รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค

สิว ฝ้า และปัญหาผิวหนังรอบด้าน รักษาโดยแพทย์ผิวหนัง
เป็นสิวไม่มีหัว ทำไงดี: อัปเดต 2024 สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกัน
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
เป็นสิวไม่มีหัว ทำไงดี: อัปเดต 2024 สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกัน
หลายคนที่มีปัญหาสิว คงต้องเคยเจอกับสิวที่ทั้งเจ็บทั้งแดง แต่ไม่มีหัว กันมาบ้างแล้วนะคะ ในบทความนี้ เราจะไปเรียนรู้เกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เราเป็นสิวไม่มีหัว พร้อมวิธีการรักษาและวิธีดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้ปัญหาสิวลุกลามจนทำเราหมดความมั่นใจค่ะ

เราจะไปเรียนรู้เกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เราเป็นสิวไม่มีหัว พร้อมวิธีการรักษาและวิธีดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้ปัญหาสิวลุกลามจนทำเราหมดความมั่นใจค่ะ

สรุปใจความสำคัญ

  • สิวไม่มีหัว คือ สิวอักเสบประเภท Papule หรือ Nodule
  • สิวไม่มีหัวเกิดจากการอุดตันและการอักเสบของรูขุมขนเหมือนกันสิวที่มีหัว
  • สิวอุดตันหัวขาวก็นับเป็นสิวไม่มีหัวเช่นกัน
  • การรักษาสิวไม่มีหัวทำได้ด้วยการใช้ยาแต้มสิว การฉีดสิว และเลเซอร์

สิวไม่มีหัว คืออะไร

สิวไม่มีหัว (Blind pimples) คือ สิวที่เป็นตุ่นนูนแดงขึ้นมาแต่ไม่มีหัวเปิดให้เราเห็นค่ะ ซึ่งหลายคนที่เป็นสิวไม่มีหัวจะรู้ดีว่า สิวแบบนี้มักสร้างความเจ็บปวดให้เราเป็นอย่างมาก ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะการอักเสบที่เกิดขึ้นภายใต้ชั้นผิวค่ะ โดยสิวประเภทนี้เรียกว่า สิวอักเสบแบบตุ่มนูนแดง หรือ Papule เป็นสิวที่แข็งเป็นไต และมีขนาดเล็กที่เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 1 เซนติเมตรค่ะ

แต่หากเป็นสิวไม่มีหัวที่สัมผัสแล้วเจ็บ มีลักษณะเป็นตุ่มแดง ๆ ที่ใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร เราจะเรียกมันว่า สิวไต หรือ Nodular acne ซึ่งเป็นสิวอักเสบที่มีรากฐานการอักเสบที่ลึกและรุนแรง และมักมีเลือด/หนอง อยู่ภายในค่ะ (สิวไตที่มีขนาดใหญ่และรุนแรง ก็คือ สิวหัวช้าง หรือ Nodulocystic acne นั่นเอง)

แต่นอกจากสิวอักเสบตุ่มนูนแดงแบบ Papule และสิวเม็ดใหญ่แบบ Nodule แล้ว สิวอุดตันแบบ Closed comedone หรือ สิวขาวหัว ก็จัดเป็นสิวไม่มีหัวเช่นกันค่ะ โดยสิวอุดตันประเภทนี้จะมีขนาดเล็ก ไม่มีการอักเสบที่รุนแรง และไม่แข็งเป็นไตค่ะ

สิวไม่มีหัว เกิดจากอะไร

สิวไม่มีหัว มีกลไกการเกิดสิวเหมือนกับสิวที่มีหัวทั่วไปค่ะ โดยสิวเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยจากน้ำมัน เศษสิ่งตกค้าง และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย P.acnes และการอักเสบของผิว

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวไม่มีหัวก็มีอยู่มากมายค่ะ เช่น

1.พันธุกรรม

ปัจจัยทางพันธุกรรมเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้หลาย ๆ คนเป็นสิวง่ายกว่าคนอื่นค่ะ เพราะพันธุกรรมของเราเป็นตัวกำหนดการทำงานของหลายกระบวนการในร่างกาย เช่น

  • การผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง (Sebum production)
  • การอักเสบของผิว (Inflammatory response)
  • การผลิตเคราตินของผิว (Keratinization)
  • การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน

2. ฮอร์โมน

สาว ๆ หลายคนที่เป็นสิวบ่อย ๆ จะสังเกตได้ว่า สิวมักจะมาในช่วงก่อนมีประจำเดือน ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าระดับฮอร์โมนที่แปรปรวนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่รูขุมขนอุดตันและเกิดเป็นสิวไม่มีหัวค่ะ โดยฮอร์โมนหลัก ๆ ในร่างกายของที่ส่วนเกี่ยวข้องกับสิว ได้แก่ เอสโตรเจน (Estrogen) และ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งทั้งสองตัวนี้จะทำงานสวนทางกัน กล่าวคือ

  • เทสโทสเตอโรน ทำให้ผิวผลิตน้ำมันออกมาเยอะ นำไปสู่การอุดตันของรูขุมขนที่ง่ายขึ้น
  • เอสโตรเจน ทำหน้าที่ควบคุมการผลิตน้ำมัน ไม่ให้ผิวมันเกินไปและลดโอกาสการเกิดสิวค่ะ

3. ความเครียด

เมื่อพูดถึงสิว ไม่ว่าจะเป็นสิวไม่มีหัว หรือ สิวมีหัว เราจะไม่พูดถึงความเครียดไม่ได้เลยค่ะ เพราะความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจมีผลทำให้ผิวเกิดสิวได้ง่ายขึ้น โดยเมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียด เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการทำงานหนัก ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ในร่างกายจะสูงขึ้นค่ะ ซึ่งส่งผลทำให้รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมาเยอะ และทำให้ระดับภูมิคุ้มกันต่ำลง ทำให้เกิดเป็นสิวได้ง่ายขึ้นค่ะ

4. อาหาร

อาหาร เป็นอีกหนึ่งสาเหตุตัวดีที่ทำให้เราเป็นสิวไม่มีหัวค่ะ โดยอาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน และ คาร์โบไฮเดรตแปรรูป (Refined carbohydrates) สูง มีผลทำให้ผิวเป็นสิวง่ายได้ขึ้น เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้ผิวมันและการเกิดการอักเสบได้ง่าย นอกจากนี้ยังทำให้ผิวดูหมองคล้ำด้วยค่ะ

5. การไม่รักษาความสะอาด

การไม่ดูแลรักษาความสะอาดย่อมทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกบนผิวค่ะ ทั้งคราบเหงื่อไคล เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และเครื่องสำอางที่ตกค้าง เมื่อสะสมไปเรื่อย ๆ ก็นำไปสู่การเกิดสิวในที่สุดค่ะ

สิวไม่มีหัว แตกต่างจากสิวประเภทอื่น ๆ อย่างไร

สิวไม่มีหัวจะแตกต่างจากสิวประเภทอื่น ๆ ตรงที่ ความลึกของฐานสิว กระบวนการอักเสบที่เกิดขึ้นภายในตัวสิว และระดับการอุดตันของรูขุมขนค่ะ:

สิวหัวขาว เป็นสิวอุดตันที่ไม่มีหัว ซึ่งที่เกิดขึ้นเพราะ สิ่งที่อุดตันต่าง ๆ อัดแน่นอยู่ในจนทำให้ปิดปากของรูขุมขน ในขณะที่ สิวหัวดำ (Blackhead หรือ Open comedone) ยังมีปากรูขุมขนที่เปิดอยู่ สิ่งที่อุดตันภายในจึงได้สัมผัสกับอากาศภายนอก และเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ส่งผลให้สิ่งอุดตันเหล่านั้นกลายเป็นหัวสีดำ

ส่วนสิวตุ่มแดงและสิวไตจะเป็นสิวที่อักเสบที่มีฐานการอักเสบที่ลึก และมีกระบวนการอักเสบที่แตกต่างกับ สิวหัวหนอง (Pustule) ทำให้มีลักษณะที่ต่างกันค่ะ

บริเวณที่มักเกิดสิวไม่มีหัว

เป็นสิวไม่มีหัวที่หน้าผาก: หน้าผากเป็นบริเวณที่มีความมันมาก และยังเป็นส่วนที่ใกล้กับเส้นผม ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กับผมอาจทำให้ผิวระคายเคืองหรือทำให้เกิดการอุดตันได้ง่ายค่ะ

เป็นสิวไม่มีหัวบริเวณจมูก: จมูกเป็นบริเวณที่เกิดสิวง่าย เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีต่อมน้ำมันจำนวนมาก

เป็นสิวไม่มีหัวที่คาง: เป็นอีกส่วนหนึ่งของใบหน้าที่มีความมันมาก และมักเป็นบริเวณที่จะเกิดสิวเมื่อระดับฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน

เป็นสิวไม่มีหัวที่กรามและกรอบหน้า: เป็นบริเวณที่มักจะเจอกับสิ่งสกปรกและการระคายเคือง เช่น จากไรผม จากการใส่หน้ากากอนามัย หรือ จากการล้างหน้าไม่สะอาด

เป็นสิวไม่มีหัว รักษาได้อย่างไร

เมื่อเป็นสิวเม็ดแดง ๆ ไม่มีหัว และมีอาการเจ็บ เราจะมีวิธีรักษาได้ดังนี้ค่ะ

รักษาด้วยการใช้ยาแต้มสิว

ยาแต้มรักษาสิว เป็นยาที่เราสามารถซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไปโดยไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งยาค่ะ ซึ่งตัวยาที่สามารถใช้ได้เมื่อเป็นสิวไม่มีหัวจะ ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ (antibiotic) เช่น Clindamycin, ตัวยาออกฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวและป้องกันการอุดตันอย่าง Salicyic acid และ ตัวยาลดการอักเสบและฆ่าเชื้ออย่าง Benzyl Peroxide ค่ะ

รักษาด้วยการฉีดสิว

การฉีดสิวเป็นการรักษาสิวไม่มีหัวที่เห็นผลได้วัยค่ะ โดยสามารถช่วยให้สิวยุบได้ภายใน 8 ชั่วโมง ตัวยาที่ใช้มักจะเป็น Triamcinolone ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบ ลดอาการบวมและเจ็บปวดของสิว เหมาะสมสำหรับคนเป็นสิวไม่มีหัวแบบสิวไต และสิวตุ่มนูนค่ะ

รักษาด้วยเลเซอร์ Fractional CO2

เลเซอร์เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับคนเป็นสิวไม่มีหัวแบบสิวอุดตันค่ะ โดยเลเซอร์ Fractional CO2 จะใช้แสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตรซึ่งช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง และลดการอุดตันของรูขุมขนได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ นอกจากนี้ เจ้าเลเซอร์ Fractional CO2 ยังช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิว

และกระชับรูขุมขนให้มีขนาดเล็กลง เผยผิวใหม่ที่เรียบเนียนและแข็งแรงกว่าเดิมด้วยค่ะ

โดยแพ็กเกจเลเซอร์ที่ EY Clinic มีให้บริการมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ

  • CO2 สิวอุดตัน (50 จุด) 1 ครั้ง 999.- (คิดเพิ่มจุดละ 20.-)

วิธีดูแลตัวเองไม่ให้เป็นสิวไม่มีหัว

  1. รักษาความสะอาดของผิว โดยใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับผิวของตัวเอง เพื่อลดโอกาสการระคายเคืองของผิว
  2. ทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดของหวานและของมัน และพักผ่อนให้เพียงพอ
  3. ไม่แกะหรือบีบสิวเอง เนื่องจากจะทำให้การอักเสบของสิวรุนแรงขึ้น และอาจนำไปสู่การเกิดหลุมสิว

เป็นสิวไม่มีหัว รักษาได้ที่ EY Clinic

หมอหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ความรู้กับคนที่เป็นสิวได้ไม่มากก็น้อยนะคะ อย่างไรก็ดี หากใครมีปัญหาสิวเรื้อรังที่รักษาเท่าไรก็ไม่หาย หรือมีปัญหาผิวใด ๆ สามารถเข้ามาปรึกษากับเราที่ EY Clinic ได้ค่ะ

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

เป็นสิวไม่มีหัว ทำไงดี: อัปเดต 2024 สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกัน
Dr. Patnapa Vejanurug
Jul 8, 2024
สาเหตุของการเกิดสิว: กลไก ปัจจัย และวิธีรักษา
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
สาเหตุของการเกิดสิว: กลไก ปัจจัย และวิธีรักษา
เมื่อถามว่า สิวเกิดจากอะไร เราอาจจะตอบได้ว่า สิวเกิดจากฮอร์โมน ความสกปรก ความเครียด หรือปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย แต่สาเหตุของการเกิดสิวหลัก ๆ คืออะไรกันแน่ กลไกเกิดการเกิดสิวเป็นอย่างไร และการรักษาสิวแบบไหนถึงจะช่วยดูแลและป้องกันได้ หมอผึ้งจะพาคุณไปหาคำตอบในบทความนี้ค่ะ

เมื่อถามว่า สิวเกิดจากอะไร เราอาจจะตอบได้ว่า สิวเกิดจากฮอร์โมน ความสกปรก ความเครียด หรือปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย แต่สาเหตุของการเกิดสิวหลัก ๆ คืออะไรกันแน่ กลไกเกิดการเกิดสิวเป็นอย่างไร และการรักษาสิวแบบไหนถึงจะช่วยดูแลและป้องกันได้ หมอผึ้งจะพาคุณไปหาคำตอบในบทความนี้ค่ะ

สรุปใจความสำคัญ

  • สาเหตุของการเกิดสิว หรือกลไกการเกิดสิวมีอยู่ 4 ข้อหลัก ๆ ได้แก่ 1.ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันมากเกินไป, 2.การอุดตันของรูขุมขน, 3. การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย 4. มีการอักเสบของผิว
  • สิว แบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่ สิวอักเสบ และสิวไม่อักเสบ (สิวหัวขาว, สิวหัวดำ)
  • ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวมีอยู่หลายข้อ ทั้งปัจจัยภายนอก อย่าง ฝุ่นควัน ปัจจัยทางพฤติกรรม อย่าง การรักษาความสะอาด และปัจจัยภายในอย่าง พันธุกรรมและฮอร์โมน
  • เราสามารถดูและผิวและป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้ ด้วยการดูแลรักษาความสะอาด บำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ และรักษาสิวอย่างถูกวิธี

เจาะลึก สาเหตุของการเกิดสิว

หมอขอสรุปสาเหตุของการเกิดสิวเป็น 4 สาเหตุ ดังนี้ค่ะ: 1. ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป, 2. การอุดตันของรูขุมขนด้วยเคราติน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งตกค้าง, 3. การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย 4. มีการอักเสบของผิว

โดยปกติแล้ว ต่อมไขมัน (Sebaceous gland) ใต้ชั้นผิวของเรามีหน้าที่ผลิตน้ำมัน (Sebum) ออกมาเคลือบผิวชั้นนอกเพื่อคงความชุ่มชื่นและป้องกันผิวจากแบคทีเรียที่เป็นอันตรายค่ะ หากผิวของเราไม่มีน้ำมันเลย ผิวก็จะแห้งกร้าน ระคายเคือง และติดเชื้อง่ายค่ะ

นอกจากนี้ บนผิวของเรายังแบคทีเรีย P. acnes (หรือ C. acnes) ที่เป็น “normal flora” หรือแบคทีเรียที่อยู่อาศัยโดยที่ไม่ทำอันตรายใด ๆ โดย P. acnes เป็นตัวช่วยปกป้องผิวของเราจากแบคทีเรียตัวอื่นที่อาจเป็นอัตรายค่ะ

กลไกการเกิดสิว เริ่มจากการที่ต่อมไขมันของเราผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ร่วมกับการที่ผิวของเราผลิตเคราตินออกมามากเกินไป (Hyperkeratinization) ทั้งเคราติน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และน้ำมันจะรวมตัวกระจุกกันอยู่ในรูขุมขน จนทำให้เกิดการอุดตัน (ซึ่งทางการแพทย์จะเรียกว่า Microcomedones มีขนาดเล็ก และมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า) และนำไปสู่การเกิดสิวในที่สุดค่ะ

รูขุมขนที่อุดตันเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมของการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย P. acnes เมื่อแบคทีเรียเกิดการสะสมมากขึ้น ๆ เรื่อย ร่างกายก็จะตอบสนองด้วยการส่งเม็ดเลือดขาวมาจัดการ ผ่านกระบวนการการอักเสบ นั่นเองค่ะ

การเข้าใจสาเหตุของการเกิดสิวเหล่านี้ จะทำให้เราเข้าใจการแบ่งประเภทของสิวและการรักษามากขึ้นค่ะ

ทำไมเป็นวัยรุ่นแล้วสิวขึ้น

วัยรุ่นมักเจอกับปัญหาสิว เพราะว่า ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนในร่างกายมีความแปรปรวนสูง ซึ่งส่งผลให้ผิวมัน และเป็นสิวได้ง่ายขึ้นค่ะ

อย่าลืมว่า การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดสิว ซึ่งสิ่งที่เราสามารถทำได้ เพื่อลดความรุนแแรงของปัญหาสิว ก็คือ รักษาความสะอาดของผิว ลดอาหารที่หวานและมัน และ รักษาสิวให้ถูกวิธีค่ะ

ทำไมนอนดึกแล้วสิวขึ้น

สาเหตุที่ทำให้สิวขึ้นเมื่อเรานอนดึก เกิดจาก ฮอร์โมนความเครียด หรือ คอร์ติซอลที่สูงขึ้นค่ะ 

โดยฮอร์โมนคอร์ติซอลจะมีระดับสูงขึ้นเมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียง ส่งผลให้ผิวมีความมันมากขึ้น และเกิดเป็นสิวได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ซึ่งทำให้แบคทีเรีย P.acnes ซึ่งเป็นตัวการของสิวอักเสบ เจริญเติบโตได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ

ทำความรู้จักกับประเภทของสิว

ประเภทของสิวแบ่งออกเป็น สิวไม่อักเสบ หรือสิวอุดตัน และสิวอักเสบ ค่ะ

สิวไม่อักเสบ หรือ สิวอุดตัน (Comedones)

  • สิวหัวขาว (Whitehead หรือ Closed comedone) คือ สิวอุดตันหัวปิด มีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก หากไม่ได้รับการรักษา สามารถพัฒนาต่อไปเป็นสิวอักเสบได้ค่ะ
  • สิวหัวดำ (Blackhead หรือ Open comedone) คือ สิวอุดตันที่มีหัวเปิด ทำให้สิ่งที่อุดตันอยู่ข้างในได้สัมผัสกับอากาศภายนอก และเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ส่งผลให้สิ่งอุดตันเหล่านั้นกลายเป็นสีดำ ซึ่งเราก็จะเห็นเป็นหัวสิวสีดำนั่นเองค่ะ

สิวอักเสบ (Inflammatory acnes)

  • สิวตุ่มแดง (Papule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงแข็ง ๆ เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 1 เซนติเมตร สัมผัสแล้วรู้สึกเจ็บ
  • สิวหัวหนอง (Pustule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง มีหัวหนองสีขาว
  • สิวไต (Nodule) มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ แข็งเป็นไต ภายในเป็นหนองและเลือด รากฐานการอักเสบลึกได้ถึง 2 เซนติเมตร สามารถมาในรูแบบของสิวไตหัวเปิดเป็นหนอง (Cystic acne) หรือ อาจเป็นสิวเม็ดใหญ่และมีหนองอยู่ภายใน ที่เรียกกันว่า สิวหัวช้าง (Nodulocystic acne) ซึ่งมีอักเสบที่รุนแรง รักษาให้หายได้ยากค่ะ

ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดสิว

เมื่อรู้ถึงกลไกและสาเหตุของการเกิดสิวไปแล้ว เราจะมาพูดกันถึงปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่ทำให้เราเป็นสิวมากขึ้นกันค่ะ

ฮอร์โมน

ในหลาย ๆ กรณี ปัญหาสิว เกิดจากความแปรปรวนของฮอร์โมนค่ะ ซึ่งฮอร์โมนตัวดีที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้ง่าย คือ ฮอร์โมนเอนโดรเจน (Androgens) หรือ เทสโทสเทอโรน (Testosterone) หรือ ที่เรียกกันว่า ฮอร์โมนเพศชาย นั่นเองค่ะ ฮอร์โมนตัวนี้มีผลทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังทำงานหนักขึ้น ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ส่งผลให้ผิวมัน และนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขน

ส่วนฮอร์โมนเพศหญิง หรือ เอสโตรเจน (Estrogen) จะเป็นฮอร์โมนที่ให้ผลตรงกันข้ามกับเทสโทสเทอโรน ค่ะ กล่าวคือ เอสโตรเจนทำให้ผิวมันน้อยลงนั่นเองค่ะ

สิวมักจะมาในช่วงนี้ระดับฮอร์โมนของเราแปรปรวน เช่น ช่วงก่อนมีประจำเดือน เนื่องจากเป็นช่วงที่ระดับเอสโตรเจนในร่างกายของเราต่ำ ส่งผลให้เทสโทสเทอโรนทำงานได้โดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง ผิวของเราจึงมีความมันมากขึ้นและเป็นสิวได้ง่ายขึ้นค่ะ

ความเครียด

ความเครียดทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวค่ะ สังเกตกันไหมคะว่า สิวมักจะมาในช่วงที่เราทำงานหนัก และไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ นั่นก็เป็นเพราะว่า ในช่วงเราเจอกับความเครียด ร่างกายของเราจะตอบสนองด้วยการปล่อย ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมากขึ้น โดยปกติแล้ว ระดับคอร์ติซอลในร่างกายของเราจะพีคที่สุดในตอนเช้า เพื่อทำหน้าที่เตรียมร่างกายให้พร้อมกับกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน แต่ความเครียดจะดึงระดับคอร์ติซอลให้สูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีผลทำให้ผิวมีความมัน เกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น และเป็นสิวง่ายขึ้นนั่นเองค่ะ

นอกจากนี้ ความเครียดที่สะสมยังมีผลทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ซึ่งเปิดช่องทางให้แบคทีเรีย P.acnes เติบโตได้ง่ายและไวขึ้นด้วยค่ะ

ปัจจัยทางพันธุกรรม

ปัจจัยทางพันธุกรรมที่เป็นสาเหตุใหญ่ของการเกิดสิวเช่นกันค่ะ ว่ากันง่าย ๆ ก็คือ ถ้าพ่อแม่ของเรามีประวัติเป็นสิว โอกาสที่เราจะเป็นสิวก็มีสูงค่ะ เนื่องจากพันธุกรรมเป็นมีผลต่อการทำงานของต่อมไขมัน ภูมิคุ้มกันบนผิวหนัง และกระบวนการอักเสบของผิวหนังค่ะ

ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้กับผิว

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิว เช่น เครื่องสำอาง ครีมกันแดด หรือมอยเจอร์ไรเซอร์ อาจทิ้งสารตกค้างและอุดตันรูขุมขนของเราได้ค่ะ ในทางกลับกัน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าบางชนิดก็สามารถทำให้ผิวระคายเคือง เซนซิทีฟ แห้ง ซึ่งนำไปสู่การเกิดสิวได้ค่ะ

อาหารที่รับประทาน

อาหารที่เราเลือกทานมีผลต่อสุขภาพผิวค่ะ โดยงานวิจัยจาก American Journal of Clinical Dermatology ในปี 2021 ระบุอย่างชัดเจนว่าอาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน และ คาร์โบไฮเดรตแปรรูป (Refined carbohydrates) สูง มีผลทำให้ผิวเป็นสิวง่ายขึ้น ซึ่งอาหารเหล่านี้ก็ได้แก่ ฟาสฟู้ด ของทอด และเครื่องดื่มหวาน ๆ ที่คนไทยชื่นชอบอย่าง ชานมไข่มุกค่ะ อาหารเหล่านี้มีส่วนทำให้ผิวมันและการเกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น และยังทำให้ผิวดูหมองคล้ำ ไม่สดใสด้วยค่ะ

เหงื่อไคล และเสื้อผ้าที่คับแน่น

เหงื่อไคล เครื่องประดับ และเสื้อผ้าที่คับแน่น คือตัวการสาเหตุของการเกิดสิวของบริเวณแผ่นหลังและลำคอค่ะ โดยสิวเกิดจากเสื้อผ้าที่คับจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง แถมยังระบายอากาศไม่ดี ส่งผลให้เหงื่อไม่ระเหยและกลายเป็นแหล่งรวมตัวของแบคทีเรียในที่สุดค่ะ

การไม่รักษาความสะอาดของร่างกายและข้าวของเครื่องใช้

อีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดสิวที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลย ก็คือ การไม่รักษาความสะอาดค่ะ นอกจากการอาบน้ำชำระร่างกาย และการเช็ดเครื่องสำอางออกให้หมดจดแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ที่สัมผัสกับผิวของเราอยู่ทุกวันก็ควรจะได้รับการดูแลทำความสะอาดด้วยค่ะ 

ของใช้ อย่าง ปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว และแปรงแต่งหน้า เป็นแหล่งรวบรวมสิ่งตกค้างและแบคทีเรียอย่างดี หากเราไม่ดูแลรักษาความสะอาด ของใช้เหล่านี้ก็อาจกลายเป็นตัวการที่ทำให้เรามีปัญหาสิวซ้ำแล้ว ซ้ำอีกได้ค่ะ

มลภาวะทางอากาศ

ฝุ่นควัน และมลภาวะทางอากาศเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดสิวที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปค่ะ มลภาวะทางอากาศนอกจากจะส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจ แล้วยังเป็นส่งผลทำให้ผิวของเราสูญเสียเกราะป้องกันตามธรรมชาติและเสียสมดุลด้วยค่ะ โดยงานวิจัยจาก International Journal of Women’s Dermatology ปี 2020 ระบุว่า มลภาวะทางอากาศมีอิทธิพลต่อการเกิดโรคสิว โรคผิวหนังอักเสบ (Atopic dermatitis) โรคสะเก็ดเงิน (Psoariasis) และผิวหมองคล้ำ (Hyerperpigmentation) ค่ะ

ฝุ่นควันเต็มไปด้วยสารอนุมูลอิสระที่ส่งผลทำให้เซลล์ผิวของเราเสื่อมสภาพเร็ว เมื่อผิวต้องเจอกับฝุ่นและมลภาวะนาน ๆ ก็จะทำให้ผิวแก่เร็ว เป็นสิวง่าย และหมองคล้ำไม่สดใสด้วยค่ะ

การใช้ยาบางชนิด

ในบางกรณี สาเหตุของการเกิดสิวก็มาจากการใช้ยาค่ะ โดยเฉพาะยากลุ่มสเตียรอยด์ และสเตียรอยด์ที่ใช้เพื่อการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ เนื่องจากสเตียรอยด์โดยสิวสเตียรอยด์มีผลทำให้: 1. ผิวของเราผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น 2. ภูมิคุ้มกันต่ำลง ส่งผลให้แบคทีเรียเจริญเติบโตบนผิวได้ง่ายขึ้น 3. ระดับฮอร์โมนในร่างกายมีความแปรปรวน ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว สิวสเตียรอยด์จะพบได้ที่บริเวณแผ่นหลังค่ะ

อย่างไรก็ดี หากเราเจอปัญหาสิวที่เกิดจากการใช้ยา หมอผึ้งแนะนำว่า อย่าหยุดใช้ยาเองค่ะ แต่ควรปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้ หรือแพทย์ผิวหนัง และควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งถึงยาที่ใช้ เพื่อจะได้วางแผนการรักษาตามความเหมาะสมค่ะ

ดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้เป็นสิว

เราเห็นแล้วว่า ปัจจัยและสาเหตุของการเกิดสิวมีอยู่หลายประการ แต่เราก็สามารถดูแลตัวเองเพื่อรักษาสุขภาพผิวให้แข็งแรง และลดโอกาสการเกิดสิวได้ตามวิธีต่อไปนี้ค่ะ

1. รักษาความสะอาด

การรักษาความสะอาดเป็นวิธีป้องกันและรักษาสิวเบื้องต้นที่หมอผิวหนังทุกคนแนะนำค่ะ สำหรับคนที่ใช้เครื่องสำอางเป็นประจำ อย่าลืมเช็ดเครื่องสำอางออกก่อนล้างหน้า หรืออาจจะใช้วิธี Double cleansing ก็ได้ค่ะ และที่สำคัญ อย่าลืมทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ โดยเฉพาะอุปกรณ์แต่งหน้า และผ้าเช็ดตัว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกและแบคทีเรียค่ะ

2. บำรุงและรักษาสมดุลให้ผิว

ผิวจะสุขภาพดีได้ ต้องอาศัยการบำรุงอย่างสม่ำเสมอค่ะ การบำรุงผิวขั้นพื้นฐานที่เราสามารถทำได้ในทุก ๆ วัน คือการทามอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อเก็บล็อกความชุ่มชื้นให้ผิวค่ะ เนื่องจากความชุ่มชื้นเป็นหัวใจสำคัญของเซลล์ผิวที่แข็งแรง และยังช่วยในเรื่องของกระบวนสมานแผลด้วยค่ะ

3. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิว

การเลือกใช้ครีมบำรุง ครีมกันแดด และเครื่องสำอางที่ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน (Non-comedogenic) จะสามารถช่วยลดการเกิดสิวได้ค่ะ สำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย อย่าลืมเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน เพื่อป้องกันการอักเสบ และระคายเคืองของผิวค่ะ

4. ลดอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง

เลือกทานอาหารที่มีวิตามินและไฟเบอร์สูง และลดอาหารจำพวกของหวาน ของทอด ฟาสฟู้ด และน้ำหวาน สามารถช่วยลดการอักเสบของผิว และลดโอกาสการเกิดสิวได้ดีค่ะ ทั้งนี้ไม่ได้แปลว่าเราไม่สามารถทานอาหารพวกนี้ได้เลย เพียงแต่เราสามารถลดปริมาณและความบ่อยในการทานลงได้ เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพผิวที่ดีขึ้นค่ะ

5. ไม่แกะ บีบ หรือกดสิวเอง และรักษาสิวอย่างถูกวิธี

เราอาจจะรู้สึกรำคาญเมื่อเห็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่ที่ทั้งแดงทั้งเจ็บ และอยากจะบีบออกให้จบ ๆ ไป หมอผึ้งขอย้ำเลยค่ะว่า การบีบสิวไม่ใช่วิธีรักษาที่ดีเลย เเพราะการบีบสิวจะทำให้การอักเสบ กระจายออกมายังผิวบริเวณรอบข้าง นำไปสู่การเกิดสิวใหม่มีการอักเสบที่รุนแรงกว่าเดิม และยังเป็นการทำร้ายผิวซึ่งอาจส่งผลให้เกิดเป็นแผลเป็นด้วยค่ะ

และสำหรับคนที่ชอบกดสิวเสี้ยน หรือกดสิวอุดตันออกเองที่บ้าน หมอขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงค่ะ เนื่องจากการกดสิวที่ไม่ถูกวิธีจะเป็นการทำร้ายผิวมากกว่าการรักษา และควรให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนทำดีกว่าค่ะ

และสำหรับคนที่มีปัญหาสิว เราสามารถรักษาเองได้ด้วยการใช้ยาแต้มสิว เช่น Benzyl peroxide, Salicylic acid, Tretinoin หรือ ยาปฏิชีวนะอย่าง Clindamycin ค่ะ ซึ่งยาเหล่านี้เราสามารถซื้อและขอคำแนะนำการใช้ได้จากเภสัชกร แต่หากเป็นการรักษาสิวด้วยยากิน หรือ หัตถการอื่น ๆ หมอขอแนะนำให้เข้ารับการรักษากับคลินิกที่ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้ค่ะ

ปัญหาสิว รักษาได้ที่ EY Clinic

หมอผึ้งหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้เข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดสิวมากขึ้น สำหรับคนที่มีปัญหาสิวเรื้อรัง รักษาไม่หายสักที ลองเข้ามาพูดคุยกับหมอได้ที่ EY Clinic ค่ะ เราเข้าใจถึงความท้อใจที่มาจากปัญหาผิวที่น่าหงุดหงิด คลินิกของเราจึงมุ่งมั่นที่ช่วยดูแลและมอบสุขภาพผิวที่ดีให้กับคุณค่ะ โดยโปรแกรมรักษาสิวที่ EY Clinic มีให้บริการมีดังนี้ค่ะ

  • Acne basic: ทรีตเมนต์กดสิว มาสก์หน้าและทรีตเมนต์บำรุงผิว เริ่มต้นที่ 999 บาท
  • Acne plus: ทรีตเมนต์กดสิว และ DermaLight IPL (ทั่วหน้า) เริ่มต้นที่ 1,799 บาท
  • Acne clearsure รวมทรีตเมนต์กดสิว เลเซอร์ AdvaTx (30 จุด) และ DermaLight IPL (ทั่วหน้า) เริ่มต้นที่ 2,599 บาท

ทั้งนี้ เราจะมีการวางแผนการรักษาให้เหมาะกับตัวคุณ โดยไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็น และมีการติดตามผลการรักษาเพื่อการันตีความพึงพอใจของคุณด้วยค่ะ

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย


เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ


อ้างอิงข้อมูล:

  • Arruda, S., Swearingen, A., Medrano, K., & Sadick, N. (2021). Subject satisfaction following treatment with nanofractional radiofrequency for the treatment and reduction of acne scarring and rhytids: A prospective study. Journal of Cosmetic Dermatology.  https://doi.org/10.1111/jocd.14455 

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

สาเหตุของการเกิดสิว: กลไก ปัจจัย และวิธีรักษา
Dr. Patnapa Vejanurug
May 28, 2024
ทำความรู้จัก สิวเป็นไต: สาเหตุ ลักษณะ และวิธีรักษา
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
ทำความรู้จัก สิวเป็นไต: สาเหตุ ลักษณะ และวิธีรักษา
มารู้จักกับสิวอักเสบที่มีความแข็งและเจ็บ ซึ่งสร้างความกวนใจให้กับเราค่ะ มาดูกันว่า สิวเป็นไต เกิดจากอะไร มีลักษณะเป็นอย่างไร และสามารถรักษาด้วยวิธีไหนได้บ้างในบทความนี้ค่ะ

มารู้จักกับสิวอักเสบที่มีความแข็งและเจ็บ ซึ่งสร้างความกวนใจให้กับเราค่ะ มาดูกันว่า สิวเป็นไต เกิดจากอะไร มีลักษณะเป็นอย่างไร และสามารถรักษาด้วยวิธีไหนได้บ้างในบทความนี้ค่ะ

สรุปสาระสำคัญ

  • สิวเป็นไต คือสิวอักเสบ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนใหญ่ ไม่มีหัวสิว มีความแข็งและเจ็บ
  • สิวเป็นไต เกิดจากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม ฮอร์โมน ความเครียด อาหารการกิน และความอับชื้น
  • สิวเป็นไต มักพบได้บริเวณ T-zone แต่ก็สามารถพบได้บริเวณอื่น เช่น คอ กราม และหลัง
  • สิวเป็นไต ดูแลรักษาได้เหมือนสิวชนิดอื่น ๆ วิธีการรักษา ได้แก่ การใช้ยาแต้มสิว การทานยา การฉีดสิว และเลเซอร์ AdvaTx

สิวเป็นไต (Nodular acne) คืออะไร

สิวเป็นไต คือ สิวอักเสบ (Inflammatory acne) ชนิดหนึ่งค่ะ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนใหญ่ ไม่มีหัวสิว มีความแข็ง เราจึงเรียกมันว่า สิวไต มีการอักเสบรุนแรง ซึ่งอาจจะความคล้ายคลึงกับสิวหัวช้าง แต่สิวหัวช้างจะมีขนาดใหญ่กว่า และมีการอักเสบที่เรื้อรังและรุนแรงกว่าสิวเป็นไตค่ะ

สิวเป็นไต หรือ Nodule ก็ยังคล้ายคลึงกับสิวตุ่มนูนแดงแบบ Papule ค่ะ ความแตกต่างจะอยู่ตรงที่ สิวเป็นไตจะเม็ดใหญ่กว่า และมีฐานการอักเสบที่ลงลึกกว่าสิวแบบ Papule ด้วยค่ะ

สิวเป็นไต เกิดจากอะไร

การกลไกเกิดสิวเป็นไต ก็ไม่ต่างกับการเกิดสิวอักเสบประเภทอื่น ๆ ค่ะ กล่าวคือ สิวเป็นไตเกิดจากรูขุมขนที่อุดตันไปด้วย เศษขน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว ไขมัน และสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่ตกค้างอยู่บนผิว สร้างสภาพแวดล้อมที่แบคทีเรีย P.acnes ชื่นชอบ เมื่อแบคทีเรียเข้ามาสะสม รูขุมขนและผิวหนังรอบข้างจึงเกิดการอักเสบ และเกิดเป็นสิวในที่สุดค่ะ

ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดสิวเป็นไต มีดังนี้ค่ะ

พันธุกรรม

พันธุกรรมมีผลต่อการเกิดสิวอุดตัน สิวเป็นไต และสิวอักเสบประเภทอื่น ๆ ค่ะ เนื่องจากพันธุกรรมเป็นตัวกำหนดการทำงานของหลายกระบวนการในร่างกาย เช่น

  • การผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง (Sebum production)
  • การอักเสบของผิว (Inflammatory response)
  • การผลิตเคราติน (Keratinization)
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

ซึ่งปัจจัยทางพันธุกรรมทำให้หลาย ๆ คนเป็นสิวได้ง่ายกว่าคนอื่นค่ะ

เกร็ดความรู้: เคราติน (Keratin) คือเส้นใยโปรตีนที่พบได้บนผิวชั้นหนังกำพร้า ทำหน้าที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นต่อผิวชั้นนอก ซึ่งการสะสมของเคราตินก็จะนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขนและเกิดเป็นสิวในที่สุดค่ะ

ฮอร์โมน

หากสังเกตดี ๆ เราจะพบว่าหลายครั้งสิวเป็นไตหรือสิวอักเสบอื่น ๆ จะมาในช่วงที่ฮอร์โมนมีความแปรปรวนค่ะ เช่น ช่วง 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือนค่ะ ซึ่งฮอร์โมนหลัก ๆ ในร่างกายของที่ส่วนเกี่ยวข้องกับสิว คือ เอสโตรเจน (Estrogen) และ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) โดยระดับเทสโทสเทอโรนที่สูงจะทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมาจากรูขุมขนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดเป็นสิวได้ง่ายขึ้น ในขณะที่เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการผลิตน้ำมัน ทำให้โอกาสการเกิดสิวน้อยลงค่ะ

นอกจากฮอร์โมน 2 ตัวนี้แล้ว ก็ยังมี คอร์ติซอล (Cortisol) ฮอร์โมนแห่งความเครียดมีผลต่อการเกิดสิวด้วยค่ะ

ความเครียด และการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ

เมื่อเรามีความเครียดและเมื่อร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ในร่างกายสูงขึ้นค่ะ ระดับคอร์ติซอลที่สูงทำให้รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมาเยอะ ประกอบกับภูมิคุ้มกันที่ต่ำลงเนื่องจากร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนเพียงพอ ส่งผลให้เกิดเป็นสิวได้ง่ายขึ้นค่ะ

เหงื่อและสิ่งสกปรก

เหงื่อและสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิวเป็นตัวการหลักของการเกิดสิวเลยค่ะ การที่เราไม่รักษาความสะอาด ย่อมทำให้เกิดการสะสมของคราบเหงื่อไคล เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรกต่าง ๆ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสของการอุดตันรูขุมขนและการเจริญเติบโตของแบคทีเรียค่ะ

การทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง

อาหารที่มีไขมันสูงย่อมทำให้ผิวของเราผลิตน้ำมันเยอะไปด้วย และอาหารที่มีน้ำตาลสูงก็ยังจะทำให้ผิวอักเสบได้ง่ายค่ะ การทานของทอด ของมัน และของหวาน รวมไปถึงน้ำหวาน เป็นประจำจึงมีส่วนทำให้ผิวเป็นสิวได้ง่ายขึ้นค่ะ

การใช้ยาสเตียรอยด์

ยาในกลุ่มของสเตียรอยด์ มีส่วนทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้นค่ะ เนื่องจากสเตียรอยด์ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันในร่างกาย ส่งผลให้แบคทีเรีย P.acnes เติบโตได้ง่ายและรวดเร็วค่ะ

บริเวณที่มักเกิดสิวเป็นไต

จริงอยู่ที่ สิวเป็นไตมักเกิดในบริเวณ T-zone เมื่อเทียบกับส่วนอื่นของใบหน้า แต่จริง ๆ แล้วสิวเป็นไตสามารถเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ หากมีการอุดตันและอักเสบของรูขุมขนค่ะ

บริเวณ T-zone

สิวเป็นไตที่หน้าผาก: หน้าผากเป็นบริเวณที่มีความมันมาก เหมือนกับจมูก และยังเป็นส่วนที่ใกล้กับเส้นผม ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กับผมอาจทำให้ผิวบริเวณหน้าผากระคายเคืองหรือทำให้เกิดการอุดตันได้ค่ะ

สิวเป็นไตบริเวณจมูก: จมูกเป็นบริเวณที่เกิดสิวง่าย เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีต่อมน้ำมันจำนวนมาก

สิวเป็นไตที่คาง: เป็นอีกส่วนหนึ่งของใบหน้าที่มีความมันมาก และยังเป็นบริเวณที่สิวฮอร์โมนขึ้นบ่อย

บริเวณนอก T-zone

สิวเป็นไตที่คอ: สิวเป็นไตที่คอมักเกิดจากความอับชื้น การใส่เครื่องประดับที่ทำให้ผิวระคายเคือง และสิ่งตกค้างที่มากับเส้นผมที่สัมผัสกับลำคอค่ะ

สิวเป็นไตที่กราม และใต้คาง: สิวไตบริเวณนี้มักเกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะในสาว ๆ วัยทำงานค่ะ

สิวเป็นไตที่หลัง: สิวเป็นไตที่หลัง ส่วนใหญ่เกิดจากเหงื่อและสิ่งสกปรก การอาบน้ำที่ไม่ทั่วถึง และ การใส่เสื้อผ้าที่ไม่ระบายอากาศ อีกทั้งหลังยังเป็นพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดสิวเยอะที่สุดเมื่อมีการใช้ยาสเตียรอยด์ด้วยค่ะ

สิวเป็นไต รักษาอย่างไร

สิวเป็นไตรักษาได้เหมือนสิวอักเสบชนิดอื่น ๆ ค่ะ โดยวิธีการรักษาได้แก่ การใช้ยาทาแต้มสิวหรือยากิน การฉีดสิว และรักษาด้วยเลเซอร์ค่ะ

การใช้ยาทาแต้มสิวหรือยากิน

ยาแต้มรักษาสิวเป็นไตที่ใช้ได้จะมีอยู่ 3 ตัวหลัก ๆ ได้แก่ Benzoyl peroxide, Salicylic acid, และ ยาปฏิชีวนะ (antibiotic) อย่าง Clindamycin ค่ะ

  • Benzoyl Peroxide เป็นตัวยาที่ใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ช่วยรักษาสิวอักเสบและป้องกันการเกิดสิวใหม่
  • Salicylic acid มีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวและควบคุมการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันใต้รูขุมขน ช่วยแก้ปัญหาทั้งสิวฮอร์โมนแบบสิวอุดตันและสิวอักเสบ
  • Clindamycin ออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนังค่ะ

ยาทาแต้มสิวเหล่านี้สามารถซื้อได้ที่ร้านขายยาทั่วไปโดยไม่ต้องมีใบสั่งค่ะ แต่ควรปรึกษาวิธีการใช้จากเภสัชกรก่อนใช้ และมีการบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์อยู่เสมอค่ะ

ส่วนยากิน จะใช้ก็ต่อกับคนที่มีโรคสิวรุนแรง หรือรักษาด้วยยาแต้มแล้วอาการไม่ดีขึ้นค่ะ โดยตัวยาที่มักใช้ในการรักษาสิวได้แก่ ยาปฏิชีวนะอย่าง Doxycycline และยาอนุพันธ์วิตามินเอ อย่าง Isotretinoin ค่ะ

  • Doxycycline ยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนัง
  • Isotretinoin บล็อกการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ผิวหนังมีความมันน้อยลง และลดการผลิตเคราติน

ถึงแม้เราจะรู้จักตัวยาแล้ว หมอก็ไม่แนะนำให้เราซื้อยามาทานเองค่ะ เพราะยากินเพื่อรักษาสิวมักมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ค่ะ ฉะนั้น เพื่อความปลอดภัยและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เราควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ยาทุกครั้งค่ะ

การฉีดสิว

การฉีดสิวเป็นการรักษาสิวเป็นไตที่มีประสิทธิภาพและให้ผลได้ค่อนข้างไวค่ะ โดยตัวยาที่ใช้มักจะเป็น Triamcinolone ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบ ลดอาการบวมและเจ็บปวดของสิว การฉีดสิวสามารถช่วยให้สิวยุบได้ภายใน 8 ชั่วโมง เหมาะสมสำหรับคนที่มีสิวเป็นไตที่ใหญ่และเจ็บมาก ๆ แต่จะไม่เหมาะกับคนที่มีสิวจำนวนมากค่ะ

รักษาด้วยเลเซอร์ ADVATX

เลเซอร์ AdvaTx หรือ AdvaLight เป็นหัตถการทางเลือกที่ให้ช่วยแก้ปํญหาได้มากกว่าอาการสิวเป็นไตค่ะ โดย FDA และ CE ได้รับรองชัดเจนว่า เลเซอร์ AdvaTx สามารถใช้รักษาโรคสิว (Acne Vulgaris) ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง และยังสามารถแก้ปัญหาผิวได้อีกมากกว่า 25 ปัญหาค่ะ

หลักการทำงานของเลเซอร์ในการรักษาสิวก็ง่ายๆ ค่ะ คือ พลังงานจากเลเซอร์จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ซึ่งเป็นตัวการให้เกิดสิวอักเสบ และช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ผลิตน้ำมันได้น้อยลงค่ะ

Advatx เป็นเลเซอร์แบบ Dual-wavelength ซึ่งทำงานที่สองความยาวคลื่น โดยจะประกอบได้ด้วย

  • แสงสีเหลือง (Yellow light) ที่ความยาวคลื่น 589 นาโนเมตร มีประสิทธิภาพสูงในการแก้ปัญหาโรคสิว ริ้วรอยรอบปากและริ้วรอยรอบดวงตา
  • อินฟราเรด (Infrared) ที่ความยาวคลื่น 1319 นาโนเมตร มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาสิวอักเสบ ช่วยลบเลือนริ้วรอยร่องลึก และช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นค่ะ

สิวเป็นไต รักษาได้ที่ EY Clinic

ไม่ว่าจะเป็นคุณจะมีปัญหาสิวเป็นไต สิวหัวช้าง หรือปัญหาผิวแบบไหน หมอเชื่อค่ะว่า มีการรักษาที่ดีที่สุด คือการรักษาที่เหมาะกับคุณที่สุด ที่ EY Clinic เราให้ความสำคัญกับสุภาพผิวของแต่ละบุคคลอย่างเคร่งครัด มีการวางแผนการรักษาเพื่อให้มั่นใจว่าจะเป็นแผนที่เหมาะกับงบประมาณและไลฟ์สไตล์ของคุณ และยังมีการติดตามผลเพื่อการันตีความพึงพอใจของคุณค่ะ โดยแพ็กเกจการรักษาสิวที่ EY Clinic มีดังนี้ค่ะ

  • Acne basic: ทรีตเมนต์กดสิว มาสก์หน้าและทรีตเมนต์บำรุงผิว เริ่มต้นที่ 999 บาท
  • Acne plus: ทรีตเมนต์กดสิว และ DermaLight IPL (ทั่วหน้า) เริ่มต้นที่ 1,799 บาท
  • Acne clearsure รวมทรีตเมนต์กดสิว เลเซอร์ AdvaTx (30 จุด) และ DermaLight IPL (ทั่วหน้า) 2,599 บาท

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ

ตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาสิวเป็นไต

สิวเป็นไต หายเองได้มั้ย

สิวเป็นไต สามารถหายเองได้ค่ะ แต่อาจจะใช้เวลามากถึง 2-4 สัปดาห์ และมักจะมีอาการเจ็บเมื่อถูกสัมผัส ซึ่งเป็นอะไรที่กวนใจเราไม่น้อย นอกจากนี้ หากปล่อยสิวเป็นไต ให้หายเอง ก็อาจทำให้เกิดเป็นแผลเป็น เช่น รอยดำจากสิว หรือหลุมสิวด้วยค่ะ

สิวเป็นไต ทำไมไม่มีหัว

สิวเป็นไต ไม่มีหัว เนื่องจากสิวที่มีฐานการอักเสบอยู่ลึก และร่างกายของเราก็ตอบสนองด้วยการสร้างถุงซีสต์เล็ก ๆ ขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียไม่กระจายตัว ถุงซีสต์เมื่ออยู่ลึกลงไปใต้ชั้นผิว จึงไม่มีหัวเปิดให้เห็นบนชั้นหนังกำพร้าค่ะ

สิวเป็นไต ไม่มีหัวบีบได้มั้ย

เช่นเดียวกับสิวชนิดอื่น ๆ สิวเป็นไต ไม่ควรบีบค่ะ เพราะอาจทำให้การอักเสบของสิวรุนแรงยิ่งขึ้น และ ทำให้เกิดเป็นรอยหลุมสิวได้ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

ทำความรู้จัก สิวเป็นไต: สาเหตุ ลักษณะ และวิธีรักษา
Dr. Patnapa Vejanurug
May 26, 2024
ตอบคำถาม สิวหิน เกิดจากอะไร และรักษาได้ยังไงบ้าง
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
ตอบคำถาม สิวหิน เกิดจากอะไร และรักษาได้ยังไงบ้าง
หลาย ๆ คน เวลาส่องกระจกใกล้ ๆ อาจจะพบว่า ตัวเองมีตุ่มเม็ดเล็ก ๆ หรือ “สิวหิน” อยู่บริเวณใต้ตา แต่ถึงจะมีลักษณะคล้ายสิว สิวหินก็ไม่ใช่สิวค่ะ ใบบทความนี้ เราจะได้เรียนรู้กันว่า สิวหิน คืออะไร, สิวหิน เกิดจากอะไร, สิวหิเคราตินที่กระจุกตัวกันอยู่ในรูขุมขน

หลาย ๆ คน เวลาส่องกระจกใกล้ ๆ อาจจะพบว่า ตัวเองมีตุ่มเม็ดเล็ก ๆ หรือ “สิวหิน” อยู่บริเวณใต้ตา แต่ถึงจะมีลักษณะคล้ายสิว สิวหินก็ไม่ใช่สิวค่ะ ใบบทความนี้ เราจะได้เรียนรู้กันว่า สิวหิน คืออะไร, สิวหิน เกิดจากอะไร, สิวหิเคราตินที่กระจุกตัวกันอยู่ในรูขุมขน

  • สิวข้าวสารและสิวหิน รักษาได้หลายวิธี โดยวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยม ได้แก่ เลเซอร์ CO2, Cryotherapy, Electrotherapy และ Chemical Peeling 
  • การดูแลบำรุงผิวให้แข็งแรง สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดสิวหินและสิวข้าวสารได้

สิวหิน (Syringoma) คืออะไร

สิวหิน (Syringoma) คือ เนื้องอกที่มาจากต่อมเหงื่อ มีลักษณะเหมือนสิวเม็ดเล็ก ๆ ขนาด 2 - 4 มิลลิเมตร มักเกิดที่บริเวณเปลือกตาด้านล่าง รอบดวงตา และ แก้ม ซึ่งจะพบในผู้หญิงบ่อยกว่าผู้ชายค่ะ พอได้ยินคำว่า เนื้องอก เราก็อาจจะกังวล แต่หมอขอบอกเลยว่า สิวหิน คือ เนื้องอกของต่อมเหงื่อที่ไม่อันตราย (Benign neoplasm) และไม่มีผลใด ๆ ต่อการทำงานของต่อมเหงื่อหรือส่วนอื่นของร่างกายค่ะ

สิวหิน เกิดจากอะไร

สิวหิน เกิดจากการที่ต่อมเหงื่อของเราผลิตเซลล์ออกมามากเกินจำเป็น ก่อให้เกิดเป็นก้อนเนื้อเล็ก ๆ ที่รูปร่างคล้ายสิว ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวหิน ได้แก่ เปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อายุ และปัจจัยทางพันธุกรรม ค่ะ โดยสิวหินมักจะเกิดครั้งแรกในช่วงที่เข้าวัยเจริญพันธุ์ (Puberty) และอาจเพิ่มจำนวนขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งนอกจากบริเวณใบหน้าแล้ว ก็ยังสามารถเกิดที่บริเวณอื่นของร่างกาย เช่น หน้าอก หน้าท้อง หรือรักแร้ ได้ด้วยค่ะ

สิวหิน เหมือน สิวข้าวสาร หรือไม่

ได้เข้าใจกันไปแล้วว่า สิวหิน เกิดจากอะไร เรามาทำความรู้จักกับ “สิวข้าวสาร” ที่มีลักษณะคล้าย ๆ กัน และมักเกิดในบริเวณเดียวกันค่ะ 

สิวข้าวสาร (Milia) คือเส้นใยเคราตินกับเซลล์ที่ตายแล้วที่กระจุกตัวกันอยู่ในรูขุมขน มีลักษณะเป็นเม็ดสีขาวขุ่นคล้ายกับเม็ดข้าวสาร ในขณะที่สิวหินคือเซลล์จากต่อมเหงื่อที่ร่างกายผลิตออกมามากเกินไป แต่สิวทั้งสองชนิดนี้มักพบได้มากบริเวณรอบดวงตา แก้ม และเปลือกตา หลาย ๆ คนจึงอาจจะเข้าใจวว่าสิวหินและสิวข้าวสารคือสิวชนิดเดียวกันค่ะ

สิวข้าวสาร เกิดจากอะไร

เราสามารถแบ่งสิวข้าวสารได้เป็น 2 ชนิด ตามสาเหตุของการเกิดสิวค่ะ

สิวข้าวสารชนิดปฐมภูมิ (Primary milia)

สิวข้าวสารชนิดปฐมภูมิ คือ สิวข้าวสารที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีตัวกระตุ้น พบได้ในบริเวณเปลือกตา หน้าผาก ข้างจมูก หรือแม้แต่อวัยวะเพศค่ะ สิวข้าวสารแบบนี้เกิดขึ้นเองและมักจะหายไปเองเมื่อเวลาผ่านไปค่ะ ตัวอย่างของสิวข้าวสารปฐมภูมิ ได้แก่

  • สิวข้าวสารในเด็กเล็ก (Congenital milia) เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งพบในเด็กแรกเกิดหรือในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังคลอด
  • สิวข้าวสารในวัยหนุ่มสาว (Primary milia in young adults) เป็นสิวอีกชนิดที่พบได้ค่อนข้างบ่อย และมักเกิดในหนุ่มสาววัยรุ่น และวัยทำงาน ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่า ความเครียด ฮอร์โมน และการใช้เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงบางประเภทอาจส่งผลทำให้เกิดสิวข้าวสารประเภทนี้ค่ะ
  • สิวข้าวสารแบนราบ (Milia en plaque) เป็นสิวข้าวสารพบได้ยาก และมีลักษณะเฉพาะตัว คือเป็นสิวข้าวสารที่รวมตัวกันเป็นกระจุก มีฐานรูปร่างแบนที่นูนขึ้นจากระนาบผิวหนังเล็กน้อย มักพบบริเวณเปลือกตาและแก้ม โดยสิวข้าวสารแบบแบนราบจะมีความเกี่ยวข้องกับโรคทางพันธุกรรมและโรคแพ้ภูมิตัวเอง (autoimmune disease) ที่แสดงออกทางผิวหนังค่ะ

สิวข้าวสารชนิดทุติยภูมิ (Secondary milia) 

สิวข้าวสารชนิดทุติยภูมิ คือ สิวข้าวสารที่เกิดจากการใช้ยา โรคต่าง ๆ หรือเกิดหลังผิวถูกทำร้าย เช่น การเผาไหม้จากแสงแดด อาการแพ้ หรืออาการระคายเคืองจากทรีตเมนต์อย่าง การกรอหน้า (Dermabrasion) 

สิวข้าวสาร สิวหิน รักษาอย่างไร

เมื่อเข้าใจแล้วว่า สิวข้าวสาร และสิวหินเกิดจากอะไร เรามาดูวิธีรักษาสิวเหล่านี้กันค่ะ

ถึงแม้สิวหินและสิวข้าวสาร จะไม่มีการอักเสบ อุดตัน หรือติดเชื้อ แต่มันก็เป็นปัญหาที่อาจจะทำให้หลายคนหมดความมั่นใจได้ค่ะ ซึ่งวิธีรักษาสิวหินและสิวข้าวสารที่เราจะกล่าวถึง ได้แก่ เลเซอร์ CO2, Cryotherapy, Electrotherapy และ Chemical Peeling ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมสูงค่ะ

เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 Laser)

ทั้งสิวข้าวสารและสิวหิน รักษาได้ด้วยเลเซอร์ CO2 ค่ะ ซึ่งเลเซอร์ชนิดนี้จะใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในส่งผ่านแสงอินฟราเรด (Infrared) เข้มข้น ซึ่งจะถูกดูดซับโดยน้ำในเซลล์ผิวค่ะ เลเซอร์ CO2 ทำงานผ่านกลไก 3 ตัวนี้ค่ะ

  1. Ablation: แสงอินฟราเรดเข้มข้นจากเลเซอร์ CO2 มีความสามารถผลัดเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้าซึ่งช่วยกำจัดสิวข้าวสารและสิวหินที่อยู่ในผิวชั้นนั้นไปด้วย
  2. Vaporization: ความร้อนจากแสงอินฟราเรดช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ ที่เกลี้ยงและกระชับ
  3. Coagulation: เลเซอร์ CO2 มีสรรพคุณในการช่วยให้เลือดตัว ซึ่งทำให้สามารถกำจัดสิวหินและสิวข้าวสารได้โดยไม่มีเลือดไหล

รักษาด้วยความเย็น (Cryotherapy)

สิวข้าวสารและสิวหิน รักษาได้ด้วยการจี้ไอเย็นหรือ Cryotherapy ค่ะ วิธีการก็คือ แพทย์จะใช้ไอเย็นจากไนโตรเจนเหลวจี้ไปที่สิวหินหรือสิวข้าวสาร ทำให้เซลล์บริเวณนั้นตายและหลุดออกจากผิวในที่สุดค่ะ หลังจากนั้นร่างกายของเราก็จะเข้าสู่กระบวนการสมานแผลค่ะ

Cryotherapy เป็นวิธีที่แพทย์ผิวหนังใช้ในกำจัดเนื้องอก หูด และติ่งเนื้อ ซึ่งทำได้ง่าย ความเสี่ยงต่ำ และใช้เวลาไม่นานค่ะ แต่อาจต้องทำมากกว่า 1 ครั้ง และยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผลเป็น

จี้ด้วยไฟฟ้า (Electrosurgery)

การจี้ด้วยไฟฟ้าเป็นอีกวิธีรักษาสิวหินและสิวข้าวสารที่ทำได้ง่ายและรวดเร็วค่ะ โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าความถี่สูง จี้ไปยังจุดที่ต่างการรักษา ซึ่งกระแสไฟฟ้าก็จะสามารถตัดสิวหินและสิวข้าวสารออกได้อย่างง่ายดายค่ะ

รักษาด้วยการลอกผิวด้วยกรด TCA (Chemical Peeling)

การลอกผิวด้วยกรด TCA นอกจากจะช่วยรักษาหลุมสิว ปรับสิวผิว และช่วยลบเลือนริ้วรอยแล้ว ยังสามารถกำจัดสิวข้าวสารและสิวหินได้ด้วยค่ะ โดยกรด TCA (Trichloro-acetic acid) โดดเด่นในเรื่องของสรรพคุณการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งจะลอกผิวชั้นหนังกำพร้า รวมถึงสิวหินออกได้ นอกจากนี้กรด TCA ยังมีสรรพคุณเรื่องการลดสิ่งอุดตัน ช่วยสลายกระจุกเคราตินที่ทำให้เกิดเป็นสิวข้าวสารได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

สิวข้าวสาร สิวหิน รักษาด้วยการผ่าตัด (Surgical excision) ได้ไหม

การผ่าตัดมักเป็นวิธีสุดท้ายที่แพทย์จะเลือกในการกำจัดสิวหินหรือสิวข้าวสารค่ะ เนื่องจากเป็นวิธีที่ใช้เวลานาน เสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และเสี่ยงต่อการเกิดสิวหินหรือสิวข้าวสารซ้ำค่ะ นอกจากนี้บริเวณที่มักเกิดสิวหินและสิวข้าวสาร ยังเป็นบริเวณที่บอบบาง เช่น เปลือกตา หรือใต้ตา ทำให้การผ่าตัดเป็นวิธีที่แพทย์จะใช้ต่อไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นได้เท่านั้นค่ะ

สิวข้าวสาร สิวหิน รักษาด้วยการยาแต้มได้ไหม

การแต้มยาที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids) มีรายงานว่ามีการนำมาใช้รักษาสิวข้าวสารและสิวหิน แต่ได้ผลในบางเคส และได้ผลช้า จึงไม่แนะนำการรักษาด้วยวิธีนี้ 

วิธีดูแลผิวไม่ให้เกิดสิวข้าวสาร และสิวหิน

หมอต้องขอบอกก่อนค่ะว่า สิวข้าวสารและสิวหินที่รักษาไปแล้ว มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นอีกได้ การดูแลผิวให้มีสุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดสิวเหล่านี้ค่ะ

  1. ทำความสะอาด และบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ - การดูแลผิวอย่างเสมอจะช่วยให้รากฐานของผิวแข็งแรงค่ะ โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่เหมาะกับสภาพผิว และใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA หรือ BHA เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และลดโอกาสของการเกิดสิวข้าวสารค่ะ
  2. สครับผิวบ้าง 1 ครั้งต่อสัปดาห์ - การสครับผิวเป็นการช่วยผลัดเซลล์ผิว และขจัดสิ่งตกค้าง ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวข้าวสารได้ค่ะ แต่ควรเลือกใช้สครับที่อ่อนโยนนะคะ
  3. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหากมีสิวหินหรือสิวข้าวสารเกิดขึ้นเยอะ - สำหรับคนที่มีสิวหิน หรือสิวข้าวสารเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความกังวล หมอขอแนะนำว่า อย่าพยายามกดหรือสิวเหล่านี้เองที่บ้าน และปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อหาสาเหตและวิธีการรักษาที่ถูกต้องดีกว่าค่ะ

รักษาสิวหิน สิวข้าวสาร และปัญหาผิวรอบด้านที่ EY Clinic

หมอหวังว่าบทความนี้จะช่วยอธิบายให้ความรู้กับคุณเกี่ยวกับสิวหิน และสิวข้าวสารได้ไม่มากก็น้อยนะคะ และหากคุณมีปัญหาสิวหิน สิวข้าวสาร หรือ ไม่แน่ใจว่าสิวที่เป็นอยู่เกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่ สามารถเข้ามาพูดคุยปรึกษาหมอได้ที่ EY Clinic ค่ะ

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย

เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

อ้างอิงข้อมูล

ตอบคำถาม สิวหิน เกิดจากอะไร และรักษาได้ยังไงบ้าง
Dr. Patnapa Vejanurug
May 21, 2024
ตอบคำถามคาใจ สิวสเตียรอยด์ คืออะไร รักษายังไง
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
ตอบคำถามคาใจ สิวสเตียรอยด์ คืออะไร รักษายังไง
ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับปัญหาสิวไม่เหมือนโรคสิวธรรมดาค่ะ มาดูกันว่า สิวสเตียรอยด์ คืออะไร มีกลไกการเกิดแบบไหน และรักษาได้อย่างไงบ้างค่ะ

ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับปัญหาสิวไม่เหมือนโรคสิวธรรมดาค่ะ มาดูกันว่า สิวสเตียรอยด์ คืออะไร มีกลไกการเกิดแบบไหน และรักษาได้อย่างไงบ้างค่ะ

สรุปสาระสำคัญ

  • สิวสเตียรอยด์ คือ สิวที่เกิดจากการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ ขึ้นความแรงของตัวยา ปริมาณยาที่ใช้ ระยะเวลาในการใช้ยา และร่างกายของแต่ละบุคคลค่ะ
  • สิวสเตียรอยด์มีลักษณะคล้ายโรคสิว แต่มีความแตกต่างชัดเจนที่สิวสเตียรอยด์สามารถเกิดได้กับคนทุกวัยหากมีการใช้ยาสเตียรอยด์ ในขณะที่โรคสิวมักจะเกิดขึ้นในกลุ่มอายุ 12-24 ปี
  • สิวสเตียรอยด์ สามารถรักษาได้ด้วยการแต้มยา การทานยา 

สิวสเตียรอยด์ คืออะไร

สิวสเตียรอยด์ คือ โรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Steroids หรือ Corticosteroids) ค่ะ ซึ่งกลุ่มยา Corticosteriods มีสรรพคุณในการลดการอักเสบได้ดี และมักถูกใช้เพื่อบรรเทาอาการของโรคหลายชนิด เช่น โรคหอบหืด (Asthma) โรคผื่นภูมิแพ้แบบเอคซิม่า (Eczema) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) และ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease หรือ IBD)

ยากลุ่ม Steroid ยังมีสรรพคุณในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ (หรือที่เรียกว่า Anabolic Steroid) โดยพบว่านักกีฬาและนักเพาะกายที่มีการใช้ยากลุ่มนี้ยังต่อเนื่องจะมีสิวขึ้นบริเวณคอแผ่นหลังเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังอยู่ในรูปแบบยาทาหรือโลชั่นสำหรับรักษาโรคผิวหนังหรือลดอาการแพ้ด้วยค่ะ

ซึ่งการเกิดสิวสเตียรอยด์ย่อมขึ้นความแรงของตัวยา ปริมาณยาที่ใช้ เวลาในการใช้ยา และร่างกายของแต่ละบุคคลค่ะ

เกร็ดความรู้: ศัพท์เฉพาะทางที่เอาไว้เรียกสิวสเตียรอยด์ คือ Acnefiform Eruptions และสิวสเตียรอยด์ไม่นับเป็นโรคสิว หรือ Acne Vulgaris ค่ะ

สิวสเตียรอยด์ เป็นอย่างไร

สิวสเตียรอยด์มีลักษณะคล้ายสิวอักเสบ ประกอบได้ด้วย สิวตุ่มนูนแดง (Papule) สิวหัวหนอง (Pustule) และสิวไต (Nodule) ค่ะ ซึ่งสิวสเตียรอยด์มักจะขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่เหมือนผื่น และมักจะขึ้นบริเวณแผ่นหลัง ท้ายทอย แขนและหน้าอกค่ะ

สิวสเตียรอยด์ไม่นับเป็นโรคสิว (Acne Vulgaris) ค่ะ ความแตกต่างระหว่างโรคสิวกับสิวสเตียรอยด์ คือลักษณะของสิวสเตียรอยด์ที่จะประกอบด้วย สิวอักเสบ ตุ่มแดง แต่มักจะไม่มีสิวอุดตันอย่างสิวหัวขาวและสิวหัวดำ และสิวสเตียรอยด์ยังพบได้ในคนทุกวัยหากมีการเริ่มใช้สเตียรอยด์ ในขณะที่โรคสิวมักพบในกลุ่มอายุ กลุ่มอายุ 12-24 ปีค่ะ

สิวสเตียรอยด์ เกิดขึ้นได้อย่างไร

อย่างได้กล่าวไปค่ะ ว่า สิวสเตียรอยด์คือสิวที่เกิดจากการใช้ยา แต่คำถามที่สำคัญก็คือ ยาสเตียรอยด์ทำให้เกิดสิวได้อย่างไร

ยาสเตียรอยด์มีผลทำให้เราเป็นสิวได้ง่ายขึ้นผ่าน 3 กลไกนี้ค่ะ

สเตียรอยด์ทำให้ผิวมันมากขึ้น

ยาสเตียรอยด์มีผลทำให้ต่อมน้ำมันในรูขุมขน (Sebaceous gland) ผลิตน้ำมัน (Sebum) ออกมากขึ้น ส่งผลทำให้รูขุมขนอุดตันได้ง่าย และกลายเป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรกและแบคทีเรียในที่สุดค่ะ

สเตียรอยด์ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง

สเตียรอยด์ลดการอักเสบได้ดี แต่ก็ลดความสามารถของภูมิคุ้มของเราไปด้วย ทำให้แบคทีเรีย P.acnes และ เชื้อรา Malessezia furfur (เดิมเคยใช้ชื่อว่า Pityrosporum ovale) สามารถเติบโตบนผิวหนังของเราได้ง่ายและไวขึ้น ซึ่งนำไปสู่เกิดการสิวในที่สุดค่ะ

สเตียรอยด์ทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน

ยาสเตียรอยด์บางกลุ่มมีผลทำให้ฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายของเราแปรปรวน ทั้งฮอร์โมนเพศชาย และเพศหญิง ทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้นค่ะ

สิวสเตียรอยด์ (Steroid acne) vs ผื่นติดสาร (Steroid rosacea)

เราอาจจะได้ยินคำว่าผื่นติดสาร หรือ ผื่นสเตียรอยด์ มาบ้างนะคะ ซึ่งอันที่จริงแล้วผื่นติดสาร ก็คือ ปัญหาผิวที่เกิดจากการใช้สเตียรอยด์เช่นกัน แต่เกิดจากยาสเตียรอยด์ประเภทใช้ภายนอก กล่าวคือ เป็นสเตียรอยด์เกิดจากการใช้ครีม เจล หรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ค่ะ ซึ่งมีความแตกต่างกับสิวสเตียรอยด์ที่เกิดได้ทั้งจากการกินยา ทายาหรือฉีดยาสเตียรอยด์ ค่ะ

สิวจากการใช้ยาสเตียรอยด์ หรือ Steroid acne

สิวสเตียรอยด์ประเภทนี้มักจะขึ้นบริเวณแผ่นหลัง ท้ายทอย แขน และหน้าอก

ลักษณะของสิวสเตียรอยด์

  • มีลักษณะเหมือนโรคสิวที่เต็มไปด้วยสิวตุ่มนูนแดง สิวหัวหนอง 
  • มักจะไม่มีสิวอุดตัน
  • เกิดขึ้นได้ในทุกเพศ ทุกวัย

ผื่นจากการใช้ยาสเตียรอยด์ประเภทใช้ภายนอก หรือ Steroid rosacea

Steroid rosacea หรือที่บางคนอาจจะเรียกว่า “ผื่นติดสาร” มักจะเกิดในบริเวณที่มีเราทาครีมหรือเครื่องสำอางนั้น ๆ ลงไป ซึ่งปกติแล้วก็จะเป็น บริเวณหน้าผาก จมูก และแก้ม

ลักษณะของผื่นติดสาร

  • ผิวมีสีแดง สามารถมองเห็นเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังได้ เนื่องจากสเตียรอยด์มีผลทำให้หลอดเลือดฝอยขยายตัว (Telangiectasia)
  • มีอาการคันระคายเคือง
  • มีสิวประเภทตุ่มนูนแดงและสิวหัวหนอง
  • มักมีอาการผิวลอก
  • ผิวมีความบอบบาง และตอบสนองรวดเร็วต่อตัวกระตุ้น เช่น แสงแดด ฝุ่นควัน หรือสารเคมี มากขึ้น

นอกจากนี้ สิวแบบ steroid acne และ ผื่น steroid rosacea ก็วิธีการรักษาที่ต่างกันด้วยค่ะ

ใครที่เสี่ยงต่อการเป็นสิวสเตียรอยด์

หมอผึ้งจะขอยกตัวอย่างกลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเป็นสิวสเตียรอยด์มาให้อ่านเพิ่มเติมค่ะ

  • นักกีฬา และนักเพาะกาย ที่ใช้ Anabolic steroids เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และสมรรถภาพร่างกาย
  • คนที่มีโรคเรื้อรังและต้องใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานเพื่อรักษา เช่น โรคหอบหืด โรคลูปัส โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือกลุ่มโรคทางระบบภูมิคุ้มกัน (Autoimmune diseases)
  • คนที่มีภาวะความผิดปกติทางฮอร์โมน เช่น กลุ่มอาการคุชชิ่ง (Cushing syndrome)
  • คนที่ทายาเสตียรอยด์ต่อเนื่องกันนาน

จะเห็นว่าในหลาย ๆ กรณี เราก็จำเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์ถึงแม้มันจะเป็นตัวการที่ทำให้เราเกิดสิว ฉะนั้น ก่อนวางแผนการรักษาสิว อย่าลืมปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้และแจ้งแพทย์ผิวหนังให้ทราบถึงข้อมูลเกี่ยวกับโรคประจำตัวของคุณด้วยค่ะ

สิวสเตียรอยด์ รักษาอย่างไร

วิธีการรักษาสิวสเตียรอยด์ก็คล้ายกับวิธีรักษาสิวปกติค่ะ กล่าวคือ สามารถใช้ยาแต้ม ทานยา หรือใช้หัตถการเลเซอร์ได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ควรหยุดใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ (ซึ่งสำหรับคนที่มีโรคประจำตัว ที่ไม่สามารถหยุดยาเองได้ ควรปรึกษาแพทย์เจ้าของโรคก่อนนะคะ)

รักษาด้วยการใช้ยาแต้มที่มี Retinoids

ตัวยาเรตินอยด์ (Retinoids) เป็นยาแต้มที่มีประสิทธิภาพสูง และพิสูจน์แล้วว่าช่วยแก้ปัญหาสิวสเตียรอยด์ได้ดีค่ะ โดยเรตินอยด์จะช่วยลดการผลิตน้ำมันของต่อมน้ำมันใต้ผิวหนัง ทำให้การเกิดสิวน้อยลง นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์คลีนซิ่งที่มีส่วนผสมของ Benzyl peroxide และ Salicylic acid ก็สามารถใช้ร่วมกับยาแต้มได้ค่ะ

รักษาด้วยยาปฏิชีวนะแบบทาน

ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาสิวสเตียรอยด์ คือตัวยา Doxycyline ค่ะ ซึ่งเป็นตัวยาที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อและยับยั้งการเจริญเติบโตแบคทีเรีย P.acnes 

หมอต้องย้ำนะคะว่า เราไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะหรือยาต้านเชื้อรามาใช้เอง แต่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางผิวหนังและให้แพทย์เป็นวางแผนการรักษาดีกว่าค่ะ

รักษาด้วย DermaLight

อีกหนึ่งวิธีรักษาแก้ปัญหาสิวสเตียรอยด์ที่สามารถทำได้คือ DermaLight IPL ซึ่งถือเป็นการรักษาที่ทำได้ง่าย ความเสี่ยงต่ำ และมีประสิทธิภาพสูงค่ะ

โปรแกรม DermaLight ของ EY Clinic จะใช้เทคโนโลยี IPL (Intense Pulsed Light) ซึ่งปล่อยแสงที่มีความเข้มข้นสูงออกมาเป็นจังหวะสั้น ๆ ซึ่งช่วยให้เราสามารถควบคุมพลังงานความร้อนจากแสงได้อย่างแม่นยำ โดยแสงที่ใช้ มีอานุภาพในการทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ของแบคทีเรีย P.acnes ทำให้แบคทีเรียตัวนี้ไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้คะ

วิธีการดูแลผิวเมื่อเป็นสิวสเตียรอยด์

  • รักษาความสะอาดของร่างกายและใบหน้า โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าและสบู่ที่ปราศจากน้ำหอม พาราเบน และแอลกอฮอล์ เพื่อลดโอกาศการระคายเคืองของผิว
  • บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์หรือโลชั่น เพืพ่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิว เนื่องจากความชุมชื้นเป็นสิงที่จำเป็นต่อกระบวนการสมานแผล และสุขภาพผิวที่ดี
  • ทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกแดด เพื่อต้องสร้างเกราะป้องกันให้ผิวจากรังสียูวี
  • ไม่แกะ กด หรือบีบสิวเอง เพราะจะทำให้การอักเสบรุนแรงมากขึ้น และยังเสี่ยงต่อการเกิดหลุมสิว หรือจุดด่างดำจากสิว

สิวสเตียรอยด์รักษาได้ที่ EY Clinic

เราได้สรุปกันไปแล้วว่า สิวสเตียรอยด์ คือสิวที่เกิดจากการใช้สเตียรอยด์ และในบางครั้ง เราก็ไม่สามารถหยุดใช้สเตียรอยด์ได้ ฉะนั้นการรักษาก็ควรอยู่ใต้การดูแลของแพทย์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญค่ะ

ที่ EY Clinic เราเข้าใจดีถึงปัญหาความเครียดและความไม่มั่นใจที่มากกับสิวหรือปัญหาผิวอื่น ๆ เราจึงมุ่งมั่นที่จะช่วยคุณฟื้นฟูสุขภาพผิว และคืนความมั่นใจให้คุณอย่างเต็มความสามารถค่ะ

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย
เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ

ตอบคำถามที่พบบ่อยเรื่องสิวสเตียรอยด์

สิวสเตียรอยด์หายเองได้ไหม

สิวสเตียรอยด์หายเองได้ค่ะ อย่างที่เรารู้กันว่า สิวสเตียรอยด์คือสิวที่เกิดจากการใช้ยาสเตียรอยด์ หากหยุดการใช้ยาแล้ว สิวก็จะเริ่มดีขึ้นด้วยตัวเองค่ะ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิวและสภาพผิวของแต่ละคนด้วยค่ะ

สิวสเตียรอยด์รักษานานไหม กี่วันถึงจะหาย

สิวสเตียรอยด์มักใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1-2 เดือนในการรักษาค่ะ และในบางกรณีก็อาจจะไม่หายขาดหากยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยารักษาโรคกลุ่มสเตียรอยด์อยู่ แต่อย่างไรก็ดี การรักษาก็จะช่วยให้อาการสิวดีขึ้นได้ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

ตอบคำถามคาใจ สิวสเตียรอยด์ คืออะไร รักษายังไง
Dr. Patnapa Vejanurug
May 21, 2024
สิวขึ้นคอ ทำไงดี: สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกันสิวเห่อขึ้นคอ
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
สิวขึ้นคอ ทำไงดี: สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกันสิวเห่อขึ้นคอ
หมอเชื่อว่า อาการสิวขึ้นคอ น่าจะเป็นปัญหาที่ใครหลาย ๆ คน เจอมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นถึงวัยทำงานค่ะ สิวขึ้นคอนอกจากจะเจ็บ แดง น่ารำคาญแล้ว บางครั้งยังทิ้งแผลเป็นไว้ให้ลำคอของเราไม่เรียบเนียนอีกด้วย แล้วเคยสงสัยกันไหมคะว่า สิวขึ้นคอเกิดจากอะไร ขึ้นที่หน้าแล้วทำไมต้องขึ้นที่คออีก แล้วเราจะมีวิธีการจัดการกับอาการสิวขึ้นคอได้อย่างไร มาหาคำตอบได้ในบทความนี้ค่ะ

หมอเชื่อว่า อาการสิวขึ้นคอ น่าจะเป็นปัญหาที่ใครหลาย ๆ คน เจอมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นถึงวัยทำงานค่ะ สิวขึ้นคอนอกจากจะเจ็บ แดง น่ารำคาญแล้ว บางครั้งยังทิ้งแผลเป็นไว้ให้ลำคอของเราไม่เรียบเนียนอีกด้วย แล้วเคยสงสัยกันไหมคะว่า สิวขึ้นคอเกิดจากอะไร ขึ้นที่หน้าแล้วทำไมต้องขึ้นที่คออีก แล้วเราจะมีวิธีการจัดการกับอาการสิวขึ้นคอได้อย่างไร มาหาคำตอบได้ในบทความนี้ค่ะ

สรุปสาระสำคัญ

  • สิวขึ้นคอ เกิดจากการอุดตันและอักเสบของรูขุมขน เหมือนกันสิวบริเวณใบหน้า
  • สิวที่ขึ้นคอ มีทั้ง สิวอักเสบ สิวอุดตัน สิวเสี้ยน สิวผด และ สิวเชื้อราหรือสิวยีสต์
  • ปัจจัยที่ทำให้สิวขึ้นคอมีอยู่หลายประการ เช่น การไม่รักษาความสะอาด อากาศร้อน ฮอร์โมน ความเครียด ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม และเครื่องประดับที่ทำให้เกิดการระคายเคืองของผิวที่คอ

สิวที่คอ เกิดจากอะไร

สิวที่คอเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยไขมัน สิ่งสกปรก เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และการสะสมของแบคทีเรีย P.acnes ซึ่งนำไปสู่การอักเสบของผิวหนังค่ะ หรือก็คือ หลักการเดียวกันกับการเกิดสิวบนใบหน้าเลยค่ะ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวขึ้นคอก็คล้ายกับการเกิดสิวบนใบหน้าด้วย แต่อาจจะมีข้อแตกต่างเล็กน้อยค่ะ

ปัจจัยที่ทำให้สิวขึ้นคอ

คราบเหงื่อไคล สิ่งสกปรก และการอาบน้ำไม่สะอาด

ปัจจัยเรื่องความสกปรกถือเป็นตัวการสำคัญของการเกิดสิวที่คอค่ะ ซึ่งบริเวณลำคอส่วนที่หลาย ๆ คนอาจจะละเลยระหว่างอาบน้ำ หรือคนที่ชอบแต่งหน้าก็อาจจะลืมเช็ดเครื่องสำอางบริเวณใต้คางและคอ ซึ่งการสะสมของเหงื่อ ขี้ไคล และสิ่งตกค้างต่าง ๆ เหล่านี้จึงนำไปสู่เกิดสิวขึ้นคอค่ะ

สภาพอากาศที่ร้อน

เรารู้กันดีค่ะว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอากาศร้อนชื้น ไปไหนมาไหน ไม่ต้องออกแดดก็เหงื่อไหลไคลย้อยได้ ทำให้เกิดเป็นสิวง่ายค่ะ นอกจากนี้ บริเวณลำคอก็ยังเป็นส่วนของร่างกายที่เหงื่อออกเยอะ โดยเฉพาะกับคนที่มีผมหนาและยาว

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

ไม่ว่าจะเป็นสิวขึ้นคอ ขึ้นหน้า หรือขึ้นหลัง ปัจจัยเรื่องฮอร์โมนย่อมมีความเกี่ยวข้องทั้งนั้นค่ะ โดยสาว ๆ ที่มีรอบเดือนจะรู้ดีว่า สิวมักจะมาใกล้กับช่วงประจำเดือน มักจะขึ้นตามกรอบหน้าหรือคอ และยังสามารถทิ้งรอยสิวไว้กวนใจเราหากรักษาไม่ถูกวิธีค่ะ

ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ

ความเครียดทางด้านร่างกายและจิตใจนำไปสู่ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ที่สูงค่ะ ซึ่งคอร์ติซอลมีผลทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลง ทำให้ผิวเกิดการอักเสบได้ง่ายและเปิดช่องให้แบคทีเรีย P.acnes เติบโตได้อย่างรวดเร็ว จนนำไปสู่ปัญหาสิวขึ้นคอในที่สุดค่ะ

การใช้ยาบางชนิด

ยาประเภทเช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Steroids) มีผลข้างเคียงทำให้เกิดสิวค่ะ โดยพบว่า นักเพาะกายหรือนักกีฬาที่มีการใช้ Anabolic Steroids เพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ มักจะมีอาการสิวขึ้นคอ และแผ่นหลัง ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะ ยากลุ่มนี้มีผลทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลง ทำให้ผิวอักเสบและเกิดเป็นสิวง่ายค่ะ

นอกจาก Anabolic steroid แล้วก็ยังมียาที่ใช้ในการบรรเทาอาการหอบหืดและอาการแพ้ อย่าง Prednisolone ก็เป็นยากลุ่มสเตียรอยด์ด้วยค่ะ

ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ ยาสระผม ครีมนวดผม น้ำมันบำรุงเส้นผม โลชั่นทาผิว

ปัจจัยต่อมาที่ทำให้เกิดสิวขึ้นคอคือ ผลิตภัณฑ์อาบน้ำหรือครีมทาผิวที่เราใช้ค่ะ โดยเฉพาะยาสระผม ครีมนวด และน้ำมันบำรุงเส้นผมที่จะต้องสัมผัสกับลำคอของเราอยู่ประจำ ผลิตภัณฑ์บางตัวอาจจะมีองค์ประกอบที่ระคายเคืองต่อผิวหรือทำให้เกิดการอุดตัน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาสิวขึ้นคอได้ค่ะ

เสื้อผ้า สร้อยคอ และเครื่องประดับอื่น ๆ

เสื้อผ้าที่คับบริเวณคอจะทำให้คอระบายเหงื่อได้ไม่ดีซึ่งส่งผลให้เกิดเป็นสิวที่คอได้ และสร้อยคอ สายคล้องมาสก์ หรือสายคล้องแว่น ก็สามารถทำให้สิวขึ้นคอได้เช่นกันค่ะ เนื่องจากสิ่งของเหล่านี้จะเสียดสีกับผิวหนังบริเวณคอของเรา ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคือง และเกิดเป็นสิวหรือผื่นคันได้ค่ะ

การใส่แมส

การใส่แมสเป็นเวลานาน หรือใส่ซ้ำๆ อาจทำให้เกิดความอับชื้นหรือสิ่งสกปรกหมักหมมได้ นอกจากนี้ขอบแมสยังกดทับผิวหน้าเป็นเวลานาน ทำให้เกิดสิว หรือผื่นได้

สิวที่คอ มีกี่ประเภท

ประเภทของสิวที่ขึ้นคอ ก็เหมือนกับสิวที่ขนบนใบหน้าค่ะ โดยเราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ซึ่งก็คือ สิวอักเสบ และ สิวไม่อักเสบหรือสิวอุดตันค่ะ

สิวอักเสบ (Inflammatory acnes)

  • สิวตุ่มแดง (Papule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงแข็ง ๆ สัมผัสแล้วรู้สึกเจ็บ
  • สิวหัวหนอง (Pustule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง มีหัวหนองสีขาว
  • สิวไต (Nodule) มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ แข็งเป็นไต ภายในเป็นหนองและเลือด ซึ่งอาจมีหัวเปิดเป็นหนอง (Cystic acne) หรือ อาจเป็นสิวเม็ดใหญ่และมีหนองอยู่ภายใน ที่เรียกกันว่า สิวหัวช้าง (Nodulocystic acne) ซึ่งอักเสบรุนแรง และรักษาให้หายได้ยาก

สิวไม่อักเสบ หรือ สิวอุดตัน (Comedones)

  • สิวหัวขาว (Whitehead หรือ Closed comedone) คือสิวอุดตันหัวปิด ตุ่มมักมีขนาดเล็ก สิ่งที่อุดตันอยู่ภายในกลายเป็นแหล่งเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งจะทำให้สิวหัวขาวจะกลายเป็นสิวอักเสบในที่สุดค่ะ 75% ของสิวหัวขาวจะเปลี่ยนไปเป็นสิวอักเสบ ซึ่งรักษาได้ยากกว่าและมักทิ้งรอยแผลเป็นหรือทำให้เกิดหลุมสิวค่ะ
  • สิวหัวดำ (Blackhead หรือ Open comedone) คือสิวอุดตันที่มีหัวเปิด ทำให้สิ่งที่อุดตันอยู่ข้างในได้สัมผัสกับอากาศภายนอก และเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ส่งผลให้สิ่งอุดตันเหล่านั้นกลายเป็นสีดำ ซึ่งเราก็จะเห็นเป็นหัวสิวสีดำนั่นเองค่ะ

ซึ่งนอกจากสิวอุดตันและสิวอักเสบแล้ว ก็สิวขึ้นคอก็สามารถเป็น สิวเสี้ยน สิวผด และ สิวยีสต์หรือสิวเชื้อราได้เช่นกันค่ะ

สิวเสี้ยน (Filaments)

สิวเสี้ยน (Trichostasis Spinulosa หรือ Filaments) แท้จริงแล้วไม่ใช่สิว แต่เป็นการรวมตัวของเส้นขน เซลล์ผิว ไขมัน เคราติน และสิ่งตกค้างต่าง ๆ ในรูขุมขนค่ะ สิวเสี้ยนจะไม่มีการอักเสบ ติดเชื้อ และไม่อุดตันรูขุมขน แต่อาจมีลักษณะคล้าย ๆ สิวหัวดำ ซึ่งเห็นแล้วกวนตากวนใจเราได้ค่ะ

สิวผด (Mallorca acne)

สิวผด (Acne Aestivalis หรือ Mallorca acne) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก ไม่มีหัว ขึ้นเป็นกลุ่มคล้ายผื่น กลไกการเกิดสิวผดนั้นยังไม่แน่ชัด แต่มีข้อสรุปว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวผด ได้แก่ แสงแดด การเปลี่ยนไดเอท และ อากาศหรือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปค่ะ

สิวยีสต์ หรือสิวเชื้อรา (Fungal acne)

สิวเชื้อรา หรือที่บางคนเรียกว่าสิวยีสต์ (Malessezia Foliculitis หรือ Fungal acne) เกิดจากเชื้อราชื่อ Malessezia furfur (เดิมเคยใช้ชื่อว่า Pityrosporum ovale) ซึ่งเป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของเราเหมือนกับแบคทีเรีย P.acnes สิวเชื้อรามักขึ้นตามไรผมบริเวณคอ คนที่เป็นสิวเชื้อรามักจะประสบปัญหารังแคไปด้วย เนื่องจากเชื้อที่ทำให้เป็นรังแคก็คือเชื้อรา M. furfur ตัวนี้เองค่ะ

สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อสิวขึ้นคอ

เราสามารถสรุปได้ว่า สิวที่ขึ้นคอ มีทั้งสิวอักเสบ สิวอุดตัน สิวหัวช้าง สิวผด และสิวเชื้อราค่ะ ก่อนเรียนรู้วิธีรักษา เรามาดูสิ่งที่ควรไม่ทำเมื่อเป็นสิวขึ้นคอกันก่อนค่ะ

ไม่แกะ บีบ หรือ กดสิวเอง

หมอย้ำเสมอค่ะว่า การแกะสิว หรือบีบสิว จะยิ่งทำให้สิวเกิดการอักเสบรุนแรง และอาจส่งผลให้เป็นสิวมากขึ้น ที่สำคัญยัง การบีบสิวยังเป็นการทำร้ายผิวและจะทิ้งให้เกิดรอยแผลเป็น ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นสิวอักเสบ อุดตัน เม็ดเล็ก หรือเม็ดใหญ่ ก็ไม่ควรบีบหรือแกะค่ะ

หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่จะทำให้เกิดการระคายเคือง และการสครับผิวที่คอ

ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือน้ำหอม และการสครับผิวในช่องที่มีสิวขึ้นคอ สร้างความเกิดการระคายเคืองให้กับผิว ซึ่งอาจทำให้สิวที่คอมีอาการแย่ลงค่ะ

หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันบำรุงเส้นผม

ช่วงที่เป็นสิวขึ้นคอ หมอขอแนะนำให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์จำพวก Hair Oil ไปก่อนค่ะ เนื่องจากผลิตภัณฑ์จากเส้นผมอาจจะตกค้างอยู่บนลำคอ และทำให้เกิดการระคายเคืองและอุดตันรูขุมขนมากขึ้นค่ะ

หลีกเลี่ยงการใส่เครื่องประดับ หรือ เสื้อผ้าที่คับ

ช่วงที่สิวขึ้นคอ แนะนำให้เลือกใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่คับจนเกินไป และหลีกเลี่ยงการใส่เครื่องประดับที่คอ เพื่อลดการเสียดสีของผิวหนังบริเวณคอค่ะ

สิวขึ้นคอ รักษาอย่างไรให้หายขาด ไม่ทิ้งรอยสิว

ในปัจจุบัน มีวิธีรักษาสิวอยู่มากมาย ทั้งแบบที่ทำได้เองที่บ้าน และแบบมีหัตถการค่ะ โดยวิธีรักษาสิวขึ้นคอมีดังนี้ค่ะ

ใช้แผ่นแปะสิว

สำหรับคนที่มีสิวขึ้นคอแบบไม่รุนแรง สามารถเลือกใช้แผ่นแปะสิวได้ แผ่นแปะสิวมีส่วนผสมหลักเป็น ไฮโดรคอลลอยด์ (hydrocolloid) ซึ่งจะช่วยดูดซับของเหลว ไขมัน และสิ่งสกปรกต่าง ๆ ในสิวทำให้สิวแห้ง และหายไว รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้เราแกะเกาสิวอีกด้วยค่ะ แต่วิธีนี้ก็จะไม่สามารถรักษาสิวขึ้นคอที่เป็นสิวหัวช้าง หรือ สิวที่อักเสบรุนแรงได้ค่ะ

ใช้ยาแต้มรักษาสิว

ยาแต้มสิวส่วนมากจะเป็นยาที่สามารถซื้อได้ over-the-counter หรือซื้อได้แบบไม่ต้องใช้ใบสั่งยา โดยทั่วไปแล้วยาแต้มสิวจะเป็นยาประเภท salicylic acid, benzoyl peroxide หรืออาจจะเป็นยาปฏิชีวนะ (antibiotic) อย่าง clindamycin ค่ะ โดยแต่ละตัวยามีสรรพคุณคร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ

  • Salicylic acid มีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวและควบคุมการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันใต้รูขุมขน ช่วยแก้ปัญหาทั้งสิวฮอร์โมนแบบสิวอุดตันและสิวอักเสบ
  • Benzoyl Peroxide เป็นตัวยาที่ใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ช่วยรักษาสิวอักเสบและป้องกันการเกิดสิวใหม่
  • Clindamycin ออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนัง


แต่อย่างไรก็ดี ก่อนใช้ยา ควรสอบถามวิธีการใช้ที่ถูกต้องจากเภสัชกร และยาบางตัวอาจทำให้ผิวระคายเคือง และลอกเป็นขุยได้ ฉะนั้น ควรมีการบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์อย่างต่อเนื่องด้วยค่ะ

ใช้ยารักษาสิว

ยาเม็ดที่ใช้เพื่อรักษาสิวขึ้นคอ จะเป็นยาปฏิชีวนะ หรือยาอนุพันธ์วิตามินเอค่ะ

  • ยาปฏิชีวนะ เช่น Tetracycline และ Doxycycline ออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนัง มักจะเป็นตัวเลือกแรกที่แพทย์จ่ายให้กับคนที่มีปัญหาสิวค่ะ
  • ยาอนุพันธ์วิตามินเอ หรือ Isotretinoin เป็นยาที่ใช้รักษาสิวที่รุนแรง และสิวที่ไม่ดีขึ้นหลังใช้ยาปฏิชีวนะ

ซึ่งทั้งสองตัวนี้เป็นยาที่มีผลข้างเคียงโดยเฉพาะ Isotretinoin เราจึงไม่ควรหาซื้อยาเหล่านี้มาใช้เอง และเลือกที่จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่าค่ะ

เพิ่มเติม: ยาสำหรับสิวยีสต์หรือสิวเชื้อรา

สิวเชื้อราจะมีการรักษาที่ต่างกับสิวอักเสบธรรมดา เนื่องจากตัวการที่ทำให้เกิดสิวเป็นเชื้อรา ไม่ใช่แบคทีเรียค่ะ เราจึงจำเป็นต้องใช้ยาต้านเชื้อรา (Antifungal drugs) ในการรักษาและป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นสิวเชื้อราอีก โดยยาต้านเชื้อราที่ใช้การรักษาสิวจะมี

  • ชนิดทา เช่น คีโตโคนาโซล (Ketoconazole)
  • ชนิดเม็ด เช่น อิทราโคนาโซล (Itraconazole) หรือฟลูโคนาโซล (Fluconazole) ค่ะ

รักษาสิวด้วยเลเซอร์

เลเซอร์ได้รับข้อบ่งชี้ชัดเจนจาก FDA ว่ามีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการรักษาสิวคือ เลเซอร์ AdvaTx หรือ AdvaLight ค่ะ โดยหลักการทำงานของเลเซอร์ในการรักษาสิว คือ พลังงานจากเลเซอร์จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ซึ่งเป็นตัวการให้เกิดสิวอักเสบ และช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน (sebaceous gland) ทำให้ผลิตน้ำมันได้น้อยลงค่ะ

AdvaTx เป็นเลเซอร์แบบ Dual-wavelength หรือสองความยาวคลื่น ที่ปล่อยแสงสีเหลืองที่ความยาวคลื่น 589 นาโนเมตรและอินฟราเรดที่ 1319 นาโนเมตร ทำให้นอกจากจะมีประสิทธิภาพในการรักษาสิวแล้ว ยังสามารถแก้ไขปัญหาผิวอีกได้อีกมากมาย เช่น ปานแดง ไฝแดง ฝ้าเลือด แผลเป็นประเภทหลุมสิว รวมไปถึง ริ้วรอยรอบดวงตาและรอบปากด้วยค่ะ

วิธีป้องกันไม่ให้สิวขึ้นคอ

อย่างที่เรารู้กันว่า กันไว้ดีกว่าแก้ ซึ่งวิธีป้องกันไม่ให้สิวขึ้นคอก็สามารถทำได้ง่าย ๆ และยังหลาย ๆ ข้อยังเป็นวิธีที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นสิวบริเวณใบหน้า และส่วนอื่น ๆ ของร่างกายด้วยค่ะ

  • อาบน้ำชำระล้างร่างกายทุกครั้งที่มีเหงื่อออก
  • ไม่ลืมที่จะถูทำความสะอาดบริเวณลำคอ เพื่อชำระล้างสบู่ แชมพู หรือ ครีมนวดให้หมดจด
  • ใช้ฟองน้ำขัดตัว ทำความสะอาดบริเวณคอ เพื่อกำจัดสิ่งสกปรก และขี้ไคล
  • รักษาความสะอาดของข้าวของเครื่องใช้ เช่น ปลอกหมอนผ้า ปูที่นอน และแปรงแต่งหน้า
  • เลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
  • เปลี่ยนเสื้อผ้าหลังการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันการสะสมของสิ่งสกปรกและแบคทีเรีย
  • หลีกเลี่ยงการสวมเครื่องประดับบริเวณคอตลอดเวลา เช่น อาจจะใส่เครื่องประดับเฉพาะเวลาที่ออกจากบ้าน
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวไม่ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน (non-comedogenic) และเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวของตนเอง
  • ใส่แมสเท่าที่จำเป็นและควรเปลี่ยนแมสทุกวัน

และหากมีอาการสิวขึ้นคอมีความรุนแรงขึ้น หรือใช้ยาแต้มรักษาแล้วไม่หาย ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังค่ะ

รักษาสิวขึ้นคอที่ EY Clinic

เราสามารถสรุปได้ว่า ปัญหาสิวขึ้นคอเกิดได้จากหลากหลายปัจจัย และสิวที่ขึ้นคอก็เป็นได้หลายประเภท แต่เราก็มีวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่จะช่วยแก้ปัญหาสิวขึ้นคอได้ค่ะ

หากใครยังมีปัญหาสิวขึ้นคอ สามารถแวะเข้ามาปรึกษาหมอได้ที่ EY Clinic ค่ะ 

EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย


เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตร์บัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ

แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

สิวขึ้นคอ ทำไงดี: สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกันสิวเห่อขึ้นคอ
Dr. Patnapa Vejanurug
May 21, 2024
สิวที่หลัง เกิดจากอะไร – ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง และวิธีแก้
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
สิวที่หลัง เกิดจากอะไร – ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง และวิธีแก้

สิวที่หลัง เกิดจากอะไร

สิวที่หลังและสิวที่ขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมีกลไกการเกิดสิวที่เหมือนสิวบนใบหน้าค่ะ สิวที่หลัง เกิดจากการที่น้ำมันจากรูขุมขน (Sebum) เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรก รวมตัวกันอุดตันรูขุมขนทำให้เกิดสิว และเมื่อเกิดการอุดตันก็จะเกิดการสะสมของแบคทีเรีย P.acnes ซึ่งปกติแล้ว เจ้าแบคทีเรียตัวนี้เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของเราโดยไม่ทำอันตรายใด ๆ แต่เมื่อเกิดการสะสมมาก ๆ ก็ทำให้เกิดการอักเสบ และเกิดเป็นสิวนั่นเองค่ะ

สิวที่หลัง ไม่หายสักที

สาเหตุที่รักษาสิวที่หลังไม่หายเสียที อาจจะเป็นเพราะวิธีการรักษาที่ใช่ไม่ถูกต้อง หรือ รักษาได้ไม่ตรงสาเหตุค่ะ อย่างที่เราได้กล่าวกันไปว่า สิวที่หลังเกิดได้จากสาเหตุ หลายประการ ก็แผนการรักษาที่ดีที่สุดจึงควรเป็นแผนการรักษาที่เหมาะกับสภาพผิวและปัจจัยการเกิดสิวของแต่ละบุคคลค่ะ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง

สิวที่หลัง ไม่ว่าจะเป็นสิวอักเสบ สิวไม่มีหัว หรือสิวหัวดำ มีปัจจัยอยู่หลายข้อด้วยกันค่ะ

พันธุกรรม

พันธุกรรมมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาสิวที่หลังค่ะ เพราะพันธุกรรมจะผลในเรื่องของการทำงานของต่อมน้ำมัน ในรูขุมขน ปฏิกิริยาตอบสนองแบบการอักเสบ (Inflammatory response) และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนค่ะ

ฮอร์โมน

ฮอร์โมนหลักๆ ในร่างกายของที่ส่วนเกี่ยวข้องกับสิว คือ เอสโตรเจน (Estrogen) และ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ค่ะ ซึ่งเราอาจจะเคยได้ยินมาว่า เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนเพศหญิง และเทสโทสเตอโรนเป็นฮอร์โมนเพศชาย แต่ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ย่อมมีฮอร์โมนทั้งสองตัวนี้อยู่ในร่างกายทั้งนั้นค่ะ โดยระดับเทสโทสเทอโรนที่สูงจะทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมาจากรูขุมขนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดเป็นสิวได้ง่ายขึ้น ในขณะที่เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการผลิตน้ำมัน ทำให้โอกาสการเกิดสิวน้อยลงค่ะ สิวที่หลัง จึงเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อาทิเช่น ในช่วงประจำเดือน หรือระยะตั้งครรภ์ได้ค่ะ

ซึ่งนอกจากฮอร์โมน 2 ตัวนี้แล้ว ก็ยังมี คอร์ติซอล (Cortisol) มีผลต่อการเกิดสิวที่หลังด้วยค่ะ

ความเครียด

ความเครียดเป็นปัจจัยที่ทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) สูงค่ะ ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้ทำให้รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมาเยอะ ส่งผลให้เกิดเป็นสิวได้ง่ายทั้งสิวบนใบหน้าและสิวที่หลัง และยังมีส่วนในการกดภูมิคุ้มกันซึ่งทำให้แบคทีเรียเติบโตบนผิวหนังเราได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ

เหงื่อและสิ่งสกปรก

พอมีคำถามว่าสิวที่หลัง เกิดจากอะไรแล้ว ความสะอาดเป็นสิ่งที่ต้องเน้นย้ำกันเสมอค่ะ การที่เราไม่รักษาความสะอาดบริเวณหลังที่มักเป็นพื้นที่ที่เหงื่อออกง่าย โดยเฉพาะกับสภาพอากาศของเมืองไทยก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวที่หลังค่ะ

เสื้อผ้าที่คับ ไม่ระบายอากาศ

บางครั้ง สิวที่หลังอาจเกิดจากเสื้อผ้าที่คับ ซึ่งทำให้เกิดความอับชื้นบริเวณหลังและเกิดเป็นสิวได้ค่ะ นนอกจากนี้การเสียดสีของเนื้อผ้า อย่างเช่น การสะพายกระเป๋าเป้นานๆ ก็สามารถทำให้เกิดการระคายเคือง อับชื้น และเกิดเป็นสิวได้ค่ะ

การใช้ยาบางชนิด

ยาบางประเภท อย่างเช่น ยาในกลุ่มของสเตียรอยด์ มีส่วนทำให้เกิดสิวที่หลังได้ง่ายขึ้นค่ะ เนื่องจากสเตียรอยด์มีผลข้างเคียงในการกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้แบคทีเรีย P.acnes เติบโตได้ง่ายและรวดเร็ว ทำให้เกิดเป็นสิวในที่สุดค่ะ

ประเภทของสิวที่หลัง

สิวที่หลังก็ไม่ต่างกับสิวที่หน้าเลยค่ะ โดยเราจะแบ่งประเภทของสิวที่หลังได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ สิวชนิดไม่อักเสบและสิวชนิดอักเสบค่ะ

สิวที่หลังชนิดไม่อักเสบ (Comedones)

  • สิวหัวขาว (Whitehead หรือ Closed comedone) คือสิวอุตตันหัวปิด ตุ่มมักมีขนาดเล็ก สิ่งที่อุดตันอยู่ภายในกลายเป็นแหล่งเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งจะทำให้สิวหัวขาวจะกลายเป็นสิวอักเสบในที่สุดค่ะ 75% ของสิวหัวขาวจะเปลี่ยนไปเป็นสิวอักเสบ ซึ่งรักษาได้ยากกว่าและมักทิ้งรอยแผลเป็นหรือทำให้เกิดหลุมสิวค่ะ
  • สิวหัวดำ (Blackhead หรือ Open comedone) คือสิวอุดตันที่มีหัวเปิด ทำให้สิ่งที่อุดตันอยู่ข้างในได้สัมผัสกับอากาศภายนอก และเกิดปฏิกริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ส่งผลให้สิ่งอุดตันเหล่านั้นกลายเป็นสีดำ ซึ่งเราก็จะเห็นเป็นหัวสิวสีดำนั่นเอง ซึ่งสิวหัวดำมักจะถูกสับสนกับ สิวเสี้ยน แต่ความจริงแล้ว สิวเสี้ยนเป็นเส้นขน หรือสิ่งอื่นๆ ที่ตกค้างอยู่ในรูขุมขนเท่านั้น แต่ไม่มีการอุดตันแต่อย่างใดค่ะ

สิวที่หลังชนิดอักเสบ (Inflammatory acnes)

เกิดจากกระสะสมของแบคทีเรีย P. acnes

  • สิวตุ่มแดง (Papule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงแข็ง ๆ สัมผัสแล้วรู้สึกเจ็บ
  • สิวหัวหนอง (Pustule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง มีหัวหนองสีขาว
  • สิวหัวช้าง (Nodule) มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ แข็งเป็นไต ภายในเป็นหนองและเลือด ซึ่งอาจมีหัวเปิดเป็นหนอง (Cystic acne) อักเสบรุนแรง และรักษาให้หายได้ยาก

วิธีป้องกันและรักษาสิวที่หลัง

สิวที่หลังเกิดจากหลายสาเหตุ หลายปัจจัย แต่ก็มีวิธีการป้องกันและรักษาที่ทำได้ไม่ยากค่ะ

1. อาบน้ำทุกครั้งหลังเหงื่อออก

การอาบน้ำทันทีหลังจากที่มีเหงื่อเป็นวิธีรักษาความสะอาดที่ดีและยังป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรก ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวที่หลังค่ะ

2. ขัดหลังด้วยแปรงหรือฟองน้ำเพื่อผลัดเซลล์ผิว

ใช้แปรงหรือฟองน้ำถูหลัง อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งเพื่อช่วยชำระล้างสิ่งสกปรก กำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และป้องกันการอุดตันของรูขมขน แต่ต้องเลือกใช้แบบที่อ่อนนุ่มนะคะ ไม่งั้นอาจทำให้ผิวระคายเคืองและทำให้สิวที่หลังรุนแรงขึ้นได้

3. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน

ทำความสะอาดหลังด้วยสบู่หรือครีมอาบน้ำที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม และไม่ขัดถูแรงจนเกินไปเพราะจะทำให้เกิดความระคายเคืองได้ค่ะ รวมไปถึงเลือกน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ไม่ทำให้ผิวระคายเคืองด้วยค่ะ

4.เลือกใส่เสื้อผ้าที่ไม่คับ และมีการระบายอาการที่ดี

เสื้อผ้าที่คับเกินไปจะระบายเหงื่อได้ไม่ดีและทำให้เกิดสิวที่หลังได้ค่ะ ฉะนั้น ควรเลือกใส่เสื้อผ้าที่มีขนาดพอดี และสามารถระบายอากาศได้ดีเพื่อป้องกันการอับชื้นและเสียดสีบริเวณแผ่นหลัง

5. ไม่แกะหรือบีบสิวเอง

การแกะสิวและบีบสิวอาจให้ปัญหาสิวที่หลังแย่ลงและยังสามารถทำให้เกิดเป็นรอยแผลเป็นด้วยค่ะ

6. ใช้ยาแต้มสิวที่หลัง

ใช้ยาแต้มที่มีส่วนผสมของ benzoyl peroxide, salicylic acid หรือยาทาที่เป็นยาปฏิชีวนะ ยาเหล่านี้มีในร้านขายยาทั่วไปสามารถซื้อได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ค่ะ

วิธีการรักษาสิวที่หลัง สูตรธรรมชาติ

สูตรมะขามเปียกและผงขมิ้น

มะขามเปียกและขมิ้นมีสรรพคุณในเรื่องของการต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบของเซลล์และสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวที่หลังได้ค่ะ สูตรนี้ใช้มะขามเปียกหนึ่งกำมือ ผสมน้ำอุ่นแล้วคั้นเอาแต่น้ำ ผสมผงขมิ้นลงไป 1 ช้อนชา ก่อนนำมาพอกที่หลังและทิ้งไว้เป็นเวลา 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

สูตรเกลือขัดผิวและเปลือกส้ม

เกลือขัดผิวเป็นสครับจากธรรมชาติที่หาซื้อได้ง่ายและช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้อย่างดีค่ะ ส่วนเปลือกส้มจะมีสรรพคุณในการกำจัดแบคทีเรีย ต่อต้านสารอนุมูลอิสระ และช่วยให้ผิวกระชับขึ้นด้วยค่ะ ผสมเกลือขัดผิวเข้ากับกับน้ำอุ่นเล็กน้อย และใส่เปลือกส้มปั่นละเอียดลงไป คนให้เป็นเนื้อเดียวกันและนำมาขัดให้ทั่วบริเวณหลัง ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด

สูตรดินสอพองผสมน้ำมะนาว

ดินสอพองที่เราเอาไว้แต้มหน้ากันในวันสงกรานต์มีสรรพคุณหลายอย่างที่หลายคนไม่รู้ค่ะ ดินสองพองเป็นแร่คาร์บอเนตที่มีสรรพคุณในการลดการอักเสบของสิว ลดผื่นคัน และช่วยให้ผิวเนียนใสขึ้น ซึ่งการแต้มหน้าหรือพอกหน้าด้วยดินสอพองก็เป็นภูมิปัญญาความงามของไทยที่ทำกันมาเนิ่นนานแล้วค่ะ ส่วนน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและผลัดเซลล์ผิวได้อย่างที่ สูตรนี้ทำได้ง่ายๆ โดยการนำดินสอพองมาผสมน้ำและน้ำมะนาวเล็กน้อยเพื่อให้ได้เนื้อเหลวๆ แล้วพอกลงที่หลังหรือบริเวณที่เป็นสิว จากนั้นทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้วล้างออก

รอยสิวที่หลัง รอยดำรักษาอย่างไร

รอยดำจากสิวที่หลังสามารถรักษาได้ด้วยเจลแต้มแผลเป็นและมอยเจอร์ไรเซอร์ค่ะ แต่การรักษาอาจจะใช้เวลาและความอดทนสักหน่อย อย่างไรก็ดี เราสามารถทาครีมบำรุง ร่วมกับหัตถการอย่าง เลเซอร์เพื่อเร่งการรักษารอยดำจากสิวที่หลังได้ค่ะ

รักษาสิวที่หลังให้หายขาด ที่ EY Clinic

สำหรับคนที่มีปัญหาสิวที่หลังเรื้อรัง กวนใจ รักษาไม่หายสักที สามารถเข้ามาพูดคุยกับหมอผึ้งที่ EY Clinic ได้ค่ะ เราได้รับการรับรองว่าเป็นคลินิกรักษาสิวที่ดีที่สุดในย่านบางนา และทีมแพทย์ของเราก็มีประสบการณ์ร่วมกันกว่า 30 ปีเลยค่ะ

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว

สิวที่หลัง เกิดจากอะไร – ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง และวิธีแก้
Dr. Patnapa Vejanurug
Mar 8, 2024
หมดปัญหา ฝ้าเป็นปื้น ด้วยวิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติและแบบหัตถการ
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
หมดปัญหา ฝ้าเป็นปื้น ด้วยวิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติและแบบหัตถการ
ในบทความนี้ หมอผึ้งจะมาอธิบายเกี่ยวกับปัญหาฝ้าที่ทำให้หลายๆ คนสูญเสียความมั่นใจ และแชร์วิธีรักษาฝ้าทั้งแบบทำเองได้ที่บ้านและแบบทำที่คลินิกด้วยค่ะ

ในบทความนี้ หมอผึ้งจะมาอธิบายเกี่ยวกับปัญหาฝ้าที่ทำให้หลายๆ คนสูญเสียความมั่นใจ และแชร์วิธีรักษาฝ้าทั้งแบบทำเองได้ที่บ้านและแบบทำที่คลินิกด้วยค่ะ

ฝ้า คืออะไร

ฝ้า (Melasma) คือ จุดหรือรอยคล้ำมักมีสีน้ำตาลหรือเทา พบบ่อยที่บริเวณโหนกแก้ม จมูก หน้าผาก และคาง แต่ก็สามารถพบได้ที่หน้าอกหรือต้นแขนเช่นกันค่ะ รอยคล้ำนี้มีรูปร่างที่ไม่ตายตัวและเกิดขึ้นในระนาบเดียวกับผิวหนัง ฝ้าเกิดจากการทำงานผิดปกติของเซลล์เมลาโนไซท์ (Melanocytes) ซึ่งเป็นตัวผลิตเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ใต้ผิวหนังของเรานั่นเองค่ะ

ฝ้า เกิดจากอะไร

แสงแดด - แสงแดดเป็นปัจจัยหลักของการเกิดฝ้าค่ะ เนื่องจากรังสียูวีกระตุ้นเซลล์ผิวสร้างเม็ดสีออกมา ยิ่งโดนแดดบ่อย และเป็นเวลานาน ยิ่งทำให้เกิดการผลิตเม็ดสีมากขึ้นค่ะ

ฮอร์โมน - การเกิดฝ้าพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งวงการแพทย์ผิวหนังได้สรุปว่าเป็นเพราะฮอร์โมนเพศหญิง 2 ตัว ได้แก่ เอสโตรเจนและโพรเจนเตอโรน นอกจากนี้ยังพบว่ายาคุมกำเนิดและฮอร์โมนเสริม (Hormonal Supplement) ยังมีส่วนทำให้เกิดฝ้าด้วยค่ะ

โรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ - โรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้โอกาสของการเกิดฝ้ามีมากขึ้น โดยเฉพาะภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ (Hypothyroidism) ที่เพิ่มโอกาสการเกิดฝ้ามากถึง 4 เท่า

กรรมพันธุ์ - นอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว กรรมพันธุ์ยังเป็นอีกหนี่งหลักปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้าค่ะ โดยมีรายงานว่ากว่า 50% ของผู้ที่มีปัญหาฝ้ามักจะมีคุณพ่อ คุณแม่ หรือคนในครอบครัวที่มีปัญหาฝ้าด้วยค่ะ

ประเภทของฝ้า

ฝ้าแบบตื้น (Epidermal type) คือ ฝ้าที่เกิดขึ้นเแค่เพียงในผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ลักษณะของฝ้าแบบตื้นจะมีขอบเขตชัดเจน รักษาให้หายได้ง่าย

ฝ้าแบบลึก (Dermal type) คือ ฝ้าที่เกิดขึ้นในชั้นหนังแท้ (Dermis) มีขอบเขตที่ไม่ชัดเจน และเป็นประเภทที่รักษาได้ยากที่สุด

ฝ้าแบบผสม (Mixed type) คือ ฝ้าที่เกิดทั้งในชั้นหนังแท้และหนังกำพร้า และเป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด

ฝ้าเลือด (vascular melasma) คือ ฝ้าที่เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดฝอย มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลแดง ขึ้นเป็นปื้นหรือเป็นกระจุก และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

ฝ้าฮอร์โมน (hormone-induced melasma) คือ ฝ้าที่เกิดจากความแปรปรวนของระดับฮอร์โมนเพศหญิง เช่น ฝ้าที่เกิดช่วงตั้งครรภ์ หรือ ช่วงวัยทอง

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าเป็นปื้น

จากที่กล่าวไปข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้าเป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ค่ะ จะมีก็เพียง แสงแดด ที่เป็นปัจจัยที่เราสามารถจัดการได้ ฉะนั้น วิธีป้องกันไม่ให้หน้ามีฝ้าเป็นปื้น คือ ทาครีมกันแดดก่อนเพื่อสร้างเกราะป้องกันให้ผิวค่ะ เลือกครีมกันแดดที่กันเหงื่อหากต้องทำกิจกรรมออกแดด และปกป้องผิวด้วยการใส่เสื้อแขนยาวและหมวกค่ะ

วิธีรักษาฝ้า สูตรธรรมชาติ

การรักษาฝ้าเป็นอะไรที่ต้องใช้ความอดทนและใช้เวลา หมอคิดว่าสุขภาพผิวก็ไม่ต่างจากสุขภาพกาย ต้องอาศัยการดูแลบำรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ฝ้าดูจางลงและปรับสภาพผิวให้ผ่องใสขึ้น

สำหรับคนที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ หมอผึ้งก็มีวิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติที่ทำกันได้บ้านมาฝากค่ะ

สูตรหัวไชเท้า

หัวไชเท้าอุดมไปด้วยวิตามินซีซึ่งมีสรรพคุณในการยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน ช่วยรักษาผิวที่ถูกทำร้ายจากรังสียูวีและช่วยให้ฝ้าดูจากลง และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง Anthocyanin และ Catechin ที่ช่วยเสริมสร้างให้ผิวแข็งแรง

วิธีใช้: หั่นหัวไชเท้าเป็นซีกแล้วนำไปแช่เย็น 10-15 นาที เพื่อลดความเผ็ดร้อนของหัวไชเท้า จากนั้นนำออกมาบดให้ละเอียด แล้วนำมาพอกในจุดที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ไม่เกิน 5 นาทีก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด

สูตรใบบัวบก

ใบบัวบกเป็นสมุนไพรที่อยู่กับคนไทยมานมนาน หลาย ๆ บ้านจะมีสูตรน้ำใบบัวบกที่นำไปต้มแล้วดื่มเพื่อแก้ช้ำใน เพราะใบบัวบกมีสารไกลโคไซด์ (Glycoside) ที่กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในร่างกาย ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรงทำให้แผลหายเร็ว ใบบัวบกจึงเป็นสูตรที่ดีสำหรับคนที่มีปัญหาริ้วรอย และปัญหาจุดด่างดำหรือผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด นอกจากนี้ตัวไกลโคไซด์ยังสามารถกำจัดแบคทีเรียที่เป็นตัวการของการเกิดสิวได้อีกด้วย

วิธีใช้: ใช้ใบบัวบกปริมาณ 1 กำมือมาบดหรือปั่นหยาบ ๆ แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้เป็นเวลา 15-20 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด

สูตรมะละกอและน้ำผึ้ง

มะละกอมี AHA และเอนไซม์ปาเปน (Papain) ซึ่งทั้งตัวจะเข้าไปกระตุ้นการผลัดเซลล์และช่วยสมานแผล ช่วยให้ผิวหน้าสว่างใส ตัวปาเปนยังช่วยกำจัดเซลล์ที่ตายแล้วได้ดี ทำให้การอุดตันของรูขุมขนลดลง

วิธีใช้: นำมะละกอสุกมาปั่นให้ละเอียด แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาทีก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด

สูตรมะเขือเทศ

มะเขือเทศก็อุดมไปด้วยวิตามินเอที่ช่วยซ่อมแซมผิวหน้าและลดการอักเสบของเซลล์ อีกทั้งยังมีวิตามินซีที่ช่วยในเรื่องของความกระจ่างใส

วิธีใช้: บดมะเขือเทศสด ก่อนนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก

วิธีรักษาฝ้าด้วยหัตถการ

IPL (Intensed Pulsed Light)

เราอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ IPL ในการกำจัดขนมาบ้างแล้วนะคะ ซึ่งหลักการของ IPLที่ใช้เป็นวิธีรักษาฝ้า คือการปล่อยแสงที่มีความเข้มสูง ลงไปยังชั้นผิวหนังแต่จะโฟกัสไปที่เป้าหมายหลัก ซึ่งก็คือเม็ดสีเมลานิน เมลานินจะดูดเอาพลังงานแสงนี้เข้าไป ซึ่งพลังงานจะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อน ส่งผลให้เม็ดสีแตกตัวและสลายเป็นอนุภาคเล็ก ๆ ค่ะ ก่อนจะถูกร่างกายกำจัดออกไปตามกลไกทางธรรมชาติค่ะ

ข้อดี: ทำได้ง่าย ทำได้รวดเร็ว และมีความเสี่ยงต่ำ

ข้อเสีย: ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวสีเข้ม ต้องทำหลายครั้งก่อนจะเริ่มเห็นผล ไม่ทำให้ฝ้าหายขาดและทำให้ผิวไวต่อแสงแดด (เฉพาะหลังจากทำเสร็จแล้ว) ซึ่งอาจทำให้ผิวหมองคล้ำถ้าไม่ได้หลบแดดเพียงพอ

เลเซอร์ AdvaTx

เลเซอร์ Advatx เป็นหนึ่งในทรีทเมนต์วิธีการรักษาฝ้าที่ได้รับการรับรองจาก FDA ปลอดภัยแล้วมีประสิทธิภาพสูง เลเซอร์ AdvaTx โดดเด่นด้วยการเทคโนโลยีการปล่อยแสงแบบ Dual Wavelength ที่ประกอบไปด้วย: แสงสีเหลืองที่ 589 นาโนเมตร และ อินฟราเรดที่1319 นาโนเมตร ซึ่งทำให้ AdvaTx มีความแม่นยำสูง เลเซอร์ AdvaTx ยังถูกรับรองว่าให้ผลข้างเคียงที่น้อยเมื่อเทียบกับเลเซอร์ชนิดอื่นด้วยค่ะ ถือว่าเป็นวิธีการรักษาฝ้าที่เจ็บตัวน้อย เห็นผลเร็ว และปลอดภัยค่ะ ซึ่งนอกจากฝ้าแล้ว AdvaTx ยังสามารถแก้ไขปัญหาผิวอื่น ๆ อย่างเช่น สิวอักเสบ เส้นเลือดฝอย ริ้วรอยเล็ก รวมไปถึงปัญหาผิวแตกลาย และรอยแผลเป็นด้วยค่ะ

ข้อดี: แก้ปัญหาได้ครอบคลุม ประสิทธิภาพสูง ผลข้างเคียงต่ำ ไม่เสี่ยงผิวไหม้

ข้อเสีย: มีราคาเริ่มต้นที่สูงว่าการฉีดฝ้า Mela Clear

ราคาที่เริ่มต้นที่ EY Clinic: ADVA Clear ทั่วหน้า ครั้งละ 3,299บาท

ฉีดเมลาเคลียร์ (Mela Clear)

เมลาเคลียร์คือการรักษาฝ้าด้วยเทคนิคการฉีดแบบเมโสค่ะ โดยจะฉีดเมลาเคลียร์ซึ่งเป็นตัวยาที่ออกแบบมาเพื่อการรักษาฝ้าโดยเฉพาะเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ เมลาเคลียร์ประกอบไปด้วย active agent ที่ชื่อว่า Tranexamic acid ซึ่งทำหน้าที่ลดการผลิตเม็ดสีเมลานินและระงับการกระจายตัวของฝ้า 

คนที่เริ่มรักษาฝ้าด้วยเมลาเคลียร์แรก ๆ หมอจะขอแนะนำให้ฉีดทุก 1-2 สัปดาห์เพื่อปรับสภาพผิว ซึ่งผลลัพธ์หลังฉีดเมลาเคลียร์เห็นได้ชัดเจนภายใน 1 เดือนและจะผิวหน้าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้นค่ะ

ข้อดี: ปลอดภัยกับทุกสีผิว ให้ผลลัพธ์รวดเร็วและผลลัพธ์อยู่ได้นาน

ข้อเสีย: ไม่เหมาะกับคนที่มีฝ้าเยอะเป็นปื้นหนา

ราคาที่เริ่มต้นที่ EY Clinic: Melaclear 1,799บาท/1 ครั้ง แพ็กเกจ: 8,995บาท/ 6ครั้ง และ 17,990บาท/13ครั้ง

รักษาฝ้าและฟื้นฟูผิวที่ EY Clinic

สำหรับคนที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ สามารถเข้ามาคุยกับหมอผึ้งที่ EY Clinic ได้ค่ะ คลินิกของเรามีทีมแพทย์เฉพาะทาง มากประสบการณ์ และเรามุ่งมั่นที่จะมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ เรายังใส่ใจในทุกขั้นตอนในการรักษาและมีการติดตามผลลัพธ์หลังการฉีดฝ้า พร้อมให้คำแนะนำกับคุณเพื่อให้ผิวหน้าของคุณกระจ่างใส แข็งแรง สุขภาพดี และที่สำคัญไม่กลับมาเป็นฝ้าอีกค่ะ

เคสฉีดฝ้า Mela Clear ที่ EY Clinic

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว

หมดปัญหา ฝ้าเป็นปื้น ด้วยวิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติและแบบหัตถการ
Dr. Patnapa Vejanurug
Mar 8, 2024
ปัญหาใหญ่วัยรุ่น สิวหัวช้างรักษายังไง ให้หายขาด ไม่เป็นหลุมสิว
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
ปัญหาใหญ่วัยรุ่น สิวหัวช้างรักษายังไง ให้หายขาด ไม่เป็นหลุมสิว
หลายคงเคยผ่านประสบการณ์เป็น “สิวหัวช้าง” ที่เม็ดใหญ่และเจ็บจนน่ารำคาญกันมาบ้าง ก่อนเราจะไปศึกษากันว่าสิวหัวช้าง รักษาอย่างไรโดยไม่ทิ้งแผลเป็น เรามาทำความเข้าใจถึงการเกิดสิวหัวช้างและลักษณะของมันกันก่อนค่ะ

หลายคงเคยผ่านประสบการณ์เป็น “สิวหัวช้าง” ที่เม็ดใหญ่และเจ็บจนน่ารำคาญกันมาบ้าง ก่อนเราซึ่งในบทความนี้เราจะไปศึกษากันว่าสิวหัวช้างคืออะไร มีลักษณะอย่างไร บริเวณที่สิวหัวช้างมักขึ้นคือบริเวณไหน และสิวหัวช้าง รักษาอย่างไรโดยไม่ทิ้งแผลเป็น

สิวหัวช้าง เกิดจากอะไร

แท้จริงแล้ว สิวหัวช้างก็คือ สิวอักเสบรุนแรงประเภท Nodulocystic ค่ะ กระบวนการเกิดสิวหัวช้างก็เหมือนการเกิดสิวอักเสบทั่วไป คือ รูขุมขนเกิดการอุดตันด้วยเซลล์ที่ตายแล้ว สิ่งสกปรกตกค้าง และน้ำมันที่มากเกินไป ซึ่งส่งผลเกิดแบคทีเรีย P.acnes สะสมและเติบโตได้รวดเร็ว เม็ดเลือดขาวที่อยู่บริเวณรอบข้างจึงต้องเข้ามาทำหน้าที่ยับยั้งการเติบโตตรงนี้ ส่งผลให้เกิดเป็นการอักเสบบวมแดงขึ้นมาค่ะ

ลักษณะของสิวหัวช้าง

ลักษณะของสิวหัวช้างคือ เป็นสิวอักเสบที่มีขนาดที่ใหญ่ มีอาการบวม มีสีแดงและเจ็บเมื่อสัมผัสเนื่องจากการอักเสบที่รุนแรง รอบ ๆ สิวมีอาการคัน อาจจะหัวหรือไม่มีหัวก็ได้ ภายในสิวมักประกอบไปด้วยเลือดและหนอง การอักเสบของสิวหัวช้างมักลุกลามลงไปยังชั้นผิวที่ลึก ทำให้มักเกิดเป็นรอยแผลเป็นเมื่อสิวหายค่ะ

บริเวณที่มักเกิดสิวหัวช้าง

สิวหัวช้างเป็นปัญหาที่พบบ่อยในหนุ่มสาวช่วงวัยรุ่นค่ะ เนื่องจากเป็นช่วงที่ต่อมไขมันมีการผลิตน้ำมันออกมามากเนื่องจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งบริเวณที่สามารถพบสิวหัวช้างได้บ่อยมีดังนี้ค่ะ

  • แก้ม
  • จมูก และบริเวณข้างจมูก
  • คาง และขากรรไกร
  • แผ่นหลัง
  • หน้าอก

สิวหัวช้างในบางกรณีอาจจะเป็นการรวมตัวกันของสิวอุดตัน (comedones) สิวซีสต์ (cysts) หรือสิวหัวหนอง (pustules) ก่อให้เกิดเป็นสิวขนาดใหญ่ที่มีการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งแพทย์ผิวหนังจะเรียกสิวหัวช้างแบบนี้ว่า “Acne conglobata” ซึ่งเป็นกลุ่มสิวที่พบได้ยากและพบได้แม้ในผู้ใหญ่ช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไปค่ะ

ทำไมสิวหัวช้าง มีหนอง

หนอง (Pus) ที่อยู่ในสิวหัวช้างหรือสิวอักเสบประเภทอื่นๆ คือของเหลวที่เกิดจากการทำงานของเม็ดเลือดขาวค่ะ เราสามารถสรุปได้ว่าหนองก็คือเหล่าสิ่งตกค้าง เซลล์ที่ตายแล้ว และแบคทีเรียที่ถูกเม็ดเลือดขาวสกัดไว้ การบีบสิวจึงไม่ใช่วิธีการรักษาสิวที่ดีเนื่องจากจะทำให้ให้สิ่งสกปรกเหล่านี้กระจายตัว ทำให้เกิดสิวมากขึ้น และยังทำให้เกิดเป็นแผลเป็นด้วยค่ะ

สิวหัวช้างแตกต่างจากฝีและสิวไตอย่างไร

สิวหัวช้างแตกต่างจากฝีตรงที่ สิวหัวช้างคือสิวอักเสบ และ ฝี (abscess) คือการรวมตัวกันของหนองที่เกิดจากการติดเชื้อค่ะ ซึ่งฝีสามารถเกิดได้แทบจะทุกที่ในร่างกาย ทั้งบริเวณผิวหนัง และอวัยวะภายใน โดยฝีที่ผิวหนัง (Cutaneous abscess) มักเกิดจากการแบคทีเรียกลุ่ม Staphylococcus พบบ่อยบริเวณรักแร้ บริเวณก้นกบ บริเวณอวัยวะเพศ และทวารหนักค่ะ

ส่วนสิวไตจะแตกต่างกับสิวหัวช้างตรงที่ สิวไตมักจะมีขนาดเล็กกว่า และแข็งกว่าสิวหัวช้างค่ะ โดยสิวไตก็คือสิวอักเสบประเภท Nodular acne ที่ไม่หนองอยู่ภายในและการอักเสบไม่รุนแรงเท่าสิวหัวช้างค่ะ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวหัวช้าง

ผลกระทบจากฮอร์โมน

อย่างที่ได้กล่าวไปว่าสิวหัวช้างมักจะเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่นเนื่องจากระดับฮอร์โมนที่ไม่สมดุลนะคะ โดยจะหลัก ๆ แล้วฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย หากมีระดับที่สูงมีผลทำให้รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมากขึ้น ทำให้เป็นรูขุมขนอุดตันและเกิดเป็นสิวได้ง่าย และคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียด ก็มีส่วนทำให้เกิดสิวเช่นกันค่ะ

สิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิวหนัง

สิ่งสกปรกเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสิวหัวช้างค่ะ หากมีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่บนผิวหนังไม่ว่าจะเป็น เหงื่อไคล เครื่องสำอาง หรือฝุ่น โอกาสการเกิดสิวก็มากขึ้นไปด้วยค่ะ นอกจากนี้ ข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่สะอาด เช่น ผ้าห่ม ปลอกหมอน ผ้าเช็ดตัวที่ไม่ค่อยได้ซัก หรือพฤติกรรมอย่างการจับหน้า ลูบหน้าบ่อยๆ ก็เพิ่มโอกาสในการเกิดสิวหัวช้างได้เช่นกันค่ะ

การใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์

เนื่องจากสเตียรอยด์มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ นั่นคือ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ส่งผลให้แบคทีเรีย P.acnes เติบโตและเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบและสิวหัวช้างได้ง่ายค่ะ

สิวหัวช้าง อันตรายไหม

สิวหัวช้าง ไม่อันตรายค่ะ เพียงแต่เป็นสิวที่มีการอักเสบรุนแรง มีรากการอักเสบที่ลึก เมื่อหายแล้ว ก็ทิ้งรอยแผลเป็นประเภทหลุมสิวเอาไว้ซึ่งรักษาได้ยากค่ะ การรักษาสิวหัวช้างอย่างถูกต้องจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยลดโอกาสการเกิดหลุมสิวได้ และยังช่วยลดโอกาสการเป็นสิวหัวช้างเรื้อรังด้วยค่ะ

สิวหัวช้าง กี่วันหาย

ในการรักษาสิวหัวช้าง อาจใช้เวลาตั้งแต่ 1-2 สัปดาห์ ถึง เดือนกว่าจะหายค่ะ เพราะเป็นสิวที่มีรากการอักเสบที่ลงลึกและกว้างจึงใช้เวลารักษาค่อนข้างนาน ทั้งนี้ เราไม่ควรปล่อยให้หายเอง เนื่องจากจะทำให้โอกาสของการเกิดหลุมสิวเพิ่มขึ้นค่ะ และยังมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำอีกหากไม่ได้รับการรักษาที่ต้นเหตุค่ะ

สิวหัวช้าง บีบได้ไหม

สิวหัวช้าง ไม่ควรบีบหรือกดค่ะ เพราะจะยิ่งทำให้การอักเสบรุนแรงมากขึ้น และจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดหลุมสิวด้วยค่ะ ทางที่ดีควรรักษาด้วยการใช้ยาแต้ม การฉีดสิว หรือปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาที่ต้นตอดีกว่าค่ะ 

สิวหัวช้าง รักษาอย่างไร กี่วันหาย

อย่างที่กล่าวไปว่า สิวหัวช้างเป็นสิวที่มีฐานอยู่ในชั้นผิวที่ลึก และมีการอักเสบที่รุนแรง หากดูแลรักษาอย่างไม่ถูกวิธี ก็อาจจะทิ้งรอยแผลเป็นอย่างหลุมสิว หรือรอยดำบนใบหน้าของเราได้ค่ะ

รักษาสิวหัวช้างด้วยยาแต้มสิว

การใช้ยาแต้มสิวเป็นวิธีการรักษาสิวหัวช้างที่ทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพค่ะ โดยยาแต้มสิวอักเสบมักจะมีส่วนประกอบของ Benzyl peroxide, Salicylic acid, Tretinoin หรือ ยาปฏิชีวนะอย่าง Clindamycin ค่ะ

  • Benzoyl peroxide ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อและยับยั้งการเติบโตแบคทีเรีย P.acnes
  • Salicylic Acid ลดการอักเสบของเซลล์ ทำให้สิวยุบตัว และลดน้ำมันส่วนเกินในรูขุมขน
  • Clindamycin ออกฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตแบคทีเรีย P.acnes
  • Tretinoin เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ เร่งกระบวนการการผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น

ยาแต้มสิวเหล่านี้ต้องใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาสิวอักเสบรวมไปถึงสิวหัวช้าง ซึ่งอาจจะใช้เวลา 3-4 สัปดาห์ในการรักษาสิวหัวช้างให้หายสนิทค่ะ

รักษาสิวหัวช้างด้วยการฉีดสิว

การฉีดสิวเป็นวิธีการรักษาสิวหัวช้างแบบตรงจุดด้วยยา triamcinolone ค่ะ ซึ่งตัวยานี้จะเข้าไปลดการอักเสบและทำให้สิวหัวช้างยุบตัวลงภายใน 24 ชั่วโมงค่ะ แต่การรักษาวิธีนี้ไม่สามารถซื้อมาทำเองได้เหมือนยาแต้มสิว จำเป็นต้องทำที่คลินิกและมีการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอค่ะ

รักษาสิวหัวช้างด้วยการทานยา

ยาเม็ดที่ใช้รักษาอาการสิวหัวช้างจะเป็นยาปฏิชีวนะ อย่าง Tetracycline หรือ doxycycline ค่ะ ซึ่งยาเหล่านี้ออกฤทธิ์เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย P.acnes และลดการอักเสบด้วยค่ะ แต่หมอแนะนำว่าการใช้ยาควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ผิวหนัง ไม่ควรซื้อยามาใช้เองค่ะ

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวหัวช้าง

วิธีป้องกันไม่ให้เป็นสิวหัวช้างก็เหมือนวิธีป้องกันการเกิดสิวทั่วไป ซึ่งทำได้ง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ

  • ล้างหน้า และรักษาความสะอาดของผิวเสมอ
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและบำรุงผิวที่ถูกกับผิวของตัวเอง และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน
  • รักษาความสะอาดของข้าวของเครื่องใช้ เช่น ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน แปรงแต่งหน้า และฟองน้ำแต่งหน้า
  • รักษาสิวที่เป็นอยู่ให้ถูกวิธีโดยไม่แกะ บีบ หรือกดสิวเอง เพราะอาจทำให้ปัญหาสิวแย่ลงและเกิดเป็นสิวหัวช้างได้ค่ะ
  • ลดอาหารมัน อาหารหวาน และอาหารที่มีไขมันสูงมีส่วนทำให้ผิวมันและเป็นสิวง่ายค่ะ

รักษาสิวหัวช้างด้วยเลเซอร์ AdvaTx

AdvaTx เป็นเลเซอร์ที่ได้รับการยอมรับจาก FDA แล้วว่าเป็นหัตถการที่รักษาปัญหาสิวได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพค่ะ โดย AdvaTx จะเป็นการใช้เลเซอร์ที่สองความยาวคลื่น ได้แก่ Yellow Light ที่ 589 นาโนเมตร และ Infrared ที่ 1319 นาโนเมตร ซึ่งนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาสิวหัวช้างได้แล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาผิวอย่าง หลุมสิว และรอยแผลเป็นได้ด้วยค่ะ

การทำทรีตเมนต์ AdvaTx 1 ครั้งจะใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที โดยจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำค่ะ โดยที่ EY Clinic จะมีการให้บริการเลเซอร์ AdvaTx อยู่หลายแบบ ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและความต้องการของแต่ละตัวบุคคลค่ะ โดยมี:

  • แพ็กเกจ ADVA clear แบบเฉพาะจุด 20 จุด เริ่มต้นที่ 799 บาท ต่อ ครั้ง
  • แพ็กเกจ ADVA clear แบบทั่วหน้า ไม่จำกัดจุด 3,299 บาท ต่อ ครั้ง หรือ 16,495 บาท ต่อ 6 ครั้ง
  • แพ็กเกจ Acne clearsure รวมทรีตเมนต์กดสิว เลเซอร์ AdvaTx (30 จุด) และ Dermalight (ทั่วหน้า) 2,599 บาทต่อครั้ง หรือ 12,995 บาท ต่อ 6 ครั้ง

และมีการ Follow-up หลังการรักษาเพื่อติดตามผลและให้คำปรึกษาแนะนำอย่างใกล้ชิดด้วยค่ะ

รักษาสิวหัวช้างให้หายขาดที่ EY Clinic

หลายท่านคงเบื่อและท้อใจกับการเป็นสิวซ้ำไปซ้ำมา โดยเฉพาะสิวหัวช้างที่ใหญ่และเจ็บมาก ๆ ลองเข้ามาพูดคุยกับหมอที่ EY Clinic ได้ค่ะ เราเป็นคลินิกรักษาโรคผิวหนังรอบด้านและเป็นคลินิกอันดับ 1 ด้านปัญหาสิวในย่านบางนา มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังและเวชศาสตร์ความงามที่มีประสบการณ์ร่วมกันกว่า 30 ปีที่ยินดีจะช่วยให้คุณได้มีผิวที่แข็งแรง และผ่องใสอย่างที่คุณต้องการค่ะ ทุกหัตถการที่ EY Clinic จะถูกดำเนินการด้วยแพทย์ มีเครื่องมือที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน และรักษาโดยยึดความต้องการของตัวบุคคลเป็นหลัก ไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็นแน่นอนค่ะ

ปัญหารอยสิว สิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวหัวช้าง รักษาได้ ที่ EY Clinic

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว

ปัญหาใหญ่วัยรุ่น สิวหัวช้างรักษายังไง ให้หายขาด ไม่เป็นหลุมสิว
Dr. Patnapa Vejanurug
Mar 8, 2024
สิวผด รักษาอย่างไรให้หาย
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
สิวผด รักษาอย่างไรให้หาย
“สิวผด” สิวเม็ดเล็กที่ขึ้นเป็นกลุ่ม ลักษณะเหมือนผื่น ส่งผลให้หน้าไม่เรียบเนียน และทำให้เราเสียความมั่นใจ แท้จริงแล้วคืออะไร เกิดจากสาเหตุอะไร ต่างกับสิวเชื้อราอย่างไร และสิวผด รักษาได้อย่างไรบ้าง มาหาคำตอบกันในบทความนี้ค่ะ

“สิวผด” สิวเม็ดเล็กที่ขึ้นเป็นกลุ่ม ลักษณะเหมือนผื่น ส่งผลให้หน้าไม่เรียบเนียน และทำให้เราเสียความมั่นใจ แต่แท้จริงแล้ว สิวผดคืออะไร เกิดจากสาเหตุอะไร ต่างกับสิวเชื้อราอย่างไร และสิวผด รักษาได้อย่างไรบ้าง มาหาคำตอบกันในบทความนี้ค่ะ

สรุปใจความสำคัญ

  • สิวผด มักเกิดในช่วงหน้าร้อนเนื่อจากผิวถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด
  • สิวผด มักขึ้นเป็นกลุ่มและมีลักษณะคล้ายกับสิวยีสต์ แต่มีกลไกการเกิดและวิธีรักษาที่ต่างกัน
  • สิวผด อาจเป็นการตอบสนองของร่างกาย เมื่อมีการเปลี่ยนของสภาพแวดล้อม พฤติกรรม หรืออาหารการกิน
  • กลไกของการเกิดสิวผดยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในวงการแพทย์ผิวหนัง
  • วิธีป้องกันสิวผดที่สามารถทำได้ที่บ้าน คือ รักษาความสะอาด บำรุงผิวด้วยสกินแคร์ และทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด
  • วิธีการรักษาสิวผดที่แนะนำคือ เลเซอร์ ADVATX

สิวผด คืออะไร

สิวผด (Mallorca acne หรือ Acne Aestivalis) เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก ไม่มีหัว มักขึ้นเป็นกลุ่ม เรามักจะเจอกับปัญหาสิวผดในช่วงอากาศร้อน ซึ่งสิวผดมักจะเป็น ๆ หาย ๆ และสามารถทิ้งรอยแดงไว้บนใบหน้าของเราได้ค่ะ สิวผดเป็นกลุ่มสิวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม และพบบ่อยในคนที่เป็นผิวแพ้ง่ายหรือเกิดสิวง่ายค่ะ

สิวผด เกิดจากอะไร

สิวผดเกิดจากการที่ผิวถูกกระตุ้นด้วยรังสียูวีเอ และมักจะเกิดในช่วง 24-72 ชั่วโมงหลังจากที่ผิวสัมผัสกับแสงแดดค่ะ แต่ด้วยลักษณะของสิวผดที่ไม่มีหัว ไม่มีอาการเจ็บ และ บ่อยครั้งก็หายเองโดยไม่ต้องมีการรักษา ซึ่งตอนนี้เรายังมีข้อมูลไม่มากพอต่อที่จะสรุปกลไกการเกิดสิวผดค่ะ แต่เราสามารถสรุปปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวผดได้ดังนี้ค่ะ

แสงแดดและเหงื่อ - อย่างที่ได้กล่าวไปค่ะ ว่าสิวผดเกิดหลังจากที่ผิวถูกกระตุ้นด้วยรังสียูวีเอ ปัญหาสิวผดจึงมักเกิดในช่วงหน้าร้อนและช่วงที่เราโดนแดดแรง ๆ ค่ะ ประกอบกับเหงื่อที่เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียก็ยิ่งทำให้เกิดสิวผดง่ายขึ้นไปอีกค่ะ

สกินแคร์ เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่ถูกกับสภาพผิว - ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกกับผิวหน้าของเราจะสร้างความระคายเคือง อุดตันรูขุมขน และทำให้ผิวเสียสมดุล ซึ่งทำให้ผิวเป็นสิวผดได้ง่ายค่ะ

อาหารการกินที่เปลี่ยนไป - สิวผดอาจเป็นการตอบสนองของร่างกายต่อการเปลี่ยนไดเอทใหม่หรือการลองทานอาหารที่ไม่เคยทานมาก่อนก็ได้ค่ะ

สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป - สิวผดอาจเป็นการตอบสนองของร่างกายต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป อาทิ เช่น อากาศที่มีฝุ่นควันมากขึ้น น้ำประปาจากแหล่งน้ำต่างถิ่น หรือระดับความชื้นในอากาศที่เปลี่ยนไปค่ะ

บริเวณที่มักเกิดสิวผด

  • สิวผดบริเวณหน้าผาก
  • สิวผดบริเวณคาง ขากรรไกร และกรอบหน้า
  • สิวผดบริเวณแก้ม
  • สิวผดบริเวณแผ่นหลังด้านบน และแขน

สิวผด vs สิวเชื้อราหรือสิวยีสต์

สิวเชื้อรา (Fungal acne หรือ Malessezia Foliculitis) หรือที่บางคนอาจจะเรียกว่าสิวยีสต์ มีลักษณะคล้ายกับสิวผดค่ะ กล่าวคือ เป็นตุ่มนูนแดง มักขึ้นเป็นกลุ่ม ไม่มีอาการเจ็บหรือคัน แต่สิวเชื้อราจะเกิดจากเจ้าเชื้อราชื่อ Malessezia furfur (เดิมเคยใช้ชื่อว่า Pityrosporum ovale) ซึ่งเป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของเรา ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวเชื้อรามีดังนี้ค่ะ

  • เหงื่อไคล และอากาศที่อับชื้น ซึ่งทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี
  • ผิวที่มัน ทำให้สิวเชื้อราเป็นปัญหาที่เกิดในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากเป็นช่วงที่ผิวผลิตน้ำมันออกมามาก
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว ทำให้รูขุมขนอุดตัน
  • การใช้ยาสเตียรอยด์ ที่มีผลทำให้ผิวมันและภูมิคุ้มกันต่ำ ทำให้เชื้อราเติบโตบนผิวหนังได้รวดเร็ว

บริเวณที่มักจะเกิดสิวเชื้อรา: หน้าผาก ไรผม หลัง หน้าอก และหลังแขน

จะเห็นได้ว่าสิวเชื้อราและสิวผดมีความคล้ายคลึงกันในบ้างส่วน แต่กลไกการเกิดสิวสองประเภทนี้เชื้อราและสิวผดมีความแตกต่างกัน และการรักษาก็ต่างกันด้วยค่ะ เนื่องจากสิวเชื้อราจำเป็นต้องใช้ยาต้านเชื้อรา (Antifungal drugs) ชนิดทา อย่าง คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) และชนิดเม็ดอย่าง อิทราโคนาโซล (Itraconazole) หรือฟลูโคนาโซล (Fluconazole) เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพและเพื่อไม่ให้กลับมาเป็นสิวเชื้อราอีก ในขณะที่สิวผด บางครั้งสามารถยุบไปเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาประเภทนี้ค่ะ

สิวผด vs สิวอุดตัน แตกต่างกันอย่างไร

สิวผดและสิวอุดตัน มีความแตกต่างกันทั้งในด้านของปัจจัยการเกิดสิว และลักษณะของสิวค่ะ

  • สิวผด คือ การตอบสนองของผิวต่อแสงแดดและความระคายเคืองไม่ว่าจะเป็นจาก สภาพอากาศ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกกับใบหน้า
  • สิวอุดตัน คือ รูขุมขนที่เกิดการอุดตันจากน้ำมัน สิ่งตกค้าง และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว

โดยสิวผดจะไม่มีหัว มีลักษณะเหมือนผื่น มักขึ้นเป็นกลุ่มและสามารถหายเองได้โดยไม่ต้องมีการรักษา ต่างจากสิวอุดตันที่มาในรูปแบบของสิวหัวขาวหรือสิวหัวดำ และอาจพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบหากไม่ได้รับการรักษาค่ะ

สิวผด รักษาอย่างไร

อย่างที่กล่าวไปค่ะ ว่าเรายังไม่เข้าใจกลไกของสิวผดดีพอ เพราะฉะนั้นวิธีการรักษาสิวผดที่ดีที่สุดคือรักษาความสะอาดและดูแลผิวหน้าของเราให้แข็งแรงที่สุด

ล้างหน้าให้สะอาด

หลายคนที่กำลังสงสัยว่า หน้าเป็นสิวผดใช้อะไรดี หมอขอตอบสั้น ๆ ว่าใช้โฟมล้างหน้าหรือเจลล้างที่ถูกกับสภาพผิวของเราค่ะ สำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย หรือผิวที่เกิดสิวง่าย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่โอนโยน ปราศจากแอลกอฮอล์และน้ำหอม สำหรับคนที่ใช้เครื่องสำอางเป็นประจำ ลองใช้วิธีล้างหน้าแบบ Double Cleansing หโดยใช้น้ำยาเช็ดเครื่องสำอางเนื้อออยเช็ดก่อนล้างด้วยโฟมล้างหน้าหรือคลีนเซอร์

เสริมความแข็งแรงให้ผิวด้วย มาเด้คอลลาเจน

มาเด้ คอลลาเจน (Made collagen) คือทรีตเมนต์เมโสหน้าใสที่โดดเด่นด้วยคุณสมบัติของการดีท็อกซ์และเสริมความแข็งแรงให้กับผิวค่ะ มาเด้ คอลลาเจนเหมาะกับคนที่มีผิวแพ้ง่าย ใบหน้าหมองคล้ำ และมีสิวผดบ่อย โดยที่ EY Clinic จะใช้เทคนิคการฉีดแบบ 16 จุด ซึ่งก็คือการฉีดมาเด้คอลลาเจน 16 จุดตามตำแหน่งของต่อมน้ำเหลืองที่อยู่บนใบหน้า เพื่อให้การรักษาได้ประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ค่ะ

มาเด้คอลลาเจน ที่ EY Clinic มีราคาเริ่มต้นที่ 2,499 บาท ต่อ 1 ครั้ง และคุณสามารถเลือก

  • แพ็กเกจ 12,495 บาท ต่อ 6 ครั้ง (คิดเป็น 2,083 บาท ต่อครั้ง) หรือ
  • แพ็กเกจ 24,990 บาท ต่อ 13 ครั้ง (คิดเป็น 1,922 บาท ต่อครั้ง) ก็ได้ค่ะ

สิวผด กี่วันหาย

สิวผดหายได้ภายใน 1 สัปดาห์ เพียงเปลี่ยนพฤติกรรมของเราค่ะ ลองเปลี่ยนอาหารการกิน เปลี่ยนผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ทำความสะอาดหน้าให้บ่อยขึ้น และทาครีมกันแดดเพื่อสร้างเกราะป้องกันให้ผิว ก็สามารถกำจัดสิวผดได้แล้วค่ะ แต่หากเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว สิวผดยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น หรือมีความรุนแรงมากกว่าเดิม ก็ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางค่ะ

วิธีรักษาสิวผดแบบเร่งด่วน มีไหม

เนื่องจากสิวผดเกิดสามารถเกิดได้จากสภาพอากาศที่ร้อน ซึ่งเป็นอะไรที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ในประเทศไทย ฉะนั้น

วิธีรักษาสิวผดแบบเร่งด่วน คงจะเป็นการดูแลผิวให้แข็งแรง และรักษาความสะอาด และใช้ครีมกันแดดค่ะ แต่สำหรับคนที่มีปัญหาสิวผดรุนแรง ไม่หาย และต้องการวิธีรักษาสิวผดแบบเร่งด่วน หมอขอแนะนำปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อหาสาเหตุ และหาวิธีแก้ที่ตรงจุดที่สุดค่ะ หากใครยังอยู่แถบบางนา ก็สามารถเข้ามาคุยกับหมอผึ้งที่ EY Clinic ได้ค่ะ

แก้สิวผดและปัญหาผิวแบบรอบด้านด้วยเลเซอร์ ADVA

ADVATX หรือ ADVALight เป็นนวัตรกรรมเลเซอร์เดนมาร์กที่มีประสิทธิภาพสูงในการแก้ไขปัญหาสิวและรอยแดงจากสิวค่ะ โดยเครื่อง ADVA จะใช้คลื่นพลังงานที่ 2 ความยาวคลื่น ได้แก่: แสงสีเหลืองที่ 589 นาโนเมตร และ อินฟราเรดที่ 1319 นาโนเมตร ทำให้แก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลายทั้ง ปัญหาสิวผด สิวอักเสบ รอยแผลเป็นจากสิว และริ้วรอยค่ะ โดยที่ EY Clinic มี

  • แพ็กเกจ ADVA clear แบบเฉพาะจุด 20 จุด เริ่มต้นที่ 799 บาท ต่อ ครั้ง
  • แพ็กเกจ ADVA clear แบบทั่วหน้า ไม่จำกัดจุด 3,299 บาท ต่อ ครั้ง หรือ 16,495 บาท ต่อ 6 ครั้ง

ทรีตเมนต์เลเซอร์ ADVA ตัวนี้ เป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงต่ำ ไม่ทำให้หน้าบาง และไม่ต้องรอพักฟื้นด้วยค่ะ

เลือกใช้ครีมบำรุงที่ถูกต้อง

ครีมบำรุงที่ถูกประเภทจะช่วยผิวแข็งแรง และช่วยให้เกิดสิวผดน้อยลงค่ะ เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ:

  • AHA และ BHA ซึ่งช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันของรูขุมขน และลดโอกาสการเกิดสิวทั่วไปและสิวผด
  • Benzyl peroxide เพื่อลดการอักเสบของเซลล์และป้องกันการเติบโตของแบคทีเรีย
  • อนุพันธ์วิตามิเอ (Retinoids) เพื่อปรับสมดุลให้กับผิว ป้องกันการอุดตันของรูขุมขน และช่วยผลัดเซลล์ผิว

และควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่ปราศจากส่วนผสมน้ำมัน (Oil-free) และเหมาะกับผิวที่เกิดสิวง่ายเพื่อปกป้องการเกิดสิวผดค่ะ

ปัญหาสิวผด รักษาได้ที่ EY Clinic

หากยังสับสนว่ามีสิวผดต้องใช้อะไร หรือสิวผดรักษาอย่างไร เข้ามาพูดคุยกับหมอได้ที่ EY Clinic คลินิกอันดับหนึ่งเรื่องสิว ๆ ในย่านบางนาค่ะ เป้าหมายของเราคือสร้างความแข็งแรงให้ผิวและคืนความมั่นใจให้คุณ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ที่ร่วมกันกว่า 30 ปี เครื่องมือและห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน และตัวยาที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ใช้ยาเต็มปริมาตร ไม่มีการเจือจางยา และทุกทรีตเมนต์จะถูกดำเนินการโดยแพทย์ นอกจากนี้ยังมีการติดตามผลการรักษาเพื่อการันตีความพึงพอใจของคุณด้วยค่ะ 

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว

สิวผด รักษาอย่างไรให้หาย
Dr. Patnapa Vejanurug
Mar 8, 2024
เจาะลึกเรื่องสิวเสี้ยน สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกัน
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
เจาะลึกเรื่องสิวเสี้ยน สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกัน
ในบทความนี้ เราจะมีพูดถึงปัญหาผิวที่ทำให้ใครหลายคนกังวลใจและปวดหัว อย่าง “สิวเสี้ยน” ที่เกิดขึ้นทั้งกับหนุ่มสาววัยรุ่น และวัยทำงานค่ะ

ในบทความนี้ เราจะมีพูดถึงปัญหาผิวที่ทำให้ใครหลายคนกังวลใจและปวดหัว อย่าง “สิวเสี้ยน” ที่เกิดขึ้นทั้งกับหนุ่มสาววัยรุ่น และวัยทำงานค่ะ

สิ้วเสี้ยน คืออะไร มีลักษณะเป็นอย่างไร

หมอผึ้งเชื่อว่าเราคงจะเคยเห็นคลิปลอกสิวเสี้ยวด้วยมาส์กหรือคลิปบีบสิวตาม Tiktok หรือ YouTube กันมาบ้างแล้วนะคะ สิวเสี้ยน (Trichostasis Spinulosa) มีลักษณะเหมือนเสี้ยนหนามเส้นน้อย ๆ ที่กระจุกอยู่ในรูขมขน อาจจะมีสีดำหรือสีเหมือนเส้นขนเห็นได้ชัดเจนบริเวณจมูก

คำว่า “สิวเสี้ยน” ทำให้หลายคนมีความเข้าใจว่าสิวเสี้ยนคือสิวอุดตัน (Comedone) หรือ สิวหัวดำ (Blackheads) ที่ต้องรีบกำจัด แต่แท้จริงแล้ว สิวเสี้ยน คือไม่ใช่สิวนะคะ แต่เป็นเส้นขนที่รวมตัวกันอยู่ในรูขุมขน ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของการสร้างขนค่ะ เส้นขนเหล่านี้ก็จะรวมตัวกัน และรวมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และไขมันจากรูขมขนทำให้มองเห็นเป็นจุดสีดำนั้นเอง หมอขอสรุปความแตกต่างของสิวเสี้ยนและสิวหัวดำแบบนี้ค่ะ

  • สิวเสี้ยน เกิดจากการรวมตัวของเส้นขน เซลล์ผิว ไขมัน เคราติน และสิ่งตกค้างต่าง ๆ ในรูขุมขน ไม่มีการอักเสบ ติดเชื้อ และไม่อุดตันรูขุมขน
  • สิวหัวดำ คือสิวอุดตันหัวเปิดที่เกิดจากการที่รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป เมื่อรวมตัวกับเซลล์ผิว เคราติน และสิ่งตกค้างต่าง ๆ บนใบหน้าจึงทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน

บริเวณที่มักเกิดสิวเสี้ยน

พอพูดถึงสิวเสี้ยน หมอผึ้งเชื่อว่าทุกคนจะนึกถึงบริเวณจมูก ซึ่งสาเหตุที่เรามีสิวเสี้ยนเยอะตรงจมูกก็เพราะว่าจมูกเป็นพื้นที่ที่มีรูขุมขนอยู่เป็นจำนวนมาก บริเวณคาง ใต้คาง และหน้าผากก็เช่นกัน ซึ่งเราเรียกบริเวณเหล่านี้ของใบหน้าว่า T-zone นอกจากใบหน้า บริเวณหลังและหน้าอกก็ยังเป็นพื้นที่ที่มักเกิดสิวเสี้ยนค่ะ

สิวเสี้ยน เกิดจากอะไร

ต้องบอกก่อนว่าการมีสิวเสี้ยนนั้นเป็นเรื่องปกติ ปัญหาสิวเสี้ยนเยอะตรงจมูก หน้าผาก หรือคาง อาจกวนใจใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะกับคนที่มีรูขุมขนกว้างและคนที่มีผิวมัน สาเหตุของสิวเสี้ยนยังไม่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าอาจมีสาเหตุจากปัจจัยภายในร่างกายบางอย่างถูกรบกวน เช่น ระบบฮอร์โมนและต่อมไร้ท่อในร่างกายและยังมีข้อสันนิษฐานว่า อาจจะเกิดจากการรบกวนผิว หรือทำให้ผิวระคายเคือง เช่นการใช้ผลิตภัณฑ์บางอย่าง หรือขัดถูบริเวณผิวบ่อยๆ นอกจากนี้แพทย์บางท่านยังเชื่อว่าอาจเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนเช่นเดียวกับสิวซึ่งเกิดได้จากพฤติกรรมดังนี้ค่ะ

ล้างหน้าไม่สะอาด

การรักษาความสะอาดเป็นปัจจัยสำคัญของการดูแลผิวหน้า โดยเฉพาะกับคนที่ใช้เครื่องสำอาง ควรจะมีการเช็ดเมคอัพออกก่อนที่จะล้างหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้มีสารเคมีหรือสิ่งสกปรกตกค้างอยู่บนใบหน้ามากเกินไป

ซึ่งนอกจากการล้างหน้าให้สะอาดแล้ว เราควรหลีกเลี่ยงการจับหน้า หรือลูบหน้าบ่อย ๆ เพื่อรักษาความสะอาดด้วยค่ะ

ใช้สกินแคร์ โฟมล้างหน้า หรือเมคอัพที่ไม่ถูกกับผิว

ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกกับสภาพผิวของเราอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้า และส่งผลให้เกิดสิวเสี้ยนมากขึ้นค่ะ

ทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง

ของทอด ของมัน และของหวานเป็นสาเหตุตัวดีที่ทำให้ร่างกายของเราผลิตน้ำมันออกมาจากรูขุมขนมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การเกิดสิวอุดตันและสิวเสี้ยนที่มากขึ้น นอกจากนี้ อาหารเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบอีกด้วยค่ะ

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

ใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA หรือ Retinoid

กรด AHA ช่วยผลัดเซลล์ผิว และ BHA ช่วยสิ่งตกค้างที่มีส่วนผสมของน้ำมันและลดการอุดตันของรูขุมขนได้ดี รวมถึงช่วยผลัดเซลล์ผิวด้วย การดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มี AHA และ BHA ถือเป็นวิธีลดสิวเสี้ยนที่ได้ผลดี ส่วน Retinoid ก็มีสรรพคุณในการควบคุมความมันและยังเป็นตัวช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ดี สามารถใช้เพื่อรักษาสิวเสี้ยนได้เช่นกันค่ะ

ใช้มาสก์หรือแผ่นลอกสิวเสี้ยน

การใช้แผ่นหรือมาสก์เป็นอีกหนึ่งวิธีกำจัดสิวเสี้ยนที่ทำได้ง่าย และรวดเร็วที่บ้านค่ะ โดยเฉพาะกับคนที่มีสิวเสี้ยนเยอะตรงจมูก ปัจจุบันมีแผ่นลอกสิวเสี้ยนให้เลือกใช้มากมาย แต่สิ่งต้องระวังก็คือ หลังจากใช้แผ่นลอกสิวแล้วหรือมาสก์แล้ว ผิวหน้าอาจจะมีความแห้งหรือระคายเคืองได้ และอาจทำให้เกิดการแพ้ได้ค่ะ

กำจัดสิวเสี้ยนด้วยที่กดสิว

ที่กดสิวหรือ Comedone Extractor เป็นเครื่องมือที่หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เสริมความงาม และร้านค้าออนไลน์ แต่ข้อควรระวังของการใช้ที่กดสิวเพื่อกำจัดสิวเสี้ยนเองที่บ้านก็คือ ควรทำอย่างเบามือค่ะ การกดแรงเกินไปจะเป็นการทำร้ายผิวหน้า และอาจะทำให้เกิดเป็นแผล หรือการอักเสบได้ค่ะ หมอจึงไม่แนะนำวิธีกำจัดสิวเสี้ยนแบบนี้

กำจัดสิวเสี้ยนด้วย TCA Peeling

การลอกหน้าด้วยกรดผลไม้หรือ Trichloroacetic Acid (TCA) เป็นทรีตเมนต์ฟื้นฟูผิวหน้าที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้ง สิวเสี้ยน สิวอุดตัน หลุมสิว และสีผิวไม่สม่ำเสมอค่ะ วิธีนี้จะเป็นการใช้กรดเพื่อผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกออก ซึ่งจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว น้ำมันส่วนเกิน รวมถึงสิ่งสกปรกต่างๆ ออกจากผิวหน้า และกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสมานแผลและการผลิตคอลลาเจนค่ะ ซึ่งการลอกผิวยังช่วยกระชับรูขุมขนอีกด้วยค่ะ

กำจัดสิวเสี้ยนด้วยเลเซอร์กำจัดขน Long pulse NdYAG

เนื่องจากสาเหตุของสิวเสี้ยนคือการสร้างเส้นขนมากเกินไปในรูขุมขน การเลือกใช้วิธีการกำจัดขนจึงเป็นวิธีหนึ่งที่รักษาได้ตั้งแต่ต้นเหตุ และทำให้ป้องกันการเกิดซ้ำได้ระยะนึง อย่างไรก็ตามควรทำต่อเนื่อง 6-8 ครั้ง ระยะห่าง 4-6 สัปดาห์จึงจะได้ผลที่ดี และเป็นวิธีการที่ค่อนข้างปลอดภัยสูง

วิธีดูแลผิวหน้าให้ไม่มีสิวเสี้ยน

รักษาความสะอาดและล้างหน้าแบบ Double Cleansing

การรักษาความสะอาดช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากผิวหน้า ซึ่งเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ป้องกันปัญหาสิวเสี้ยน สิวอุดตันและสิวอักเสบได้ดีค่ะ

ส่วน Double Cleansing คือการทำความสะอาดผิวหน้า 2 ครั้ง ครั้งแรกด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็น Oil-based cleanser และครั้งที่สองด้วย Water-based cleanser ค่ะ การทำความสะอาดครั้งแรกด้วย Oil-based cleanser อย่างน้ำยาเช็ดเครื่องสำอาง จะช่วนกำจัดสิ่งตกค้างที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เช่น เครื่องสำอางและครีมกันแดด และการล้างครั้งที่สองด้วยเจลหรือโฟมที่เป็น Water-based cleanser จะช่วยให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งสกปรกหลงเหลืออยู่ให้แล้วค่ะ

หลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารมัน และอาหารที่มีน้ำตาลสูง

อย่างที่เรารู้กันว่า ของทอด ของมัน และของหวาน เป็นอาหารที่กินอร่อย แต่ก็ส่งผลเสียต่อร่างกายในหลาย ๆ ด้านค่ะ นอกจากของทอดของมันจะไม่ดีต่อระบบเลือดและหัวใจของเราแล้ว อาหารเหล่านี้ยัง

ทำให้ร่างกายของเราผลิตน้ำมันออกมาจากรูขุมขนมากขึ้น ดังนั้นการหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ จึงสามารถช่วยให้การเกิดสิวเสี้ยนลดน้อยลงได้ค่ะ

เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว

ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ก็ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของตนเองเพื่อไม้ให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว และเพื่อการบำรุงที่ดีที่สุดค่ะ

  • ผิวแห้ง - เลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อครีมและมีส่วนผสมของเซราไมด์ (Ceramide) และไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
  • ผิวมัน - เลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อเจลและมีส่วนผสมของซาลิซิลิก แอซิด (Salicylic acid) และไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) ซึ่งช่วยคุมความมันและกระชับรูขุมขน
  • ผิวแพ้ง่าย - เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน ปราศจากส่วนผสมของน้ำหอม (fragrance-free) และส่วนผสมอื่น ๆ ที่ทำมักทำให้เกิดการระคายเคือง (Hypoallergenic) ที่สำคัญ ควรมีการทดสอบผลิตภัณฑ์ในพื้นที่เล็ก ๆ ก่อนใช้ทั่วใบหน้า

รักษา ฟื้นฟู ดูแลผิวหน้าที่ EY Clinic

สำหรับคนที่มีปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นสิวเสี้ยน สิวอักเสบ รอยแผลเป็นจากสิว ริ้วรอย หรือผิวหน้าหมองคล้ำไม่สดใส ลองมาปรึกษาหมอผึ้ง แพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนังที่ EY Clinic ดูค่ะ คลินิกของเราถือเป็นคลินิกรักษาสิวที่ดีที่สุดในย่านบางนา มีทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์รวมกันถึง 30 ปี ที่พร้อมจะดูแลให้คำปรึกษากับคุณอย่างเต็มที่ค่ะ

EY Clinic พร้อมดูแลและแก้ปัญหาผิวให้คุณอย่างใส่ใจ ให้สุขภาพผิวของคุณดีขึ้น และมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับคุณค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว

เจาะลึกเรื่องสิวเสี้ยน สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกัน
Dr. Patnapa Vejanurug
Mar 8, 2024
ทำความเข้าใจ สิวฮอร์โมน กับวิธีรักษา กู้ผิวหน้าคืนความมั่นใจ
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
ทำความเข้าใจ สิวฮอร์โมน กับวิธีรักษา กู้ผิวหน้าคืนความมั่นใจ

สรุปใจความสำคัญ

  • สิวฮอร์โมนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย
  • สิวฮอร์โมนสามารถเป็นได้ทั้งสิวอักเสบและสิวไม่อักเสบ
  • สิวฮอร์โมนในวัยรุ่นมักพบบริเวณ T-zone
  • สิวฮอร์โมนในวัยทำงานมักพบบริเวณกรอบหน้า
  • สิวฮอร์โมนสามารถพบได้ในบริเวณอื่นของร่างกาย โดยเฉพาะ แผ่นหลัง ท้ายทอย และต้นแขน
  • วิธีการรักษาสิวฮอร์โมนเหมือนกับการรักษาสิวทั่วไป โดยสามารถรักษาได้ด้วยยากิน ยาทา การรักษาความสะอาด และหัตถการอย่าง Dermalight และเลเซอร์
  • เลเซอร์ที่ได้รับของบ่งชี้ว่า ควรใช้ในการรักษาปัญหาสิวฮอร์โมน คือเลเซอร์ ADVATX

ทำความรู้จักกับ “สิวฮอร์โมน”

สิวฮอร์โมน คือสิวที่เกิดขึ้นจากระดับความแปรปรวนของฮอร์โมน ประเภทของสิวฮอร์โมนก็มีทั้งสิวอักเสบและสิวอุดตัน ฮอร์โมนหลัก ๆ เกี่ยวข้องกับเกิดสิวฮอร์โมนก็คือ เอสโตรเจน (Estrogen) และ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ค่ะ และเรารู้กันดีว่าช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนเหล่านี้มีความแปรปรวนสูงมาก หนุ่มสาว ๆ ในช่วงวัยรุ่นส่วนใหญ่จึงมีมักปัญหาสิวฮอร์โมนค่ะ

แต่นอกจากคนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น สาว ๆ ที่ยังมีรอบอยู่ก็เดือนอยู่ก็อาจมีปัญหาสิวฮอร์โมนได้ค่ะ โดยสิวฮอร์โมนมักจะมาในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนรอบประจำเดือน และจะมาในช่วงที่เรามีความเครียดสูงค่ะ 

สิวฮอร์โมน เป็นแบบไหน

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า สิวที่ขึ้นเป็นสิวฮอร์โมนหรือไม่ ลองสังเกตตัวเองได้ ดังนี้ค่ะ

  • สิวฮอร์โมนมักจะขึ้นในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน หรือที่เรียกว่าช่วง PMS (Premenstrual Syndrome)
  • สิวฮอร์โมนมักมาในช่วงเวลาที่ร่างกายได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเวลาที่มีความเครียดสูง
  • สิวฮอร์โมนมักจะมาเป็นในรูปแบบของ ‘breakout’ หรือสิวเห่อ ที่มาทั้งสิวอักเสบและสิวอุดตัน
  • สิวฮอร์โมนมักจะเกิดบริเวณซ้ำกัน โดยหนุ่มสาวช่วงวัยรุ่นมักจะมีสิวฮอร์โมนที่บริเวณ T-zone และหนุ่มสาววัยทำงาน มักจะมีสิวฮอร์โมนบริเวณคางและกรอบหน้า

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวฮอร์โมน

เราสรุปได้คร่าว ๆ ว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวฮอร์โมนคือ ความแปรปรวนของเอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน  และความเครียดค่ะ

เอสโตรเจน (Estrogen) และ เทสโทสเตอโรน (Testosterone)

ร่างกายของเรามีทั้งเอสโตรเจน หรือที่บางคนเรียกว่า ฮอร์โมนเพศหญิง และเทสโทสเตอโรน หรือฮอร์โมนเพศชายค่ะ โดยตัวเทสโทสเทอโรนนี่แหละ ที่เป็นตัวการหลักในการเกิดสิวฮอร์โมน ระดับเทสโทสเทอโรนที่สูงทำให้รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ซึ่งทำให้เป็นสิวได้ง่ายขึ้น ในขณะที่เอสโตรเจนทำหน้าที่ควบคุมการผลิตน้ำมัน ช่วยให้ผิวไม่มันเกินไปค่ะ ในช่วงที่ฮอร์โมนมีความสมดุล สิวฮอร์โมนก็ไม่เกิดค่ะ

สาเหตุที่สิวฮอร์โมนมักจะมาในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือนเป็นเพราะในช่วงนี้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง ต่อมน้ำมันใต้ผิวจึงได้รับผลจากเทสโทสเทอโรนอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดเป็นสิวฮอร์โมนขึ้นมาค่ะ

ความเครียด

ความเครียดกับสิวฮอร์โมนเป็นของคู่กันค่ะ คนวัยทำงานคงเคยประสบปัญหาสิวฮอร์โมนในช่วงที่งานเยอะหรือพักผ่อนน้อยนะคะ ในช่วงที่เราเผชิญกับความเครียด ร่างกายของเราจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมามาก ฮอร์โมนตัวนี้ โดยปกติแล้วคอร์ติซอลจะสูงในช่วงเช้าหลังจากที่เราตื่นนอน เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมกับกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวันค่ะ

แต่เมื่อเราอยู่ในภาวะเครียด หรือมีการพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจะตอบสนองโดยการผลิตคอลติซอลออกมามากกว่าปกติ ซึ่งคอลติซอลทำให้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น และยังมีผลในการกดภูมิคุ้มกันซึ่งทำให้แบคทีเรีย P.acnes เติบโตบนผิวหนังเราได้ง่ายขึ้น ส่งผลเป็นสิวฮอร์โมนค่ะ

ภาวะที่อาจทำให้เกิดสิวฮอร์โมน

ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome หรือ PCOS)

เป็นภาวะที่ต่อมไร่ท่อมีความผิดปกติที่พบมากถึง 8-13% ในกลุ่มผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ค่ะ ภาวะ PCOS ทำให้ระดับฮอร์โมนไม่สมดุลและมีการแสดงออกทางอาการที่หลากหลาย อาการที่พบได้บ่อยคือ อาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ น้ำหนักขึ้น เป็นสิวฮอร์โมนบ่อย ๆ และอาการ “Hyperandrogenism” หรือ อาการแสดงที่มีฮอร์โมนเพศชายมากเกินไปค่ะ ร่างกายของคนที่มีภาวะ PCOS จะผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนออกมามากกว่าปกติ ทำให้ขนขึ้นตามร่างกายเยอะกว่าปกติโดยเฉพาะบริเวณใบหน้า แขนขา มีผิวมันและมีสิวรุนแรงรักษายากค่ะ

การตั้งครรภ์

ช่วงเวลาตั้งครรภ์เป็นอีกภาวะหนึ่งที่ระดับของฮอร์โมนมีความแปรปรวนสูงนะคะ และยังเป็นช่วงที่ความเครียดสูงไปด้วยทั้งทางร่างกายและจิตใจ จึงทำให้คุณแม่หลาย ๆ คนต้องเจอกับปัญหาสิวฮอร์โมน ซึ่งสิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ก็คือการรักษาความสะอาด ลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ หมอขอย้ำว่าให้หลีกเลี่ยงการใช้ยารักษาสิวฮอร์โมนด้วยตัวเองเพราะอาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ได้ค่ะ

การใช้ยาประเภทสเตียรอยด์

เนื่องจากยาประเภทสเตียรอยด์มีส่วนในการกดระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้แบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนังสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้เกิดเป็นสิวฮอร์โมนได้ง่ายค่ะ โดยพบว่า คนที่ใช้สเตียรอยด์เป็นประจำ มักมีสิวฮอร์โมนจำนวนมากขึ้นที่บริเวณแผ่นหลังค่ะ

บริเวณของการเกิดสิวฮอร์โมน

สำหรับสิวฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่น ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดในพื้นที่ T-zone หรือ บริเวณคาง จมูก และหน้าผาก และสำหรับสิวฮอร์โมนในผู้ใหญ่ ส่วนมากจะขึ้นบริเวณกรอบหน้าด้านล่าง อย่างเช่น ใต้คางและขากรรไกรค่ะ

บริเวณอื่น ๆ ของร่างกายที่มักเกิดสิวฮอร์โมน ได้แก่ บริเวณท้ายทอย แผ่นหลัง แขนช่วงบน

วิธีรักษาสิวฮอร์โมน

ใช้ยารักษาสิวฮอร์โมน

ยาแบบรับประทานที่ใช้กันในการรักษาสิวฮอร์โมน จะเป็นยาปฏิชีวนะ หรือยาอนุพันธ์วิตามินเอ

  • ยาปฏิชีวนะ เช่น Tetracycline และ Doxycycline ออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนัง มักจะเป็นตัวเลือกแรกที่แพทย์จ่ายให้กับคนที่มีปัญหาสิวค่ะ
  • ยาอนุพันธ์วิตามินเอ หรือ Isotretinoin เป็นยาที่ใช้รักษาสิวที่รุนแรง และสิวที่ไม่ดีขึ้นหลังใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ผลข้างเคียงของยาตัวนี้มีมากมายและค่อนข้างรุนแรง จึงจำเป็นต้องมีใบสั่งยาในการซื้อค่ะ

เกร็ดความรู้

ในช่วงวัยรุ่น สาว ๆ อาจจะเคยได้ยินว่ากินยาคุมจะรักษาสิวฮอร์โมนได้ ซึ่งการใช้ยาคุมกำเนิด (Oral contraceptive pills) แบบรายเดือนสามารถลดอาการเกิดสิวฮอร์โมนได้จริงค่ะ เนื่องจากยาคุมกำเนิดแบบรายเดือนจะปรับระดับฮอร์โมนในร่างกายคงที่ แต่ยาคุมกำเนิดก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้จึงควรทานเฉพาะถ้ามีข้อบ่งชี้ เช่น ต้องการคุมกำเนิดร่วมด้วย หรือคุณหมอวินิจฉัยแล้วว่ามีภาวะ PCOS และยาคุมไม่เหมาะสำหรับการรักษาสิวฮอร์โมนในหนุ่มๆ เลยค่ะ

อย่างไรก็ตาม ก่อนใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนนะคะ

แต้มยารักษาสิวฮอร์โมน

ยาแต้มสามารถช่วยรักษาสิวสิวฮอร์โมนได้ โดยยาส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบของ salicylic acid และ benzoyl peroxide หรืออาจจะเป็นยาปฏิชีวนะ (antibiotic) อย่าง clindamycin ค่ะ

  • Salicylic acid มีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวและควบคุมการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันใต้รูขุมขน ช่วยแก้ปัญหาทั้งสิวฮอร์โมนแบบสิวอุดตันและสิวอักเสบ
  • Benzoyl Peroxide เป็นตัวยาที่ใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ช่วยรักษาสิวอักเสบและป้องกันการเกิดสิวฮอร์โมนใหม่
  • Clindamycin ออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย P.acnes บนผิวหนังค่ะ

ยาแต้มสิวเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นยาที่สามารถซื้อได้ over-the-counter หรือซื้อได้แบบไม่ต้องใช้ใบสั่งยา แต่อย่างไรก็ดี หมอแนะนำให้ปรีกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้จะดีที่สุดค่ะ และยาเหล่านี้อาจทำให้ผิวระคายเคือง และลอกเป็นขุยได้ ฉะนั้นหมอแนะนำว่าควรมีการบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์อย่างต่อเนื่องด้วยค่ะ

รักษาด้วยการฉายแสง Dermalight

Dermalight เป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาผิวหน้าและแก้ปัญหาสิวฮอร์โมนที่มีความเสี่ยงต่ำและไม่เจ็บตัวเลยค่ะ Dermalight ใช้แสงที่ความยาวคลื่นต่างกันในการรักษาผิวหน้า แสงที่ถูกออกมาเพื่อรักษาสิวคือ 1. แสงสีน้ำเงิน (Blue light) ที่ความยาวคลื่นระหว่าง 405-410 นาโนเมตร ซึ่งมีอานุภาพในการทำลายเยื้อหุ้มเซลล์ของแบคทีเรีย P.acnes ทำให้แบคทีเรียตัวนี้ไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ และ 2. แสงสีแดง (Red light) ที่ความยาวคลื่น 630-700 นาโนเมตร มีสรรพคุณในการลดการอักเสบ กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และเร่งกระบวนการสมานแผลค่ะ

รักษาด้วยเลเซอร์

การรักษาผิวหน้าด้วยเลเซอร์เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันนะคะ เพราะเป็นวิธีที่เห็นผลรวดเร็ว มีความเสี่ยงต่ำ และรักษาปัญหาผิวได้ครอบคลุมค่ะ หลักการทำงานของเลเซอร์ในการรักษาสิวฮอร์โมนก็ง่ายๆ ค่ะ คือ พลังงานจากเลเซอร์จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ซึ่งเป็นตัวการให้เกิดสิวอักเสบ และช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน (sebaceous gland) ทำให้ผลิดน้ำมันได้น้อยลงค่ะ

เลเซอร์ได้รับข้อบ่งชี้ชัดเจนจาก FDA ว่ามีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการรักษาสิวฮอร์โมน เพราะ เลเซอร์ AdvaTx หรือ AdvaLight เป็นเลเซอร์แบบ Dual-wavelenghth หรือสองความยาวคลื่น AdvaTx ปล่อยแสงสีเหลืองที่ความยาวคลื่น 589 นาโนเมตรและอินฟราเรดที่ 1319 นาโนเมตร ซึ่งนอกจากจะมีประสิทธิภาพในการรักษาสิวฮอร์โมนแล้ว AdvaTx ยังเป็นหัตถการที่มีข้อบ่งชี้ในการรักษาปัญหาผิวอีกมากมาย เช่น ปานแดง ไฝแดง ฝ้าเลือด แผลเป็นประเภทหลุมสิว ริ้วรอยรอบดวงตาและรอบปากค่ะ

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวฮอร์โมน

จริงอยู่ที่เราไม่สามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนได้โดยตรง แต่เรามีวิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวฮอร์โมน และลดความรุนแรงของสิวฮอร์โมนได้ดังนี้ค่ะ

  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อลดความเครียดที่เป็นปัจจัยของการเกิดสิวฮอร์โมน
  • ใช้เครื่องสำอางให้น้อยลง และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อุดตันรูขุมขน
  • ดูแลรักษาความสะอาดของผิวหน้าและผิวกาย
  • เลือกสกินแคร์ที่เหมาะกับผิวหน้าของตัวเอง
  • หากเป็นสิวฮอร์โมนเรื้อรัง หรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อแผนการรักษาที่จะเหมาะกับคุณที่สุด

วิธีดูแลตัวเองระหว่างมีสิวฮอร์โมน

แม้เราจะดูแลผิวอย่างดีแล้ว บางครั้งบางทีสิวฮอร์โมนก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ค่ะ แต่เราก็มีวิธีดูแลตัวเองระหว่างช่วงที่เป็นสิวฮอร์โมนเพื่อลดการเกิดแผลเป็น และลดความรุนแรงของสิวที่ทำได้ง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าด้วยมือที่สกปรก
  • ไม่แคะ แกะ กด หรือบีบสิว เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง และนำไปสู่การเกิดหลุมสิว
  • แต้มยารักษาสิว เช่น Clindamycin เพื่อระงับการเติบโตของแบคทีเรีย และลดการอักเสบของสิวฮอร์โมน

รักษาสิวฮอร์โมนที่ EY Clinic

  • Acne basic: ทรีตเมนต์กดสิว มาสก์หน้าและทรีตเมนต์บำรุงผิว เริ่มต้นที่ 999 บาท
  • Acne plus: ทรีตเมนต์กดสิว และ dermalight (ทั่วหน้า) เริ่มต้นที่ 1,699 บาท
  • Acne advanced: ทรีตเมนต์กดสิว/มาสก์และทรีตเมนต์บำรุงผิว และ dermalight (ทั่วหน้า) เริ่มต้นที่ 1,999 บาท
  • Acne clearsure รวมทรีตเมนต์กดสิว เลเซอร์ AdvaTx (30 จุด) และ dermalight (ทั่วหน้า) 2,599 บาท

ทุกการรักษาที่ EY Clinic จะถูกดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีการให้คำปรึกษาก่อนและหลังการรักษา และมีการติดตามผลการรักษาด้วยค่ะ

กู้ผิวหน้า แก้ปัญหาสิวฮอร์โมนที่ EY Clinic

สำหรับคนที่มีปัญหาสิวฮอร์โมน สิวอุดตัน หรือปัญหาผิวอื่นๆ ที่สร้างความกังวลใจและรักษาไม่หายสักที สามารถเข้ามาปรึกษาที่ EY Clinic ได้ค่ะ เราคือทีมแพทย์ด้านผิวหนัง เวชศาสตร์ความงาม และเวชศาสตร์ฟื้นฟู ที่มีประสบการณ์รวมกับกว่า 30 ปี พร้อมให้คำปรึกษาและรักษาปัญหาทางผิวหนังแบบครอบคลุม โดยจะมุ่งเน้นไปที่ความผลลัพธ์ที่คุณอยากได้ และไม่มีการยัดเยียดทรีตเมนต์ที่ไม่จำเป็นค่ะ แวะมาปรึกษากับหมอผึ้ง และหมอเก่ง ๆ ท่านอื่นได้ที่ EY Clinic ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว

ทำความเข้าใจ สิวฮอร์โมน กับวิธีรักษา กู้ผิวหน้าคืนความมั่นใจ
Dr. Patnapa Vejanurug
Mar 8, 2024
Fractional RF ทางออกปัญหา หลุมสิว ผิวหย่อนคล้อย และริ้วรอย
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
Fractional RF ทางออกปัญหา หลุมสิว ผิวหย่อนคล้อย และริ้วรอย
ในบทความนี้ หมอผึ้งจะมาพาไปรู้จักกับ Fractional RF การรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อ หมอจะมาอธิบายถึงวิธีการทำงาน ประสิทธิภาพ และข้อเปรียบเทียบของ Fractional RF กับเลเซอร์ แบบเข้าใจง่ายกันค่ะ

ในบทความนี้ หมอผึ้งจะมาพาไปรู้จักกับเลเซอร์หลุมสิว Fractional RF การรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อ หมอจะมาอธิบายถึงวิธีการทำงาน ประสิทธิภาพ และข้อเปรียบเทียบของ Fractional RF กับเลเซอร์ แบบเข้าใจง่ายกันค่ะ

สรุปสาระสำคัญ

  • Fractional RF คือการรักษาปัญหาผิวด้วยคลื่นความถี่วิทยุที่ส่งผ่านเข็มขนาดจิ๋ว (Microneedle)
  • Fractional RF กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิวและกระบวนการสมานแผล ซึ่งรักษาหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผลของเคียงของ Fractional RF น้อยกว่าเมื่อเทียบกับหัตถการที่ใกล้เคียงกัน เช่น เลเซอร์
  • Fractional RF ถือเป็นทรีตเมนต์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ประสิทธิภาพสูง และเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนหลังทำทรีตเมนต์เพียงไม่กี่ครั้ง

Fractional RF ทำงานอย่างไร

เรามาเริ่มที่คำว่า RF กันก่อนค่ะ RF หรือ Radiofrequency ก็คือคลื่นความถี่วิทยุ ที่ใช้ในการกระตุ้น ฟื้นฟู และปรับสภาพผิวนั่นเอง เมื่อคลื่นวิทยุส่งผ่านเข้าสู่ชั้นผิวหนัง คลื่นตรงนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนที่ 55-65°C ซึ่งทำให้เส้นใยคอลลาเจน (Collagen fiber) และผิวชั้นหนังแท้เกิดการหดตัวค่ะ จากนั้นร่างกายของเราจะตอบสนองด้วยกระบวนการสมานแผล (Wound-healling process) ในกระบวนการนี้ เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ในชั้นผิวจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้น มีการปรับปรุงโครงสร้างของผิว (Skin Remodelling) และมีการเกิดใหม่ของเซลล์ (Regeneration) ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผิวยกกระชับ เต่งตึง ดูอ่อนวัย และ หลุมสิวและริ้วรอยที่ดูจางลงค่ะ

คำว่า Fractional หมายถึงอะไร

คำว่า Fractional ที่แปลว่า เป็นเศษส่วนเล็กน้อย บ่งบอกถึงวิธีการส่งคลื่นความถี่วิทยุเข้าสู่ผิวหนังค่ะ Fractional RF คือการส่งคลื่นวิทยุเข้าสู่ชั้นผิวด้วย Microneedle เข็มจิ๋วที่มีขนาดหัวเพียง 0.03 มิลลิเมตร และความยาว 0.5 ถึง 2.0 มิลลิเมตร เข็มจิ๋วเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นอิเล็กโทรดที่ถ่ายเทคลื่นวิทยุเข้าสู่ชั้นผิวค่ะ ซึ่งนอกจากจะทำให้ส่งผ่านคลื่น RF ได้ลึกแล้ว การใช้ microneedle คือการสร้างแผลเล็กๆ (Micro-injuries) ซึ่งเป็นการกระตุ้นกระบวนการสมานแผลไปในตัวด้วยค่ะ

เปรียบเทียบความแตกต่างของ Fractional RF และ RF 

บริเวณที่รักษา

RF ธรรมดาส่งผ่านคลื่นความถี่วิทยุผ่านหัวอิเล็กโทรด ทำให้ทั้งบริเวณที่สัมผัสกับแท่งโลหะที่ได้รับพลังงานความร้อนไปด้วย ในขณะที่ Fractional RF ใช้ microneedle ซึ่งส่งผ่านคลื่นความถี่ได้แม่นยำและตรงจุด โดยไม่รบกวนการทำงานของผิวหนังบริเวณรอบข้าง

ความลึกของการส่งผ่านคลื่น RF

RF ธรรมดาสามารถทำได้ทั่วหน้าโดยจะมีความลึกของการส่งคลื่น RF เท่ากันในทุกพื้นที่ค่ะ แต่สำหรับ Fractional RF แล้ว Microneedle จะช่วยให้เราสามารถกำหนดความลึกของการส่งคลื่น RF ได้ ซึ่งทำให้รักษาได้แม่นยำมากขึ้นเนื่องจากผิวหนังในแต่ละส่วนของใบหน้ามีความหนาไม่เท่ากันค่ะ อย่างเช่น ชั้นหนังแท้บริเวณแก้มอยู่ที่ความลึก 1.1 มิลลิเมตรและชั้นหนังแท้ของรอบดวงตาอยู่ที่ความลึก 0.47 มิลลิเมตรค่ะ

ผลข้างเคียงจากการรักษา

ทั้ง RF และ Fractional RF เป็นการใช้พลังงานความร้อนในการกระตุ้นเซลล์ผิวเหมือนกัน ผลข้างเคืองที่สามารถเกิดขึ้นได้ก็จะคล้าย ๆ กันค่ะ เช่น อาการบวม แดง ระคายเคือง หรือมีการเปลี่ยนแปลงของสีผิวบริเวณที่ทำทรีตเมนต์ แต่ RF อาจทำให้ผิวไหม้เป็นวงๆ เนื่องจากการส่งผ่านความร้อนผ่านหัวอิเล็กโทรดขนาดใหญ่ ได้ค่ะ (โดยเฉพาะในกรณีที่รักษากับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน)

Fractional RF ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง 

  • แก้ปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อย ช่วยยกกระชับใบหน้า
  • แก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึกและร่องตื้น
  • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้ผิว
  • กระชับรูขมขน
  • ฟื้นฟูผิวให้มีความกระจ่างใส ปรับสีผิวและผิวหน้าให้เรียบเนียน
  • ปัญหาหลุมสิว และรอยดำ รอยแดงจากสิว

คุณสมบัติของ Fractional RF

หมอขออธิบายลงลึกไปถึงคุณสมบัติที่ทำให้ Fractional RF เป็นทรีตเมนต์มีความยืดหยุ่น แม่นยำ และมีประสิทธิภาพนะคะ ทรีตเมนต์ตัวนี้จะใช้ความถี่อยู่ 3 รูปแบบ ซึ่งแต่ละความถี่จะมีประโยชน์ต่างกัน

  • 1.0 Mhz เหมาะกับผิวหน้าบริเวณที่มีความบอบบาง เช่น หน้าผาก รอบดวงตา และจมูก
  • 0.8 Mhz เหมาะกับผิวหน้าบริเวณที่มีเนื้อเยอะ เช่น แก้ม คางและบริเวณคอ
  • 1.0 Mhz และ 0.8 Mhz ร่วมกัน เหมาะกับการรักษาแผลเป็นจากสิวและหลุมสิว

ซึ่งการปล่อยคลื่นวิทยุยังสามารถปรับได้เป็น 2 โหมด ได้แก่ Pulse Mode และ CW Mode โดย Pulse Mode จะเป็นการปล่อยคลื่นแบบเป็นช่วงจังหวะ ซึ่งลดความระคายเคืองและลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงลง และ CW (Continuous-Wave) ซึ่งเป็นการปล่อยคลื่นแบบติดต่อกัน เหมาะสำหรับการฟื้นฟูในพื้นที่ใหญ่ค่ะ

ประสิทธิภาพของ Fractional RF ในการรักษาหลุมสิว

หลุมสิว (Atopic acne scar) คือแผลเป็นจากสิวที่ขึ้นชื่อว่ารักษาได้ยาก ใช้เวลานานค่ะ และเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนสูญเสียความมั่นใจ แต่ Fractional RF ก็ถือเป็นทรีตเมนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงและความเสี่ยงต่ำมากสำหรับการรักษาหลุมสิวค่ะ

งานวิจัยจาก Journal of Cosmetic Dermatology ได้ทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ Fractional RF ในการรักษาหลุมสิวในผู้ทดลอง ซึ่งทุกคน จะได้รับทรีตเมนต์ Fractional RF 3 ครั้งในช่วงเวลา 1 เดือน หลังการทดลองได้มีการสอบถามความพึงพอใจของทรีตเมนต์ และพบว่า 89% ของกลุ่มผู้ทดลองรู้พึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ และผลข้างเคียงที่พบได้แก้อาการเจ็บและบวมแดงเล็กน้อยหลังทรีตเมนต์ ไม่พบรอยด่างดำ รอยไหม้ หรือแผลเป็นถาวรใดๆ จากการรักษาค่ะ

เราจึงสามารถสรุปได้ว่า Fractional RF เป็นวิธีรักษาหลุมสิวที่ปลอดภัยด้วยโอกาสการเกิดผลข้างเคียงที่ต่ำและมีประสิทธิภาพสูงค่ะ

เปรียบเทียบ Fractional RF และ Fractional CO2 Laser

Fractional CO2 Laser เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ในปัจจุบันค่ะ ตัว Fractional CO2 เองมีการทำงานคล้าย ๆ กับ Fractional RF ซึ่งก็คือการใช้พลังงานความร้อนกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสมานแผลและฟื้นฟูผิว โดย Fractional CO2 Laser จะใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใต้ชั้นผิวเป็นตัวส่งผ่านเลเซอร์ ในขณะที่ Fractional RF ใช้เป็นเข็ม Microneedle ในการส่งผ่านคลื่นความถี่วิทยุค่ะ

ทั้ง RF และ CO2 Laser เป็นทรีตเมนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง แก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย โดยเฉพาะปัญหาหลุมสิว แต่สิ่งที่เป็นข้อได้เปรียบของ RF ก็คือโอกาสการเกิดรอยดำ (Hyperpigmentation) หลังการรักษาที่ต่ำค่ะ

Fractional RF และ Fractional CO2 Laser; รอยดำหลังการทำทรีตเมนต์

อย่างที่รู้กันว่าการทำหัตถการ Laser จะมาพร้อมกับอาการบวมแดง รอยไหม้ แผลเป็น และรอยด่างดำ หรือที่เรียกว่า Postinflammatory Hyperpigmentation (PIH) รอยดำเหล่านี้เกิดจากการที่เซลล์ผิวผลิตเม็ดสีเมลานินออกมามากเกินไปในผิวชั้นหนังกำพร้าและ/หรือหนังแท้ ซึ่งพบได้หลังจากที่ผิวหนังมีการอักเสบ และงานวิจัยจาก Journal of Cosmetic Dermatology ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า Fractional RF มีความเสี่ยงในการเกิดรอยด่างดำที่ต่ำกว่า โอกาสของการเกิดรอยไหม้ แผลเป็นน้อยกว่า และเจ็บน้อยกว่า เมื่อเทียบกับ Fractional CO2 เลเซอร์ค่ะ

สรุปข้อดีของ Fractional RF

  • เป็นทรีตเมนต์ที่ให้ได้หลากหลาย มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ
  • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่รบกวนการทำงานของเซลล์อื่น ๆ
  • แก้ไขปัญหาหลุมได้รวดเร็ว และเห็นผลชัดเจนหลังการรักษาเพียงไม่กี่ครั้ง
  • ผลข้างเคียงต่ำ ความเสี่ยงของการเกิดรอยไหม้ รอยแผลเป็น หรือรอยดำ หลังทำทรีตเมนต์มีน้อยเมื่อเทียบกับทรีตเมนต์ตัวอื่น
  • ใช้หน้าได้ตามปกติ ไม่ต้องรอพักฟื้นหลังทำ
  • เหมาะกับทุกเฉดสีผิว

Fractional RF ทำกี่ครั้ง ถึงจะเห็นผล

หมอแนะนำว่า Fractional RF ควรทำติดต่อกัน 3-4 ครั้ง เว้นระยะห่างกันประมาณ 4 สัปดาห์ ซึ่งผิวหน้าจะค่อยๆ ปรับสภาพและฟื้นฟูตัวเองตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย การทำ Fractional RF จะใช้เวลาประมาณ 45 นาทีค่ะ

หลังทำ Fractional RF ต้องดูแลตัวเองอย่างไร

หลังจากทำเสร็จแล้ว 24 ชั่วโมง สามารถล้างหน้าได้ และเพียงบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์และครีมกันแดดก็เพียงพอค่ะ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วง 1-2 วันแรกได้แก่ การใช้ยาทาสิว หรือครีมที่อาจทำให้ระคายเคืองค่ะ

Fractional RF ทำได้บ่อยแค่ไหน

การทำ Fractional RF ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 4 สัปดาห์ค่ะ โดยจะให้ผลลัพธ์เป็นใบหน้าที่กระชับ เรียบเนียน และกระจ่างใสมากขึ้นค่ะ ซึ่งเราสามารถทำ Fractional RF ซ้ำ เพื่อ คงผลลัพธ์ได้ทุก ๆ 12-18 เดือนค่ะ

Fractional RF เจ็บไหม

ระหว่างทำ Fractional RF อาจจะรู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองผิวเล็กน้อยค่ะ 

Fractional RF กี่วันเห็นผล

เราสามารเห็นผลลัพธ์ของ Fractional RF ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำค่ะ ซึ่งผิวจะใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ เพื่อผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ โดยเราจะสัมผัสได้ว่า ผิวเริ่มกระชับ หลุมสิวดูตื้นขึ้น และริ้วรอยดูจางลงค่ะ

ราคาเริ่มต้นที่ EY Clinic

ทรีตเมนต์ Fractional RF ที่ EY Clinic มีอยู่ 3 แพ็กเกจด้วยกันค่ะ

  • Size S - ทั่วหน้า 1 ครั้ง 4,999 บาท
  • Size M - ทั่วหน้า 2 ครั้ง 8,999 บาท
  • Size L - ทั่วหน้า 5 ครั้ง แถม 1 ครั้ง 24,995 บาท

ทุกหัตถการที่ EY Clinic ดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีการปรึกษาก่อนรักษา และไม่มีการยัดเยียดการรักษาที่ไม่จำเป็นอย่างแน่นอนค่ะ

ฟื้นฟูผิวหน้า บอกลาหลุมสิวและริ้วรอย ที่ EY Clinic

คลินิกของเราเข้าใจถึงความไม่สบายใจและความไม่มั่นใจที่มาพร้อมกับปัญหาผิวค่ะ เราจึงมีการปรึกษาก่อนทำทรีตเมนต์และมีการติดตามผลการทำทรีตเมนต์ทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าคุณพอใจกับการรักษาและมีสุขภาพผิวที่ดีขึ้นค่ะ เมื่อมารักษาที่ EY Clinic มั่นใจได้เลยว่าคุณจะได้รับ:

หัตถการและเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน - คลินิกของเราได้การรับรองมาตรฐานคลินิกเวชกรรมอย่างชัดเจน มีเครื่องมือ ตัวยา และห้องทำหัตถการที่ปลอดภัยและคุณภาพเชื่อถือได้ค่ะ

การรักษาโดยแพทย์ความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ - เราคือทีมแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวลล์เนสที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปีจากสถาบันชั้นนำของประเทศค่ะ

ความใส่ใจอย่างเป็นมืออาชีพ - การรักษาออกแบบเฉพาะตัวบุคคล มีการติดตามผล และให้คำแนะนำอย่างใส่ใจค่ะ

ความสบายใจ - เรามุ่งมั่นที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคุณโดยไม่มีการยัดเยียดการรักษาที่ไม่จำเป็น และไม่มีการผูกมัดค่ะ

ท่านใดมีปัญหาสิว ผิวหน้าหมองคล้ำ หลุมสิวหรือริ้วรอย นัดปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เบอร์ 061 594 1923 หรือติดต่อผ่าน LINE Official: @EyclinicTH ได้เลยค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว

อ้างอิง

เพื่อรับรองความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ หมอได้อ้างอิงแหล่งข้อมูลต่อไปนี้ค่ะ

  1. การใช้ Fractional CO2 Laser ร่วมกับ Fractional RF ในการรักษาแผลเป็นจากสิว https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/31141299/
  2. การวิเคราะห์อภิมาณ (Meta-analysis) ของ Fractional RF ในการรักษาสิวและ/หรือหลุมสิว https://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/jocd.15348
  3. ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ Fractional RF ในการรักษาหลุมสิว https://onlinelibrary.wiley.com/doi/full/10.1111/jocd.15454
  4. รอยดำหลังการอักเสบ หรือ Postinflammatory Hyperpigmentation https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK559150/
Fractional RF ทางออกปัญหา หลุมสิว ผิวหย่อนคล้อย และริ้วรอย
Dr. Patnapa Vejanurug
Mar 8, 2024
จบปัญหาสิวอักเสบ รอยแดงจากสิว ริ้วรอย – เลเซอร์ AdvaTx คือทางออก
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
จบปัญหาสิวอักเสบ รอยแดงจากสิว ริ้วรอย – เลเซอร์ AdvaTx คือทางออก
เลเซอร์ AdvaTx คือเทคโนโลยีจากประเทศเดนมาร์กที่ไม่เพียงแต่จะรักษารอยแผลเป็น สิว รอยดำ-รอยแดง แต่ยังช่วยเผยผิวใหม่ที่กระชับและอ่อนวัย

เลเซอร์ AdvaTx คืออะไร

เลเซอร์ AdvaTx คือเทคโนโลยีจากประเทศเดนมาร์กที่ไม่เพียงแต่จะรักษารอยแผลเป็น สิว รอยดำ-รอยแดง แต่ยังช่วยเผยผิวใหม่ที่กระชับและอ่อนวัย โดย AdvaTx ปล่อยแสดงเลเซอร์อยู่ 2 ตัว (Dual Wavelength) :แสงแรกที่ความคลื่น 589 นาโนเมตร หรือก็คือ แสงสีเหลือง (Yellow Light) และ แสงที่สองที่ 1319 นาโนเมตร หรือ อินฟราเรด (Infared) ซึ่งหมอจะได้อธิบายสรรพคุณของแสงทั้งสองตัวอย่างนี้ตามนี้ค่ะ

  • แสงสีเหลืองที่ 589 นาโนเมตร เมื่อยิงสู่ผิวหนังจะทะลุผ่านเข้าไปได้ถึงผิวชั้นกลาง (Dermis) ทำให้มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาผิวหนังที่เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือด เช่น โรคผิวหนังอักเสบโรเซเชีย (Rosacea) ฝ้าเลือด ไฝแดง ปานแดง และยังแก้ปัญหารอยแผลเป็นจากสิวและริ้วรอยรอบดวงตาได้ด้วยค่ะ
  • แสงอินฟราเรดที่ 1319 นาโนเมตรมีอานุภาพการทะลุทะลวงที่ลึกกว่าแสงสีเหลือง เข้าไปถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาสิวอักเสบ (Inflammatory acne vulgaris) หลุมสิว (Atropic acne scar) และริ้วรอยบนใบหน้า

นอกจากนี้ลำแสงอินฟราเรดยังช่วยลดการผลิตน้ำมันจากรูขุมขน ส่งผลให้หน้ามันน้อยลงด้วยค่ะ

ความพิเศษของ AdvaTx

เลเซอร์ AdvaTx คือการฟื้นฟูและเผยผิวใหม่ด้วยวิธี Non-ablative resurfacing ซึ่งวิธีนี้คือการใช้เลเซอร์ยิงเข้าผ่านเข้าชั้นผิวหนังเพื่อให้ความร้อนไปกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน อีลาสตินและเซลล์ผิวใหม่ออกมา ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวที่กระชับ แข็งแรง รวมไปถึงหลุมสิวและริ้วรอยที่ตื่นขึ้นด้วยค่ะ และหมอขอเสริมว่า วิธีนี้ยังไม่ทำให้ผิวหน้าบางด้วยค่ะ

เลเซอร์ AdvaTx คือหัตถการที่ได้รับการรับรองจาก FDA และ CE ว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงในการแก้ไขปัญหาผิวถึงมากกว่า 15 ปัญหาค่ะ อาทิ เช่น สิวอักเสบ ปานแดง ไฝแดง ฝ้าเลือด แผลเป็นประเภทหลุมสิว ริ้วรอยรอบดวงตาและรอบปาก

หมายเหตุ: CE ย่อมาจาก Conformité Européenne ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองมาตรฐานความปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในสหภาพยุโรปค่ะ เรามักจะเห็นเครื่องหมาย CE อยู่บนอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องวัดความดัน หรือปรอทวัดอุณหภูมิ เป็นต้น

เทคโนโลยี Pulsync ของเลเซอร์ ADVATx คืออะไร

คุณสมบัติของ AdvaTx นอกจากประสิทธิภาพในการรักษาสิว ริ้วรอย และรอยแดงสิวแล้ว เลเซอร์ AdvaTx ยังมีผลข้างเคียงที่น้อยกว่าเลเซอร์แบบทั่วไปด้วยค่ะ เราอาจจะเคยเห็นข่าว กรณีไปทำเลเซอร์แล้วหน้าไหม้เป็นวงแดง ๆ บวม หรือ ระคายเคือง ซึ่งอาจจะทำให้ทุกคนกังวลและกลัวเลเซอร์ไปเลย แต่เลเซอร์ Advatx มีเทคโนโลยี Pulsync ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะที่จดสิทธิบัตรแล้ว ตัว PulSync สามารถปล่อยลำแสงทั้งสองแบบสลับกัน หรือปล่อยแสงชนิดเดียว ก็ได้ ทำให้ AdvaTx ซึ่งเพิ่มความยืดหยุ่นในการรักษามากขึ้นค่ะ

อีกทั้งเลเซอร์ยังจะถูกยิงออกมาแบบถี่ ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ (หรือเรียกว่า Quasi-continous-wave) ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณรอบข้างไม่ร้อนจนได้รับความเสียหาย การยิงแสงแบบนี้ช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างหัตถการ และลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงอย่าง อาการเจ็บ บวม แดง และแผลเป็นจากความร้อนได้ด้วยค่ะ

และหมอยังสามารถเลือกได้ว่าจะยิงเลเซอร์เป็นจุดเดียว (Single-spot) หรือเป็นหลาย ๆ จุดแยกส่วนกัน (Fractionated) ก็ได้ ซึ่งทำให้ AdvaTx เป็นการรักษาที่มีความมีความแม่นยำสูงมากค่ะ

สรุปข้อดีของเลเซอร์ AdvaTx

  • Dual Wavelength - AdvaTx ยิงเลเซอร์ที่ 2 ความยาวคลื่น เพิ่มความยืดหยุ่นและครอบคลุมในการรักษา
  • FDA/CE approved - พิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยและได้ประสิทธิภาพในการรักษาอาการทางผิวหนังถึง 15 รายการ อาทิเช่น ปัญหาสิวอักเสบ ริ้วรอยตื้นๆ รอยแดง และแผลเป็น
  • Pulsync และ Quasi CW - โหมดการยิงเลเซอร์ปลอดภัยและแม่นยำ ช่วยให้ผู้รับการรักษาไม่ระคายเคืองหรือเจ็บ และยังลดอาการข้างเคียง
  • ความเสี่ยงต่ำ ไม่รอพักฟื้น - AdvaTx ทำได้ง่าย มีความเสี่ยงต่ำและมีประสิทธิภาพการรักษาที่สูง ไม่ทำให้หน้าผิวบาง ไม่ลอกผิว และใช้หน้าได้ตามปกติโดยไม่ต้องรอพักฟื้นค่ะ

ใครเหมาะกับเลเซอร์ AdvaTx

  • คนที่ประสบปัญหาสิวอักเสบเรื้อรัง และต้องการการรักษาการันตีผลลัพธ์รวดเร็ว
  • คนที่ประสบปัญหารอยแดงสิว และแผลเป็นจากสิว
  • คนที่มีความกังวลเรื่องรอยโรคที่มาจากความผิดปกติทางหลอดเลือด เช่น ไฝแดง ปานแดง ฝ้าเลือด
  • คนที่มีปัญหาสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ หรือมีผิวหน้าหมองคล้ำ ดูไม่สดใส
  • คนที่มีความกังวลเรื่องริ้วรอยตื้นๆ
  • คนที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าโดยรวม ให้หน้าดูผ่องใส ดูมีสุขภาพดี
  • คนที่ต้องการการปรับสภาพผิวหน้าแบบเร่งด่วน และต้องการการรักษาที่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด

ก่อนทำ AdvaTx ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

วิธีการเตรียมผิวหน้าก่อนทำเลเซอร์สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ

  • งดการสครับผิวหรือลอกผิวอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์
  • งดการใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA, และ เรตินอยด์ (Retinoids) อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์
  • งดโดนแดดจัด 1-2 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์
  • แจ้งแพทย์ผู้ดูแลเกี่ยวกับโรคประจำตัว ปัญหาผิวหนังอื่น ๆ และยาที่ใช้อยู่ทุกครั้งก่อนตัดสินใจทำหัตถการ

หลัง AdvaTx ต้องดูแลตัวเองอย่างไร

การดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์ AdvaTx คือขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยลดอาการบวมแดงหรือระคายเคือง ช่วยให้ผิวหน้าของเราฟื้นตัวอย่างเต็มที่ และช่วยให้่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ ซึ่งเราสามารถดูและตัวเองได้ง่าย ๆ ตามนี้เลยค่ะ

  • อาการบวมแดงหลังทำเลเซอร์สามารถบรรเทาได้ด้วยการประคบเย็น
  • หากอาการบวมแดง หรือระคายเคืองไม่ดีขึ้นภายใน 12 ชั่วโมง ควรปรึกษาแพทย์ทันที
  • งดใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA, และ เรตินอยด์ (Retinoids) อย่างน้อย 2-3 วันหลังทำเลเซอร์
  • หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรง - หากต้องออกแดด ควรใส่หมวกและทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป
  • หลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาบริเวณใบหน้า
  • งดการออกกำลังกายที่จะทำให้เหงื่อออกเป็นเวลา 24 ชั่วโมงหลังฉีด เพราะอาจทำให้เกินการคันและระคายเคืองได้
  • ล้างหน้าได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงโฟมล้างหน้าที่สรรพคุณในการผลัดเซลล์ผิว (Exfoliation)
  • บำรุงและความชุ่มชื้นกับผิวหน้าด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์

เลเซอร์ AdvaTX มีผลข้างเคียงไหม

ผลข้างเคียงของเลเซอร์ AdvaTX ถือว่าน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับเลเซอร์ตัวอื่น ๆ ค่ะ 

โดยผลข้างเคียงที่อาจพบได้คือ อาการบวมแดงหรือระคายเคียงเล็กน้อย ซึ่งจะบรรเทาลงเองภายใน 3-4 ชั่วโมง อีกทั้งโอกาสของการเกิดผิวไหม้หลังหัตถการ PIH (Post Inflammatory Hyperpigmentation) ก็น้อยมากด้วยค่ะ

เลเซอร์ AdvaTX ทำให้ผิวบางไหม

เลเซอร์ AdvaTX ไม่ทำให้ผิวบางค่ะ 

เนื่องจากเลเซอร์ AdvaTx เป็นการใช้ความร้อนจากแสงเลเซอร์ Dual-wavelength เพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูและเผยผิวใหม่ โดยไม่มีการลอกหรือขจัดเซลล์ผิวเก่า (Non-ablative resurfacing) ทำให้สามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวและเสริมความแข็งแรงให้ผิวได้ โดยไม่ทำให้หน้าบางค่ะ

รักษาสิว และปัญหาผิวต่าง ๆ ด้วย AdvaTx ที่ EY Clinic

คลินิกของเรามีการให้บริการเลเซอร์ AdvaTx อยู่หลายแบบ ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและความต้องการของแต่ละตัวบุคคลค่ะ โดยมี:

  • แพ็กเกจ ADVA clear แบบเฉพาะจุด 20 จุด เริ่มต้นที่ 799 บาท ต่อ ครั้ง
  • แพ็กเกจ ADVA clear แบบทั่วหน้า ไม่จำกัดจุด 3,299 บาท ต่อ ครั้ง หรือ 16,495 บาท ต่อ 6 ครั้ง
  • แพ็กเกจ Acne clearsure รวมทรีทเมนต์กดสิว เลเซอร์ AdvaTx (30 จุด) และ Dermalight (ทั่วหน้า) 2,599 บาทต่อครั้ง หรือ 12,995 บาท ต่อ 6 ครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นหัตถการอะไร ความปลอดภัยก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่งนะคะ ที่ EY Clinic เองมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง ทุกคนมีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี ยินดีที่จะดูแลคุณอย่างเต็มที่ค่ะ และหมอผึ้งเชื่อว่าการรักษาที่มีประสิทธิภาพคือ การรักษาที่เหมาะสมกับตัวบุคคล คลินิกของเรามีการให้คำปรึกษาทั้งก่อนและหลังทำหัตถการ และมีการติดตามผลลัพธ์เพื่อให้แน่ใจว่าคุณพึงพอใจกับบริการของเราค่ะ

รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง

จบปัญหาสิวอักเสบ รอยแดงจากสิว ริ้วรอย – เลเซอร์ AdvaTx คือทางออก
Dr. Patnapa Vejanurug
Jan 11, 2024
หลุมสิว เกิดจากอะไร รักษาเองได้ไหม รักษาด้วยวิธีไหนได้บ้าง
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
หลุมสิว เกิดจากอะไร รักษาเองได้ไหม รักษาด้วยวิธีไหนได้บ้าง
นบทความนี้ หมอผึ้งจะมาเล่าถึงสาเหตุของการเกิดแผลเป็นประเภทหลุมสิว วิธีการรักษาหลุมสิว และวิธีดูแลรักษาสิวที่จะช่วยให้หน้าเรียบเนียน ไม่เป็นหลุม

หลุมสิว เกิดจากอะไร รักษาเองได้ไหม รักษาด้วยวิธีไหนได้บ้าง

ไม่มีใครอยากมีใบหน้าขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ หมอเชื่อว่าปัญหาหลุมสิวและรอยแผลเป็นจากสิวที่ทำให้หน้าไม่เรียบเนียน ดูไม่สดใสเป็นอะไรที่ใครหลาย ๆ คนกลัว แต่สิวเป็นหนึ่งในโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในวัยรุ่น ซึ่งสิวที่หายแล้วมักทิ้งรอยแผลเป็นที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของเรา ในบทความนี้ หมอผึ้งจะมาเล่าถึงสาเหตุของการเกิดแผลเป็นประเภทหลุมสิว วิธีการรักษาหลุมสิว และวิธีดูแลรักษาสิวที่จะช่วยให้หน้าเรียบเนียน ไม่เป็นหลุม

หลุมสิวคืออะไร เกิดจากสาเหตุอะไร

หลุมสิว (Atrophic acne scars) คือแผลเป็นที่มากับสิวอักเสบ มีลักษณะเป็นรอยบุ๋มต่ำเมื่อเทียบกับระนาบผิวรอบข้าง หลุมสิวเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนมาซ่อมแซมจุดที่อักเสบ ซึ่งสาเหตุของหลุมสิวก็มาจากการรักษาสิวที่ผิดวิธี เช่น การบีบสิว กดสิว หรือแม้แต่การปล่อยให้สิวหายเอง

หลายคนอาจจะเข้าใจว่า การปล่อยให้สิวหายเองโดยไม่ทำอะไรเป็นวิธีที่ดีที่สุด ตรงนี้หมอขอชี้แจงว่า ไม่จริง เพราะการปล่อยให้สิวหายเองก็สามารถทิ้งรอยดำ (Hyperpigmentation scar) หรือทำให้เกิดหลุมสิวได้ สิวอักเสบควรได้รับการรักษาซึ่งทำได้ด้วยการใช้ยาที่มีส่วนผสมของ Benzyl peroxide, Retinoid, หรือยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยลดการอักเสบ ผลัดเซลล์ผิว และฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว

สิวแบบไหนจะกลายเป็นหลุมสิว

สิวที่ทำให้เกิดหลุมสิวคือสิวอักเสบ (Inflammatory acne) ซึ่งแบ่งออกได้ตามลักษณะดังนี้

  • สิวตุ่มแดง (Papule) - เป็นตุ่มนูนแดงแข็ง ๆ สัมผัสแล้วรู้สึกเจ็บ
  • สิวหัวหนอง (Pustule) - เป็นตุ่มนูนแดงมีหนองสีขาวตรงกลาง
  • สิวหัวช้าง (Nodule) - เป็นตุ่มแดงแข็งขนาดใหญ่ ภายในสิวเป็นหนองและเลือด ซึ่งอาจมีหัวเปิดเป็นหนอง (Cystic acne) เป็นสิวอักเสบรุนแรง สัมผัสแล้วรู้สึกเจ็บ และรักษาให้หายได้ยาก

ทรีตเมนต์กดสิวตามคลินิกจะทำให้เกิดเป็นหลุมสิวหรือไม่

หมอบอกก่อนว่าหัตถการการกดสิวจะทำได้กับสิวอุดตัน (Comedones) และควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะวิธีนี้ต้องอาศัยเทคนิค เครื่องมือ และความเชี่ยวชาญของแพทย์ในการประเมินลักษณะของสิว การกดสิวช่วยแก้ปัญหาการอุดตันได้รวดเร็วกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์และเป็นการป้องกันไม่ให้สิวหัวขาวเปลี่ยนเป็นสิวอักเสบ แต่ถ้าทำผิดวิธีหรือทำเองที่บ้านก็มีโอกาสทำให้ปัญหาสิวรุนแรงมากขึ้นหรือเกิดเป็นแผลเป็นได้

ประเภทของหลุมสิว

หลุมสิวแอ่งกระทะ หรือ Rolling scar มีลักษณะเป็นแอ่งตื้น ไม่มีขอบที่ชัดเจน มักเกิดที่บริเวณแก้ม และสามารถกินพื้นที่ได้ถึง 5 มิลลิเมตร หลุมสิวประเภทพบได้ไม่บ่อยเมื่อเทียบกับอีกสองประเภทแต่เป็นประเภทที่รักษาได้ง่ายที่สุด

หลุมสิวแบบกล่อง หรือ Boxcar มีลักษณะเป็นกล่องหรือบ่อกว้างที่มีขอบชัดเจน ความกว้างอยู่ที่ 1.5 - 4 มิลลิเมตร  ซึ่งนอกจากสิวแล้ว แผลจากตุ่มโรคอีสุกอีใสก็มักทำให้เกิดเป็นแผลแบบ Boxcar ได้

หลุมสิวแบบจิก หรือ Ice pick เป็นหลุมสิวที่รักษายากที่สุด และเป็นประเภทที่พบมากที่สุด (ุ60-70% ของแผลเป็นจากสิว) มีความลึกประมาณ 2 มิลลิเมตร ลักษณะจะเป็นแผลปากแคบ หลุมลึกและแหลมเหมือนถูกเจาะด้วยที่ตีน้ำแข็ง

หลุมสิวหายเองได้ไหม

ในผู้คนส่วนใหญ่ หลุมสิวเป็นปัญหาที่ไม่หายเอง แต่สามารถรักษาได้ด้วยการบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์และใช้ยาที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids) ซึ่งระยะเวลาการฟื้นตัวของหลุมสิวจะอยู่ที่ 4-6 เดือนขึ้นอยู่กับตัวบุคคล แต้ในกรณีของหลุมสิวที่กระจายอยู่ทั่วใบหน้า หรือมีหลุมสิวที่ลึก กว้างและเรื้อรัง หมอจะแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้รับการดูแลที่ถูกต้องและเหมาะสม

หลุมสิวรักษาได้ด้วยวิธีไหนบ้าง

รักษาด้วย CO2 เลเซอร์ (Laser)

เลเซอร์หลุมสิวเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน สามารถรักษาหลุมสิวระดับกลางถึงลึกได้อย่างเห็นผลชัดเจน ตัวที่ใช้กันส่วนมากและที่ EY Clinic ก็ใช้จะเป็น Carbon dioxide (CO2) Laser ซึ่งใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวกลางที่ทำให้เกิดแสงเลเซอร์ มีความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร แสงเลเซอร์จะเข้าไปทำให้น้ำในเซลล์และนอกเซลล์ร้อนขึ้น และทำลายผิวชั้นนอกเพื่อกระตุ้นกระบวนการสมานแผล ทำให้เซลล์เริ่มสร้างผิวและคอลลาเจนขึ้นมา

การทำรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ควรทำอย่างน้อย 3-5 ครั้งเป็นอย่างต่ำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน ซึ่งนอกจากหลุมสิวแล้ว รอยดำรอยแดงก็จางลง และรูขุมขนก็ยังกระชับขื้นด้วย

แต่ข้อเสียของการทำเลเซอร์รักษาหลุมสิวคือผลข้างเคียงที่ประกอบไปด้วย อาการแสบ คัน บวม ไปจนถึงการเกิดเป็นรอยด่าง โดยเฉพาะในคนที่มีผิวสีเข้ม เนื่องจากเลเซอร์จะจับกับเม็ดสีเมลานินในชั้นผิวหนังซึ่งมีมากในคนผิวเข้ม ทำให้ความเสี่ยงของผลข้างเคียงมากขึ้นตามไปด้วย

รักษาด้วยคลื่นวิทยุ (Radio-frequency หรือ RF)

วิธีนี้มีหลักการคล้ายกับการรักษาด้วยเลเซอร์ โดยจะเป็นใช้พลังงานคลื่นวิทยุที่ให้ความร้อนต่อผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมเซลล์ผิว ซึ่งการรักษาด้วยเลเซอร์หลุมสิว Fractional RF จะให้ผลข้างเคียงที่เบากว่าเลเซอร์ และเวลาพักฟื้นที่สั้นกว่า

ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว (Dermal Filler)

ฟิลเลอร์หลุมสิวก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คนทำกันเยอะ โดยตัวฟิลเลอร์ที่เป็นไฮยาลูรอนิก แอซิดจะถูกฉีดเข้าไปเพื่อเติมเต็มปริมาตรของชั้นผิวทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นถึง 70% และทำให้ผิวดูอิ่มน้ำมีความชุ่มชื้น แต่ฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดเพื่อรักษาหลุมสิวต้องเป็นฟิลเลอร์ที่มีเนื้อละเอียดอ่อน ประกอบกับว่าหมอที่ดูแลจะต้องมีความเชี่ยวชาญและมีทักษะที่ดีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ 

การกรอผิว (Dermabrasion)

การกรอผิว แท้จริงแล้วก็คือการใช้เกล็ดอะลูมิเนียมออกไซด์กรอไปบนผิวเพื่อลอกผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ออก วิธีนี้จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ หรือก็คือการผลัดเซลล์ผิวนั่นเอง แต่การกรอผิวอาจต้องทำติดต่อกันถึง 5-10 ครั้งก่อนจะเห็นผลที่ชัดเจน และไม่เหมาะกับหลุมสิวแบบ Ice pick หรือ Boxcar นอกจากนี้นหลังกรอหน้ายังมีอาการเจ็บแสบอีกด้วย

ส่วน Microdermabrasion ก็คือการกรอผิวเช่นกันแต่จะลอกหนังกำพร้าได้น้อยกว่าหรือลอกได้ไม่ลึกเท่ากับการกรอผิวปกติ ให้ผลข้างเคียงที่เบากว่า แต่ประสิทธิภาพก็น้อยกว่าด้วย

การตัดพังผืด (Subcision)

การตัดพังผืด หรือ subcision หลุมสิว คือการรักษาหลุมสิวด้วยการใช้เข็มขนาดเล็กสอดเข้าไปใต้ฐานของหลุมสิวเพื่อเลาะพังผืด (Fibrous tissue) ออก พังผืดนี้คือเนื้อเยื่อที่ร่างกายผลิตออกมาเพื่อสมานแผลและเป็นส่วนที่ดึงรั้งผิวหนังบริเวณฐานของหลุมสิวเอาไว้ ทรีตเมนต์การตัดพังผืดเหมาะกับหลุมสิวประเภท Rolling และ Boxcar ซึ่งนิยมทำควบคู่กับการฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มหลุมสิว

การแต้มกรด TCA Cross

การแต้มกรด TCA หลุมสิว หรือ Trichloroacetic acid เป็นการใช้กรดในการลอกผิวชั้นหนังกำพร้าออก (Chemical Peeling) เพื่อกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

การลอกผิวแบ่งได้เป็น 3 ระดับหลัก ๆ ได้แก่ การลอกผิวระดับตื้น (Superficial peeling) ระดับปานกลาง (Medium-depth peeling) และระดับลึก (Deep peeling) แต่ละระดับก็จะใช้เทคนิคและกรดที่มีความเข้มข้นต่างกัน ซึ่งนอกจาก TCA แล้วก็ยังมีกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) และฟีนอล (Phenol) ที่ใช้เป็นสารลอกผิว

วิธีเหมาะกับหลุมสิวแบบ Ice pick และ Boxcar แต่วิธีนี้อาจทำให้เกิดอาการแสบคัน ระคายเคือง และมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดรอยดำจากการกัดกร่อนของกรดได้

รักษาหลุมสิวด้วยรีจูรัน เอส (Rejuran S)

รีจูรันเป็นสารสกัดโพลีนิวคลีโอไทด์เข้มข้นจากปลาแซลม่อนที่ฉีดเพื่อฟื้นฟู กระตุ้นการสมานแผลและปรับสภาพผิว ตัว Rejuran S หลุมสิว ถูกพัฒนามาเพื่อแก้ไขปัญหาหลุมสิวและรอยแผลเป็นจากสิวโดยเฉพาะ และเป็นวิธีที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย

รีจูรัน เอส รักษาหลุมสิวได้อย่างไร

  • โพลีนิวคลีไทด์เข้าไปกระตุ้นกระบวนการผลิตเซลล์ผิวใหม่โดยจะทำงานในระดับดีเอ็นเอ และทำให้เกิดการหลั่งสาร Growth Factor ที่ช่วยสมานแผลและสร้างเนื่อเยื่อใหม่
  • รีจูรันทำให้ผิวมีความแข็งแรงด้วยการทำหน้าที่เหมือนนั่งร้าน ช่วยเสริมโครงสร้างให้สารที่เคลือบเซลล์ (Extracellular matrix หรือ ECM) และยังช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
  • กระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอย (Angiogenesis) ซึ่งเพิ่มการกำจัดของเสียเซลล์ที่ตายและช่วยบำรุงให้เซลล์ผิวแข็งแรง
  • มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบของเซลล์ (Anti-inflammatory effects) และลดแผลของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ

ชิ้นส่วนดีเอ็นเอของปลาแซลม่อนที่ถึงออกมานี้ได้รับการรับรองแล้วว่า ปลอดภัย มีความใกล้เคียงกับดีเอ็นเอของมนุษย์ ทำให้ทำงานเข้ากับร่างกายเราได้โดยไม่เป็นอันตราย นอกจากนี้ ด้วยความที่โพลีนิวคลีโอไทด์เป็นสารประกอบที่พบได้ตามธรรมชาติ เมื่อฉีดแล้วก็สามารถย่อยสลายได้ตามกระบวนการในร่างกายโดยไม่ทิ้งสารตกค้าง

ประสิทธิภาพของรีจูรัน เอส

หมออยากอ้างอิงถึงผลการงานวิจัยของ American Society for Laser Medicine & Surgery ที่ได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพของโพลีนิวคคลีโอไทด์เข้มข้นในการช่วยสมานรอยแผลจากการผ่าตัดไทรอยด์ (Open Total Thyroidectomy) โดยทีมผู้วิจัยได้แบ่งคนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัดเป็น 2 กลุ่ม

กลุ่มทดลอง - ได้รับการรักษาแผลด้วยแฟรคชันนัลเลเซอร์ (Fractional laser) บวกกับการฉีดรีจูรัน เอส

กลุ่มควบคุม - ได้รับการรักษาแผลด้วยแฟรคชันนัลเลเซอร์ (Fractional laser) บวกกับการฉีดน้ำเกลือ (Normal saline injection) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีทางการแพทย์ที่การช่วยกระตุ้นการสมานแผล

ผลการทดสอบพบว่า หลังจากผ่าตัดแล้ว แผลบริเวณคอของคนไข้ในกลุ่มทดลองจางกว่า และสมานตัวได้ดีกว่ากลุ่มควบคุม ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่า และยังไม่ทำทำให้เกิดผลข้างเคียงอีกด้วย 

รีจูรันจึงเป็นทรีตเมนต์ที่ที่แก้ปัญหารอยแผลเป็นได้ทำได้ง่าย สามารถทำควบคู่กับทรีตเมนต์ตัวอื่นได้ (ควรเว้นช่วงเวลาระหว่างแต่ละตัวให้เหมาะสม) และยังไม่มีต้องกังวลถึงเรื่องผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงในกลุ่มผู้ฉีดรีจูรันด้วย

ถ้ามีปัญหาสิวอยู่ จะดูแลผิวอย่างไรให้ไม่เกิดหลุมสิว

ถึงวิธีแก้ปัญหาหลุมสิวจะมีอยู่หลากหลายวิธี แต่หมอคิดว่า กันไว้ดีกว่าแก้เสมอ ฉะนั้นเราจะมีวิธีการดูแลรักษาหน้าอย่างไรให้เกิดปัญหาหลุมสิว-แผลเป็นจากสิวน้อยที่สุด

รักษาความสะอาด

ความสะอาดเป็นปัจจัยสำคัญของผิวหน้าไม่กลายเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย และเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้เพื่อลดปัญหาการเกิดสิว เพียงแค่ล้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ และดูแลข้าวของเครื่องใช่ส่วนตัวให้สะอาดก็ช่วยได้

รักษาสิวให้ถูกวิธี

เมื่อเป็นมีปัญหาสิวไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวฮอร์โมนหรือสิวที่เกิดจากการใช้ยากลุ่มเสตียรอยด์ หมออยากแนะนำให้เข้ารักษาหมอผิวหนังเพื่อให้ได้รับทรีตเมนต์ที่ดีที่สุด การรักษาของหมออาจจะเป็นการใช้ยาแต้มที่เป็นยาปฏิบัติชีวนะ ยากลุ่มเรตินอยด์ ยากลุ่มซาลิไซลิก แอซิด หรือเป็นการฉีดยาเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย

บำรุงผิวอย่างต่อเนื่อง

การใช้สกินแคร์เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ป้องกันการเกิดสิวและรอยสิวได้ดีมาก เนื่องจากสกินแคร์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้เซลล์และช่วยให้ผิวหน้าฟื้นฟูการอักเสบ นอกจากนี้การใช้สกินแคร์อย่างต่อเนื่องยังช่วยควบคุมความมันและปรับสมดุลให้เซลล์ผิว และอย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมที่จะเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวของตัวเองด้วย

สุดท้ายนี้ หากคุณมีปัญหาหลุมสิว รอยดำรอยแดง หรือปัญหาสิวเรื้อรังกวนใจที่รักษาไม่หายสักที ลองมาเข้ามาคุยกับ EY Clinic หมอและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเวชศาสตร์ความงามทุกคนยินดีให้คำปรึกษา เรายังเป็นคลินิกรักษาสิวอันดับ 1 ของย่านบางนาและเรามุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างสุขภาพผิวของคุณให้แข็งแรง คืนความมั่นใจและมอบความสวยในอุดมคติให้กับคุณ

รีวิวจากผู้ใช้งานจริง

หลุมสิว เกิดจากอะไร รักษาเองได้ไหม รักษาด้วยวิธีไหนได้บ้าง
Dr. Patnapa Vejanurug
Oct 16, 2023
AdvaTx vs. Dual Yellow สำหรับการรักษาสิว
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
AdvaTx vs. Dual Yellow สำหรับการรักษาสิว
วันนี้หมอผึ้งจะมาแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการรักษาสิวด้วยเลเซอร์ชื่อดัง 2 ความยาวคลื่น (Dual Wavelength) AdvaTx และ Dual Yellow

AdvaTx vs. Dual Yellow สำหรับการรักษาสิว

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสิว

สวัสดีค่ะ บทความนี้เป็นบทความแรกในซีรี่ส์ค้นหาตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับรอยสิว หากสนใจก็เข้าไปอ่านบทความที่ 2 และบทความที่ 3 ได้เลยนะคะ วันนี้หมอผึ้งจะมาแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการรักษาสิวด้วยเลเซอร์ชื่อดัง 2 ความยาวคลื่น (Dual Wavelength) AdvaTx และ Dual Yellow สิวเป็นปัญหาผิวทั่วไปที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้านทั่วโลก ไม่ใช่แค่ปัญหาของวัยรุ่นเท่านั้น ผู้ใหญ่ก็สามารถเป็นสิวได้เช่นกัน และผลกระทบของมันอาจรุนแรงมาก สิวสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของผิวหนัง เช่น การเกิดแผลเป็นและการเกิดรอยแดงรอยดำ และก็สามารถทำให้เกิดผลกระทบทางจิตใจอย่างมาก รวมถึงการเห็นคุณค่าในตนเองลดลงและความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้น

ในฐานะแพทย์ผิวหนัง หมอเห็นโดยตรงว่าสิวส่งผลต่อชีวิตคนไข้ของหมออย่างไร มันไม่ได้เกี่ยวกับอาการทางร่างกายเท่านั้น - ผลกระทบทางอารมณ์ก็สำคัญพอๆ กัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการค้นหาวิธีรักษาสิวที่มีประสิทธิภาพจึงสำคัญมาก

ในโลกของโรคผิวหนัง เราโชคดีที่มีตัวเลือกการรักษามากมายให้เราได้เลือกใช้ หนึ่งในวิธีการรักษาสิวที่เป็นนวัตกรรมและมีประสิทธิภาพมากที่สุดสองวิธีคือเลเซอร์ AdvaTx และ Dual Yellow ในโพสต์บทความนี้ หมอจะเปรียบเทียบการรักษาทั้งสองนี้ โดยเน้นที่ประสิทธิภาพในการรักษาสิว ในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพที่ใช้ AdvaTx ในคลินิกของหมอ หมอสามารถยืนยันถึงประสิทธิภาพและคุณประโยชน์เหนือการรักษาอื่นๆ รวมถึง Dual Yellow

คอยติดตามในขณะที่เราเจาะลึกโลกของการรักษาสิวด้วยเลเซอร์และค้นพบว่าทำไม AdvaTx จึงโดดเด่นท่ามกลางตัวเลือกเลเซอร์หลายๆเครื่องในวงการผิวหนัง

ทำความเข้าใจเลเซอร์รักษาสิว

ก่อนที่เราจะลงรายละเอียดเฉพาะของ AdvaTx และ Dual Yellow สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าการรักษาด้วยเลเซอร์ทำงานอย่างไรเพื่อจัดการกับสิว การรักษาด้วยเลเซอร์มีเป้าหมายที่ชั้นผิวที่ลึกกว่าโดยไม่ทำอันตรายต่อชั้นผิวตื้น ทำงานโดยใช้แสงเพื่อกำหนดเป้าหมายเป็นแบคทีเรียที่สามารถก่อให้เกิดสิว และกระตุ้นกระบวนการรักษาตามธรรมชาติของผิว

เลเซอร์ AdvaTx เป็นระบบเลเซอร์โซลิดสเตต (solid state) ที่ใช้สองความยาวคลื่น 589 นาโนเมตรและ 1319 นาโนเมตรเพื่อกำหนดเป้าหมายสิว ความยาวคลื่น 589 นาโนเมตรมีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบและรอยแดง ในขณะที่ความยาวคลื่น 1319 นาโนเมตรจะเจาะลึกเข้าไปในผิวหนังเพื่อกำหนดเป้าหมายไปยังต่อมไขมัน ลดการผลิตน้ำมันและท้ายที่สุดคือการก่อตัวของสิว

ในทางกลับกัน เลเซอร์ Dual Yellow ใช้แสงสองความยาวคลื่น 511 นาโนเมตรและ 578 นาโนเมตร เพื่อรักษาสภาพผิวต่างๆ รวมถึงสิว แสงสีเขียว (511 นาโนเมตร) กำหนดเป้าหมายไปที่เม็ดสี ในขณะที่แสงสีเหลือง (578 นาโนเมตร) กำหนดเป้าหมายไปที่หลอดเลือดเพื่อลดรอยแดงและการอักเสบ

ในขณะที่เลเซอร์ทั้งสองใช้ความยาวคลื่นคู่ (Dual Wavelength) เพื่อจัดการกับสิว เลเซอร์ AdvaTx มีข้อได้เปรียบที่ไม่เหมือนใคร ความยาวคลื่น 1319 นาโนเมตรที่ AdvaTx ใช้มีประสิทธิภาพเป็นพิเศษในการกำหนดเป้าหมายไปยังต่อมไขมัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดสิว ซึ่งหมายความว่า AdvaTx สามารถกำหนดเป้าหมายที่ต้นเหตุของการเกิดสิวได้โดยตรง ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและยาวนานขึ้น

ในหัวข้อถัดไป เราจะเจาะลึกลงไปถึงข้อดีเฉพาะของ AdvaTx ที่เหนือกว่า Dual Yellow ในการรักษาสิว

ข้อดีของ AdvaTx ในการรักษาสิว

ตอนนี้เราเข้าใจวิธีการทำงานของทั้ง AdvaTx และ Dual Yellow แล้ว เรามาเน้นที่ข้อดีเฉพาะของ AdvaTx ในการรักษาสิวกันเถอะ

  1. ประสิทธิภาพในการลดการผลิตน้ำมัน: ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ความยาวคลื่น 1319 นาโนเมตรที่ AdvaTx ใช้นั้นมีประสิทธิภาพเป็นพิเศษในการกำหนดเป้าหมายไปยังต่อมไขมันซึ่งมีหน้าที่ในการผลิตน้ำมัน โดยการลดการผลิตน้ำมัน AdvaTx จัดการสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวโดยตรง ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและยาวนานขึ้น
  2. ลดการอักเสบและรอยแดง: ความยาวคลื่น 589 นาโนเมตรที่ AdvaTx ใช้มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบและรอยแดงที่เกี่ยวข้องกับสิว สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การปรับปรุงที่มองเห็นได้ในทันที เพิ่มความมั่นใจและความพึงพอใจของผู้ป่วย
  3. ผลข้างเคียงน้อยที่สุด: การศึกษาพบว่า AdvaTx มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการแดงเล็กน้อยถึงปานกลางหลังการรักษา ซึ่งมักจะหายได้เร็ว สิ่งนี้ทำให้ AdvaTx เป็นตัวเลือกที่สะดวกสบายสำหรับผู้ป่วย
  4. มีผลกับผิวประเภทต่างๆ: AdvaTx ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลกับผิวประเภทต่างๆ รวมถึงผู้ที่มีสีผิวคล้ำ ทำให้เป็นตัวเลือกที่หลากหลายสำหรับผู้ป่วยที่หลากหลาย

ในทางตรงกันข้าม แม้ว่า Dual Yellow จะมีประสิทธิภาพในการรักษาสิว แต่ก็อาจไม่ได้ผลในการลดการผลิตน้ำมัน เนื่องจากไม่ได้ใช้ความยาวคลื่น 1319 นาโนเมตรเดียวกันกับ AdvaTx นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจพบผลข้างเคียงมากขึ้นจากการใช้ Dual Yellow เช่น ผิวหนังแห้งหรือลอก

ในหัวข้อถัดไป เราจะดูกรณีที่เกิดขึ้นจริงซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ AdvaTx ในการรักษาสิว

กรณีศึกษาในโลกแห่งความเป็นจริงและการศึกษาทางคลินิก

เพื่อแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ AdvaTx ในการรักษาสิว เรามาดูกรณีและการศึกษาทางคลินิกในโลกแห่งความเป็นจริงกันบ้าง

  1. กรณีศึกษา: เราพบผู้ป่วยจำนวนมากที่ EY Clinic ซึ่งพบว่าสิวของพวกเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังการรักษาด้วย AdvaTx ผู้ป่วยเหล่านี้รายงานว่าไม่เพียงแต่สิวผดที่ลดลง แต่ยังปรับปรุงพื้นผิวและสุขภาพผิวโดยรวมอีกด้วย ผู้ป่วยเหล่านี้หลายรายเคยลองใช้วิธีการรักษาอื่น ๆ ในอดีต รวมทั้งครีมเฉพาะที่และการรักษาด้วยเลเซอร์อื่น ๆ โดยไม่เห็นผลที่ต้องการ ความสำเร็จของกรณีเหล่านี้บ่งบอกถึงประโยชน์เฉพาะของ AdvaTx ในการรักษาสิว
  2. การศึกษาทางคลินิก: การศึกษาทางคลินิกหลายชิ้นได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ AdvaTx ในการรักษาสิว ตัวอย่างเช่น การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Journal of Cosmetic Dermatology ในปี 2018 พบว่าการรักษาด้วยเลเซอร์ความยาวคลื่นคู่ 589 นาโนเมตรและ 1319 นาโนเมตร (ความยาวคลื่นเดียวกันกับที่ AdvaTx ใช้) ทำให้รอยสิวลดลงอย่างเห็นได้ชัด การศึกษาอื่นที่ตีพิมพ์ในปี 2019 พบว่าการรักษาด้วยเลเซอร์ความยาวคลื่นคู่ช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ในทางตรงกันข้าม ในขณะที่ยังมีการศึกษาที่แสดงถึงประสิทธิภาพของ Dual Yellow ในการรักษาสิว การศึกษาเหล่านี้มักจะเกี่ยวข้องกับการรักษาร่วมกับการรักษาอื่นๆ ทำให้เป็นการยากที่จะระบุถึงผลลัพธ์ที่สังเกตได้อย่างชัดเจนของ Dual Yellow

การเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์รักษาสิว AdvaTx

ก่อนทำทรีตเมนต์เลเซอร์ AdvaTx เราสามารถเตรียมผิวหน้าตัวเอง เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุดได้ดังนี้ค่ะ

  • งดการสครับผิวหรือลอกผิวอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์รักษาสิว
  • งดการใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA, และ เรตินอยด์ (Retinoids) อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์รักษาสิว
  • งดโดนแดดจัด 1-2 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์รักษาสิว
  • แจ้งแพทย์ผู้ดูแลเกี่ยวกับโรคประจำตัว ปัญหาผิวหนังอื่น ๆ และยาที่ใช้อยู่ทุกครั้งก่อนตัดสินใจทำหัตถการ

การดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์รักษาสิว AdvaTx

  • การดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์ AdvaTx ตามคำแนะนำด้านล่างนี้ จะช่วยลดอาการบวมแดง และระคายเคืองจากเลเซอร์ และช่วยให้ผิวหน้าของเราฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ค่ะ
  • หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรง - หากต้องออกแดด ควรใส่หมวกและทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป
  • หลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาบริเวณใบหน้า
  • งดการออกกำลังกายที่จะทำให้เหงื่อออกเป็นเวลา 24 ชั่วโมงหลังฉีด เพราะอาจทำให้เกิดการคันและระคายเคืองได้
  • ล้างหน้าได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงโฟมล้างหน้าที่สรรพคุณในการผลัดเซลล์ผิว (Exfoliation)
  • งดใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA, และ เรตินอยด์ (Retinoids) อย่างน้อย 2-3 วันหลังทำเลเซอร์
  • บำรุงและความชุ่มชื้นกับผิวหน้าด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์
  • อาการบวมแดงหลังทำเลเซอร์ สามารถบรรเทาได้ด้วยการประคบเย็น
  • หากอาการบวมแดง หรือระคายเคืองไม่ดีขึ้นภายใน 12 ชั่วโมง ควรปรึกษาแพทย์ทันที

เลเซอร์ AdvaTx เหมาะกับใครบ้าง

  • คนที่ประสบปัญหาสิวอักเสบเรื้อรัง และต้องการการรักษาที่การันตีผลลัพธ์รวดเร็ว
  • คนที่ประสบปัญหารอยแดงสิว และแผลเป็นจากสิว
  • คนที่มีความกังวลเรื่องริ้วรอยร่องตื้น
  • คนที่มีความกังวลเรื่องรอยโรคที่มาจากความผิดปกติทางหลอดเลือด เช่น ไฝแดง ปานแดง ฝ้าเลือด
  • คนที่มีปัญหาสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ หรือมีผิวหน้าหมองคล้ำ ดูไม่สดใส
  • คนที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าโดยรวม ให้หน้าดูผ่องใส ดูมีสุขภาพดี
  • คนที่ต้องการการปรับสภาพผิวหน้าแบบเร่งด่วน และต้องการการรักษาที่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด

รีวิวเคส AdvaTx ที่ EY Clinic

สรุป

สรุปแล้ว เมื่อพูดถึงการรักษาสิว AdvaTx โดดเด่นด้วยเหตุผลหลายประการ:

  1. ความยาวคลื่นคู่: AdvaTx ใช้การผสมผสานระหว่างความยาวคลื่น 589nm และ 1319nm ที่เป็นเอกลักษณ์ วิธีการแบบความยาวคลื่นคู่นี้ช่วยให้สามารถกำหนดเป้าหมายได้ทั้งชั้นตื้นและชั้นลึกของผิวหนัง โดยรักษาทั้งปัญหาที่มองเห็นได้และสาเหตุของสิว
  2. ประสิทธิภาพ: ทั้งกรณีศึกษาจริงและการศึกษาทางคลินิกได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ AdvaTx ในการลดการเกิดสิวและปรับปรุงสุขภาพผิว ผู้ป่วยที่ EY Clinic ได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ และผลลัพธ์เหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
  3. ความปลอดภัยและความสบาย: ทรีตเมนต์ AdvaTx นั้นปลอดภัยและสะดวกสบาย โดยมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด นี่เป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญเหนือการรักษาอื่นๆ ที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายหรือต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
  4. ความสามารถรอบด้าน: นอกจากการรักษาสิวแล้ว AdvaTx ยังสามารถจัดการกับปัญหาผิวอื่นๆ ได้อีกหลายอย่าง เช่น โรคrosacea ปานแดง แผลเป็นคีลอยด์ ปัญหาการสร้างเม็ดสี และการฟื้นฟูผิว ทำให้เป็นเครื่องมืออเนกประสงค์สำหรับสุขภาพผิวโดยรวม

ในทางตรงกันข้าม แม้ว่า Dual Yellow จะมีประสิทธิภาพในการรักษาสิว แต่ก็ไม่ได้มอบความอเนกประสงค์ ความสะดวกสบาย หรือประสิทธิภาพที่พิสูจน์แล้วในระดับเดียวกับ AdvaTx ที่ EY Clinic เรามุ่งมั่นที่จะให้การรักษาที่ดีที่สุดแก่ผู้ป่วยของเรา และนั่นคือเหตุผลที่เราเลือกให้บริการ AdvaTx เราเชื่อว่าผลิตภัณฑ์นี้ให้ผลลัพธ์ที่เหนือกว่าสำหรับผู้ป่วยของเราที่มีปัญหาสิว และเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นผลกระทบเชิงบวกต่อสุขภาพผิวของพวกเขาต่อไป

รักษารอยสิวได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยด้วย AdvaTx ที่ EY Clinic

ปัญหาสิวที่ทำให้ผิวหน้าของคุณเป็นรอยดำรอยแดงจนขาดความมั่นใจ สามารถรักษาได้อย่างอยู่หมัดด้วยการทำ AdvaTx ที่ EY Clinic โดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวลล์เนสที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปีจากสถาบันชั้นนำของประเทศ ซึ่งทำการคัดสรรเทคโนโลยีเลเซอร์ตัวใหม่ล่าสุดอย่าง AdvaTx ที่จะเข้ามาช่วยฟื้นฟูสภาพผิวของคุณให้กลับมาเรียบเนียนได้อย่างรวดเร็ว ปรึกษาเราตอนนี้ได้ที่เบอร์ 061 594 1923 หรือติดต่อผ่าน LINE Official: @EyclinicTH

References:

1. AdvaTx: The Most Advanced Yellow Laser in the World. Advalight.

2. Dual Yellow Laser: A Multi-Function Laser. Cynosure.

3. Adult female acne: a guide to clinical practice. PubMed Central (PMC)

4. AdvaTx vs Vbeam. EY Clinic.

5. AdvaTx vs Dual Yellow. EY Clinic.

6. AdvaTx: The Gold Standard for Acne Treatment. Advalight.

7. Dual Yellow Laser for Acne Treatment. Cynosure.

AdvaTx vs. Dual Yellow สำหรับการรักษาสิว
Dr. Patnapa Vejanurug
Jun 7, 2023
AdvaTx vs. Dual Yellow vs. Vbeam สำหรับการรักษาสิว
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
AdvaTx vs. Dual Yellow vs. Vbeam สำหรับการรักษาสิว
ในบล็อกโพสต์นี้ เราจะเจาะลึกการเปรียบเทียบโดยละเอียดของการรักษาสิวด้วยเลเซอร์ชั้นนำ 3 ชนิด ได้แก่ AdvaTx, Dual Yellow และ Vbeam

AdvaTx vs Dual Yellow vs Vbeam สำหรับการรักษาสิว

บทนำ

สวัสดีค่ะ บทความนี้เป็นบทความที่ 3 และบทสุดท้ายในซีรี่ส์ค้นหาตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับรอยสิว  หากสนใจก็เข้าไปอ่านบทความที่ 1 และบทความที่ 2 ได้เลยนะคะ วันนี้หมอผึ้งจะมาแชร์ประสบการณ์การใช้เครื่องเลเซอร์ 3 แบบให้ฟังนะคะ หมอเป็นแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง หมอมีความยินดีที่จะต้อนรับคุณเข้าสู่บล็อกของเรา ซึ่งเรามุ่งมั่นที่จะให้ข้อมูลที่ครอบคลุมและเชื่อถือได้เกี่ยวกับความก้าวหน้าล่าสุดในการรักษาสิว

ในบล็อกโพสต์นี้ เราจะเจาะลึกการเปรียบเทียบโดยละเอียดของการรักษาสิวด้วยเลเซอร์ชั้นนำ 3 ชนิด ได้แก่ AdvaTx, Dual Yellow และ Vbeam การรักษาเหล่านี้ได้รับความนิยมในวงการแพทย์ผิวหนังเนื่องจากประสิทธิภาพในการรักษาสภาพผิวต่างๆ รวมถึงสิว

นี่คือสิ่งที่คุณคาดหวังได้จากโพสต์บล็อกนี้:

  1. ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิว: เราจะเริ่มด้วยการให้ข้อมูลภาพรวมคร่าวๆ ของสิว - อะไรเป็นสาเหตุของสิว ประเภทต่างๆ และเหตุใดการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญ
  2. ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ AdvaTx, Dual Yellow และ Vbeam: เราจะแนะนำคุณเกี่ยวกับการรักษาด้วยเลเซอร์ทั้งสามนี้ โดยอธิบายถึงวิธีการทำงาน ประโยชน์ และการประยุกต์ใช้ในการรักษาสิว
  3. การเปรียบเทียบ AdvaTx, Dual Yellow และ Vbeam: เราจะให้การเปรียบเทียบเชิงลึกของการรักษาเหล่านี้ โดยเน้นที่ประสิทธิภาพ ผลข้างเคียง ระยะเวลาการรักษา และค่าใช้จ่าย
  4. เหตุใดหมอจึงเลือก AdvaTx: เราจะเจาะลึกข้อดีเฉพาะของ AdvaTx และเหตุใดจึงอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาสิวของคุณ
  5. การเลือกคลินิกที่เหมาะสมสำหรับการรักษาของคุณ: สุดท้าย เราจะแนะนำคุณเกี่ยวกับวิธีการเลือกคลินิกที่เหมาะสมสำหรับการรักษาสิวของคุณ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของแพทย์ผิวหนังที่มีประสบการณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย

ในตอนท้ายของบล็อกโพสต์นี้ เราหวังว่าจะให้ความรู้ที่จำเป็นแก่คุณในการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดเกี่ยวกับการรักษาสิวของคุณ ดังนั้น เรามาเริ่มต้นการเดินทางสู่ผิวที่กระจ่างใสและสุขภาพดีกันดีกว่า

ทำความเข้าใจกับสิวและผลกระทบของการเป็นสิว

สิวเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนอุดตันด้วยน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ร่วมกับมีเชื้อแบคทีเรียบริเวณผิวหนังเพิ่มจำนวนขึ้น พบได้บ่อยที่สุดในวัยรุ่น แต่สามารถส่งผลกระทบต่อคนทุกวัย สิวสามารถปรากฏตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมทั้งใบหน้า หน้าผาก หน้าอก หลังส่วนบน และไหล่ ผลกระทบของสิวมีมากกว่าอาการทางร่างกาย นอกจากนี้ยังสามารถมีผลกระทบทางจิตใจอย่างมาก นำไปสู่การลดความภาคภูมิใจในตนเอง ความวิตกกังวล และในกรณีที่รุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า ดังนั้นการรักษาที่มีประสิทธิภาพจึงไม่ใช่แค่การทำให้ผิวกระจ่างใส แต่ยังรวมถึงการปรับปรุงคุณภาพชีวิตโดยรวมด้วย

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ AdvaTx, Dual Yellow และ Vbeam

AdvaTx, Dual Yellow และ Vbeam คือการรักษาด้วยเลเซอร์ขั้นสูงที่ใช้ในโรคผิวหนัง พวกเขาใช้ความยาวคลื่นเฉพาะของแสงเพื่อกำหนดเป้าหมายและรักษาสภาพผิวต่างๆ รวมทั้งสิว

  • AdvaTx ใช้สองความยาวคลื่น 589nm และ 1319nm เพื่อรักษาสภาพผิวต่างๆ รวมถึงสิว รอยแผลเป็นจากสิว และรอยโรคที่มีเม็ดสี เป็นที่รู้จักในด้านประสิทธิภาพและผลข้างเคียงน้อยที่สุด
  • Dual Yellow คือการรักษาด้วยเลเซอร์ที่ใช้ความยาวคลื่น 578nm และ 511nm มีประสิทธิภาพในการรักษาสิว ฝ้า และรอยโรคของหลอดเลือดและเม็ดสีอื่นๆ
  • Vbeam คือเลเซอร์ pulsed dye ที่ใช้รักษาสิวมานานหลายปี เป็นที่ทราบกันดีว่ามีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบของสิวและรอยแดง

ในหัวข้อต่อไปนี้ หมอจะลงลึกในแต่ละการรักษาเหล่านี้ สำรวจประโยชน์ ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และประสิทธิภาพในการรักษาสิว

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Dual Yellow, Vbeam และ AdvaTx

Dual Yellow

การรักษาด้วยเลเซอร์ Dual Yellow ใช้สองความยาวคลื่น 578 นาโนเมตรและ 511 นาโนเมตร เพื่อรักษาสภาพผิวต่างๆ ความยาวคลื่น 578 นาโนเมตรใช้เพื่อรักษาสภาพของหลอดเลือด เช่น โรคโรซาเซีย ปานแดง รอยแดงจากสิว และสิวอักเสบในขณะที่ความยาวคลื่น 511 นาโนเมตรใช้ในการรักษารอยโรคที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับเม็ดสี เช่น ฝ้า กระ

คุณสมบัติที่สำคัญของ Dual Yellow:

  • ความยาวคลื่นคู่: 578 นาโนเมตร และ 511 นาโนเมตร
  • รักษาปัญหาผิวที่หลากหลาย
  • ความรู้สึกไม่สบายและการหยุดทำงานน้อยที่สุด
  • ไม่ต้องใช้ความเย็นหรือยาชา

Vbeam

Vbeam เป็นเลเซอร์ pulsed dye  (PDL) ที่ใช้ความยาวคลื่น 595 นาโนเมตรเพื่อรักษารอยโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือด หรือรอยแดง เช่น  rosacea, ปาน port wine stain, เส้นเลือดฝอยบริเวณ ใบหน้าและขา, hemangiomas, angiomas, spider angiomas, สิวอักเสบและแผลเป็น

คุณสมบัติที่สำคัญของ Vbeam:

  • ความยาวคลื่น : 595 นาโนเมตร
  • รักษาปัญหาผิวเกี่ยวกับหลอดเลือดและรอยแดง
  • มีความรู้สึกเจ็บบ้างในระดับที่ทนได้และอุบัติการณ์ของผลข้างเคียงต่ำ
  • มีการปล่อยไอเย็นเพื่อทำให้รู้สึกสบายขณะทำมากขึ้นและปกป้องผิวจากแสงเลเซอร์

AdvaTx

AdvaTx เป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นสองช่วงคือ 589 นาโนเมตรและ 1319 นาโนเมตร เพื่อกำหนดเป้าหมายตามปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ความยาวคลื่น 589 นาโนเมตรใช้เพื่อรักษาภาวะที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือด เช่น โรคโรซาเซีย ปานแดง รอยแดงจากสิว และสิวอักเสบ ในขณะที่ความยาวคลื่น 1319 นาโนเมตรใช้สำหรับกระตุ้นคอลลาเจน ลดริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น และรักษารอยแผลเป็นจากสิว

คุณสมบัติที่สำคัญของ AdvaTx:

  • ความยาวคลื่นคู่: 589 นาโนเมตร และ 1319 นาโนเมตร
  • รักษาปัญหาผิวที่หลากหลาย
  • ความรู้สึกไม่สบายและระยะเวลาการพักฟื้นน้อยที่สุด
  • ไม่ต้องใช้ความเย็นหรือยาชา

ในหัวข้อถัดไป หมอจะเจาะลึกถึงประโยชน์และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาเหล่านี้

ผลข้างเคียงและความเสี่ยง

AdvaTx

มีรายงานว่า AdvaTx มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ รอยแดงเล็กน้อยซึ่งมักจะน้อยกว่าเลเซอร์อื่นๆ เช่น PDL หรือเลเซอร์ Nd:YAG ที่อาจทำให้เกิดรอยช้ำ (Purpura) หรือการเกิดสะเก็ด AdvaTx  ไม่เกิดรอยดำหรือรอยแผลเป็นในคนไข้ที่มีสีผิวเข้ม มีความเจ็บในระดับต่ำขณะทำการรักษา

Dual Yellow

เลเซอร์ Dual Yellow ถือว่าปลอดภัยและโดยทั่วไปคนไข้สามารถทนได้เป็นอย่างดี ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดจะเกิดขึ้นชั่วคราวและอาจรวมถึงรอยแดง บวม และคันบริเวณที่ทำการรักษา ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงสองสามวัน มีความเสี่ยงต่ำต่อการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี ในผิวหนัง 

Vbeam

การรักษาด้วยเลเซอร์ Vbeam โดยทั่วไปมีความปลอดภัยและมีผลข้างเคียงน้อย อย่างไรก็ตาม คนไข้บางรายอาจพบผลข้างเคียงชั่วคราว เช่น รอยแดง บวม ช้ำ และมีรอยคล้ำ ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะหายไปภายในสองสามวันถึงหนึ่งสัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะเกิดแผลเป็นและการติดเชื้อแม้ว่าจะพบได้น้อยก็ตาม

สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าผลข้างเคียงและความเสี่ยงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ปัญหาที่กำลังรับการรักษา ตลอดจนทักษะและประสบการณ์ของผู้ประกอบวิชาชีพ ปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณสมบัติเสมอเพื่อทำความเข้าใจความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับการรักษาเหล่านี้

การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของการรักษา AdvaTx, Dual Yellow และ Vbeam

เมื่อพิจารณาการรักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายมักเป็นปัจจัยสำคัญ ที่นี่ หมอแสดงการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาด้วย AdvaTx, Dual Yellow และ Vbeam ในประเทศไทย โปรดทราบว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับคลินิกเฉพาะและความต้องการของคนไข้แต่ละราย

  1. ค่ารักษาด้วย AdvaTx: 3,000-5,000 บาทต่อครั้ง
  2. ค่ารักษา Dual Yellow: 3,000-5,000 บาทต่อครั้ง
  3. ค่ารักษา Vbeam: 5,000-7,000 บาทต่อครั้ง

แม้ว่าข้อมูลนี้อาจไม่ได้ระบุตัวเลขที่เจาะจง แต่สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าค่าใช้จ่ายของการรักษาเหล่านี้อาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่:

  • ความรุนแรงและขอบเขตของสิวหรือสภาพผิวที่กำลังรักษา
  • จำนวนครั้งการรักษาที่ต้องการ
  • โครงสร้างราคาของคลินิกเฉพาะ
  • จำเป็นต้องมีการรักษาหรือหัตถการเพิ่มเติมหรือไม่

สำหรับข้อมูลค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันที่สุด ขอแนะนำให้ติดต่อคลินิกโรคผิวหนังในประเทศไทยโดยตรง นี่คือคลินิกบางแห่งที่คุณอาจพิจารณา:

โปรดคำนึงถึงเสมอว่า ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายจะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่การพิจารณาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการรักษา ชื่อเสียงและประสบการณ์ของคลินิกและแพทย์ ตลอดจนความสะดวกสบายและความชอบส่วนตัวของคุณก็มีความสำคัญเช่นกัน

ทำไมต้องเลือก AdvaTx: อนาคตของการรักษาสิว

เมื่อพูดถึงการรักษาสิว ระบบเลเซอร์ AdvaTx โดดเด่นในฐานะเทคโนโลยีล้ำสมัยที่รวมประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความอเนกประสงค์เข้าไว้ด้วยกัน ต่อไปนี้เป็นเหตุผลที่น่าสนใจว่าทำไมคุณจึงควรพิจารณา AdvaTx สำหรับการรักษาสิวของคุณ:

  1. เทคโนโลยีความยาวคลื่นคู่: AdvaTx ใช้ความยาวคลื่นสองช่วงคือ 589nm และ 1319nm ซึ่งช่วยให้สามารถกำหนดเป้าหมายและรักษาสภาพผิวต่างๆ รวมถึงสิวได้อย่างแม่นยำ เทคโนโลยีความยาวคลื่นคู่นี้ช่วยให้ AdvaTx สามารถจัดการกับทั้งผิวชั้นตื้นและชั้นลึกของผิวหนัง โดยให้การรักษาที่ครอบคลุม
  2. มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล: AdvaTx ได้รับการพิสูจน์ทางคลินิกว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาสิว ทำงานโดยลดการอักเสบและกำหนดเป้าหมายไปที่ต่อมไขมันซึ่งมักเป็นสาเหตุของการเกิดสิว กลไกการทำงานนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงลักษณะที่ปรากฏของผิวอย่างเห็นได้ชัดหลังจากใช้เพียงไม่กี่ครั้ง
  3. ผลข้างเคียงน้อยที่สุด: หนึ่งในข้อได้เปรียบที่สำคัญของ AdvaTx คือผลข้างเคียงน้อยที่สุด ไม่เหมือนกับการรักษาอื่น ๆ AdvaTx ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบาย แดง หรือบวมอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันทีหลังการรักษา
  4. ความสามารถรอบด้าน: นอกจากการรักษาสิวแล้ว AdvaTx ยังสามารถจัดการกับสภาพผิวอื่นๆ ได้หลากหลาย เช่น โรคโรซาเซีย รอยโรคที่มีเม็ดสี และรอยโรคของหลอดเลือด ทำให้เป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงสุขภาพผิวโดยรวม
  5. ใช้งานง่าย: AdvaTx เป็นเครื่องเลเซอร์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ ซึ่งทำให้กระบวนการรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและตรงไปตรงมา สิ่งนี้ทำให้มั่นใจได้ถึงประสบการณ์ที่สะดวกสบายสำหรับคนไข้
  6. ประหยัดค่าใช้จ่าย: AdvaTx แตกต่างจากการรักษาด้วยเลเซอร์อื่นๆ ตรงที่ไม่ต้องการวัสดุสิ้นเปลืองหรือความเย็น ซึ่งสามารถเพิ่มต้นทุนโดยรวมของการรักษาได้ สิ่งนี้ทำให้ AdvaTx เป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าสำหรับคนไข้จำนวนมาก ในประเทศไทย ค่าใช้จ่ายของการรักษาด้วย AdvaTx อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับคลินิกและแผนการรักษาเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ตามราคากลาง คุณอาจคาดว่าจะจ่ายในช่วง 3,000 ถึง 5,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งถือว่าแข่งขันได้เมื่อเทียบกับการรักษาแบบอื่น

โดยสรุป AdvaTx นำเสนอการผสมผสานที่ไม่เหมือนใครระหว่างประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความอเนกประสงค์ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่มองหาวิธีแก้ปัญหาที่ครอบคลุมสำหรับการรักษาสิว การเลือก AdvaTx เท่ากับคุณกำลังลงทุนเพื่ออนาคตที่ผิวใสสุขภาพดี

การเลือกคลินิกที่เหมาะสมสำหรับการรักษาสิว AdvaTx ของคุณ

การเลือกคลินิกที่เหมาะสมสำหรับการรักษาสิวด้วย AdvaTx เป็นขั้นตอนสำคัญสู่การมีผิวที่กระจ่างใสและสุขภาพดี ต่อไปนี้คือปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อทำการเลือก:

  1. ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์: มองหาคลินิกที่มีแพทย์ผิวหนังและผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวที่มีประสบการณ์มากมายในการใช้เครื่อง AdvaTx ความเชี่ยวชาญของพวกเขาจะช่วยให้คุณได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดซึ่งเหมาะกับสภาพผิวและความกังวลของคุณโดยเฉพาะ
  2. การรับรอง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคลินิกได้รับการรับรองในการให้บริการ AdvaTx การรับรองนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการให้การรักษาเฉพาะนี้ของคลินิก
  3. การดูแลส่วนบุคคล: คลินิกที่ได้มาตรฐานที่สุดย่อมใช้เวลาในการทำความเข้าใจสภาพผิว ไลฟ์สไตล์ และเป้าหมายการรักษาของคุณก่อนที่จะสร้างแผนการรักษา AdvaTx ส่วนบุคคลสำหรับคุณ
  4. สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย: เลือกคลินิกที่ใช้ AdvaTx รุ่นล่าสุดและเทคโนโลยีการดูแลผิวขั้นสูงอื่นๆ คลินิกควรรักษาสภาพแวดล้อมที่สะอาด สะดวกสบาย และปลอดภัยสำหรับคนไข้ในการรับการรักษา
  5. การให้ความรู้แก่คนไข้: คลินิกที่ดีจะอธิบายขั้นตอนการรักษา AdvaTx สิ่งที่คาดหวัง และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลหลังการรักษา สิ่งนี้ช่วยให้คุณมีความรู้เกี่ยวกับสภาพผิวและการรักษาที่คุณได้รับ
  6. การดูแลติดตามผล: เลือกคลินิกที่ให้การดูแลติดตามผลเพื่อติดตามความคืบหน้าของคุณและทำการปรับเปลี่ยนแผนการรักษาที่จำเป็น การดูแลอย่างต่อเนื่องนี้มีความสำคัญต่อการบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  7. บทวิจารณ์และคำรับรอง: ดูบทวิจารณ์และคำรับรองจากคนไข้รายก่อนหน้า สิ่งนี้สามารถทำให้คุณเข้าใจถึงชื่อเสียงของคลินิกและคุณภาพการดูแลที่คลินิกมอบให้
  8. ราคา: แม้ว่าบัดเจทจะไม่ใช่ปัจจัยเดียว แต่สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาว่าราคาของคลินิกสำหรับการรักษา AdvaTx อยู่ในงบประมาณของคุณหรือไม่ โปรดจำไว้ว่าตัวเลือกที่ถูกที่สุดอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดเสมอไป
  9. สถานที่ตั้ง: พิจารณาที่ตั้งของคลินิก คลินิกที่ตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกจะช่วยให้คุณกำหนดเวลาและเข้าร่วมการรักษาได้ง่ายขึ้น

การเลือกคลินิกที่เหมาะสมสำหรับการรักษา AdvaTx ของคุณคือการตัดสินใจที่ควรทำอย่างรอบคอบ เมื่อคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ คุณจะพบคลินิกที่จะให้การรักษาสิวที่มีประสิทธิภาพ เป็นส่วนตัว และปลอดภัยแก่คุณ

ทำไม EY Clinic จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการรักษา AdvaTx ของคุณ?

ในเรื่องของการรักษาผิวหนังและสิว ความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์มีความสำคัญพอๆ กับเทคโนโลยีที่ใช้ ที่ EY Clinic หมอภูมิใจในทั้งสองอย่าง นี่คือเหตุผลที่คุณควรพิจารณา EY Clinic สำหรับการรักษาปัญหาผิวของคุณ:

  1. แพทย์ผิวหนังมากประสบการณ์: ทีมแพทย์ผิวหนังของหมอนำโดย พญ.พัจนภา เวชนุรักษ์ (คุณหมอผึ้ง), พญ.อาภาศรี สุขสำราญ (คุณหมอจอย) และพ.ญ. ชื่นกมล อึงพิทักษ์พันธุ์ (คุณหมอไหม) ซึ่งทั้งสามท่านได้รับการรับรองจากแพทยสภาและมีการศึกษาต่อด้านตจศัลยศาสตร์ พวกเขานำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากมายมาสู่คลินิกของหมอ เพื่อให้มั่นใจว่าคนไข้ของหมอได้รับการดูแลในระดับสูงสุด
  2. ผู้เชี่ยวชาญด้านการชะลอวัย: พญ.พันธลี ชื่นสัมพันธ์ (คุณหมอโบว์) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการชะลอวัย ได้รับการรับรองจาก Board ด้าน Anti-Aging and Regenerative Medicine จากชิคาโก และมีประสบการณ์มากมายในฐานะแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยที่โรงพยาบาลกรุงเทพและ Divana Wellness Medical Spa
  3. การดูแลเฉพาะบุคคล: ที่ EY Clinic หมอเข้าใจดีว่าคนไข้แต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นั่นเป็นเหตุผลที่หมอใช้เวลาในการทำความเข้าใจปัญหาผิวและเป้าหมายการรักษาเฉพาะของคุณ สิ่งนี้ทำให้หมอสามารถสร้างแผนการรักษาเฉพาะบุคคลที่เหมาะกับความต้องการของคุณ
  4. เทคโนโลยีล้ำสมัย: หมอใช้เทคโนโลยี AdvaTx ล่าสุดสำหรับการรักษาสิวของหมอ ระบบที่เป็นนวัตกรรมใหม่นี้ช่วยให้หมอกำหนดเป้าหมายและรักษาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่มีผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสิวแบบดั้งเดิม
  5. สภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายและเป็นกันเอง: คลินิกของหมอได้รับการออกแบบให้เป็นพื้นที่ที่สะดวกสบายและเป็นมิตรซึ่งคุณสามารถผ่อนคลายและรู้สึกสบายใจระหว่างการรักษา พนักงานที่เป็นมิตรและเป็นมืออาชีพของหมอพร้อมที่จะตอบคำถามใด ๆ และให้แน่ใจว่าคุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่คลินิกของหมอ

การเลือกคลินิกที่เหมาะสมสำหรับการรักษาสิวของคุณคือการตัดสินใจที่สำคัญ ที่ EY Clinic หมอมุ่งมั่นที่จะให้การดูแลคนไข้ในระดับสูงสุด ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์และเทคโนโลยีล้ำสมัย หมอมั่นใจว่าสามารถช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายด้านผิวพรรณได้ สามารถติดต่อเพื่อนัดหมายเวลาให้คำปรึกษาและเรียนรู้เพิ่มเติมว่า AdvaTx มีประโยชน์ต่อคุณอย่างไรผ่าน LINE Official: @EyclinicTH

รีวิวเคส AdvaTx ที่ EY Clinic

ทางเลือกที่ดีกว่า: AdvaTx ที่ EY Clinic

ในแวดวงของการรักษาสิว AdvaTx ถือเป็นคำตอบระดับแนวหน้า ด้วยความยาวคลื่นคู่ ผลข้างเคียงน้อยที่สุด และประสิทธิภาพที่น่าประทับใจ จึงไม่แปลกใจเลยที่มันกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับหลายๆ คน อย่างไรก็ตาม คุณภาพของการรักษาไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้เท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของคลินิกที่ดูแลด้วย

ที่ EY Clinic หมอภูมิใจในความมุ่งมั่นของหมอในการให้การดูแลคนไข้ของหมออย่างเหนือชั้น ทีมแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางระดับอาจารย์สถาบันโรคผิวหนัง ประสบการณ์ระหว่าง 14-20 ปีทุกท่านของหมอมีความเชี่ยวชาญในการใช้ AdvaTx เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดตามความต้องการเฉพาะของคุณ หมอเข้าใจดีว่าคนไข้แต่ละรายมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และหมอมุ่งมั่นที่จะให้การดูแลเฉพาะบุคคลซึ่งมุ่งเป้าไปที่ข้อกังวลเฉพาะของคุณ นอกจากนี้ EY Clinic ยังติดตั้งเทคโนโลยี AdvaTx ล่าสุด เพื่อให้มั่นใจว่าคนไข้ของหมอสามารถเข้าถึงทางเลือกการรักษาที่ทันสมัยที่สุดได้ สภาพแวดล้อมของคลินิกของหมอได้รับการออกแบบให้สะดวกสบายและเป็นกันเอง มั่นใจได้ถึงประสบการณ์ที่ดีตลอดการรักษาของคุณ การเลือก EY Clinic สำหรับการรักษาด้วย AdvaTx หมายถึงการเลือกคลินิกที่ให้ความสำคัญกับความพึงพอใจ ความปลอดภัย และผลลัพธ์ของคนไข้เหนือสิ่งอื่นใด ขอเชิญสัมผัสความแตกต่างของ EY Clinic และค้นพบผิวกระจ่างใสสุขภาพดีที่คุณต้องการ ปรึกษาเราตอนนี้ได้ที่เบอร์ 061 594 1923 หรือติดต่อผ่าน LINE Official: @EyclinicTH

Reference

1. แอดวาไลท์ (2566). AdvaTx: เทคโนโลยีเลเซอร์ยุคใหม่ สืบค้นจาก https://www.advalight.com/advatx

2. คลินิกเสริมความงาม Proderma (2566). เลเซอร์สีDual Yellow สืบค้นจาก https://prodermaclinics.com/en/service/dual-yellow/

3. สกินเอ็กซ์ (2566). การรักษาด้วยเลเซอร์คู่สีเหลือง ดึงมาจาก https://skinx.app/voucher/dual-yellow-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8 %A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A7

4. แคนเดลาการแพทย์ (2566). Vbeam เพอร์เฟ็คต้า สืบค้นจาก https://candelamedical.com/na/provider/product/vbeam-perfecta

5. แคนเดลาการแพทย์ (2566). รักษาหลุมสิวด้วย Vbeam Pulsed Dye Laser สืบค้นจาก http://www.medicallaseronline.com/PDFs/VBeam/CLINICAL_BULLETIN_Treatment_of_Acne_Scars.pdf

6. ช่องความงาม (2566). ADVATx ให้ทางเลือกที่ไม่ต้องบำรุงรักษาแทน PDL สืบค้นจาก http://bit.ly/2CLlVFC

7. คู่มือสุนทรียศาสตร์ (2566). แพลตฟอร์ม ADVATx เจเนอเรชันถัดไปเหนือกว่าเลเซอร์สีย้อมแบบพัลซิ่ง สืบค้นจาก www.aestheticchannel.com

8. Journal of Cosmetic Dermatology (2566). การรวมกันของความยาวคลื่นเลเซอร์ใหม่ 589 และ 1319 นาโนเมตรเพื่อรักษาสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง สืบค้นจากวารสาร Dermatology Times

9. สภาคองเกรส EADV (2558). การรักษารอยโรคหลอดเลือดด้วยเลเซอร์โซลิดสเตตใหม่ขนาด 589 นาโนเมตร – การสังเกตทางคลินิกครั้งแรก สืบค้นจาก EADV Congress Abstracts

AdvaTx vs. Dual Yellow vs. Vbeam สำหรับการรักษาสิว
Dr. Patnapa Vejanurug
Jun 7, 2023
AdvaTx vs. Vbeam สำหรับการรักษาสิว
รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค
AdvaTx vs. Vbeam สำหรับการรักษาสิว
สวัสดีค่ะ บทความนี้เป็นบทความที่ 2 ในซีรี่ส์ค้นหาตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับรอยสิว

AdvaTx vs. Vbeam สำหรับการรักษาสิว

ว่าด้วย AdvaTx: แนวทางการปฏิวัติเพื่อการฟื้นฟูผิว

สวัสดีค่ะ บทความนี้เป็นบทความที่ 2 ในซีรี่ส์ค้นหาตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับรอยสิว หากสนใจก็เข้าไปอ่านบทความที่ 1 และบทความที่ 3 ได้เลยนะคะ หมอผึ้งรู้สึกตื่นเต้นและดีใจที่จะแนะนำเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำที่เราเพิ่งนำเข้ามาใช้ร่วมกับการรักษาของเราที่ EY Clinic นั่นคือ AdvaTx Laser ในฐานะแพทย์ผิวหนัง ภารกิจหลักของหมอคือการให้การรักษาที่มีประสิทธิภาพและสะดวกสบายมากที่สุดสำหรับคนไข้ของหมอ ด้วย AdvaTx หมอเชื่อว่าเราพบวิธีแก้ปัญหาที่สอดคล้องกับปรัชญานี้อย่างแท้จริง

AdvaTx เป็นระบบเลเซอร์ความยาวคลื่นคู่ที่สร้างกระแสในวงการแพทย์ผิวหนัง เป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ใช้ในการรักษาที่หลากหลายสำหรับปัญหาผิวต่างๆ ตั้งแต่รอยแผลเป็นจากสิวไปจนถึงโรคโรซาเซีย (rosacea) และแม้แต่สัญญาณแห่งวัย เช่น รอยเหี่ยวย่นและภาวะผิวเสียหายจากแสงแดด หนึ่งในแง่มุมที่น่าประทับใจที่สุดของ AdvaTx คือเทคโนโลยีโซลิดสเตต AdvaTx ใช้ความยาวคลื่นสองช่วงคือ 589nm และ 1319nm ซึ่งแตกต่างจากเลเซอร์อื่นๆ ระบบความยาวคลื่นคู่นี้ช่วยให้เรากำหนดเป้าหมายไปยังชั้นต่างๆ ของผิวได้ ให้การรักษาที่ครอบคลุมซึ่งจัดการกับปัญหาผิวทั้งในระดับผิวชั้นบนและระดับลึกลงไป ตัวอย่างเช่น ความยาวคลื่น 589 นาโนเมตรนั้นยอดเยี่ยมสำหรับการรักษาภาวะหลอดเลือด เช่น โรคโรซาเซีย รอยแดงจากสิว และ ผื่นแดงบนใบหน้า โดยมุ่งเป้าไปที่หลอดเลือดที่ก่อให้เกิดอาการแดงและอักเสบ ซึ่งช่วยบรรเทาอาการได้อย่างมาก

ในทางกลับกัน ความยาวคลื่น 1319 นาโนเมตรจะเข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกกว่า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวและริ้วรอยเรียบเนียนขึ้น

สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไรสำหรับคุณในฐานะผู้เข้ารับการรักษา หมายความว่าด้วย AdvaTx เราสามารถจัดเตรียมแผนการรักษาที่เหมาะสมกับเฉพาะบุคคลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ไม่ว่าคุณกำลังเผชิญกับรอยแดงอย่างต่อเนื่อง รอยแผลเป็นจากสิว หรือริ้วรอย AdvaTx ขอเสนอวิธีแก้ปัญหาที่สามารถปรับให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของคุณได้ นอกจากนี้ การรักษาด้วย AdvaTx ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความสะดวกสบายของคุณเป็นหลัก โดยทั่วไปขั้นตอนนี้ยอมรับได้ดีโดยมีรายงานความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย นอกจากนี้ ยังไม่มีช่วงพักหน้าหลังการรักษา คุณจึงกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที การศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับ AdvaTx แสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ตัวอย่างเช่น การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Journal of Cosmetic Dermatology พบว่า AdvaTx ประสบความสำเร็จในการรักษาผื่นแดงบนใบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ การศึกษาอื่นพบว่าผู้เข้ารับการรักษาเกือบทั้งหมดเห็นว่าแผลเป็นจากสิวดีขึ้นโดยมีความรู้สึกไม่สบายน้อยและไม่ต้องพักฟื้น

ที่ EY Clinic เรามุ่งมั่นที่จะนำเสนอการรักษาที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดให้กับคุณ ด้วยการเพิ่ม AdvaTx เข้ามาในการบริการของเรา เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะนำเสนอการรักษาที่ไม่เพียงแต่ให้ผลลัพธ์ แต่ยังให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของคุณด้วย

หากคุณสนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมว่า AdvaTx สามารถทำอะไรให้คุณได้บ้าง สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 0615941923 หรือติดต่อผ่าน LINE Official: @EyclinicTH เราพร้อมช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพผิวและรู้สึกมั่นใจในผิวของคุณ

อนาคตของการฟื้นฟูผิวด้วยเลเซอร์

หลังจากที่ได้เล่าถึงประสบการณ์การใช้ AdvaTx และผลตอบรับที่ดีหลังการรักษา หมอขอใช้เวลาสักครู่เพื่ออธิบายเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยเลเซอร์ยอดนิยมอื่น เช่น Vbeam หรือที่รู้จักในชื่อ Pulsed Dye Laser (PDL) เลเซอร์ชนิดนี้เป็นตัวเลือกหลักในวงการแพทย์ผิวหนังมานานหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการรักษารอยแดง และปัญหาที่เกิดจากหลอดเลือดบริเวณผิวหนัง อย่างไรก็ตาม ด้วยการกำเนิดของ AdvaTx หมอเชื่อว่าเรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแนวการรักษาด้วยเลเซอร์

ข้อแตกต่างที่สำคัญประการหนึ่งระหว่าง AdvaTx และ Vbeam อยู่กลไกการทำงานของเลเซอร์  ในขณะที่ Vbeam ใช้ความยาวคลื่นเดียวในการกำหนดเป้าหมายไปที่หลอดเลือด AdvaTx ใช้ระบบความยาวคลื่นคู่ สิ่งนี้ช่วยให้ AdvaTx ไม่เพียงจัดการกับสภาวะของหลอดเลือด แต่ยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อรักษาปัญหาต่างๆ เช่น รอยแผลเป็นจากสิวและริ้วรอย แนวทางที่มีกลไกการทำงานแบบหลายแง่มุมนี้ทำให้ AdvaTX สามารถใช้รักษาปัญหาผิวได้ครอบคลุมมากขึ้น สามารถจัดการกับทั้งปัญหาผิวที่มองเห็นได้และปัญหาผิวในชั้นลึก

นอกจากนี้ AdvaTx ยังมอบประสบการณ์การรักษาที่สะดวกสบายกว่าเมื่อเทียบกับ Vbeam การรักษาด้วย Vbeam บางครั้งอาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำและต้องการระยะเวลาพักฟื้น แต่โดยทั่วไปแล้วการรักษาด้วย AdvaTx นั้นทนได้ดีโดยมีความรู้สึกไม่สบายน้อยที่สุดและแทบไม่ต้องพักฟื้น ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันทีหลังการรักษา ทำให้เป็นทางเลือกที่สะดวกยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่มีตารางงานยุ่ง

ในแง่ของประสิทธิภาพ การศึกษาทางคลินิกแสดงให้เห็นว่า AdvaTx สามารถให้ผลลัพธ์เทียบเท่ากับ Vbeam  ตัวอย่างเช่น การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Journal of Cosmetic Dermatology พบว่า AdvaTx ประสบความสำเร็จในการรักษาผื่นแดงบนใบหน้า ซึ่งเป็นภาวะที่มักทำการรักษาด้วย Vbeam ยิ่งไปกว่านั้น AdvaTx สามารถบรรลุผลลัพธ์เหล่านี้โดยมีผลข้างเคียงน้อยลงและมอบประสบการณ์การรักษาที่สะดวกสบายมากขึ้น

โดยสรุป แม้ว่า Vbeam จะเป็นการรักษาที่เชื่อถือได้มานานหลายปี แต่หมอเชื่อว่า AdvaTx เป็นตัวแทนของอนาคตของการรักษาด้วยเลเซอร์ ระบบความยาวคลื่นคู่ ด้วยประสบการณ์การรักษาที่สะดวกสบาย และผลลัพธ์ทางคลินิกที่น่าประทับใจทำให้เป็นเครื่องเปลี่ยนเกมในด้านโรคผิวหนัง เช่น สิว และโรคที่เกิดจากความผิดปกติเกี่ยวกับหลอดเลือด

ที่ EY Clinic เราภูมิใจนำเสนอ AdvaTx ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของเราในการให้การรักษาที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับคนไข้ของเรา หากคุณสนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ AdvaTx และวิธีที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพผิว เราพร้อมที่จะตอบคำถามของคุณและแนะนำคุณเกี่ยวกับการเดินทางสู่ผิวที่มีสุขภาพดีและเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น

AdvaTx vs. Vbeam: เจาะลึกความสามารถเฉพาะตัวของ AdvaTx

ในส่วนก่อนหน้านี้ เราได้พูดถึงความแตกต่างทั่วไประหว่าง AdvaTx และ Vbeam ตอนนี้ เรามาเจาะลึกลงไปในความสามารถเฉพาะของ AdvaTx ที่ทำให้แตกต่างจากการรักษาด้วยเลเซอร์อื่นๆ

หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของ AdvaTx คือระบบความยาวคลื่นคู่ ระบบนี้รวมแสงสีเหลือง 589 นาโนเมตรและแสงอินฟราเรด 1319 นาโนเมตร ทำให้สามารถกำหนดเป้าหมายได้ทั้งผิวชั้นตื้นและชั้นลึก ความยาวคลื่น 589 นาโนเมตรนั้นยอดเยี่ยมสำหรับการรักษาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเส้นเลือด เช่น โรคโรซาเซีย(rosecea) รอยแดงจากสิวและปานแดง ในขณะที่ความยาวคลื่น 1319 นาโนเมตรจะลงลึกเข้าไปในผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จัดการกับปัญหาต่างๆ เช่น รอยแผลเป็นจากสิวและริ้วรอย วิธีการแบบสองขั้นตอนนี้ช่วยให้เรารักษาสภาพผิวได้หลากหลายด้วยอุปกรณ์เครื่องเดียว

ข้อได้เปรียบที่สำคัญอีกประการของ AdvaTx คือโปรไฟล์ด้านความปลอดภัย ไม่เหมือนกับการรักษาด้วยเลเซอร์บางชนิดที่อาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำหรือผลข้างเคียงอื่นๆ ได้ โดยทั่วไปการรักษาด้วย AdvaTx นั้นทนได้ดีและรู้สึกไม่สบายเพียงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของเลเซอร์ ซึ่งส่งพลังงานในลักษณะที่ควบคุมได้เพื่อลดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้รับประโยชน์จากการรักษาด้วยเลเซอร์โดยไม่ต้องกังวลถึงผลข้างเคียงที่สำคัญหรือการหยุดทำงานเพื่อพักหน้า

นอกจากนี้ AdvaTx ยังมอบประสบการณ์การรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากขึ้น การตั้งค่าของเลเซอร์สามารถปรับให้เหมาะกับประเภทและสภาพผิวเฉพาะของคุณ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด การปรับแต่งระดับนี้ไม่สามารถทำได้กับการรักษาด้วยเลเซอร์บางชนิด ทำให้ AdvaTx เป็นตัวเลือกที่หลากหลายและเป็นมิตรกับผู้เข้ารับการรักษามากขึ้น

ในแง่ของผลลัพธ์ การศึกษาทางคลินิกและประสบการณ์ของเราที่ EY Clinic แสดงให้เห็นว่า AdvaTx สามารถให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ ไม่ว่าคุณกำลังมองหาวิธีลดรอยแดง รักษาแผลเป็น หรือฟื้นฟูผิวของคุณ AdvaTx สามารถช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพผิวได้

โดยสรุปแล้ว ความสามารถเฉพาะตัวของ AdvaTx ทำให้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในด้านการรักษาผิวหนัง ระบบความยาวคลื่นคู่ โปรไฟล์ความปลอดภัย วิธีการรักษาเฉพาะบุคคล และผลลัพธ์ที่พิสูจน์แล้วทำให้แตกต่างจากการรักษาด้วยเลเซอร์อื่นๆ รวมถึง Vbeam ในขณะที่เรายังคงเปิดรับความก้าวหน้าล่าสุดในเทคโนโลยีการดูแลผิวที่ EY Clinic เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะนำเสนอ AdvaTx เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยสำหรับความต้องการด้านสุขภาพผิวของคนไข้

The Future of Laser at EY Clinic

ในขณะที่เรามองไปยังอนาคตของโรคผิวหนังและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เป็นที่ชัดเจนว่าเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมอย่าง AdvaTx จะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในวงการเลเซอร์ทั่วโลก ที่ EY Clinic เรามุ่งมั่นที่จะอยู่ในระดับแนวหน้าของความก้าวหน้าเหล่านี้เพื่อให้การรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุดแก่ลูกค้าของเรา

หนึ่งในเหตุผลที่เรารู้สึกตื่นเต้นเกี่ยวกับ AdvaTx คือศักยภาพในการเติบโตและการพัฒนา ขณะที่เราเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้และความสามารถของเทคโนโลยีนี้อย่างต่อเนื่อง เราคาดว่าจะสามารถรักษาสภาพผิวและข้อกังวลต่างๆ ได้มากขึ้น ความสามารถในการปรับตัวนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงความสามารถรอบด้านของ AdvaTx และศักยภาพในการปฏิวัติวงการการรักษาด้วยเลเซอร์

นอกจากนี้ เรารู้สึกตื่นเต้นกับศักยภาพของ AdvaTx ในการปรับปรุงความพึงพอใจของคนไข้ ด้วยผลข้างเคียงและเวลาหยุดทำงานน้อยที่สุด คนไข้จึงได้รับประโยชน์จากการรักษาด้วยเลเซอร์โดยไม่รบกวนชีวิตประจำวันอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยด้านความสะดวกสบายนี้ เมื่อรวมกับผลลัพธ์ที่น่าประทับใจที่ AdvaTx สามารถส่งมอบได้ ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับคนไข้จำนวนมากของเรา

โดยสรุป แม้ว่า Vbeam เป็นเครื่องมือที่เชื่อถือได้ในวงการแพทย์ผิวหนังมาหลายปี แต่เราเชื่อว่า AdvaTx เป็นตัวเลือกหลักของการรักษาด้วยเลเซอร์ในอนาคต ระบบความยาวคลื่นคู่ โปรไฟล์ความปลอดภัย วิธีการรักษาเฉพาะบุคคล และศักยภาพสำหรับการเติบโตในอนาคต ทำให้เลเซอร์ชนิดนี้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคลินิกของเรา เราตั้งตารอที่จะให้บริการ AdvaTx แก่คนไข้ของเราต่อไป และมองเห็นผลกระทบที่ดีที่มีต่อสุขภาพผิวและความมั่นใจของพวกเขา

ผลข้างเคียงและความสบายของคนไข้

ในฐานะแพทย์ หมอกังวลเสมอเกี่ยวกับความสะดวกสบายและความปลอดภัยของคนไข้ เมื่อพูดถึงการรักษาด้วยเลเซอร์ AdvaTx และ Vbeam ต่างก็มีผลข้างเคียงและระดับความสบายของคนไข้ที่แตกต่างกัน

AdvaTx: ผลข้างเคียงน้อยที่สุดและระดับความสะดวกสบายสูง

AdvaTx โดดเด่นด้วยผลข้างเคียงที่น้อยที่สุด เทคโนโลยีความยาวคลื่นคู่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการรักษาจะตรงเป้าหมาย ลดความเสี่ยงของความเสียหายต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง ซึ่งหมายความว่าคนไข้จะมีอาการแดง บวม และรู้สึกไม่สบายน้อยลงหลังการรักษา การรักษายังรวดเร็ว โดยทั่วไปจะใช้เวลาน้อยกว่า 30 นาที ซึ่งเพิ่มความสะดวกสบายโดยรวมให้กับคนไข้

Vbeam: อาจมีผลข้างเคียงและความรู้สึกไม่สบายมากกว่า

ในทางกลับกัน ในขณะที่ Vbeam มีประสิทธิภาพ เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดผลข้างเคียงมากกว่า คนไข้อาจมีอาการแดง บวม และช้ำหลังการรักษา ผลข้างเคียงเหล่านี้อาจคงอยู่เป็นเวลาหลายวัน ทำให้คนไข้รู้สึกไม่สบายและไม่สะดวก กระบวนการรักษาอาจทำให้รู้สึกอึดอัดขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากความร้อนที่เกิดจากเลเซอร์ร่วมกับไอเย็นที่ปล่อยมาพร้อมกัน

โดยสรุป แม้ว่าทั้ง AdvaTx และ Vbeam จะมีประสิทธิภาพในการรักษาสภาพผิวต่างๆ แต่ AdvaTx ก็มีข้อได้เปรียบที่ชัดเจนในแง่ของความสบายของคนไข้และผลข้างเคียงที่น้อยที่สุด ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนไข้จำนวนมากที่ต้องการการรักษาด้วยเลเซอร์

รีวิวเคส AdvaTx ที่ EY Clinic

ทางเลือกที่ดีกว่า: AdvaTx ที่ EY Clinic

สุดท้ายเรามาพูดถึงผลลัพธ์กัน ในฐานะแพทย์ รางวัลที่มีค่าที่สุดในการทำงานของหมอคือการได้เห็นผลลัพท์ที่ดีของการรักษาของเราและผลมีต่อความสุขและความมั่นใจของคนไข้ ด้วย AdvaTx ผลลัพธ์จะเป็นตัวพิสูจน์เอง

ในการศึกษาทางคลินิก AdvaTx ได้แสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงที่สำคัญในการรักษาสภาพต่างๆ เช่น โรคโรซาเซีย สิว และรอยแผลเป็นจากสิว ตัวอย่างเช่น การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Journal of Cosmetic Dermatology พบว่า AdvaTx ประสบความสำเร็จในการรักษาผื่นแดงบนใบหน้า โดยไม่มีรายงานปัญหาด้านความปลอดภัยที่สำคัญ การศึกษาอื่นที่ตีพิมพ์ในวารสารเดียวกันแสดงให้เห็นว่า AdvaTx มีประสิทธิผลในการรักษาแผลเป็นจากสิว โดยมีอาการไม่สบายและระยะเวลาพักหน้าน้อยที่สุดสำหรับผู้เข้ารับการรักษา

ในทางตรงกันข้าม ในขณะที่ Vbeam สามารถรักษาภาวะเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็อาจไม่สะดวกสบายสำหรับคนไข้ คนไข้บางรายรายงานว่ารู้สึกไม่สบายระหว่างการรักษาด้วย Vbeam และอาจมีผลข้างเคียง เช่น รอยช้ำและรอยแดง ซึ่งต้องใช้เวลาพักฟื้น

ที่ EY Clinic เราเข้าใจดีว่าการตัดสินใจเลือกการรักษาด้วยเลเซอร์เป็นสิ่งสำคัญ เราเชื่อว่าคนไข้ของเราสมควรได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตั้งแต่ตอนที่เดินเข้ามาในคลินิกของเราจนถึงตอนที่เห็นผลลัพธ์ ด้วย AdvaTx เรามั่นใจว่าสามารถให้บริการได้ AdvaTx ไม่เพียงแต่ให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจเท่านั้น แต่ยังทำในลักษณะที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและความปลอดภัยของคนไข้เป็นสำคัญ

ในท้ายที่สุด เป้าหมายของเราคือการช่วยให้คนไข้รู้สึกมั่นใจและสบายผิว ด้วย AdvaTx เราเชื่อว่าเราทำได้ หากคุณสนใจ ปรึกษาเราตอนนี้ได้ที่เบอร์ 061 594 1923 หรือติดต่อผ่าน LINE Official: @EyclinicTH

References:

1. Advalight. (2023). AdvaTx: The Solid State Solution. Retrieved from https://www.advalight.com/advatx-the-solid-state-solution 

2. Wiley Online Library. (2018). Use of a novel 589‐nm solid‐state laser for treatment of facial erythema. Retrieved from https://onlinelibrary.wiley.com/doi/full/10.1111/jocd.12761 

3. Wiley Online Library. (2019). Treatment of acne scarring with a novel dual‐wavelength laser. Retrieved from https://onlinelibrary.wiley.com/doi/full/10.1111/jocd.13068 

4. Candela Medical. (2023). Vbeam Prima: Pulsed Dye Laser. Retrieved from https://www.candelamedical.com/na/provider/product/vbeam-prima 

5. American Society for Dermatologic Surgery. (2023). Pulsed Dye Laser: Procedure and Recovery. Retrieved from https://www.asds.net/skin-experts/skin-treatments/lasers-lights/pulsed-dye-laser 

6. Clinical Trials. (2023). Pulsed Dye Laser in the Treatment of Acne. Retrieved from https://clinicaltrials.gov/ct2/show/NCT00110643 

AdvaTx vs. Vbeam สำหรับการรักษาสิว
Dr. Patnapa Vejanurug
Jun 7, 2023
acne & acne scar expert
เรามีทรีตเมนต์หลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของคุณ ตั้งแต่การดูแลผิวไปจนถึงโภชนาการ เรามีทุกสิ่งที่คุณต้องการเพื่อให้คุณรู้สึกดีที่สุด