fractional RF ทำกี่ครั้ง ถึงจะเห็นผล

หมอแนะนำว่า Fractional RF ควรทำติดต่อกัน 3-4 ครั้ง เว้นระยะห่างกันประมาณ 4 สัปดาห์ ซึ่งผิวหน้าจะค่อยๆ ปรับสภาพและฟื้นฟูตัวเองตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย การทำ Fractional RF จะใช้เวลาประมาณ 45 นาทีค่ะ

หลังทำ Fractional RF ต้องดูแลตัวเองอย่างไร

หลังจากทำเสร็จแล้ว 24 ชั่วโมง สามารถล้างหน้าได้ และเพียงบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์และครีมกันแดดก็เพียงพอค่ะ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วง 1-2 วันแรกได้แก่ การใช้ยาทาสิว หรือครีมที่อาจทำให้ระคายเคืองค่ะ

ราคาเริ่มต้นที่ EY Clinic

ทรีตเมนต์ Fractional RF ที่ EY Clinic มีอยู่ 3 แพ็กเกจด้วยกันค่ะ

  • Size S - ทั่วหน้า 1 ครั้ง 4,999 บาท
  • Size M - ทั่วหน้า 2 ครั้ง 8,999 บาท
  • Size L - ทั่วหน้า 5 ครั้ง แถม 1 ครั้ง 24,995 บาท

ทุกหัตถการที่ EY Clinic ดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีการปรึกษาก่อนรักษา และไม่มีการยัดเยียดการรักษาที่ไม่จำเป็นอย่างแน่นอนค่ะ

ฟื้นฟูผิวหน้า บอกลาหลุมสิวและริ้วรอย ที่ EY Clinic

คลินิกของเราเข้าใจถึงความไม่สบายใจและความไม่มั่นใจที่มาพร้อมกับปัญหาผิวค่ะ เราจึงมีการปรึกษาก่อนทำทรีตเมนต์และมีการติดตามผลการทำทรีตเมนต์ทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าคุณพอใจกับการรักษาและมีสุขภาพผิวที่ดีขึ้นค่ะ เมื่อมารักษาที่ EY Clinic มั่นใจได้เลยว่าคุณจะได้รับ:

หัตถการและเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน - คลินิกของเราได้การรับรองมาตรฐานคลินิกเวชกรรมอย่างชัดเจน มีเครื่องมือ ตัวยา และห้องทำหัตถการที่ปลอดภัยและคุณภาพเชื่อถือได้ค่ะ

การรักษาโดยแพทย์ความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ - เราคือทีมแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวลล์เนสที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปีจากสถาบันชั้นนำของประเทศค่ะ

ความใส่ใจอย่างเป็นมืออาชีพ - การรักษาออกแบบเฉพาะตัวบุคคล มีการติดตามผล และให้คำแนะนำอย่างใส่ใจค่ะ

ความสบายใจ - เรามุ่งมั่นที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคุณโดยไม่มีการยัดเยียดการรักษาที่ไม่จำเป็น และไม่มีการผูกมัดค่ะ

ท่านใดมีปัญหาสิว ผิวหน้าหมองคล้ำ หลุมสิวหรือริ้วรอย นัดปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เบอร์ 061 594 1923 หรือติดต่อผ่าน LINE Official: @EyclinicTH ได้เลยค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว

อ้างอิง

เพื่อรับรองความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ หมอได้อ้างอิงแหล่งข้อมูลต่อไปนี้ค่ะ

  1. การใช้ Fractional CO2 Laser ร่วมกับ Fractional RF ในการรักษาแผลเป็นจากสิว https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/31141299/
  2. การวิเคราะห์อภิมาณ (Meta-analysis) ของ Fractional RF ในการรักษาสิวและ/หรือหลุมสิว https://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/jocd.15348
  3. ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ Fractional RF ในการรักษาหลุมสิว https://onlinelibrary.wiley.com/doi/full/10.1111/jocd.15454
  4. รอยดำหลังการอักเสบ หรือ Postinflammatory Hyperpigmentation https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK559150/
Fractional RF ทางออกปัญหา หลุมสิว ผิวหย่อนคล้อย และริ้วรอย
Dr. Patnapa Vejanurug
Mar 8, 2024
เราอยากให้คุณดูดี และรู้สึกดีทุกวัน
เรามีทรีตเมนต์หลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของคุณ ตั้งแต่การดูแลผิวไปจนถึงโภชนาการ เรามีทุกสิ่งที่คุณต้องการเพื่อให้คุณรู้สึกดีที่สุด