ตอบคำถาม สิวหิน เกิดจากอะไร และรักษาได้ยังไงบ้าง
หลาย ๆ คน เวลาส่องกระจกใกล้ ๆ อาจจะพบว่า ตัวเองมีตุ่มเม็ดเล็ก ๆ หรือ “สิวหิน” อยู่บริเวณใต้ตา แต่ถึงจะมีลักษณะคล้ายสิว สิวหินก็ไม่ใช่สิวค่ะ ใบบทความนี้ เราจะได้เรียนรู้กันว่า สิวหิน คืออะไร, สิวหิน เกิดจากอะไร, สิวหิเคราตินที่กระจุกตัวกันอยู่ในรูขุมขน
- สิวข้าวสารและสิวหิน รักษาได้หลายวิธี โดยวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยม ได้แก่ เลเซอร์ CO2, Cryotherapy, Electrotherapy และ Chemical Peeling
- การดูแลบำรุงผิวให้แข็งแรง สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดสิวหินและสิวข้าวสารได้
สิวหิน (Syringoma) คืออะไร
สิวหิน (Syringoma) คือ เนื้องอกที่มาจากต่อมเหงื่อ มีลักษณะเหมือนสิวเม็ดเล็ก ๆ ขนาด 2 - 4 มิลลิเมตร มักเกิดที่บริเวณเปลือกตาด้านล่าง รอบดวงตา และ แก้ม ซึ่งจะพบในผู้หญิงบ่อยกว่าผู้ชายค่ะ พอได้ยินคำว่า เนื้องอก เราก็อาจจะกังวล แต่หมอขอบอกเลยว่า สิวหิน คือ เนื้องอกของต่อมเหงื่อที่ไม่อันตราย (Benign neoplasm) และไม่มีผลใด ๆ ต่อการทำงานของต่อมเหงื่อหรือส่วนอื่นของร่างกายค่ะ
สิวหิน เกิดจากอะไร
สิวหิน เกิดจากการที่ต่อมเหงื่อของเราผลิตเซลล์ออกมามากเกินจำเป็น ก่อให้เกิดเป็นก้อนเนื้อเล็ก ๆ ที่รูปร่างคล้ายสิว ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวหิน ได้แก่ เปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อายุ และปัจจัยทางพันธุกรรม ค่ะ โดยสิวหินมักจะเกิดครั้งแรกในช่วงที่เข้าวัยเจริญพันธุ์ (Puberty) และอาจเพิ่มจำนวนขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งนอกจากบริเวณใบหน้าแล้ว ก็ยังสามารถเกิดที่บริเวณอื่นของร่างกาย เช่น หน้าอก หน้าท้อง หรือรักแร้ ได้ด้วยค่ะ
สิวหิน เหมือน สิวข้าวสาร หรือไม่
ได้เข้าใจกันไปแล้วว่า สิวหิน เกิดจากอะไร เรามาทำความรู้จักกับ “สิวข้าวสาร” ที่มีลักษณะคล้าย ๆ กัน และมักเกิดในบริเวณเดียวกันค่ะ
สิวข้าวสาร (Milia) คือเส้นใยเคราตินกับเซลล์ที่ตายแล้วที่กระจุกตัวกันอยู่ในรูขุมขน มีลักษณะเป็นเม็ดสีขาวขุ่นคล้ายกับเม็ดข้าวสาร ในขณะที่สิวหินคือเซลล์จากต่อมเหงื่อที่ร่างกายผลิตออกมามากเกินไป แต่สิวทั้งสองชนิดนี้มักพบได้มากบริเวณรอบดวงตา แก้ม และเปลือกตา หลาย ๆ คนจึงอาจจะเข้าใจวว่าสิวหินและสิวข้าวสารคือสิวชนิดเดียวกันค่ะ
สิวข้าวสาร เกิดจากอะไร
เราสามารถแบ่งสิวข้าวสารได้เป็น 2 ชนิด ตามสาเหตุของการเกิดสิวค่ะ
สิวข้าวสารชนิดปฐมภูมิ (Primary milia)
สิวข้าวสารชนิดปฐมภูมิ คือ สิวข้าวสารที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีตัวกระตุ้น พบได้ในบริเวณเปลือกตา หน้าผาก ข้างจมูก หรือแม้แต่อวัยวะเพศค่ะ สิวข้าวสารแบบนี้เกิดขึ้นเองและมักจะหายไปเองเมื่อเวลาผ่านไปค่ะ ตัวอย่างของสิวข้าวสารปฐมภูมิ ได้แก่
- สิวข้าวสารในเด็กเล็ก (Congenital milia) เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งพบในเด็กแรกเกิดหรือในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังคลอด
- สิวข้าวสารในวัยหนุ่มสาว (Primary milia in young adults) เป็นสิวอีกชนิดที่พบได้ค่อนข้างบ่อย และมักเกิดในหนุ่มสาววัยรุ่น และวัยทำงาน ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่า ความเครียด ฮอร์โมน และการใช้เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงบางประเภทอาจส่งผลทำให้เกิดสิวข้าวสารประเภทนี้ค่ะ
- สิวข้าวสารแบนราบ (Milia en plaque) เป็นสิวข้าวสารพบได้ยาก และมีลักษณะเฉพาะตัว คือเป็นสิวข้าวสารที่รวมตัวกันเป็นกระจุก มีฐานรูปร่างแบนที่นูนขึ้นจากระนาบผิวหนังเล็กน้อย มักพบบริเวณเปลือกตาและแก้ม โดยสิวข้าวสารแบบแบนราบจะมีความเกี่ยวข้องกับโรคทางพันธุกรรมและโรคแพ้ภูมิตัวเอง (autoimmune disease) ที่แสดงออกทางผิวหนังค่ะ
สิวข้าวสารชนิดทุติยภูมิ (Secondary milia)
สิวข้าวสารชนิดทุติยภูมิ คือ สิวข้าวสารที่เกิดจากการใช้ยา โรคต่าง ๆ หรือเกิดหลังผิวถูกทำร้าย เช่น การเผาไหม้จากแสงแดด อาการแพ้ หรืออาการระคายเคืองจากทรีตเมนต์อย่าง การกรอหน้า (Dermabrasion)
สิวข้าวสาร สิวหิน รักษาอย่างไร
เมื่อเข้าใจแล้วว่า สิวข้าวสาร และสิวหินเกิดจากอะไร เรามาดูวิธีรักษาสิวเหล่านี้กันค่ะ
ถึงแม้สิวหินและสิวข้าวสาร จะไม่มีการอักเสบ อุดตัน หรือติดเชื้อ แต่มันก็เป็นปัญหาที่อาจจะทำให้หลายคนหมดความมั่นใจได้ค่ะ ซึ่งวิธีรักษาสิวหินและสิวข้าวสารที่เราจะกล่าวถึง ได้แก่ เลเซอร์ CO2, Cryotherapy, Electrotherapy และ Chemical Peeling ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมสูงค่ะ
เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 Laser)
ทั้งสิวข้าวสารและสิวหิน รักษาได้ด้วยเลเซอร์ CO2 ค่ะ ซึ่งเลเซอร์ชนิดนี้จะใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในส่งผ่านแสงอินฟราเรด (Infrared) เข้มข้น ซึ่งจะถูกดูดซับโดยน้ำในเซลล์ผิวค่ะ เลเซอร์ CO2 ทำงานผ่านกลไก 3 ตัวนี้ค่ะ
- Ablation: แสงอินฟราเรดเข้มข้นจากเลเซอร์ CO2 มีความสามารถผลัดเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้าซึ่งช่วยกำจัดสิวข้าวสารและสิวหินที่อยู่ในผิวชั้นนั้นไปด้วย
- Vaporization: ความร้อนจากแสงอินฟราเรดช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ ที่เกลี้ยงและกระชับ
- Coagulation: เลเซอร์ CO2 มีสรรพคุณในการช่วยให้เลือดตัว ซึ่งทำให้สามารถกำจัดสิวหินและสิวข้าวสารได้โดยไม่มีเลือดไหล
รักษาด้วยความเย็น (Cryotherapy)
สิวข้าวสารและสิวหิน รักษาได้ด้วยการจี้ไอเย็นหรือ Cryotherapy ค่ะ วิธีการก็คือ แพทย์จะใช้ไอเย็นจากไนโตรเจนเหลวจี้ไปที่สิวหินหรือสิวข้าวสาร ทำให้เซลล์บริเวณนั้นตายและหลุดออกจากผิวในที่สุดค่ะ หลังจากนั้นร่างกายของเราก็จะเข้าสู่กระบวนการสมานแผลค่ะ
Cryotherapy เป็นวิธีที่แพทย์ผิวหนังใช้ในกำจัดเนื้องอก หูด และติ่งเนื้อ ซึ่งทำได้ง่าย ความเสี่ยงต่ำ และใช้เวลาไม่นานค่ะ แต่อาจต้องทำมากกว่า 1 ครั้ง และยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผลเป็น
จี้ด้วยไฟฟ้า (Electrosurgery)
การจี้ด้วยไฟฟ้าเป็นอีกวิธีรักษาสิวหินและสิวข้าวสารที่ทำได้ง่ายและรวดเร็วค่ะ โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าความถี่สูง จี้ไปยังจุดที่ต่างการรักษา ซึ่งกระแสไฟฟ้าก็จะสามารถตัดสิวหินและสิวข้าวสารออกได้อย่างง่ายดายค่ะ
รักษาด้วยการลอกผิวด้วยกรด TCA (Chemical Peeling)
การลอกผิวด้วยกรด TCA นอกจากจะช่วยรักษาหลุมสิว ปรับสิวผิว และช่วยลบเลือนริ้วรอยแล้ว ยังสามารถกำจัดสิวข้าวสารและสิวหินได้ด้วยค่ะ โดยกรด TCA (Trichloro-acetic acid) โดดเด่นในเรื่องของสรรพคุณการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งจะลอกผิวชั้นหนังกำพร้า รวมถึงสิวหินออกได้ นอกจากนี้กรด TCA ยังมีสรรพคุณเรื่องการลดสิ่งอุดตัน ช่วยสลายกระจุกเคราตินที่ทำให้เกิดเป็นสิวข้าวสารได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
สิวข้าวสาร สิวหิน รักษาด้วยการผ่าตัด (Surgical excision) ได้ไหม
การผ่าตัดมักเป็นวิธีสุดท้ายที่แพทย์จะเลือกในการกำจัดสิวหินหรือสิวข้าวสารค่ะ เนื่องจากเป็นวิธีที่ใช้เวลานาน เสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และเสี่ยงต่อการเกิดสิวหินหรือสิวข้าวสารซ้ำค่ะ นอกจากนี้บริเวณที่มักเกิดสิวหินและสิวข้าวสาร ยังเป็นบริเวณที่บอบบาง เช่น เปลือกตา หรือใต้ตา ทำให้การผ่าตัดเป็นวิธีที่แพทย์จะใช้ต่อไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นได้เท่านั้นค่ะ
สิวข้าวสาร สิวหิน รักษาด้วยการยาแต้มได้ไหม
การแต้มยาที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids) มีรายงานว่ามีการนำมาใช้รักษาสิวข้าวสารและสิวหิน แต่ได้ผลในบางเคส และได้ผลช้า จึงไม่แนะนำการรักษาด้วยวิธีนี้
วิธีดูแลผิวไม่ให้เกิดสิวข้าวสาร และสิวหิน
หมอต้องขอบอกก่อนค่ะว่า สิวข้าวสารและสิวหินที่รักษาไปแล้ว มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นอีกได้ การดูแลผิวให้มีสุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดสิวเหล่านี้ค่ะ
- ทำความสะอาด และบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ - การดูแลผิวอย่างเสมอจะช่วยให้รากฐานของผิวแข็งแรงค่ะ โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่เหมาะกับสภาพผิว และใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA หรือ BHA เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และลดโอกาสของการเกิดสิวข้าวสารค่ะ
- สครับผิวบ้าง 1 ครั้งต่อสัปดาห์ - การสครับผิวเป็นการช่วยผลัดเซลล์ผิว และขจัดสิ่งตกค้าง ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวข้าวสารได้ค่ะ แต่ควรเลือกใช้สครับที่อ่อนโยนนะคะ
- ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหากมีสิวหินหรือสิวข้าวสารเกิดขึ้นเยอะ - สำหรับคนที่มีสิวหิน หรือสิวข้าวสารเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความกังวล หมอขอแนะนำว่า อย่าพยายามกดหรือสิวเหล่านี้เองที่บ้าน และปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อหาสาเหตและวิธีการรักษาที่ถูกต้องดีกว่าค่ะ
รักษาสิวหิน สิวข้าวสาร และปัญหาผิวรอบด้านที่ EY Clinic
หมอหวังว่าบทความนี้จะช่วยอธิบายให้ความรู้กับคุณเกี่ยวกับสิวหิน และสิวข้าวสารได้ไม่มากก็น้อยนะคะ และหากคุณมีปัญหาสิวหิน สิวข้าวสาร หรือ ไม่แน่ใจว่าสิวที่เป็นอยู่เกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่ สามารถเข้ามาพูดคุยปรึกษาหมอได้ที่ EY Clinic ค่ะ
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย
เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดี ยินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะเข้ามาพูดคุยกับเราได้ที่ EY Clinic หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ
รีวิวจากผู้รับบริการจริง
อ้างอิงข้อมูล
- Gallardo Avila, Patricio P., and Magda D. Mendez. (2020) Milia. PubMed, StatPearls Publishing, www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK560481/
- Jennifer H. (2023, June 26) What is syringoma and how is it treated? Medical News Today, https://www.medicalnewstoday.com/articles/319805