โบท็อกซ์ เมโส ฟิลเลอร์
Jan 11, 2024
0
min read

ฟื้นฟูล้ำลึกให้ผิวอิ่ม ฉ่ำ อ่อนวัย อย่างเป็นธรรมชาติด้วย Sculptra

ฟื้นฟูล้ำลึกให้ผิวอิ่ม ฉ่ำ อ่อนวัย อย่างเป็นธรรมชาติด้วย Sculptra

ริ้วรอย ความหย่อนคล้อยและผิวที่แห้งดูสุขภาพไม่ดี เป็นปัญหาพร้อมกับอายุที่มากขึ้นเสมอ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะยิ่งเราอายุมากขึ้น ความสามารถในการผลิตคอลลาเจนของร่างกายก็ยิ่งลดน้อยลง ทำให้หน้าดูเหี่ยว หมอง แต่ปัจจุบันเรามี Sculptra สารกระตุ้นคอลลาเจนตัวเดียวที่ได้รับการยอมรับจาก US FDA ที่จะช่วยคืนความอ่อนวัยและชุบชีวิตให้ผิวหน้ากลับมาเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ

ในบทความนี้ หมอผึ้งก็ได้สรุปรวมสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Sculptra ทั้งวิธีการทำงาน วิธีดูแลตัวเอง และเปรียบเทียบ Sculptra กับทรีตเมนต์ตัวอื่น ๆ มาให้เราได้อ่านกันก่อนตัดสินใจ

Sculptra คืออะไร

Sculptra คือสาร Poly-l-lactic acid (PLLA) ซึ่งเป็นกลุ่ม Collagen stimulator สารกลุ่มนี้จะทำงานด้วยกลไกธรรมชาติของร่างกายเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น ซึ่งตัว PLLA เป็นสารประกอบประเภทเดียวกับที่ตัวไหมละลาย (Suture thread) ที่ใช้เย็บแผลหลังผ่าตัด

และ Sculptra ยังเป็นสารฉีดกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับการรับรองโดย US FDA ว่าปลอดภัยและสามารถใช้เพื่อจุดประสงค์ของความงามได้

คอลลาเจน สำคัญต่อผิวหน้าอย่างไร

คอลลาเจน เป็นเหมือนคำวิเศษที่คลินิกความงามและผู้ผลิตสกินแคร์ใช้เพื่อโฆษณาขายครีมหรือทรีตเมนต์ให้กับเรา แต่คอลลาเจนมันคืออะไรกันแน่?

คอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบในเกือบทุกส่วนของร่างกายมนุษย์ มีความสำคัญในการเพิ่มความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นให้กับเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ผิวหนัง หลอดเลือด เส้นเอ็น ข้อต่อ กระดูก หรือดวงตา ซึ่งคอลลาเจนมีถึง 28 ประเภท แต่เราจะโฟกัสที่ คอลลาเจน type 1 (Type I Collagen) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของผิว และเป็นประเภทที่พบได้มากที่สุดในร่างกายของเรา

คอลลาเจนในชั้นผิวของเราจะทำงานคู่กับไฮยาลูรอนิก แอซิด และอีลาสติน โดยหน้าที่ของคอลลาเจนก็มีอยู่มากมาย:

  • เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ทำให้ผิวกระชับ ไม่หย่อนและไม่เกิดริ้วรอย
  • เก็บความความชุ่มชื้นให้กับเซลล์ ทำให้เซลล์ไม่ขาดน้ำและทำงานได้เต็มที่
  • เป็นองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการสมานแผล เมื่อร่างกายมีแผล ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ คอลลาเจนจะเป็นตัวที่เข้ามาซ่อมแซมเนื้อเยื้อที่ถูกทำลาย
  • ช่วยให้ผิวมีสัมผัสที่อ่อนโยน ไม่หยาบกร้าน

อย่างที่ทุกคนรู้กันว่า เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น ผิวของเราก็เปลี่ยนไป เริ่มมีริ้วรอย หมองคล้ำง่าย แห้งง่ายและไม่เต่งตึงเหมือนเดิม ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าความสามารถในการผลิตคอลลาเจนในร่างกายของลดลง โดยช่วงอายุ 20-30 ปี เราจะสูญเสียคอลลาเจนไปอย่างน้อย ปีละ 1-2% เมื่อเข้าอายุ 40 ก็จะเริ่มเห็นได้ชัดเจนว่าผิวหน้าของเราหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ร่องลึก และหมองคล้ำ ไม่สดใส

Sculptra ทำงานอย่างไร

Sculptra จะถูกฉีดเข้าผิวชั้นsubcutaneous(ใต้หนังแท้) และจะเข้าไปกระตุ้นการอักเสบของเซลล์แบบเบา ๆ เมื่อร่างกายรับรู้ว่าเกิดการอักเสบ ก็จะเข้าสู่กระบวนการซ่อมแซมสมานแผล โดย Sculptra สามารถเพิ่มการผลิตคอลลาเจนได้ถึง 66.5% หลังจากฉีดกระตุ้นเพียง 3 เดือน ด้วยกลไกนี้ เซลล์ของเราก็เหมือนได้รับการฟื้นฟูตั้งแต่ระดับโครงสร้าง ต่างจากการฉีด ฟิลเลอร์ซึ่งเป็นเน้นการเติมปริมาตร หรือการฉีดเมโสหน้าใสที่เป็นการป้อนอาหารให้ผิว

คอลลาเจนที่มากขึ้นตรงนี้จะมาแก้ปัญหาในเรื่องของริ้วรอย ผิวไม่กระชับ หย่อนคล้อย ไปจนถึงปัญหาผิวหมองคล้ำไม่สดใสที่เกิดจากการขาดความชุ่มชื้นนั่นเอง

Sculptra เหมาะกับใครบ้าง

  • คนที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก
  • คนที่ต้องการการฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึกและเป็นธรรชาติ
  • คนที่ต้องการผิวที่อิ่มฟู เต่งตึง และชุ่มชื้น
  • คนที่ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลผิวหน้าและต้องการผลลัพธ์ที่คงอยู่ได้นานโดยไม่ต้องเข้าคลิกนิกบ่อย ๆ

Sculptra ต้องฉีดกี่ครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ใช้ Sculptra ครั้งแรกควรฉีดอย่างน้อย 3 ครั้ง โดยฉีดติดต่อกันทุก 4-6 สัปดาห์ หลังฉีดแล้ว ร่างกายจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการเริ่มผลิตคอลลาเจนให้มากขึ้น จากนั้นก็จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง โดยผิวจะเริ่มมีความอิ่มน้ำ กระชับ ริ้วรอยดูจางลง และเต่งตึงขึ้นทีละนิดอย่างเป็นธรรมชาติ

เมื่อฉีดครบคอร์สแล้ว ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานถึง 2 ปี และต้องการการฉีดกระตุ้นเพียงปีละ 1 ครั้งก็เพียงพอที่จะคงความอ่อนวัย ชุ่มฉ่ำตรงนี้ได้แล้ว

แต่หมอผึ้งขอย้ำสักนิดค่ะว่า จำนวนครั้งและปริมาณของการฉีด Sculptra จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ผู้ดูแล ฉะนั้นการเลือกคลินิกที่เชื่อถือได้และได้มาตฐานปลอดภัยก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ด้วย

ฉีด Sculptra อันตรายไหม

Sculptra ได้รับการรับรองโดย US FDA ว่าปลอดภัยในการใช้เพื่อความงาม และยังเป็นสารที่ใช้กันในวงการการแพทย์มาตั้งแต่ปี 1970 มี “ความเข้ากันได้ทางชีวะภาพต่อร่างกายมนุษย์” หรือ Biocompatiblility ทำให้มั่นใจได้ว่า เมื่อฉีด Sculptra แล้ว จะไม่เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่รบกวนการทำงานของเซลล์และย่อยสลายได้เองโดยไม่ทิ้งสารตกค้าง

Sculptra ถือเป็นหัตถการที่ทำได้ง่ายและปลอดภัย โดยทั่วไปแล้ว ผลข้างเคียงที่พบได้หลังฉีด Sculptra ก็จะเป็น อาการบวม แดงหรือช้ำจากเข็ม ที่มักจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์แรก ในบางราย อาจคลำพบก้อนเล็ก ๆ ใต้ผิวหนังในช่วงแรก แนะนำให้นวดบริเวณที่ฉีดตามคำแนะนำของแพทย์ ก้อนดังกล่าว จะค่อย ๆ หายไปได้เอง

หลังฉีด Sculptra แล้ว ควรดูแลตัวเองอย่างไร

  • งดทำกิจกรรมขับเหงื่ออย่าง การอบซาวน่า และการออกกำลังกายในช่วง 1-2 วันแรก
  • งดกิจกรรมออกแดด จนกว่าอาการบวมเข็มจะหาย
  • งดทำทรีตเมนต์อื่น ๆ บนใบหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
  • นวดหน้าด้วยหลัก 5:5:5

วิธีนวด 5:5:5 คือการนวดเพื่อลดการจับตัวของสาร PLLA และเพื่อกระตุ้นให้ผิวดูดซับตัว PLLA โดยนวดบริเวณใบหน้าอย่างเบามือ 5 ครั้งต่อวัน ครั้งละ 5 นาที เป็นเวลาต่อกัน 5 วันหลัง ด้วยวิธีดังนี้:

  • นวดจากหน้าผากออกไปทางขมับทั้งสองข้างโดยใช้ปลายนิ้ว
  • นวดจากบริเวณแก้มขึ้นไปยังโหนกแก้มโดยใช้อุ้งมือ
  • นวดจากคางไล่ขึ้นไปตามแนวกราม โดยใช้อุ้งมือ

เปรียบเทียบ Sculptra กับทรีตเมนต์อื่น ๆ

Sculptra กับ ฟิลเลอร์

อย่างที่รู้กันว่าฟิลเลอร์เป็นสารไฮยาลูรอนิก แอซิดที่ฉีดเพื่อเติมให้หน้าฟู อิ่มน้ำและแน่นกระชับ ซึ่งการทำงานของฟิลเลอร์นั้นต่างกับ Sculptra โดยสิ้นเชิง เพราะ Sculptra เป็นสาร PLLA ซึ่งเป็น Collagen stimulator หรือก็คือสารที่กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยตรง ในขณะที่ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มปริมาตรของผิว หลังฉีดฟิลเลอร์แล้วเราก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เลยในเวลา 1-2 วัน และผลลัพธ์อยู่ได้ตั้งแต่ 6-12 เดือนขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อ แต่ Sculptra จะมีการทำงานที่ค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า โดยจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ก่อนที่จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง แต่ผลลัพธ์ก็จะอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์

ผลลัพธ์ของสองหัตถการนี้ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ฟิลเลอร์จะเหมาะกับคนที่ต้องการเติมแก้ม ปรับโหงวเฮ้ง เติมร่องน้ำหมาก-ร่องแก้ม เติมคาง เติมหน้าผาก หรืออยากให้หน้าอิ่มน้ำในเวลาสั้น ๆ แต่ Sculptra จะเหมาะกับคนที่ต้องการคืนความอ่อนวัยและบำรุงในระยะยาวมากกว่า

Sculptra กับ เมโส

เมโสหน้าใส อธิบายแบบสั้น ๆ ก็คือการฉีดป้อนสารอาหารให้ผิว สารที่นำมาฉีดจะเป็นค็อกเทลที่ประกอบด้วยวิตามิน เอนไซม์ และสารสกัดจากพืช ที่จะช่วยให้ผิวได้รับฟื้นฟู ปรับโทนสีผิวให้เสมอกัน กระชับรูขุมขนและทำให้หน้ากระจ่างใส สดชื่น ซึ่งทำงานต่างกับ Sculptra ที่เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนโดยสิ้นเชิง

แต่หมอผึ้งขอย้ำว่า เราไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่า Sculptra ดีกว่าเมโสหรือ เมโสดีกว่า เพราะทรีตเมนต์ที่ดีที่สุดคือทรีตเมนต์ที่สามารถให้ผลลัพธ์ที่เราต้องการได้ หากเราต้องการให้ผิวได้รับการรีเฟรชแบบรวดเร็วและล้ำลึก เมโสก็จะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า

Sculptra กับ Rejuran

รีจูรันเป็นอีกหนึ่งทรีตเมนต์ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ ด้วยเทรนด์ผิวกระจก-ผิวฉ่ำน้ำที่กำลังได้รับความนิยม ซึ่งตัวรีจูรันจะเป็นสารโพลีนิวคลีโอไทด์หรือเรียกว่าเป็นชิ้นส่วนดีเอ็นเอที่สกัดมาจากปลาแซลมอน รีจูรันสามารถกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนได้เช่นกัน แต่จะมีวิธีการทำงานที่ต่างกับ Sculptra

จุดประสงค์ของรีจูรันก็แตกต่างจาก Sculptra เช่นกัน เช่น รีจูรันช่วยสามารถเรื่องการสร้างเกราะป้องกันให้ผิวที่ปกป้องผิวจากปัจจัยอย่าง มลภาวะหรือแสงแดด และยังมีรีจูรัน เอส (Rejuran S) ที่ถูกพัฒนามาสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องหลุมสิวและรอยแผลเป็นจากสิวโดยเฉพาะ

แต่หนึ่งอย่างที่หมอผึ้งคิดว่า Sculptra ได้เปรียบรีจูรันก็คือ Rejuran ต้องฉีดซ้ำทุก 1-2 เดือนเพื่อคงสภาพผิว ในขณะที่ Sculptra ต้องการการฉีดกระตุ้นเพียงแค่ปีละครั้งหลังจากทรีทเม้นต์คอร์สแรก ตรงนี้หมอผึ้งเลยคิดว่า Sculptra อาจจะถูกใจคนที่มีชีวิตเร่งรีบ และไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเองมากกว่ารีจูรัน

Skin & wellness ที่ EY Clinic

ได้รู้จัก Sculptra กันไปแล้ว หากใครยังมีข้อสงสัยหรืออยากจะเริ่มดูแลตัวเองแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร เข้ามาปรึกษาเราได้ที่ EY Clinic นอกจากหมอผึ้งแล้วก็ยังมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงามอีกหลายท่านที่พร้อมจะดูแลให้คุณได้ผลลัพธ์แบบที่คุณต้องการ

เราอยากให้คุณดูดี และรู้สึกดีทุกวัน
เรามีทรีตเมนต์หลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของคุณ ตั้งแต่การดูแลผิวไปจนถึงโภชนาการ เรามีทุกสิ่งที่คุณต้องการเพื่อให้คุณรู้สึกดีที่สุด