โบท็อกซ์ เมโส ฟิลเลอร์
Mesotherapy เมโสมีประโยชน์อะไรบ้าง
สวัสดีค่ะ วันนี้หมอผึ้งจะมาเล่าถึงเรื่องการทำเมโสหรือ Mesotherapy ให้ทุกคนฟังนะคะ หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์จากบทความนี้ เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจค่ะ
ศาสตร์เบื้องหลังเมโส
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หมอรู้สึกทึ่งกับวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังการรักษาผิวหนังของเรามาโดยตลอด Mesotherapy ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่น่าทึ่งมีขั้นตอนเกี่ยวข้องกับการส่งวิตามิน เอ็นไซม์ ฮอร์โมน และสารสกัดจากพืชฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนัง ส่วนผสมเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อฟื้นฟูผิว ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต และกระตุ้นการสลายไขมัน ด้วยการกระตุ้นการตอบสนองต่อการรักษาของร่างกาย เมโสจะส่งเสริมการสร้างและฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นและอ่อนเยาว์ขึ้น ทีนี้มาเจาะลึกกันว่าการรักษานี้มีประโยชน์ต่อคุณอย่างไร
การประยุกต์ใช้ Mesotherapy
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจกลไกการทำงานของ Mesotherapy และการใช้งานที่หลากหลาย แม้ว่าเมโสจะได้รับการยอมรับอย่างสูงในด้านคุณสมบัติในการต่อต้านริ้วรอยและลดจุดด่างดำ แต่เมโสก็มีประสิทธิภาพไม่แพ้กันในการจัดการกับปัญหาผิวอื่นๆ ตัวอย่างเช่น สามารถต่อสู้กับเซลลูไลท์ ทำให้ผิวเรียบเนียนและกระชับขึ้น นอกจากนี้ เมโสยังประสบความสำเร็จในการนำมาใช้รักษาผมร่วง เช่น ภาวะผมร่วงจากกรรมพันธุ์ (Androgenic alopecia) เนื่องจากสามารถช่วยกระตุ้นหนังศีรษะและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผม อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของเมโสนั้นขึ้นอยู่กับตัววิตามินหรือสารสกัดที่นำมาใช้ให้เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล โดยคุณหมอจะปรับเปลี่ยนแผนการรักษาให้เหมาะกับปัญหาและความต้องการเฉพาะของผิว เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับการดูแลที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณมากที่สุด
ขั้นตอนการฉีดเมโส
การทำเมโสเป็นการรักษาที่ปลอดภัย ไม่ทำให้เกิดผิวหน้าไหม้หรือบางลง ประกอบด้วยขั้นตอนของการฉีดวิตามินหลายจุดเป็นจุดเล็กๆ (microinjection) กระจายทั่วผิว สารที่นำมาฉีดเป็นค็อกเทลสูตรพิเศษของวิตามิน เอ็นไซม์ และสารสกัดจากพืช นำมาใช้เพื่อฟื้นฟู กระชับผิว ช่วยให้ผิวใส ลดจุดด่างดำ รวมทั้งกำจัดไขมันส่วนเกิน อย่าปล่อยให้คำว่า "microinjection" ทำให้คุณกังวลใจ เราให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของผู้เข้ารับการรักษาเป็นอย่างมาก และมีการทายาชาเฉพาะที่ผิวหนังล่วงหน้าเพื่อให้รู้สึกไม่สบายน้อยที่สุด เป้าหมายของเราที่ EY Clinic ไม่ใช่แค่เพื่อผลลัพธ์ที่มองเห็นได้ แต่ยังมอบประสบการณ์ที่สะดวกสบายและผ่อนคลายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ประโยชน์ของเมโส
จากการประสบการณ์การรักษา 14 ปีของหมอ หมอได้เห็นแล้วว่าเมโสสามารถปฏิวัติสุขภาพผิวได้อย่างแท้จริงได้อย่างไร หมอเชื่อมั่นในพลังของทรีตเมนต์นี้และความสามารถในการจัดการกับปัญหาผิวต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมโสมีประโยชน์มากมาย รวมถึงการฟื้นฟูและกระชับผิว ลดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น รักษาเม็ดสี และปรับปรุงลักษณะโดยรวมและสุขภาพของผิว การรักษานี้มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดในการปรับปรุงความมีชีวิตชีวาและความอ่อนเยาว์ของผิว สามารถปรับให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของผิวแต่ละบุคคล ทำให้เป็นทางออกที่หลากหลายสำหรับสภาพผิวต่างๆ ที่ EY Clinic เราภูมิใจที่จะนำเสนอการรักษาที่พลิกโฉมนี้แก่คนไข้ของเรา ช่วยให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายด้านผิวพรรณและเพิ่มความมั่นใจ
เทคนิคการฉีดเมโส
ในฐานะแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง เป็นความรับผิดชอบของหมอที่จะต้องแน่ใจว่าคนไข้ของหมอเข้าใจขั้นตอนการรักษาที่เรานำเสนอ เมโสเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างรวดเร็วและตรงไปตรงมา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการฉีดวิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโน และกรดไฮยาลูโรนิก ซึ่งปรับให้เหมาะกับความต้องการของผู้ป่วยแต่ละรายโดยเฉพาะ ส่วนผสมของวิตามินจะถูกฉีดเข้าไปในชั้น Dermis ซึ่งเป็นชั้นกลางของผิวหนัง ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีที่สุด ตามหลักแนวคิดคือต้องการบำรุงและฟื้นฟูผิวในขณะที่ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งมีความสำคัญต่อความยืดหยุ่นและความกระชับของผิว กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นแต่ยังเข้าไปแก้ต้นเหตุของปัญหาผิวต่างๆ จากภายในทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ยาวนาน โดยส่วนตัวแล้วหมอมั่นใจว่าผู้ป่วยแต่ละรายจะได้รับแผนการรักษาที่จัดทำขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อตอบสนองความต้องการและข้อกังวลของแต่ละคน
ประโยชน์และความอเนกประสงค์ของเมโส
จากการประสบการณ์การทำงาน หมอสังเกตเห็นประโยชน์มากมายจากเมโสเทอราพี เป็นทรีตเมนต์อเนกประสงค์ที่สามารถจัดการกับปัญหาผิวได้หลากหลาย ตั้งแต่การเพิ่มความชุ่มชื้นและความเปล่งปลั่งของผิวไปจนถึงการส่งเสริมความยืดหยุ่นและลดริ้วรอย Mesotherapy เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการฟื้นฟูผิวอย่างครบวงจร สามารถใช้เพื่อต่อสู้กับผิวหมองคล้ำ รักษาฝ้า แก้ไขความหย่อนคล้อยของผิว ลดไขมันส่วนเกิน หรือเพื่อลดริ้วรอยตื้นๆ นอกจากนี้ยังใช้ในการรักษาโรคผมร่วงจากกรรมพันธุ์ คุณสมบัติกระตุ้นของเมโสสามารถช่วยกระตุ้นรูขุมขนและส่งเสริมการงอกของเส้นผม ซึ่งการรักษานี้มีแนวโน้มได้ผลดีสำหรับผู้ที่ทุกข์ทรมานจากผมบาง ในฐานะแพทย์ผิวหนัง หมอให้ความสำคัญกับการรักษาที่ได้ผลดี มีความปลอดภัยสูง สามารถปรับเปลี่ยนตามปัญหาของแต่ละบุคคลได้และเมโสก็เหมาะกับเกณฑ์นี้อย่างยิ่ง
แนวทางการรักษาด้วยเมโสที่ EY Clinic
ที่ EY Clinic หมอเชื่อในการสร้างแผนการรักษาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล ซึ่งทรีตเมนต์นี้เกี่ยวข้องกับการเลือกส่วนผสมในคอกเทลของเมโสอย่างระมัดระวังโดยพิจารณาจากปัญหาผิวเฉพาะและสุขภาพโดยรวมของคุณ หมอคำนึงถึงประเภทผิว อายุ ไลฟ์สไตล์ และเป้าหมายการดูแลผิวส่วนบุคคลของคุณ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับคุณ เป็นวิธีการแบบองค์รวมเฉพาะบุคคลที่ช่วยให้เราได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ไม่เพียงแต่เสริมสุขภาพผิวของคุณ แต่ยังรวมถึงความมั่นใจและความเป็นอยู่ที่ดีของคุณด้วย อย่าลืมว่าเส้นทางสู่ผิวสุขภาพดีขึ้นก็เป็นเป้าหมายของเราเช่นกัน และเรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือคุณในทุกขั้นตอน
ฟื้นฟูผิวด้วยเมโสที่ EY Clinic
ที่ EY Clinic เราภูมิใจนำเสนอ Mesotherapy เป็นหนึ่งในการรักษาชั้นนำของเราสำหรับการฟื้นฟูผิว ความเชี่ยวชาญและความมุ่งมั่นของเราที่มีต่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ป่วยทำให้เราแตกต่าง เราค้นคว้าอย่างต่อเนื่องและตามทันความก้าวหน้าล่าสุดในวิทยาการผิวหนัง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยของเราจะได้รับการดูแลที่ดีที่สุด หมอผึ้ง ดูแลการทำเมโสแต่ละสูตรเป็นการส่วนตัว เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและความพึงพอใจของคุณตลอดกระบวนการ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ต้อนรับคุณที่ EY Clinic ซึ่งจะแนะนำคุณตลอดการเดินทางสู่สุขภาพผิวที่แข็งแรงและสดใสยิ่งขึ้น สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Mesotherapy หรือจองคำปรึกษา กรุณาติดต่อทีมงานของเราได้ที่เบอร์ 0615941923 หรือติดต่อผ่าน LINE Official: @EyclinicTH อย่าลืมว่าผิวกระจ่างใสไม่ใช่แค่ความฝัน แต่เป็นการเดินทางที่เริ่มต้นขึ้นที่นี่ที่ EY Clinic
ปัญหารูขุมขนกว้าง หน้ามัน นอกจากจะทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียน เกิดการอุดตันได้ง่าย เป็นสิวบ่อยและยังทำให้เมคอัพติดไม่ทนนานด้วยค่ะ ในบทความนี้ หมอจะพามาศึกษากันว่า ปัญหารูขุมขนกว้าง รักษาอย่างไร มีทรีตเมนต์แบบไหนบ้าง และเราจะมีวิธีกระชับรูขุมขนเองที่บ้านได้อย่างไรค่ะ
รูขุมขนกว้าง เกิดจากอะไร
ปัญหารูขุมขนกว้างเกิดจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ซึ่งสามารถพบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชายเลย โดยสาเหตุของรูขุมขนกว้างเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้ค่ะ
อายุที่มากขึ้น
ยิ่งอายุของเรามากขึ้น ความสามารถในการผลิตคอลลาเจนก็น้อยลงไปด้วย ส่งผลให้ผิวหนังเสียความยืดหยุ่น ไม่เต่งตึง เมื่อผิวหนังหย่อนคล้อยก็จะทำให้รูขุมขนดูกว้างขึ้น
ปัจจัยทางพันธุกรรม
ผิวของแต่ละคนถูกสร้างมาไม่เหมือนกัน ซึ่งคนที่มีผิวมันมักจะมีรูขุมขนที่กว้างกว่าคนมีผิวแห้งค่ะ ยิ่งผิวผลิตน้ำมันออกมาเยอะ รูขุมขนก็ยิ่งขยายกว้าง ต่อมาเมื่อมีการเกิดการอุดตันจากเศษเซลล์ผิวหรือเคราตินก่อให้เกิดการอุดตัน และทำให้รูขุมขนขยายกว้างขึ้น จึงกลายเป็นวงจรที่ทำให้ผิวหน้าของเราไม่เรียบเนียนและลดความมั่นใจของเราค่ะ
สภาพอากาศ
อากาศที่ร้อนทำให้ผิวขาดน้ำได้ง่าย และเมื่อผิวขาดน้ำ ต่อมน้ำมันจึงทำงานหนักขึ้นเพื่อที่จะพยายามเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว ส่งผลให้หน้ามันและรูขุมขนกว้างค่ะ
ฝุ่นควันและแสงแดด
แสงแดดมีส่วนทำร้ายโครงสร้างของคอลลาเจน ทำให้ผิวแก่ตัวเร็ว และ ฝุ่นควันทำให้เซลล์ผิวเกิดการอักเสบ สูญเสียสมดุล และซ่อมแซมตัวเองได้ช้าลงค่ะ
อาหารการกิน
อย่างที่เรารู้กันว่าอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงมีส่วนทำให้ผิวมัน เนื่องจากอาหารเหล่านี้ทำให้ต่อมน้ำมันใต้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น นอกจากนี้ยังมีส่วนทำให้เซลล์อักเสบและเกิดเป็นสิวง่ายด้วยค่ะ
5 วิธีกระชับรูขุมขนที่ทำได้เองที่บ้าน
อย่างที่รู้กันว่า คอลลาเจนเป็นกุญแจสำคัญในการรักษารูขุมขนที่กว้างให้กระชับขึ้น แต่นอกจากคอลลาเจนแล้ว การดูแลผิวหน้าให้แข็งแรง มีเกราะป้องกันจากฝุ่นควันและแสงแดด และความสะอาดก็สำคัญไม่แพ้กันค่ะ
- ทำความสะอาดหน้าด้วยคลีนเซอร์ที่อ่อนโยน เพื่อกำจัดสิ่งตกค้างบนใบหน้าโดยไม่ทำร้ายผิว
- มาส์กหน้าเป็นประจำ เลือกมาส์กที่ช่วยควบคุมความมัน ซึ่งจะสามารถช่วยกระชับรูขุมขนได้
- สครับผิวหน้า อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพื่อกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งจะลดโอกาสการอุดตันของรูขุมขน และยังช่วยในการผลัดเซลล์ผิวได้
- บำรุงผิวด้วยสกินแคร์และทาครีมกันแดด เพื่อรักษาให้ผิวชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากแสงแดดและมลภาวะ เลือกครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของเรตินอยส์ (Retinoids) ซึ่งจะช่วยผลัดเซลล์ผิว และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
- ดูแลตัวเองด้วยการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำให้เพียงพอ
7 วิธีรักษา แก้ปัญหารูขุมขนกว้าง
ทรีตเมนต์ในการแก้ปัญหารุขุมขนกว้างมีหลายรูปแบบให้เลือกค่ะ คนที่กำลังสงสัยว่า รูขุมขนกว้าง ต้องฉีดอะไรดี หมอขอตอบว่า ทรีตเมนต์ฉีดรักษาปัญหารูขุมขนกว้างมีอยู่ 5 วิธีการ ได้แก่ โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เมโสหน้าใส ทรีตเมนต์ PRP และ Rejuran ค่ะ
แต่หากถาม รูขุมขนกว้าง ฉีดอะไรดีที่สุด หมอขอตอบว่า ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลค่ะ และไม่ว่าเราจะเลือกฉีดอะไร ก็ต้องไม่ลืมที่จะเลือกฉีดกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ดำเนินการ เพื่อความปลอดภัยและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ
และนอกจากการรักษาด้วยการฉีดแล้ว ยังมีการทำ HIFU และเลเซอร์ก็สามารถช่วยเรื่องรูขุมขนได้ค่ะ
โบท็อกซ์ (Botox)
โบท็อกซ์เป็นหัตถการยอดนิยมในด้านการแก้ปัญหาริ้วรอยทั้งร่องลึกและร่องตื้นค่ะ แต่โบท็อกซ์ก็ช่วยกระชับรูขุมขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะโบท็อกซ์ออกฤทธิ์กับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อที่ดึงรูขุมขนอยู่คลายตัวลง และส่งผลให้รูขุมขนกระชับขึ้นค่ะ นอกจากนี้ สารโบท็อกซ์ยังออกฤทธิ์ทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวผลิตน้ำมันน้อยลง ถือเป็นวิธีรักษารูขุมขนกว้างที่ควบคุมความมันในเวลาเดียวกันค่ะ
การฉีดโบท็อกซ์เพื่อรักษาปัญหารูขุมขนกว้างจะใช้อยู่ประมาณ 20-30 unit แต่อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่ต้องใช้ย่อมขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนและผลลัพธ์ที่ต้องการด้วยค่ะ
โดยโบท็อกซ์ที่ EY Clinic เริ่มต้นที่ 150 บาท ต่อ 1 unit (nabota จากประเทศเกาหลี) ซึ่งให้ผลลัพธ์คงนานตั้งแต่ 4-6 เดือน และจะเห็นผลภายในสัปดาห์แรกหลังทำค่ะ จึงถือเป็นวิธีกระชับรูขุมขนเร่งด่วนที่มีประสิทธิภาพค่ะ
ฟิลเลอร์ (Filler)
อีกหนึ่งวิธีกระชับรูขุมขนเร่งด่วนที่ทำได้ง่ายคือ ฟิลเลอร์ค่ะ ฟิลเลอร์เป็นการเติมเต็มปริมาตรให้ผิวด้วยไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) เมื่อฉีดแล้ว นอกจากจะทำให้ใบหน้าเต่งตึง ฟิลเลอร์ยังสามารถช่วยรูขุมขนกระชับขึ้นและช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน ฉ่ำน้ำ แต่ควรเลือกใช้เป็นรุ่นเนื้อบางที่เหมาะฉีดผิวชั้นตื้น ผลลัพธ์เริ่มเห็นได้ภายในสัปดาห์แรกหลังทำค่ะ
ทรีตเมนต์ฟิลเลอร์ที่เหมาะสมสำหรับฉีดกระชับรูขุมขนของ EY Clinic แนะนำเป็น Restylane รุ่น Vital light (จากสวีเดน) ให้บริการที่ราคา 12,799 ต่อ 1 cc ค่ะ
รีจูรัน (Rejuran)
อย่างที่เรารู้กับดีค่ะ ว่า คอลลาเจนนั้นมีความสำคัญต่อผิวหน้าที่เต่งตึง ฉ่ำน้ำ และแข็งแรง รวมถึงเป็นตัวการสำคัญที่จะช่วยรักษารูขุมขนกว้าง รีจูรันจึงเป็นทางเลือกอีกหนึ่งทางที่เหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่ต้องการกระชับรูขุมขน พร้อมปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงขึ้น โดยส่วนประกอบหลักของรีจูรันคือ สารโพลีนิวคลีโอด์ (Polynucleotide, PN) ที่เป็นโมเลกุลทางชีวภาพจากปลาแซลมอน เมื่อฉีดแล้ว จะทำงานในระดับ DNA เพื่อช่วยส่งเสริมการซ่อมแซมโครงสร้างของผิว เพิ่มการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน และลดการอักเสบของเซลล์ด้วยค่ะ
กระชับรูขุมขนที่ EY Clinic ด้วย rejuran 2cc มีราคาเริ่มต้นที่ 9,999 บาท ต่อครั้ง และมี
- แพ็กเกจ 17,999 บาท ต่อ 2 ครั้ง (คิดเป็น 9,000 ต่อครั้ง)
- แพ็กเกจ 25,499 บาท ต่อ 3 ครั้ง (คิดเป็น 8,500 ต่อครั้ง) ให้เลือกด้วยค่ะ
เมโสหน้าใส (Meso)
ทรีตเมนต์เมโสหน้าใสเป็นการป้อนสารอาหารและโคเอนไซม์ที่มีประโยชน์ให้กับผิวด้วยการฉีดค่ะ ทรีตเมนต์นี้เป็นการฟื้นฟูอย่างล้ำลึกที่นอกจากจะช่วยกระตุ้นการคอลลาเจนภายใต้ชั้นผิว ทำให้รูขุมขนที่กว้างดูกระชับขึ้นแล้ว ยังช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ปรับโทนผิวของเราให้เสมอกัน และแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำได้ด้วยค่ะ
และเมโสบางตัวอย่าง มาเด้ คอลลาเจน (made collagen) ยังช่วยในเรื่องการกำจัดสารพิษในชั้นผิว ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่มีผิวบอบบาง เป็นผดผื่นง่ายค่ะ ซึ่งที่ EY Clinic ก็ให้บริการนี้ด้วยค่ะ
- made collagen เรื่มต้นที่ 2,499 บาท ต่อครั้ง และมีแพ็กเกจ 12,495 ต่อ 6 ครั้ง
ทรีตเมนต์เกล็ดเลือด (PRP)
ทรีตเมนต์ PRP หรือ Platelet-rich Plasma คือการใช้เกล็ดเลือดในการฟื้นฟูผิวหน้าค่ะ ซึ่งวิธีการนี้จะเป็นการดึงเอาโปรตีนและสสารต่าง ๆ ที่มีสรรพคุณในการบำรุงผิวออกมาจากเลือดของเรา แล้วนำไปผ่านกระบวนการเพื่อให้ได้สารที่เข้มข้นที่สุด จากนั้นนำมาฉีดเข้าสู่ชั้นผิว สารเหล่านี้ทำหน้าที่กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน กระตุ้นการซ่อมแซมผิวและช่วยการเกิดของเซลล์ผิวใหม่ ทรีตเมนต์ PRP จึงช่วยแก้ปัญหารูขุมขนกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยฟื้นฟูผิวแบบรอบด้านด้วยค่ะ
รักษารูขุมขนกว้าง และฟื้นฟูผิวหน้าแบบรอบด้านด้วย ทรีตเมนต์ prp (regen lab) ที่ EY Clinic เริ่มต้นที่ 6,999 บาท ต่อครั้ง
ไฮฟู (HIFU)
HIFU หรือ High-Intensity Focused Ultrasound เป็นทรีตเมนต์ที่ไม่ต้องใช้เข็มและไม่ทำให้เกิดแผลค่ะ เพราะ HIFU เป็นการใช้คลื่นอัลตราซาวน์ซึ่งมีความเข้มข้นสูง เป้าหมายของคลื่นอัลตราซาวน์คือทำให้เยื่อหุ้มกล้ามเนื้อชั้น “SMAS” (Superficial Musculoaponeurotic System) หดตัว เพื่อกระตุ้นระบวนการการซ่อมแซมตัวเองของเซลล์ผิว ส่งผลให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้น HIFU นอกจากจะทำให้ผิวเนียน รูขุมขนเล็กลงแล้ว ยังช่วยยกกระชับใบหน้าหนียงและลำคอได้ด้วยค่ะ
Hifu แบบทั่วหน้าที่ EY Clinic รวมตั้งแต่ ใบหน้า รอบดวงตา ยกคิ้ว เหนียง และลำคอ มีราคาอยู่ที่ 9,999 บาท ต่อครั้ง และมี
- แพ็กเกจ 16,999 บาท ต่อ 2 ครั้ง (คิดเป็น 8,500 ต่อครั้ง)
- แพ็กเกจ 23,999 บาท ต่อ 3 ครั้ง (คิดเป็น 8,000 ต่อครั้ง) ให้เลือกด้วยค่ะ
เลเซอร์ (Laser)
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ แต่เลเซอร์ Long Pulse ND YAG นอกจากจะกำจัดขนและลบรอยแผลเป็นได้แล้ว ยังเป็นตัวช่วยแก้ปัญหารู้ขมขุนกว้างได้ด้วยค่ะ โดยแสงเลเซอร์เมื่อถูกส่งผ่านไปยังใต้ผิวหนังแล้วจะแปลเปลี่ยนเป็นความร้อน ที่จะกระตุ้นกระบวนสมานแผล ผลิตเซลล์ใหม่ และผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น เผยผิวใหม่ที่อ่อน รูขุมขนกระชับ และยังช่วยควบคุมความมันได้อีกด้วยค่ะ
โดยที่ EY Clinic เครื่องยิงเลเซอร์ยี่ห้อ Aileen ที่โดดเด่นด้วย Dynamic Cooling Device หัวเลเซอร์ปล่อยไอเย็นขณะทำการรักษาเพื่อให้ผิวไม่แสบค่ะ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 2,499 บาท ต่อครั้ง และมีแพ็กเกจ 12,495 บาท ต่อ 6 ครั้งให้เลือกด้วยค่ะ
หน้ามัน รูขุมขนกว้าง รักษาที่ EY Clinic
ที่ EY Clinic เราเข้าใจถึงความท้อใจที่ปัญหาผิวนำมาให้คุณค่ะ เราจึงมุ่งมั่นที่ดูแลคุณให้สุดความสามารถ ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์รวมกันกว่า 30 ปี เครื่องมือและห้องรักษาที่ได้มาตฐาน และความใส่ใจในสุขภาพผิวของคุณค่ะ ทุกทรีตเมนต์ที่ EY Clinic จะถูกดำเนินการโดยแพทย์ ใช้ยาเต็มปริมาตรทุกครั้งไม่มีเจือจาง มีการติดตามผลลัพธ์เพื่อการันตีความพึงพอใจของผู้เข้ารักษา และไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็นแน่นอนค่ะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผิวเล็กหรือใหญ่ สามารถเข้ามาปรึกษาหมอที่ EY Clinic ได้ค่ะ
บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว
ปัญหาหน้าเหี่ยว หย่อนคล้อย มีริ้วรอย เป็นอะไรที่ขโมยความมั่นใจของเราไปได้ง่าย ๆ เลยค่ะ หน้าเหี่ยวนอกจากจะแลดูอายุมากแล้ว ยังดูไม่สดชื่นอีกด้วย หมอผึ้งจึงอยากสรุปข้อควรรู้เกี่ยวกับปัญหาผิวหน้าเหี่ยว ตั้งแต่สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีการดูแลผิว มาให้ได้อ่านกันในบทความนี้ค่ะ
หน้าเหี่ยว เกิดจากอะไร
สาเหตุหลักของการปัญหาหน้าเหี่ยวก็คือ อายุที่มากขึ้น ค่ะ เมื่ออายุมากขึ้น ความสามารถในการผลิตคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) ในร่างกายของเราก็น้อยลงไปด้วย ซึ่งสารสองตัวนี้เป็นตัวช่วงกักเก็บความชุ่มชื่น และเสริมความยืดหยุ่นให้กับผิว เมื่อคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง ผิวก็เริ่มขาดความชุ่มชื้น ไม่กระชับ เกิดเป็นรอยเหี่ยวย่นในที่สุดค่ะ
แต่นอกจากอายุแล้วพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมก็สามารถส่งผลทำให้หน้าเหี่ยวเร็วขึ้น หรือหน้าเหี่ยวก่อนวัยได้เช่นกัน
แสงแดดและมลภาวะ เป็นสองปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ผิวหน้าของเราเหี่ยวก่อนวัยค่ะ รังสียูวีจากแสงงแดดเป็นตัวการหลักที่ทำให้ผิวแก่เร็ว เนื่องจากรังสียูวีทำลายโครงสร้างของคอลลาเจน และวิตามินเอที่อยู่ใต้ชั้นผิว ในขณะที่ฝุ่นและควันรบกวนสมดุลของผิว ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นและเร่งกระบวนการการแก่ตัวของผิวค่ะ
พฤติกรรมของเราเองก็มีผลทำให้หน้ามีริ้วรอยและหน้าแก่เร็วได้ค่ะ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นประจำ ซึ่งทำให้ผิวขาดน้ำ หมองคล้ำ และเกิดการอักเสบได้ง่าย หรือ การสูบบุหรี่ ซึ่งรบกวนกระบวนการสมานแผล และทำให้ผิวขาดสมดุล
นอกจากนี้ ความเครียด การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ และการทานอาหารที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและไขมันก็มีส่วนทำให้หน้าเหี่ยวก่อนวัย และมีริ้วรอยด้วยค่ะ
หน้าเหี่ยว ทำไงดี: วิธีรักษาหน้าเหี่ยวย่น ลบริ้วรอย คืนความอ่อนวัย
แก้หน้าเหี่ยวด้วยโบท็อกซ์
โบท็อกซ์เป็นหนึ่งหัตถการคืนความอ่อนวัยที่ได้รับความนิยมสูงมากค่ะ การฉีดโบท็อกซ์ก็คือการฉีดสาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) ที่ออกฤทธ์กับปมประสาทกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคล้าย ไม่หดตัว ซึ่งส่งผลให้ผิวหนังบริเวณนั้นมีความตึง ดูไม่เหี่ยวย่น และยังช่วยลดการเกิดริ้วรอยใหม่ด้วยค่ะ
โดยการใช้โบท็อกซ์เพื่อลบเลือนริ้วรอยและยกกระชับได้รับการยอมรับจาก FDA อย่างเป็นทางการในปี 2002 และมีรับการพัฒนาต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ โดยในปัจจุบัน เราสามารถเลือกฉีดโบท็อกซ์ได้หลายยี่ห้อและเลือกฉีดเฉพาะจุดแบบที่เราต้องการได้ค่ะ
การฉีดโบท็อกซ์ เป็นวิธีแก้หน้าเหี่ยวที่ทำได้ง่าย เห็นผลไว และแก้ไขริ้วรอยในจุดที่บอบบาง เช่น บริเวณรอบดวงตา หน้าผาก และหัวคิ้ว ได้ดี โดยที่ EY Clinic จะมีโบท็อกซ์ให้บริการอยู่ 3 ตัวด้วยกัน และมีแพ็กเกจราคาต่อ 50 ยูนิต และ 100 ยูนิต ดังนี้ค่ะ
- Allergan จากสหรัฐอเมริกา ราคา 11,999 บาท ต่อ 50 ยูนิต และ 17,999 ต่อ 100 ยูนิต ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพนาน 6-8 เดือน
- Nabota จากเกาหลี ราคา 4,999 บาท ต่อ 50 ยูนิต และ 8,499 ต่อ 100 ยูนิต ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติอยู่ได้ 4-6 เดือน
- Xeomin จากเยอรมนี 15,999 บาท ต่อ 50 ยูนิต และ 25,599 ต่อ 100 ยูนิต ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 เดือน
ข้อดี: ทำได้ง่าย มีความเสี่ยงต่ำ ผลลัพธ์เห็นได้รวดเร็ว ช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องลึกและร่องตื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อจำกัด: เสี่ยงต่อผลข้างเคียงของโบท็อกซ์ อย่างเช่น หน้าตึงไม่เป็นธรรมชาติ หนังตาตก หรือ หน้าสองด้านไม่เท่ากัน
กู้หน้าเหี่ยวให้เต่งตึงด้วยฟิลเลอร์
อีกหนึ่งหัตถการที่ทำได้ง่าย เห็นผลไว ทำให้หน้ากลับมาออ่นวัย ก็คือ การฉีดฟิลเลอร์ค่ะ ซึ่งฟิลเลอร์ที่ใช้เพื่อจุดประสงค์ด้านความงามในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) โดยแพทยจ์จะฉีดฟิลเลอร์เข้ายังผิวชั้นกลางเพื่อเติมเต็มปริมาณให้ผิว ส่งผลให้ผิวที่เหี่ยวกระชับเต่งตึงขึ้น และช่วยให้ริ้วรอยร่องลึกร่องตื้นดูจางลงค่ะ
นอกจากนี้สารไฮยาลูรอนิก แอซิดยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเซลล์ด้วย ทำให้ผิวหน้าดูสุขภาพดี อ่อนวัย และอิ่มน้ำอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ
ฟิลเลอร์ที่ EY Clinic มีให้บริการอยู่ด้วยกัน 3 ตัวได้แก่ Juvederm จากสหรัฐอเมริกา, Restylane จากสวีเดน, และ Neuramis จากเกาหลี ค่ะ
- Juvederm (Volift) 12,799 บาทต่อ 1 cc และ 24,299 บาทต่อ 2 cc อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Juvederm (Voluma) 15,799 บาทต่อ 1 cc และ 29,999 บาทต่อ 2 cc อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Neuramis (Deep) 5,999 บาทต่อ 1 cc และ 11,399 บาทต่อ 2 cc
- Neuramis (Volume) 6,999 บาทต่อ 1 cc และ 13,299 บาทต่อ 2 cc
- Restylane (Classic/Defyne) 13,999 บาทต่อ 1 cc และ 26,599 บาทต่อ 2 cc อยู่ได้นาน 12 เดือน สำหรับ ขมับ ร่องแก้ม คาง
ข้อดี: ช่วยให้ใบหน้าดูเต่งตึง อ่อนวัย และชุ่มฉ่ำ ผลลัพธ์เห็นได้ทันที ไม่ต้องมีเวลาพักฟื้น
ข้อจำกัด: หากรับบริการจากคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานหรือแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญพอ ฟิลเลอร์อาจจะไหลไปยังส่วนอื่นของใบหน้า (Migration) จับตัวเป็นก้อน หรือทำให้ใบหน้าไม่สมมาตรได้ค่ะ
ยกกระชับ กระตุ้นเซลล์ผิว ด้วย HIFU
HIFU หรือ High Intensity Focused Ultrasound คือการส่งคลื่นอัลตราซาวนด์เข้มข้นเข้าไปใต้ชั้นผิว โดยคลื่นอัลตราซาวนด์ เมื่อเข้าไปในชั้นผิวแล้ว จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนที่มีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 65-70 องศาเซลเซียส ทำให้ชั้นเยื่อหุ้มของกล้ามเนื้อที่เรียกว่า SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) เกิดการหดตัว การหดตัวตรงนี้กระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนรวมถึงอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้ผิวหน้าที่เหี่ยว หย่อนคล้อย กลับมามีความกระชับ และยังช่วยกระชับรูขุมขนด้วยค่ะ
การยกกระชับผิวด้วย HIFU ไม่จำกัดอยู่แค่ใบหน้าเท่านั้น แต่ยังสามารถยกกระชับผิวในบริเวณเหนียงและลำคอได้ด้วยค่ะ โดยที่ EY Clinic จะใช้คือ เครื่อง Hiqueen ที่ให้คลื่นอัลตราซาวนด์ที่กว้าง ใช้จำนวนช็อตน้อยทำให้รู้สึกเจ็บเพียงนิดหน่อยเมื่อเทียบกับเครื่อง HIFU แบรนด์อื่นๆ แต่ยังคงให้ประสิทธิภาพการรักษาที่สูงค่ะ
- HIFU ที่ EY Clinic เริ่มต้นที่ ครั้งละ 9,999 บาท และ มีแพ็กเกจ 2 ครั้ง 16,999 บาท และ 3 ครั้ง 23,999 บาท ยกกระชับทั่วใบหน้า เหนียง ลำคอ ลดริ้วรอยรอบดวงตา และคิ้วค่ะ
ข้อดี: ทำได้ง่าย ความเสี่ยงน้อย ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ผิวหนังตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย
ข้อจำกัด: ต้องทำ 3-4 ครั้งติดต่อกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน และไม่เหมาะกับคนที่ผิวหน้าเหี่ยวย่นมาก
ลดความหย่อนคล้อยด้วยการร้อยไหม
การร้อยไหมยกกระชับ (Thread Lift) เป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปัญหาหน้าเหี่ยวที่มีประสิทธิภาพสูงค่ะ โดยแพทย์จะใช้ไหมละลายที่มีลักษณะคล้ายก้างปลาในการดึงและยกผิวหนังในส่วนที่มีความหย่อนคล้อยเพื่อให้ใบหน้าดูกระชับขึ้น โดยสารที่ให้ใช้ทำไหมละลายจะมีอยู่ 3 ชนิดได้แก่ polydioxanone (PDO), polylactic acid (PLLA), และ polycaprolactone (PCA) ซึ่งสารเหล่านี้ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สามารถย่อยสลายเองได้ตามกลไกธรรมชาติ อีกทั้งยังช่วยให้กระตุ้นให้เซลล์ผิวผลิตคอลลาเจนด้วยค่ะ
ข้อดี: ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ช่วยลดริ้วรอยในจุดที่บอบบางได้ดี ผลลัพธ์อยู่ได้นาน วัสดุที่ใช้ทำไหมละลายปลอดภัย ถูกใช้ในวงการการแพทย์มายาวนานและพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
ข้อจำกัด: ผิวหนังบริเวณที่รอยไหมอาจเกิดเป็นรอยบุ๋มเนื่องจากผิวถูกดึงมากเกินไป และอาจจะเกิดผลข้างเคียงเป็นพังผืดใต้ผิวหนัง หากแพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญพอ
บอกลาหน้าเหี่ยวด้วยศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้า
ศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้า (Face Lift หรือ Rhytidectomy) เป็นวิธีการแก้ปัญหาหน้าเหี่ยวที่ทำกันมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่ะ ซึ่งวิธีนี้มีประสิทธิภาพสูง ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน แต่เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด และไม่ค่อยได้รับความนิยมค่ะ
การผ่าตัดดึงหน้าเป็นการดึง ล็อกผิว และตัดผิวหนังส่วนเกินหน้าเพื่อยกกระชับใบหน้า จำเป็นต้องมีการดมยาสลบ ซึ่งต่างจากการร้อยไหมที่ให้เพียงแต่ยาชาเฉพาะที่ (Local Anesthesia) ซึ่งแผลจากการผ่าตัดจะใช้เวลาพักฟื้นนาน 4-6 สัปดาห์ ต้องมีการดูแลอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อ และอาจต้องใช้เวลานานถึง 6 (หรือมากกว่า) ก่อนจะเห็นผลลัพธ์ที่แท้จริงของการผ่าตัดค่ะ
ข้อดี: แก้ไขปัญหาหน้าเหี่ยวได้ดีที่สุด เนื่องจากมีการดึง ล็อกผิว และตัดผิวหนังส่วนเกินออก และผลลัพธ์คงอยู่ได้นานที่สุดเมื่อเทียบวิธีอื่น (10-15 ปี)
ข้อจำกัด: เป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงสูงทั้งในเรื่องของการดมยาสลบและการติดเชื้อของแผลหลังผ่าตัด รวมถึงใช้เวลานานในการพักฟื้นและแสดงผลลัพธ์
ไม่อยากหน้าเหี่ยวก่อนวัย ทำไงดี
ถึงแม้สาเหตุหลักของหน้าเหี่ยวจะเป็นอายุที่มากขึ้น แต่พฤติกรรมของเราก็มีผลต่อผิวหน้าเป็นอย่างมากค่ะ ฉะนั้นเราจะมีวิธีการดูแลตัวเองอย่างไร ให้ผิวของเรามีสุขภาพดีที่สุดและไม่แก่ก่อนวัย
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่: เพราะสองพฤติกรรมนี้นอกจากจะทำให้ผิวแก่เร็วแล้วยังทำส่งผลเสียต่อร่างกายด้วยค่ะ
- ให้ความใส่ใจกับอาหารและการพักผ่อน: อย่าลืมว่า You are what you eat ค่ะ เราสามารถเริ่มดูและตัวเองง่าย ๆ ด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์และให้ความสำคัญกับการพักผ่อนอย่างเพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลายค่ะ
- ทาครีมกันแดดและใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว: เนื่องจากแสงแดดและมลภาวะเป็นสิ่งที่เราจะต้องเจอทุกวันโดย การป้องกันและบำรุงจึงเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อดูแลผิวของเราให้แข็งแรงอยู่เสมอค่ะ
แก้ปัญหาหน้าเหี่ยว หน้ามีริ้วรอยที่ EY Clinic
ที่ EY Clinic เราเข้าใจถึงความท้อใจและความมั่นใจที่ลดน้อยลงเพราะใบหน้าที่เหี่ยวและมีริ้วรอยค่ะ เราจึงมุ่งมั่นที่จะคืนความอ่อนวัยและดูแลให้สุขภาพผิวของคุณอย่างใส่ใจ โดยเรามีทีมแพทย์ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเวชศาสตร์ความงามจากสถาบันชั้นนำของประเทศที่พร้อมจะดูแลและให้คำปรึกษากับคุณ ไม่ว่าจะเป็นโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ HIFU หรือทรีตเมนต์ใด ๆ เราจะมีการติดตามผลการรักษาเพื่อให้มั่นใจว่าคุณได้รับผลลัพธ์ที่คุณต้องการ และไม่มีการยัดเยียดการรักษาที่ไม่จำเป็นแน่นอนค่ะ
สำหรับคนที่มีปัญหาหน้าเหี่ยว ไม่มั่นใจหรือปัญหาผิงอื่น ๆ แวะเข้ามาพูดคุยกับหมอผึ้งได้ที่ EY Clinic ค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว
ริ้วรอย ความหย่อนคล้อยและผิวที่แห้งดูสุขภาพไม่ดี เป็นปัญหาพร้อมกับอายุที่มากขึ้นเสมอ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะยิ่งเราอายุมากขึ้น ความสามารถในการผลิตคอลลาเจนของร่างกายก็ยิ่งลดน้อยลง ทำให้หน้าดูเหี่ยว หมอง แต่ปัจจุบันเรามี Sculptra สารกระตุ้นคอลลาเจนที่ได้รับการยอมรับจาก US FDA ที่จะช่วยคืนความอ่อนวัยและชุบชีวิตให้ผิวหน้ากลับมาเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ
ในบทความนี้ หมอผึ้งก็ได้สรุปรวมสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Sculptra ไปดูกันว่า Sculptra ทำงานอย่างไร ต้องฉีดกี่ครั้ง ให้ผลนานแค่ไหน วิธีดูแลตัวเองก่อนและหลังฉีด Sculptra ทำได้อย่างไร รวมถึงเปรียบเทียบ Sculptra กับทรีตเมนต์ตัวอื่น ๆ ให้เราได้อ่านกันก่อนตัดสินใจ
สรุปใจความสำคัญ
- Sculptra คือสารฉีดกระตุ้นคอลลาเจน ที่มีสารประกอบเป็น PLLA หรือสารตัวเดียวกับไหมละลาย
- Sculptra ทำงานผ่านกระบวนการผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย และมี Biocompatibility ซึ่งทำให้ไม่เป็นอันตราย
- ผลลัพธ์ของ Sculptra มีความเป็นธรรมชาติและอยู่ได้นานถึง 24 เดือน และต้องการการฉีดกระตุ้นเพียงปีละ 1 ครั้ง เหมาะกับคนที่อยากเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ร่องตื้น และฟื้นฟูผิว แต่ไม่มีเวลามาก
- หลังฉีด Sculptra แล้วควรมีการดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์และมีการนวดแบบ 5:5:5 (นวดหน้าอย่างเบามือ 5 ครั้งต่อวัน ครั้งละ 5 นาที เป็นเวลาต่อกัน 5 วัน) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Sculptra คืออะไร
Sculptra คือสาร Poly-l-lactic acid (PLLA) ซึ่งเป็นกลุ่ม Collagen stimulator สารกลุ่มนี้จะทำงานด้วยกลไกธรรมชาติของร่างกายเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น ซึ่งตัว PLLA เป็นสารประกอบประเภทเดียวกับที่ตัวไหมละลาย (Suture thread) ที่ใช้เย็บแผลหลังผ่าตัด
และ Sculptra ยังเป็นสารฉีดกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับการรับรองโดย US FDA ว่าปลอดภัยและสามารถใช้เพื่อจุดประสงค์ของความงามได้
คอลลาเจน สำคัญต่อผิวหน้าอย่างไร
เมื่อรู้แล้วว่า Sculptra คือ สารกระตุ้นคอลลาเจน เรามาดูกันว่า คอลลาเจนสำคัญอย่างไร
คอลลาเจน เป็นเหมือนคำวิเศษที่คลินิกความงามและผู้ผลิตสกินแคร์ใช้เพื่อโฆษณาขายครีมหรือทรีตเมนต์ให้กับเรา แต่คอลลาเจนมันคืออะไรกันแน่?
คอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบในเกือบทุกส่วนของร่างกายมนุษย์ มีความสำคัญในการเพิ่มความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นให้กับเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ผิวหนัง หลอดเลือด เส้นเอ็น ข้อต่อ กระดูก หรือดวงตา ซึ่งคอลลาเจนมีถึง 28 ประเภท แต่เราจะโฟกัสที่ คอลลาเจน type 1 (Type I Collagen) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของผิว และเป็นประเภทที่พบได้มากที่สุดในร่างกายของเรา
คอลลาเจนในชั้นผิวของเราจะทำงานคู่กับไฮยาลูรอนิก แอซิด และอีลาสติน โดยหน้าที่ของคอลลาเจนก็มีอยู่มากมาย:
- เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ทำให้ผิวกระชับ ไม่หย่อนและไม่เกิดริ้วรอย
- เก็บความความชุ่มชื้นให้กับเซลล์ ทำให้เซลล์ไม่ขาดน้ำและทำงานได้เต็มที่
- เป็นองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการสมานแผล เมื่อร่างกายมีแผล ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ คอลลาเจนจะเป็นตัวที่เข้ามาซ่อมแซมเนื้อเยื้อที่ถูกทำลาย
- ช่วยให้ผิวมีสัมผัสที่อ่อนโยน ไม่หยาบกร้าน
อย่างที่ทุกคนรู้กันว่า เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น ผิวของเราก็เปลี่ยนไป เริ่มมีริ้วรอย หมองคล้ำง่าย แห้งง่ายและไม่เต่งตึงเหมือนเดิม ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าความสามารถในการผลิตคอลลาเจนในร่างกายของลดลง โดยช่วงอายุ 20-30 ปี เราจะสูญเสียคอลลาเจนไปอย่างน้อย ปีละ 1-2% เมื่อเข้าอายุ 40 ก็จะเริ่มเห็นได้ชัดเจนว่าผิวหน้าของเราหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ร่องลึก และหมองคล้ำ ไม่สดใส
Sculptra ทำงานอย่างไร
Sculptra จะถูกฉีดเข้าผิวชั้นsubcutaneous(ใต้หนังแท้) และจะเข้าไปกระตุ้นการอักเสบของเซลล์แบบเบา ๆ เมื่อร่างกายรับรู้ว่าเกิดการอักเสบ ก็จะเข้าสู่กระบวนการซ่อมแซมสมานแผล โดย Sculptra สามารถเพิ่มการผลิตคอลลาเจนได้ถึง 66.5% หลังจากฉีดกระตุ้นเพียง 3 เดือน ด้วยกลไกนี้ เซลล์ของเราก็เหมือนได้รับการฟื้นฟูตั้งแต่ระดับโครงสร้าง ต่างจากการฉีด ฟิลเลอร์ซึ่งเป็นเน้นการเติมปริมาตร หรือการฉีดเมโสหน้าใสที่เป็นการป้อนอาหารให้ผิว
Sculptra จะทำให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนมากขึ้น ซึ่งมาแก้ปัญหาในเรื่องของริ้วรอย ผิวไม่กระชับ หย่อนคล้อย ไปจนถึงปัญหาผิวหมองคล้ำไม่สดใสที่เกิดจากการขาดความชุ่มชื้นนั่นเอง
Sculptra เหมาะกับใครบ้าง
ได้เรียนรู้วิธีการทำงานของ Sculptra ไปแล้ว เรามาดูว่า Sculptra เหมาะกับกลุ่มคนแบบไหนบ้าง
- คนที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก
- คนที่ต้องการการฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึกและเป็นธรรมชาติ
- คนที่ต้องการผิวที่อิ่มฟู เต่งตึง และชุ่มชื้น
- คนที่ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลผิวหน้าและต้องการผลลัพธ์ที่คงอยู่ได้นานโดยไม่ต้องเข้าคลิกนิกบ่อย ๆ
ก่อนฉีด Sculptra ต้องเตรียมตัวอย่างไร
เราสามารถเตรียมตัวก่อนฉีด Sculptra ได้ง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ
- งดใช้ยาและอาหารเสริมที่มีผลทำให้เลือดแข็งตัวช้า เช่น ไอบูโพรเฟน แอสไพริน วิตามินดี และน้ำมันตับปลา อย่างน้อย 7-14 วันก่อนฉีด Sculptra
- งดดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 3-4 วันก่อนฉีด Sculptra
- งดใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของเรตินอล และงดสครับหน้าอย่างน้อย 3 วันก่อนฉีด เพื่อลดอาการบวมแดงหรือระคายเคืองที่เกิดขึ้นได้อย่างฉีด Sculptra
- ก่อนฉีด Sculptra ควรแจ้งแพทย์ผู้ดำเนินการถึงยาที่ใช้และโรคประจำตัวเสมอ
ข้อควรระวังก่อนฉีด Sculptra
สำหรับคนที่กำลังจะวางแผนรับทรีตเมนต์ Sculptra ควรรู้ถึงข้อควรระวัง 4 ข้อนี้ค่ะ
- สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร ไม่ควรรับการฉีด Sculptra ค่ะ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะ Sculptra เป็นอันตรายต่อเด็กทารก แต่เป็นเพราะว่ายังไม่มีการวิจัยศึกษาผลข้างเคียงของ Sculptra ในคนกลุ่มนี้ Sculptra จึงเป็นทรีตเมนต์ที่ไม่แนะนำสำหรับสาว ๆ ที่กำลังมีน้องหรือให้นมบุตร
- คนที่มีโรคผิวหนัง ควรรักษาโรคผิวหนังให้หายก่อนที่จะรับทรีตเมนต์ Sculptra เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดผลข้างเคียงค่ะ
- คนที่มีโรคประจำตัวที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หรือใช้ยาที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ควรแจ้งแพทย์ผู้ดูแลก่อนฉีดSculptra เสมอ
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี เนื่องจากทรีตเมนต์ Sculptra จะมีเทคนิคการฉีดเฉพาะตัว แพทย์ที่ฉีดจึงควรจะเป็นแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมมาแล้ว
Sculptra ฉีดจุดไหนได้บ้าง
Sculptra ฉีดได้หลายจุดบนใบหน้า ตั้งแต่บริเวณขมับ แก้ม ขากรรไกร คาง และพื้นที่รอบปากค่ะ ซึ่งตำแหน่งในการฉีดก็จะขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและผลลัพธ์ที่แต่ละคนอยากได้ และการประเมินของแพทย์ด้วย
Sculptra ต้องฉีดกี่ครั้ง และ ฉีดบ่อยแค่ไหน
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ใช้ Sculptra ครั้งแรกควรฉีดอย่างน้อย 3 ครั้ง โดยฉีดติดต่อกันทุก 4-6 สัปดาห์ค่ะ
ฉีด Sculptra กี่วันเห็นผล ผลอยู่ได้นานแค่ไหน
หลังฉีด Sculptra แล้ว ร่างกายจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการเริ่มผลิตคอลลาเจนให้มากขึ้น จากนั้นก็จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง โดยผิวจะเริ่มมีความอิ่มน้ำ กระชับ ริ้วรอยดูจางลง และเต่งตึงขึ้นทีละนิดอย่างเป็นธรรมชาติ
ฉีด Sculptra ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน
เมื่อฉีด Sculptra ครบคอร์สแล้ว ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานถึง 2 ปี และต้องการการฉีดกระตุ้นเพียงปีละ 1 ครั้งก็เพียงพอที่จะคงความอ่อนวัย ชุ่มฉ่ำตรงนี้ได้แล้วค่ะ
แต่หมอผึ้งขอย้ำสักนิดค่ะว่า จำนวนครั้งในการฉีก Sculptra และปริมาณของ Sculptra ที่ใช้ จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ผู้ดูแล ฉะนั้นการเลือกคลินิกที่เชื่อถือได้และได้มาตรฐานปลอดภัยจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ
ฉีด Sculptra อันตรายไหม
Sculptra ได้รับการรับรองโดย US FDA ว่าปลอดภัยในการใช้เพื่อความงาม และยังเป็นสารที่ใช้กันในวงการการแพทย์มาตั้งแต่ปี 1970 มี “ความเข้ากันได้ทางชีวะภาพต่อร่างกายมนุษย์” หรือ Biocompatiblility ทำให้มั่นใจได้ว่า เมื่อฉีด Sculptra แล้ว จะไม่เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่รบกวนการทำงานของเซลล์และย่อยสลายได้เองโดยไม่ทิ้งสารตกค้าง
Sculptra ถือเป็นหัตถการที่ทำได้ง่ายและปลอดภัย โดยทั่วไปแล้ว ผลข้างเคียงที่พบได้หลังฉีด Sculptra ก็จะเป็น อาการบวม แดงหรือช้ำจากเข็ม ที่มักจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์แรก ในบางราย อาจคลำพบก้อนเล็ก ๆ ใต้ผิวหนังในช่วงแรก แนะนำให้นวดบริเวณที่ฉีดตามคำแนะนำของแพทย์ ก้อนดังกล่าว จะค่อย ๆ หายไปได้เอง
หลังฉีด Sculptra แล้ว ควรดูแลตัวเองอย่างไร
- งดทำกิจกรรมขับเหงื่ออย่าง การอบซาวน่า และการออกกำลังกายในช่วง 1-2 วันแรก
- งดกิจกรรมออกแดด จนกว่าอาการบวมเข็มจะหาย
- งดทำทรีตเมนต์อื่น ๆ บนใบหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
- นวดหน้าด้วยหลัก 5:5:5
วิธีนวด 5:5:5 คือการนวดเพื่อลดการจับตัวของสาร PLLA และเพื่อกระตุ้นให้ผิวดูดซับตัว PLLA โดยนวดบริเวณใบหน้าอย่างเบามือ 5 ครั้งต่อวัน ครั้งละ 5 นาที เป็นเวลาต่อกัน 5 วันหลัง ด้วยวิธีดังนี้:
- นวดจากหน้าผากออกไปทางขมับทั้งสองข้างโดยใช้ปลายนิ้ว
- นวดจากบริเวณแก้มขึ้นไปยังโหนกแก้มโดยใช้อุ้งมือ
- นวดจากคางไล่ขึ้นไปตามแนวกราม โดยใช้อุ้งมือ
เปรียบเทียบ Sculptra กับทรีตเมนต์อื่น ๆ
Sculptra กับ ฟิลเลอร์
อย่างที่รู้กันว่าฟิลเลอร์เป็นสารไฮยาลูรอนิก แอซิดที่ฉีดเพื่อเติมให้หน้าฟู อิ่มน้ำและแน่นกระชับ ซึ่งการทำงานของฟิลเลอร์นั้นต่างกับ Sculptra โดยสิ้นเชิง เพราะ Sculptra เป็นสาร PLLA ซึ่งเป็น Collagen stimulator หรือก็คือสารที่กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนโดยตรง ในขณะที่ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มปริมาตรของผิว หลังฉีดฟิลเลอร์แล้วเราก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เลยในเวลา 1-2 วัน และผลลัพธ์อยู่ได้ตั้งแต่ 6-12 เดือนขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อ แต่ Sculptra จะมีการทำงานที่ค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า โดยจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ก่อนที่จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง แต่ผลลัพธ์ก็จะอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์
ผลลัพธ์ของสองหัตถการนี้ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ฟิลเลอร์จะเหมาะกับคนที่ต้องการเติมแก้ม ปรับโหงวเฮ้ง เติมร่องน้ำหมาก-ร่องแก้ม เติมคาง เติมหน้าผาก หรืออยากให้หน้าอิ่มน้ำในเวลาสั้น ๆ แต่ Sculptra จะเหมาะกับคนที่ต้องการคืนความอ่อนวัยและบำรุงในระยะยาวมากกว่า
Sculptra กับ เมโส
เมโสหน้าใส อธิบายแบบสั้น ๆ ก็คือการฉีดป้อนสารอาหารให้ผิว สารที่นำมาฉีดจะเป็นค็อกเทลที่ประกอบด้วยวิตามิน เอนไซม์ และสารสกัดจากพืช ที่จะช่วยให้ผิวได้รับฟื้นฟู ปรับโทนสีผิวให้เสมอกัน กระชับรูขุมขนและทำให้หน้ากระจ่างใส สดชื่น ซึ่งทำงานต่างกับ Sculptra ที่เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนโดยสิ้นเชิง
แต่หมอผึ้งขอย้ำว่า เราไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่า Sculptra ดีกว่าเมโสหรือ เมโสดีกว่า เพราะทรีตเมนต์ที่ดีที่สุดคือทรีตเมนต์ที่สามารถให้ผลลัพธ์ที่เราต้องการได้ หากเราต้องการให้ผิวได้รับการรีเฟรชแบบรวดเร็วและล้ำลึก เมโสก็จะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า
Sculptra กับ Rejuran
รีจูรันเป็นอีกหนึ่งทรีตเมนต์ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ ด้วยเทรนด์ผิวกระจก-ผิวฉ่ำน้ำที่กำลังได้รับความนิยม ซึ่งตัวรีจูรันจะเป็นสารโพลีนิวคลีโอไทด์หรือเรียกว่าเป็นชิ้นส่วนดีเอ็นเอที่สกัดมาจากปลาแซลมอน รีจูรันสามารถกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนได้เช่นกัน แต่จะมีวิธีการทำงานที่ต่างกับ Sculptra
จุดประสงค์ของรีจูรันก็แตกต่างจาก Sculptra เช่นกัน เช่น รีจูรันช่วยสามารถเรื่องการสร้างเกราะป้องกันให้ผิวที่ปกป้องผิวจากปัจจัยอย่าง มลภาวะหรือแสงแดด และยังมีรีจูรัน เอส (Rejuran S) ที่ถูกพัฒนามาสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องหลุมสิวและรอยแผลเป็นจากสิวโดยเฉพาะ
แต่หนึ่งอย่างที่หมอผึ้งคิดว่า Sculptra ได้เปรียบรีจูรันก็คือ Rejuran ต้องฉีดซ้ำทุก 1-2 เดือนเพื่อคงสภาพผิว ในขณะที่ Sculptra ต้องการการฉีดกระตุ้นเพียงแค่ปีละครั้งหลังจากทรีทเม้นต์คอร์สแรก ตรงนี้หมอผึ้งเลยคิดว่า Sculptra อาจจะถูกใจคนที่มีชีวิตเร่งรีบ และไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเองมากกว่ารีจูรัน
Skin & wellness ที่ EY Clinic
ได้รู้จัก Sculptra กันไปแล้ว หากใครยังมีข้อสงสัยหรืออยากจะเริ่มดูแลตัวเองแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร เข้ามาปรึกษาเราได้ที่ EY Clinic นอกจากหมอผึ้งแล้วก็ยังมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงามอีกหลายท่านที่พร้อมจะดูแลให้คุณได้ผลลัพธ์แบบที่คุณต้องการ
ฉีดแฟตแล้ว หน้าบวมมากจนน่ากังวล มีวิธีแก้อย่างไร
การฉีดแฟต หรือเมโสแฟต เป็นการฉีดสลายไขมันเฉพาะจุดที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน แต่จะทำอย่างไรถ้าฉีดแฟตแล้วหน้าบวมมากจนน่าตกใจ ในบทความนี้ หมอผึ้งจะมาเล่าถึงสาเหตุของการฉีดแฟตแล้วหน้าบวมมาก ลักษณะอาการบวมที่อันตราย และแนะนำวิธีลดหน้าบวมสำหรับคนที่กำลังอยากฉีดแฟตค่ะ
ฉีดแฟตแล้วหน้าบวมมาก เกิดจากอะไร
หมอแนะนำอย่างนี้ว่า การฉีดแฟตแล้วหน้าบวมเป็นเรื่องปกติ อาการหน้าบวมเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุดของการฉีดสลายไขมันด้วยเมโสแฟต อาการบวมนี้เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างเมโสกับไขมัน
หมอผึ้งของยกตัวอย่างสารสกัดหรือตัวยาใน Meso สูตร Lipox ซึ่งเป็นตัวที่ EY Clinic มีให้บริการมาให้ศึกษากันคร่าว ๆ นะคะ
- Carnitine: โปรตีนที่พบในเนื้อสัตว์ มีหน้าที่ช่วยในการเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงานและขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย
- Theophylline: สารสกัดจากใบชาและเมล็ดโกโก้ ช่วยกระตุ้นร่างกายในการเผาผลาญไขมัน
- Taurine: พบได้ในเนื้อสัตว์และปลา ช่วยป้องกันการรวมตัวของโมเลกุลไขมัน
- Tyrosine: โปรตีนที่พบได้ในถั่วเหลือง ฟักทองและอโวคาโด ช่วยในการเผาผลาญไขมัน
- Artichoke extract หรือ สารสกัดจากอาร์ติโชค: ลดอัตราการสร้างกรดไขมัน
- Phosphatidylcholine: กระตุ้นการแตกตัวของไขมันส่วนเกิน
โดยสารเหล่านี้จะเข้าไปทำให้เซลล์ไขมันสลายเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ และทำให้บริเวณนั้นเกิดการอักเสบและบวมนั่นเองค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น หน้าของเราจะบวมมากหรือบวมน้อยย่อมขึ้นอยู่กับร่างกายของเราและยี่ห้อเมโสแฟตที่เราฉีดด้วย บางคนอาจจะฉีดแล้วหน้าบวมเพียงเล็กน้อยเป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมง ในขณะที่บางคนอาจจะหน้าบวมอย่างชัดเจนถึง 3 วัน ก่อนอาการจะเริ่มบรรเทาลงค่ะ
ฉีดแฟตแล้วหน้าบวมกี่วัน อาการแบบไหน ควรไปหาหมอ
โดยปกติแล้วหน้าของเราจะบวมที่สุดในช่วง 1 ชั่วโมงแรกหลังฉีดแฟต และจะเริ่มยุบลงไปเองภายใน 1-3 วันค่ะ ซึ่งหากอาการบวมเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น และไม่มีท่าทีว่าจะบรรเทาลง หรือมีอาการร่วมอย่าง อาการปวดระบม หรือเกิดเป็นผื่นคัน แดงและระคายเคือง หมอผึ้งแนะนำว่าควรรีบปรึกษาแพทย์โดยทันทีค่ะ เพราะอาการปวดระบมอาจจะเป็นผลมาจากเมโสปลอม และอาการผื่นแดงอาจจะเกิดจากการติดเชื้อซึ่งมาจากการทำหัตถการในพื้นที่ที่ไม่สะอาดได้ค่ะ
ฉีดแฟตแล้วหน้าบวม แข็งเป็นไต อันตรายไหม
อาการหน้าบวมเป็นก้อนแข็ง ๆ หลังฉีดแฟตมักเกิดขึ้นในกรณีที่คุณหมอที่ฉีดไม่มีประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญพอ อาจจะฉีดเข้าชั้นผิวผิดชั้นหรือฉีดในปริมาณที่มากเกินไปทำให้ตัวเมโสไม่สามารถกระจายตัวได้ดีเท่าที่ควรค่ะ ในกรณีนี้เราสามารถนวดคลึงบริเวณที่ฉีดเพื่อช่วยให้ตัวยากระจายตัวได้ อย่างไรก็ตาม แต่หากอาการบวมยังไม่มีท่าทีว่าจะดึขึ้นภายใน 1-3 วัน ก็ควรปรึกษาแพทย์ทันทีค่ะ
อย่างไรก็ตาม ก่อนฉีดเมโสแฟต เราจะควรศึกษาหาข้อมูลของคลินิกให้ดี อ่านรีวิวจากผู้ใช้บริการ และตรวจสอบว่าคลิกนิกนั้นปลอดภัย ไม่ใช้ยาปลอม และมีแพทย์ประจำคลินิกที่พร้อมดูแลเรานะคะ ที่ EY Clinic หมอผึ้งจะใช้ตัวยาเมโสอย่างเต็มปริมาตรในทุกทรีตเมนต์ ไม่มีการเจือจางหรือผสมตัวยาอื่น และยังมีทีมหมอผู้เชี่ยวชาญถึง 4 ท่าน ที่พร้อมจะดูแลคุณค่ะ
วิธีลดอาการหน้าบวมหลังฉีดเมโสแฟต
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมออกแดดและกิจกรรมที่อยู่ในที่ร้อน เช่น การอบซาวน่า หรือการทานอาหารปิ้งย่างหน้าเตาร้อน ๆ เพราะความร้อนมีส่วนทำให้อาการบวมแย่ลง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเฉพาะ 1-2 ชั่วโมงแรกหลังฉีด
- หากมีอาการบวมมาก สามารถรับประทานยาลดบวมได้ตามคำแนะนำของแพทย์ หรือใช้วิธีประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการ
- หลีกเลี่ยงการทาสกินแคร์และการแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงการกด นวด หรือแกะบริเวณที่ฉีดแฟต
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่เป็นเวลาอย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังฉีด
ฉีดเมโสแฟตอย่างปลอดภัยที่ EY Clinic
ที่ EY Clinic มีบริการเมโสแฟตอยู่ 2 สูตรที่เหมาะสำหรับการฉีดลดไขมันบริเวณแก้มและเหนียงค่ะ
- สูตร Lipox ยกกระชับแก้มและเหนียงได้ดี ไม่ทำให้เกิดอาการบวบหรือแสบคัน
- เริ่มต้นที่ 10cc ราคา 2,799 บาท
- 20cc ราคา 4,999 บาท
- 30cc ราคา 6,999 บาท
- สูตร Mesofat Premium ตัวยาเกรดพรีเมียม และออกฤทธิ์เร็ว เห็นผลไว ช่วยให้หน้าเรียวกระชับ
- เริ่มต้นที่ขวดละ 10cc ราคา 5,599 บาท
- 20cc ราคา 9,999 บาท
- 30cc ราคา 14,299 บาท
และเรามีทีมแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวชศาสตร์ฟื้นฟูที่มีประสบการณ์รวมกันกว่า 30 ปีจากสถาบันชั้นนำของประเทศ ที่พร้อมให้คำแนะนำว่าคุณควรฉีดเมโสแฟตในจุดไหน อย่างไร เพื่อให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดโดยไม่มีการยัดเยียดขายคอร์สค่ะ ที่สำคัญทุกการรักษาของเรายังถูกดำเนินการโดยคุณหมอ มีการให้คำปรึกษาทั้งก่อนและหลังฉีด ใช้ตัวยาแบบเต็มปริมาตร ไม่เจือจางและไม่ผสมอย่างอื่นอย่างแน่นอน สามารถขอดูขวดหรือกล่องยาก่อนฉีดได้ทุกเคสค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
รู้ไว้ก่อนตัดสินใจ หลังฉีดเมโสหน้าใส ห้ามทำอะไรบ้าง
เมโสเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาค่ะ คนที่กำลังตัดสินใจอยู่ว่าเราจะเริ่มฉีดเมโสดีไหม หมอผึ้งเลยได้สรุปข้อควรรู้ในการฉีดเมโส เมโสคืออะไร วิธีการดูแลตัวเองเป็นอย่างไร อาการข้างเคียงเป็นแบบไหน มาดูกันว่าหลังฉีดเมโสมีข้อห้ามทำอะไรบ้างในบทความนี้เลยค่ะ
เมโสหน้าใส คืออะไร
เมโสหน้าใส คือทรีตเมนต์การฉีดวิตามิน เอนไซม์ สารอาหารต่าง ๆ เข้าสู่ชั้นผิว หรือเรียกว่าเป็นการป้อนอาหารให้เซลล์ด้วยการฉีดสารเหล่านี้เข้าไปยังผิวชั้นกลาง (Dermis) ของเราค่ะ เมโสหน้าใสของแต่ละคลินิกจะมีองค์ประกอบที่ต่างกันออกไป และมีหลายยี่ห้อให้เลือก ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะประกอบไปด้วย วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี คอลลาเจน ไฮยาลูรอนิก แอซิดและสารสกัดจากพืช โดยทั่วไปแล้ว เมโสหน้าใสจะเข้าไปช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวให้สร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูเซลล์ผิวให้แข็งแรง และสร้างภูมิคุ้นกันให้ผิวเพื่อลดการเกิดสิว อีกทั้งยังช่วยปรับสมดุลให้ผิวทำให้ผิวมันน้อยลงค่ะ
หลังจากฉีดเมโสแล้ว ใบหน้าของเราอาจจะมีอาการบวมแดง ระคายเคืองหรือคันบ้างเล็กค่ะ ซึ่งอาการเหล่านี้ก็เป็นอาการข้างเคียงปกติของทรีตเมนต์ที่มีการใช้เข็มและจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน ไม่มีอะไรต้องกังวลค่ะ แต่หากเวลาผ่านไปแล้ว อาการบวมแดงมีมากขึ้น หรือไม่มีบรรเทาลง ก็ควรปรึกษาแพทย์ทันทีค่ะ
เรามาดูกันค่ะ ว่าหลังเมโสหน้าใสแล้ว ห้ามทำอะไรและควรดูแลตัวเองอย่างไร
หลังฉีดเมโสหน้าใส ห้ามทำอะไร
- หลีกเลี่ยงการล้างหน้าเป็นเวลา 4-6 ชั่วโมงหลังฉีด
- ไม่แกะ เกา หรือกดบริเวณที่ทำเมโส เป็นเวลา อย่างน้อย 1 คืน
- งดการทาสกินแคร์และครีมบำรุงต่าง ๆ ในช่วง 1 วันแรก
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายเป็นเวลหาอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมออกแดดเป็นเวลาอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
- งดการทำทรีตเมนต์อื่น ๆ เช่น เลเซอร์กำจัดขน โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ รวมถึงงดการสครับผิว ขัดหน้า หรือสปาผิวหน้า เป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังฉีดเมโส
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ ในช่วง 1 สัปดาห์หลังฉีดเมโส
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ในช่วง 1 สัปดาห์หลังฉีดเมโส
ข้อปฏิบัติหลังฉีดเมโสหน้าใส ใช้เวลากี่วันจะเห็นผล
หลังฉีดเมโสครั้งแรก
เราจะเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนได้ภายในวันที่ 3 หลังฉีดเมโสไปแล้ว หรือก็คือหลังจากที่อาการบวมเข็มหายไป และจะใช้เวลาประมาณ 7-14 วันก่อนจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนนะคะ โดยจะรู้สึกได้ว่าหน้ามีความเนียน กระจ่างใส และมีผดผื่นน้อยลง
สำหรับคนที่ฉีดเมโสครั้งแรก หมอผึ้งแนะนำให้ฉีดอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้งในช่วงเดือนแรกเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ หลังจากนั้นหากเราต้องการคงสภาพผิว ก็สามารถเข้ามาฉีดเป็น 2 อาทิตย์ต่อ 1 ครั้งได้ค่ะ
เมโสจะสามารถฉีดได้บ่อยกว่าทรีตเมนต์อื่น ๆ อย่าง รีจูรัน หรือ ฟิลเลอร์ ซึ่งสารทุกตัวที่อยู่ในเมโสล้วนแล้วแต่เป็นสารที่พบในธรรมชาติ สามารถถูกดูดซึมและย่อยสลายได้ตามกระบวนการในร่างกายของเรา ปลอดภัยและไม่รบกวนการทำงานของเซลล์ ทำให้เราสามารถฉีดได้ทุกเดือนโดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารตกค้างสะสมในร่างกายค่ะ อีกทั้งเมโสทุกตัวของ EY Clinic ก็ได้ผ่านรับรองมาตรฐานจาก อย. แล้ว ในทุกทรีตเมนต์ หมอจะใช้เมโสแท้แบบเต็มปริมาณ ไม่มีการเจือจาง ไม่มีการแต่งเติมสารอื่น และที่สำคัญที่สุด ที่ EY Clinic ทุกทรีตเมนต์จะถูกดำเนินการโดยแพทย์เฉพาะทางผู้มีประสบการณ์ ฉะนั้น หมดห่วงเรื่องการฉีดผิดชั้นผิวหรือฉีดเข้าเส้นเลือดไปได้เลยค่ะ
สังเกตอาการข้างเคียง
อาการคัน บวมแดง และระคายเคืองผิวหน้าเป็นอาการปกติของการฉีดเมโส และอาการเหล่านี้มักจะหายไปเองภายใน 1-2 วันค่ะ โดยเราสามารถประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาหารได้ แต่ถ้าหากว่า อาการบวมแดงเริ่มมากขึ้น เลือดไหลซึม ไม่หายเอง หรือเริ่มเกิดเป็นผื่นแดง หมอผึ้งแนะนำให้เข้าปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลทันทีค่ะ เพราะแผลจากรอยเข็มอาจจะเกิดการติดเชื้อและนำไปสู่อาการแทรกซ้อนได้ค่ะ
รักษาความสะอาด
ช่วงเวลาที่หลังฉีดเสโมเป็นเวลาที่รอยเข็มยังเปิดอยู่ และถึงแม้จะเป็นแผลเล็ก ๆ ก็สามารถเกิดการติดเชื้อได้ หมอผึ้งเลยอยากแนะนำเราให้งดออกกำลังในช่วง 1-2 วันแรก และหลีกเลี่ยงการออกแดด หรือกิจกรรมที่จะทำให้เหงื่อออก เนื่องจากเหงื่อเป็นตัวนำแบคทีเรียและสิ่งสกปรกซึ่งจะทำให้โอกาสการติดเชื้อของแผลมีมากขึ้นค่ะ
แต่แน่นอนว่า ถ้าพูดถึงสภาพอากาศในเมืองไทยแล้ว การที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เหงื่อออกเลยก็คงเป็นเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น หมอผึ้งแนะนำว่า เวลาเหงื่อออก ควรซับด้วยทิชชู่สะอาดก็เพียงพอแล้วค่ะ
ดื่มน้ำเยอะ ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
การดื่มน้ำและการพักผ่อนเป็นสิ่งจำเป็นต่อการฟื้นฟูและสมานแผลของร่างกาย และยังเป็นสิ่งง่าย ๆ ที่เราทำได้เพื่อช่วยให้ใบหน้าของเรากระจ่างใสนะคะ ถึงแม้เมโสจะช่วยบำรุงผิวหน้าของเราได้อย่างล้ำลึก แต่ก็ต้อง อย่าลืมที่จะดูแลร่างกายให้ได้รับความชุ่มชื้นและการพักผ่อนที่เพียงพอด้วยค่ะ
แพ็กเกจ เมโสหน้าใสที่ EY Clinic
ที่ EY Clinic จะมีให้บริการอยู่ 4 รูปแบบค่ะ
- Made Collagen เหมาะกับคนที่ต้องการดีท็อกซ์ผิวหน้า กำจัดสารพิษและเสริมสร้างผิวให้แข็งแรงเริ่มต้นที่ 2,499 บาท ต่อ 1 ครั้ง แพ็กเกจ 12,495 บาท ต่อ 2 ครั้ง และ 24,990 บาท ต่อ 3 ครั้ง
- PRP RegenLab เหมาะกับคนที่มีปัญหารอยแผลเป็นจากสิว หลุมสิว รอยดำ-รอยแดง เริ่มต้นที่ 6,999 บาท ต่อ 1 ครั้ง แพ็กเกจ 12,599 บาท ต่อ 2 ครั้ง และ 17,999 บาท ต่อ 3 ครั้ง
- Meso Hya 1.5cc เพิ่มเติมความชุ่มชื้นให้ผิว แก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ฟื้นฟูจากภายใน เริ่มต้นที่ 2,499 บาท ต่อ 1 ครั้ง แพ็กเกจ 14,995 บาท ต่อ 2 ครั้ง และ 29,990 บาท ต่อ 3 ครั้ง
- Meso Hya 3cc เริ่มต้นที่ 3,999 บาท ต่อ 1 ครั้ง แพ็กเกจ 19,995 บาท ต่อ 2 ครั้ง และ 39,990 บาท ต่อ 3 ครั้ง
ฉีดเมโสหน้าใสที่ EY Clinic
ไม่ว่าจะเป็นทรีตเมนต์ประเภทไหน ความปลอดภัยจะต้องมาก่อนเสมอค่ะ ที่ EY Clinic เอง จะมีหมอผึ้งกับทีมหมอที่เป็นแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง-เวชศาสตร์ความงามทุกทรีตเมนต์ที่คลินิกของเราจะใช้ตัวยาเต็มปริมาตร ไม่มีการเจือจางหรือผสมตัวยาอื่น มีการให้คำปรึกษาและยังมีการติดตามผลการรักษาเพื่อการันตีความพึงพอใจของคุณ เพราะเราไม่เพียงแต่อยากจะมอบความสวยให้คุณ แต่เราอยากให้มอบสุขภาพผิวที่ดีให้กับคุณด้วยค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
ดีท็อกซ์ผิว บอกลาปัญหาสิวและผด ด้วยมาเด้คอลลาเจน
มาเด้คอลลาเจน คือ เมโสหน้าใสตัวหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการกำจัดของเสียและสารพิษที่ตกค้างในเซลล์ผิวและช่วยบำรุงให้ผิวแข็งแรงยิ่งขึ้น ในบทความนี้ หมอผึ้งจะอธิบายสรุปให้ว่า มาเด้คอลลาเจนคืออะไร ทำงานอย่างไร มีวิธีฉีดแบบไหน และผลข้างเคียงเมโสตัวนี้ด้วยค่ะ
มาเด้คอลลาเจนคืออะไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
มาเด้คอลลาเจน (MADE Collagen) เป็นผลิตภัณฑ์จากประเทศอิตาลีที่นำเอาศาสตร์การรักษาแบบโฮมีโอพาธีย์ (Homepathy) มาบำรุงผิวหน้าด้วยเทคนิคเมโสค่ะ ซึ่งมาเด้คอลลาเจนถูกคิดค้นพัฒนามาเพื่อคืนความอ่อนวัยให้ผิว ทำให้ริ้วรอย ร่องลึกดูจางลง และช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของผิวที่มากับอายุ
หลัก ๆ แล้ว มาเด้คอลลาเจนขึ้นชื่อเรื่องการดีท็อกซ์ผิว ขจัดสารพิษที่เซลล์ไม่ต้องการออกและเติมสารอาหารที่มีประโยชน์ให้กับเนื้อเยื่อค่ะ มาเด้คอลลาเจนประกอบไปด้วยวิตามิน เอนไซม์ คอลลาเจน และแร่ธาตุที่จะช่วยบำรุงผิวอย่างล้ำลึก ลดโอกาสการเกิดสิว เสริมสร้างให้ผิวแข็งแรงไม่แพ้ง่าย และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยด้วยค่ะ
มาเด้คอลลาเจนมีการทำงานที่แบ่งออกเป็น 4 เฟส
Phase 1: ช่วยเร่งขนวนการ Metabolism หรือการเผาผลาญ และเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวได้รับการหล่อเลี้ยงที่ดีและทำงานได้อย่างเต็มที่
Phase 2: ให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อเซลล์ผิวและทำให้เกิดการบำบัดเซลล์ (Cell Therapy) หรือก็คือการฟื้นฟูความแข็งแรง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหร่อ เร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ผิว อีกทั้งยังกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ไฮยาลูรอนิก แอซิด และอีลาสติน ที่จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำและกระจ่างใส
Phase 3: ช่วยดีท็อกซ์เซลล์ (Detoxification) ซึ่งเป็นการขจัดของเสียและสารพิษซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวและทำให้ผิวแก่ก่อนวัย ไม่ผ่องใสและมีร่องลึก
Phase 4: ปรับปรุงโครงสร้างและคืนความสมดุลให้เซลล์ ทำให้ผิวมีความแข็งแรงและป้องกันผิวเสี่อมสภาพจากปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด หรือฝุ่นควัน
แล้ว มาเด้ คอลลาเจนต่างกับเมโสตัวอื่นอย่างไร
มาเด้คอลลาเจนคือเมโสที่เน้นการดีท็อกซ์ผิวเพื่อลดโอกาสการแพ้ การอักเสบและการเกิดสิว เหมาะกับคนที่มีปัญหาสิวเรื้อรัง หน้าหมองคล้ำ และผิวแพ้ง่าย การฉีดมาเด้คอลลาเจน ก็จะมีเทคนิคเฉพาะซึ่งก็คือการฉีดกระจายทั่วใบหน้า รวมทั้งหมด 16 จุด ซึ่งเป็นเทคนิคการฉีดเมโสที่ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นค่ะ
มาเด้ คอลลาเจน ทำไมต้องฉีด 16 จุด
เทคนิค 16 จุด คือการฉีดมาเด้คอลลาเจน 16 จุดตามตำแหน่งของต่อมน้ำเหลืองที่อยู่บนใบหน้าของเรา ต่อมน้ำเหลือง (Lymph nodes) เหล่านี้เป็นอวัยวะที่กรองและกำจัดของเสียที่มาจากกระแสเลือดและเซลล์ และเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน เทคนิคนี้จะทำให้เกิดรอยเข็มเล็ก ๆ เหมือนจุดไข่ปลา ไม่เจ็บมาก และทำให้ผิวหน้าได้รับมาเด้คอลลาเจนอย่างเต็มที่ ซึ่งที่ EY Clinic คุณหมอของเราจะใช้มาเด้แบบเต็มปริมาณในทุกทรีตเมนต์ ไม่มีการเจือจางหรือผสมยาอื่น และจะฉีดโดยจากคุณหมอเฉพาะทางเท่านั้นค่ะ
ผลลัพธ์ และ ผลข้างเคียงของมาเด้คอลลาเจน
หลังฉีดมาเด้คอลลาเจนแล้ว ใบหน้าของเราอาจจะมีอาการระบมและคันเล็กน้อย บางรายอาจจะมีอาการบวมร่วมด้วย แต่หมอผึ้งแนะนำว่า อาหารเหล่านี้เป็นอะไรที่ปกติและจะหายไปเองในเวลา 1-2 วัน ซึ่งภายในวันที่ 3 เราจะสามารถเห็นผลลัพธ์ของตัวมาเด้ได้แล้ว โดยจะรู้สึกว่าผิวลื่น เนียนใส มากขึ้น หลังจากครั้งแรกไปแล้ว ควรฉีดเพิ่มอีกอย่างน้อย 4-5 ครั้ง โดยเว้นระยะเวลา 1 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง เพื่อการบำรุงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะกับคนที่มีปัญหาสิวและผดผื่น หลังจากนั้น เราก็สามารถเว้นระยะการฉีดครั้งต่อไปให้นานขึ้น 1-2 เดือนได้
หลังฉีดแล้ว เราสามารถดูแลตัวเองได้ตามวิธีข่างล้างนี้ค่ะ
- ไม่กดนวดหรือเกาใบหน้าเมื่อฉีดเสร็จ
- หลีกเลี่ยงการล้างหน้าเป็นเวลา 4-6 ชั่วโมงหลังฉีด
- งดการทาสกินแคร์หรือครีมบำรุงในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมออกแดดเป็นเวลาอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
ตัวยาต่าง ๆ ในมาเด้คอลลาเจนจะอยู่ในปริมาณพอดีและเพียงพอต่อการเสริมสร้างบำรุงผิว ซึ่งตัวยาเหล่านี้มีโอกาสทำให้เกิดอาการแพ้ได้น้อยมาก ๆ สำหรับคนที่ฉีดมาเด้แล้วใบหน้าเริ่มขึ้นผื่น เป็นสิว หรือมีอาการระคายเคือง อาจมีความเป็นไปได้ว่า เพิ่งได้รับการฉีดมาเด้ปลอมมา หรือเป็นมาเด้ที่มีการผสมตัวยาอื่นเข้าไป
มาเด้คอลลาเจนปลอมน่ากลัวและมีความอันตราย เพราะเราไม่มีทางรู้ได้ว่าตัวยาที่จะถูกฉีดเข้าใบหน้าของเราเป็นตัวยาอะไร มีปริมาณเท่าไร และจะเกิดผลร้ายต่อร่างกายเราหรือไม่ นอกจากนี้หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่า ฉีดเมโสหรือคอลลาเจนนั้นเป็นอะไรที่ทำที่บ้านเองได้ ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินฉีดที่คลินิก อันนี้หมอผึ้งขอบอกเลยค่ะว่า อย่าหาทำ เพราะการฉีดเมโสเองที่บ้านสามารถนำไปสู่การติดเชื้อ การฉีดผิดชั้นผิว และผลข้างเคียงที่อันตรายที่จะทำให้คุณเสียเงินค่ารักษามากกว่าเดิม เพราะฉะนั้น ไว้ใจให้คุณหมอที่เชี่ยวชาญฉีดให้จะดีกว่าค่ะ
ฉีดมาเด้คอลลาเจนที่ EY Clinic มีราคาเริ่มต้นเท่าไหร่
มาเด้คอลลาเจน ที่ EY Clinic มีราคาเริ่มต้นที่ 2,499 บาท ต่อ 1 ครั้ง และคุณสามารถเลือก
- แพ็กเกจ 12,495 บาท ต่อ 6 ครั้ง (คิดเป็น 2,083 บาท ต่อครั้ง) หรือ
- แพ็กเกจ 24,990 บาท ต่อ 13 ครั้ง (คิดเป็น 1,922 บาท ต่อครั้ง) ก็ได้ค่ะ
ที่ EY Clinic ทุกทรีตเมนต์ถูกดำเนินการโดยแพทย์เฉพาะทาง ใช้ยาเต็มปริมาณ ไม่มีการผสมตัวยาอื่น และไม่มีการเจือจางตัวยา นอกจากนี้ทุกผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกกฎหมาย ได้ผ่านการยอมรับจาก อย. ไทยแล้ว มั่นใจได้เรื่องความปลอดภัยค่ะ
นอกจากนี้ ที่ EY Clinic เราให้ความสำคัญในเรื่องของสุขภาพผิวและความพอใจของผู้เข้าใช้บริการเหนือสิ่งอื่นใด สำหรับคนที่ยังไม่แน่ใจว่าปัญหาผิวของตัวเอง เหมาะกับทรีตเมนต์แบบไหน และกลัวว่าจะเสียเงินกับทรีตเมนต์ที่ไม่ได้ผล ลองมาให้ EY Clinic ได้ดูแลคุณได้ค่ะ ที่คลินิกจะมีหมอผึ้งและทีมหมอผิวหนังและเวชศาสตร์ฟื้นฟูอีก 3 ท่าน ที่พร้อมให้คำปรึกษากับคุณและรับรองว่าไม่มีการขายทรีตเมนต์ที่ไม่จำเป็นแน่นอนค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
หน้าผากย่น ริ้วรอยลึก หน้าแก่ ต้องแก้อย่างไร
ปัญหาหน้าผากย่น หรือริ้วรอยบนหน้าผากเป็นสิ่งที่ทำให้เราเสียความมั่นใจในตัวเองไม่น้อย เพราะไม่มีเมคอัพตัวไหนสามารถปกปิดริ้วรอยตรงนี้ได้ และยังทำรู้สึกแก่อีกด้วย แล้วเรามีจะมีวิธีแก้ไขปัญหาหน้าผากย่นได้อย่างไร
หน้าผากย่น เกิดจากอะไร
รอยย่นบนหน้าผากมีสาเหตุหลักมาจากอายุที่มากขึ้นค่ะ ยิ่งเราแก่ตัวลง ร่างกายของเราก็จะสามารถผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง ทำให้ผิวหนังไม่เต่งตึงและเกิดเป็นรอยย่นพับของผิวหนัง (Static wrinkles) และร่องลึกเกิดจากการเคลื่อนไหวของใบหน้า (Dynamic wrinkles) ซึ่งนอกจากอายุที่มากขึ้นแล้ว ยังมีปัจจัยอีกหลายข้อที่อาจทำให้ผิวของเราแก่เร็วและเกิดริ้วรอยบนหน้าผากค่ะ
แสงแดด - รังสียูวีเป็นตัวทำร้ายเซลล์ผิวและทำให้ปริมาณคอลลาเจนใต้ผิวหนังลดลง
มลภาวะ - ฝุ่นและควันนั้นเต็มไปด้วยสารอนุมูลอิสระที่ส่งผลเสียต่อเซลล์และทำให้ผิวหนังแก่เกินวัย
ความเครียดสะสม - ความเครียดทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าของเกร็งและตึงโดยที่เราไม่รู้ตัว โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตาและหน้าผาก อีกทั้งยังมีส่วนทำให้เซลล์อักเสบ ภาวะความเครียดสะสมจึงมีส่วนทำให้ผิวดูแก่กว่าวัย และทำให้ริ้วรอยบนหน้าผากดูชัดขึ้นค่ะ
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ - เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้ผิวหนังและร่างกายของเราขาดความชุ่มชื้น ทำให้รอยย่นที่หน้าผากเกิดง่ายและชัดเจน
การสูบบุหรี่ - นิโคตินในบุหรี่นอกจากจะส่งผลเสียต่อปอดแล้ว ยังรบกวนการทำงานของเซลล์ผิว โดยเฉพาะกระบวนการผลัดเซลล์ผิวและการสมานแผล ซึ่งทำให้ผิวแก่และเหี่ยวย่นเร็วค่ะ
พันธุกรรม - เราจะเห็นว่าบางคนอายุยังไม่ขึ้นเลข 4 แต่เริ่มมีหน้าผากย่น ในขณะที่บางคนอายุขึ้นเลข 5 แล้วหน้าผากยังดูไม่แก่ หรือมีริ้วรอยเพียงนิดน้อย ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะคนเรามีพันธุกรรมที่ต่างกันค่ะ
อยากแก้หน้าผากย่น ต้องทำอย่างไร: วิธีลดริ้วรอยบนหน้าผาก
ถึงปัญหาริ้วรอยบนหน้าผาก หน้าหน้าผากย่นเป็นเรื่องปกติที่มาคู่กับอายุที่มากขึ้น แต่ก็เป็นปัญหาที่ทำให้หลาย ๆ คนเสียความมั่นใจ ซึ่งในปัจจุบันก็มีทรีตเมนต์และวิธีการลดริ้วรอยให้ดูจางลงให้เลือกอยู่หลายวิธีดังนี้
โบท็อกซ์ (Botox)
โบท็อกซ์ถือเป็นตัวเลือกยอดฮิตสำหรับคนที่มีปัญหาริ้วรอย และถือว่าเป็นวิธีที่แก้ปัญหา dynamic wrinkles หรือริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าได้ตรงจุดค่ะ การฉีดโบท็อกซ์ก็คือการฉีดสารโบทูลินัม ทอกซิน (Botulinum toxin) เข้าสู่ชั้นผิวหนัง สารโบทูลินัมตัวนี้จะออกฤทธิ์กับเซลล์ประสาท ทำหน้าที่ยับยั้งการปล่อยสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดคลายตัวและป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง หรือ ก็คือทำให้กล้ามเนื้อขยับได้น้อยลง ผิวหนังเลยไม่พับหรือย่นนั่นเองค่ะ
ข้อดี: การฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดหน้าผากย่นเป็นวิธีที่ทำได้ง่าย สะดวก เห็นผลได้ไว โดยจะเริ่มเห็นผลได้ตั้งแต่ในช่วง 3-4 วันหลังฉีด ฤทธิ์ของโบท็อกซ์มีอายุอยู่ที่ 4-6 เดือน โดยทั่วไปแล้ว จะใช้โบท็อกซ์เพื่อแก้หน้าผากย่นอยู่ที่ประมาณ 20-30 unit ค่ะ
ข้อจำกัด: โบท็อกซ์อาจจะกระจายตัวไปยังส่วนอื่นของใบหน้าทำให้เกิดผลข้างเคียงอย่าง อาการตาตก ตาแห้ง และผิวแห้ง นอกจากนี้หากฉีดในปริมาณมากเกินไปก็อาจจะทำให้หน้าตึง มุมปากเบี้ยว และดูไม่เป็นธรรมชาติ ฉะนั้น การเลือกฉีดโบท็อกซ์กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นอะไรที่สำคัญมาก ๆ ค่ะ
ราคาโบท็อกซ์หน้าผากที่ EY clinic:
- Nabota เริ่มต้นที่ 150 บาท ต่อ 1 unit และ 4,000 บาท ต่อ 50 unit
- Allergan เริ่มต้นที่ 11,999 บาท ต่อ 50 unit
- Xeomin เริ่มต้นที่ 15,999 บาท ต่อ 150 unit
ฟิลเลอร์ (Filler)
ฟิลเลอร์เป็นหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยและปัญหาผิวที่มากับอายุได้ดีค่ะ ฟิลเลอร์ส่วนมากจะเป็นสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) ที่จะเข้าไปเติมเต็มปริมาตรของชั้นผิว หรือในกรณีนี้ คือการเติมร่องลึกให้ตื่นขึ้น ทำให้ผิวเต่งตึง ไม่หย่อนคล้อย และทำให้ริ้วรอยบนหน้าผากดูจางลง ตัวไฮยาลูรอนิก แอซิดยังใช้ในเรื่องของความชุ่มชื้น ช่วยอุ้มน้ำให้เซลล์ ส่งผลให้ผิวฟู ใส และดูสุขภาพดีด้วยค่ะ
ฟิลเลอร์ยังช่วยปั้นรูปหน้าผากให้นูน เอิบอิ่มขึ้นได้ เหมาะสำหรับคนที่อยากเสริมโหงวเฮ้งให้ตัวเองอีกด้วยค่ะ
ข้อดี: ฟิลเลอร์เป็นทรีตเมนต์ที่ทำได้ง่ายและรวดเร็ว เห็นผลได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและช่วยในเรื่องของความชุ่มชื่น
ข้อจำกัด: ฟิลเลอร์แต่ละรุ่นมีราคาและลักษณะการใช้งานที่ต่างกัน อีกทั้งหน้าผากยังเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเส้นเลือด ต้องอาศัยความละเอียดและความชำนาญในการฉีด ดังนั้นจึงควรเลือกฉีดกับคลินิกที่ได้มาตรฐานที่มีแพทย์เฉพาะทางดูแล
ราคาฟิลเลอร์หน้าผากที่ EY clinic: สำหรับป้ญหาหน้าผากย่น EY clinic มีฟิลเลอร์อยู่ 2 ตัวดังนี้
- Neuramis จากประเทศเกาหลี
- Neuramis Deep ให้ผลลัพธ์นานตั้งแต่ 6-8 เดือน ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 5,999 บาท ต่อ 1cc
- Neuramis Volume ให้ผลลัพธ์นานถึง 12 เดือน ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 6,999 บาท ต่อ 1cc
- Juvederm จากประเทศสหรัฐอเมริกา
- Juvederm Ultraplus ให้ผลลัพธ์นานถึง 12 เดือน ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 12,799 บาท ต่อ 1cc
- Juvederm Voluma ให้ผลลัพธ์นานถึง 18 เดือน ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 15,799 บาท ต่อ 1cc
เลเซอร์ (Laser)
เลเซอร์เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยฟื้นฟูให้ริ้วรอยดูจางลงได้ วิธีการทำงานของเลเซอร์คือการใช้ความร้อนจากแสงเลเซอร์ในการกระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวและบูสต์สร้างคอลลาเจน เลเซอร์ที่นิยมใช้กันจะเป็น Fractional CO2 Laser ซึ่งเรามีให้บริการที่ EY Clinic ด้วยค่ะ
ข้อดี: การยิงเลเซอร์เป็นทรีตเมนต์ที่มีราคาเริ่มต้นที่ถูกเมื่อเทียบกับทรีตเมนต์คลินิกตัวอื่น ๆ และเป็นวิธีที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ดีเยี่ยม อีกทั้งยังลดรอยดำ รอยแดง ฝ้า และกระได้ด้วย
ข้อจำกัด: เมื่อเทียบกันกับฟิลเลอร์และโบท็อกซ์แล้ว เลเซอร์ใช้เวลานานกว่าในการแก้ปัญหาหน้าผากย่น และต้องทำซ้ำประมาณ 3-5 ครั้งก่อนจะเริ่มเห็นผล อีกทั้งยังเหมาะกับริ้วรอยที่ตื้นและเล็ก ไม่เหมาะกับ dynamic wrinkles ที่มักจะพบบริเวณหน้าผาก
นอกจากนี้ หากยิงเลเซอร์กับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานก็อาจส่งผลให้เกิดเป็นรอยไหม้ หรือรอบคล้ำที่รักษาได้ยากด้วยค่ะ
ใช้สกินแคร์ที่มีเรตินอล (Retinol) และ วิตามิน เอ
วิตามินเอและอนุพันธ์ของวิตามินเอ หรือที่เรียกกันว่า เรตินอล เป็นตัวยาที่อยู่กับวงการความงามมานานมาก สารกลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน เร่งการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งทำให้ริ้วรอยดูจางลง นอกจากนี้ วิตามินเอยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากมลภาวะและลดการอักเสบได้อีกด้วยค่ะ
ข้อดี: ทำได้เองที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องไปที่คลินิกความงาม และยังมีหลายแบรนด์ให้เลือกใช้
ข้อจำกัด: การบำรุงผิวด้วยสกินแคร์นั้นต้องทำอย่างสม่ำเสมอและใช้เวลากว่าจะเริ่มเห็นผล วิธีนี้จึงไม่เหมาะกับคนที่อยากได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว แต่จะเป็นการดูแลในระยะยาวมากกว่า
ใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้ขึ้นชื่อเรื่องสรรพคุณการสมานแผลและให้ความชุ่มชื้น ซึ่งหมอผึ้งขอย้ำเลยค่ะว่า ความชุ่มชื้นนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ต่อเซลล์ผิว และเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยทำงานได้อย่างเต็มที่ ว่านหางจระเข้ช่วยให้เติมความชุ่มชื้นกับเซลล์ได้อย่างดี ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน คงความอ่อนวัยให้ผิวและชะลอการเกิดริ้วรอยได้ นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วยค่ะ
ข้อดี: ราคาไม่แพง และทำได้เองที่บ้านโดยไม่ต้องไปคลินิก
ข้อจำกัด: เช่นเดียวกับการใช้วิตามินเอและเรตินอล สกินแคร์ถือเป็นการบำรุงในระยะยาวมากกว่าการรักษา ต้องทำเป็นประจำสม่ำเสมอ
รักษาหน้าผากย่น แก้ปัญหาริ้วรอยที่ EY Clinic
หมอผึ้งจะย้ำเสมอในเรื่องของการเลือกทำทรีตเมนต์กับคลินิกที่ปลอดภัย ได้มาตรฐานและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนดำเนินการทำทรีตเมนต์ค่ะ เพราะผลข้างเคียงของการทำฉีดโบ ฟิลเลอร์หรือยิงเลเซอร์ที่ผิดวิธีนั้นน่ากลัวกว่าที่คุณคิดค่ะ
ที่ EY Clinic เรามีทีมแพทย์เฉพาะทางที่ยินดีจะช่วยเหลือและมอบทรีตเมนต์ที่เหมาะสมที่สุดให้กับคุณ หมอผึ้งเองมีประสบการณ์การฉีดโบท็อกซ์มาแล้วกว่า 14 ปี และยังมีหมอโบว์ซึ่งเป็นแพทย์ประจำเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging) และที่สำคัญ เรามุ่งมั่นที่จะมอบความมั่นใจคู่กับผิวที่มีสุขภาพดี เพราะเราเชื่อว่าความสวยมาคู่กับสุขภาพที่ดีเสมอค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
รู้ก่อนเลือกฉีด มาเด้ กับ เมโส อะไรดีกว่ากัน
หลายคนที่กำลังหาทรีตเมนต์ที่จะช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงและต้องการบำรุงอย่างล้ำลึกคงมีความสับสนว่า มาเด้ คอลลาเจนกับเมโสหน้าใส อะไรดีกว่ากัน แล้วตัวเราเหมาะกับทรีตเมนต์แบบไหนมากกว่า ในบทความนี้หมอผึ้งจะช่วยคุณตอบคำถามนั้นกันค่ะ ก่อนอื่นเราไปดูกันก่อนว่า เมโสและมาเด้คืออะไรกันแน่
เมโส หรือ เมโสเทอราพี (Mesotherapy) คืออะไร
คำว่า เมโส เป็นคำย่อมาจากชื่อเต็ม ๆ ว่า Mesotherapy ซึ่งหมายถึงเทคนิคการรักษาทางการแพทย์แบบหนึ่งที่เป็นการฉีดตัวยาหรือสสารเข้าสู่ผิวชั้นกลาง (Dermis) เทคนิคนี้ถูกคิดค้นโดย Michel Pistor แพทย์ชาวฝรั่งเศสในปี 1952 โดยเขาใช้เทคนิคนี้ในการรักษาโรคทางหลอดเลือดและต่อมน้ำเหลือง เทคนิคถูกพัฒนามาเรื่อย ๆ ในแขนงต่าง ๆ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในด้านเวชศาสตร์ความงาม
เมโสหน้าใส คืออะไร
ทรีตเมนต์เมโสหน้าใส คือป้อนฉีดวิตามิน เอนไซม์ แร่ธาตุและสารบำรุงต่าง ๆ ให้เซลล์ผิวโดยตรง เมโสของแต่ละคลินิกและแต่ละยี่ห้อก็จะมีสูตรที่แตกต่างกันออกไปค่ะ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เมโสหน้าใสจะประกอบไปด้วยวิตามินเอ ซี อี คอลลาเจน ไฮยาลูรอนิก แอซิดและสารสกัดจากพืช ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยฟื้นฟูและปรับสมดุลให้ผิวหน้า ควบคุมความมัน ช่วยให้รอยดำ-รอยแดง ฝ้า กระ ดูจางลง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และเสริมสร้างให้ผิวแข็งแรงขึ้นค่ะ
เมโสหน้าใสเหมาะสำหรับคนที่ต้องการการดูแลและฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึกและรวดเร็ว โดยหลังจากฉีดแล้ว จะสามารถความเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 2-3 วันและเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนภายใน 1-2 สัปดาห์
มาเด้คอลลาเจน (MADE Collagen) คืออะไร
อันที่จริงแล้ว มาเด้ คอลลาเจน ก็คือเมโสยี่ห้อหนึ่ง มาเด้เป็นผลิตภัณฑ์จากประเทศอิตาลีที่นำเอาศาสตร์การรักษาแบบโฮมีโอพาธีย์ (Homepathy) มาบำรุงผิวหน้าด้วยเทคนิคเมโสเทอราพี มาเด้คอลลาเจนโดดเด่นในเรื่องของการดีท็อกซ์ผิว เพื่อขจัดสารพิษที่เซลล์ไม่ต้องการออกและเติมสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าแทน
มาเด้คอลลาเจนมีการทำงานที่แบ่งออกเป็น 4 เฟส
Phase 1: เร่งขบวนการเผาผลาญ และเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้ผิวทำงานได้อย่างเต็มที่
Phase 2: ให้สารอาหารที่มีประโยชน์ ฟื้นฟู ซ่อมแซมส่วนที่สึกหร่อ เร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ผิว อีกทั้งยังกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ไฮยาลูรอนิก แอซิด และอีลาสติน ที่จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำและกระจ่างใส
Phase 3: ช่วยดีท็อกซ์เซลล์ (Detoxification) ซึ่งเป็นการขจัดของเสียและสารพิษซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวและทำให้ผิวแก่ก่อนวัย ไม่ผ่องใส และเกิดริ้วรอยง่าย
Phase 4: ปรับปรุงโครงสร้างและคืนความสมดุลให้เซลล์ ป้องกันผิวเสี่อมสภาพจากปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด หรือฝุ่นควัน และลดโอกาสการเกิดสิวและผดผื่น
มาเด้ กับเมโส ต่างกันอย่างไร
มาเด้คอลลาเจนคือเมโสที่เน้นการดีท็อกซ์ผิวเพื่อลดโอกาสการแพ้ การอักเสบและการเกิดสิว เหมาะกับคนที่มีปัญหาสิวเรื้อรัง ผิวโทรม แพ้ง่ายและเป็นผดผื่นง่าย และในขณะที่เมโสหน้าใส มีจุดเด่นในเรื่องของการทำหน้าขาวใส ช่วยลดรอยด่างดำบนใบหน้าและกระชับรูขุมขน
อีกหนึ่งความแตกต่างของ มาเด้ กับเมโส คือ วิธีการฉีด;
- การฉีดมาเด้คอลลาเจน ใช้วิธีฉีดแบบ 16 จุดตามการไหลเวียนของระบบน้ำเหลืองบนใบหน้าเพื่อประสิทธิภาพของการดีท็อกซ์
- การฉีดเมโสหน้าใส ใช้วิธีฉีดแบบสะกิดทั่วใบหน้าเพื่อให้วิตามินและสารอาหารต่าง ๆ ซึบซาบเข้าสู่ผิวได้ดี
มาเด้และเมโส ราคาเท่าไร
ที่ EY Clinic จะมีให้บริการอยู่ 4 รูปแบบด้วยกัน ดังนี้
- Made Collagen เริ่มต้นที่ 2,499 บาท ต่อ 1 ครั้ง แพ็กเกจ 12,495 บาท ต่อ 2 ครั้ง และ 24,990 บาท ต่อ 3 ครั้ง
- PRP RegenLab เริ่มต้นที่ 6,999 บาท ต่อ 1 ครั้ง แพ็กเกจ 12,599 บาท ต่อ 2 ครั้ง และ 17,999 บาท ต่อ 3 ครั้ง
- Meso Hya 1.5cc เริ่มต้นที่ 2,499 บาท ต่อ 1 ครั้ง แพ็กเกจ 14,995 บาท ต่อ 2 ครั้ง และ 29,990 บาท ต่อ 3 ครั้ง
- Meso Hya 3cc เริ่มต้นที่ 3,999 บาท ต่อ 1 ครั้ง แพ็กเกจ 19,995 บาท ต่อ 2 ครั้ง และ 39,990 บาท ต่อ 3 ครั้ง
สรุป มาเด้กับเมโส อะไรดีกว่ากัน
มาเด้กับเมโสหน้าใสมีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก เพราะมาเด้ก็คือเมโสตัวหนึ่งที่โดดเด่นเรื่องการขจัดสารพิษ และเมโสหน้าใสเป็นทรีตเมนต์ที่เน้นเรื่องความขาวใส หากถามว่า มาเด้กับเมโส อะไรดีกว่ากัน หมอผึ้งขอตอบว่า ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล หากคุณยังไม่แน่ใจว่าปัญหาผิวของคุณเหมาะกับทรีทเมนต์แบบไหน ลองไว้ใจให้คุณหมอของ EY Clinic เป็นคนแนะนำให้คำปรึกษากับคุณ คลินิกของเราดูแลทั้ง wellness และ skin เรามุ่งมั่นที่จะมอบความสวยและสุขภาพผิวที่ดีให้กับคุณโดยไม่มีการยัดเยียดทรีตเมนต์ที่ไม่จำเป็น เข้ามาคุยกับหมอผึ้งและทีมคุณหมอเก่ง ๆ ได้ที่ EY Clinic ค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
ฉีดสลายไขมัน อันตรายไหม ไขข้อสงสัยเรื่องเมโสแฟต
เมโสแฟตเป็นอีกหนึ่งทรีทเมนต์ยอดนิยมที่ถูกใจสำหรับคนที่แก้มเยอะ เหนียงเยอะ หรือต้นแขนมีเซลลูไลท์ ทำให้ไม่มั่นใจในรูปร่างของตัวเอง แต่หลายคนคงจะมีความกังวลว่า ฉีดสลายไขมัน อันตรายไหม จะทำให้ร่างกายเกิดอาการช็อกหรือเปล่า ในบทความนี้ หมอผึ้งจะมาช่วยไขข้อสงสัยข้อนี้ค่ะ
เมโสแฟตคืออะไร สลายไขมันได้จริงไหม
เมโสแฟต (Meso Fat) เป็นทรีทเมนต์ฉีดสลายไขมันที่ทำได้ง่าย เห็นผลไว เจ็บตัวน้อยและไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น คำว่า เมโสแฟต มาจากชื่อเต็มว่า Mesotherapy Fat Reduction หรือ Mesolipolysis ซึ่งก็คือการใช้ฉีดสารเข้าสู่ผิวชั้นกลางเพื่อลดไขมันเฉพาะจุดนั้นเอง เทคนิคเหมือนการฉีดเมโสหน้าใสค่ะแต่ใช้ตัวยาคนละตัวกัน เมโสแฟตประกอบไปด้วยสารสกัดจากพืชอย่าง Tyrosine, Carnitine และ Artichoke Extract ชื่อของสารเหล่านี้ เราอาจจะคุ้นหรือเคยเห็นกันในอาหารเสริมนะคะ สารเหล่านี้จะเข้าไปช่วยทำให้มวลไขมันแตกตัวและมีขนาดเล็กลงทำให้ถูกย่อยสลายและขับออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น ตัวเซลล์ไขมันส่วนเกินเหล่านี้ก็จะออกมากับการขับถ่ายตามกระบวนของร่างกายนั้นเองค่ะ
หมอผึ้งขอแทรกเกร็ดความรู้นิดนึงค่ะว่า การสะสมของไขมันส่วนเกินมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของในร่างกาย ซึ่งสารสกัดในเมโสแฟตก็มีสรรพคุณในการช่วยลดการอักเสบ สมานแผล และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดฝอย ทำให้พื้นที่บริเวณที่ฉีดกระชับและช่วยลดเซลลูไลท์ด้วยค่ะ
ไขมันส่วนเกิน เกิดจากอะไรกันแน่
การสะสมของไขมันส่วนเกินตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ซึ่งมีทั้งที่เราควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ เช่น อาหารการกิน ฮอร์โมน ไลฟ์สไตล์ อายุ พันธุกรรม และเพศ (ผู้หญิงสะสมไขมันใต้ผิวหนังได้มากกว่าผู้ชาย) บางคนคุมอาหารก็แล้ว ออกกำลังกายก็แล้ว แต่ยังมีเหนียง มีคางสองชั้นอยู่ เมโสแฟตจึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับคนต้องการลดเฉพาะจุด เพื่อเพิ่มความมั่นใจในรูปร่างของตัวเองค่ะ ซึ่งการฉีดเมโสแฟตสามารถทำได้ในหลายบริเวณเช่น แก้ม เหนียง ต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง
แต่หมอผึ้งต้องขอเน้นค่ะว่า เมโสแฟตไม่ได้มีไว้เพื่อลดความอ้วน แต่มีไว้เพื่อฉีดลดไขมันใต้ผิวหนังเฉพาะส่วนเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายเบิร์นไขมันได้มากขึ้น หากเรายังทานเยอะและขยับตัวน้อย ร่างกายก็ยังคงจะสะสมไขมันส่วนเกินอยู่เหมือนเดิมค่ะ
ตอบคำถาม ฉีดสลายไขมัน อันตรายไหม
เช่นเดียวทรีตเมนต์อื่น ๆ ความอันตรายของการฉีดสลายไขมันด้วยเมโสแฟตอยู่ที่แพทย์ผู้ดูแลและคลินิกที่เราเข้าใช้บริการค่ะ การฉีดเมโสแฟตกับหมอกระเป๋านำไปสู่ความเสี่ยงมากมายเลยค่ะ เช่น การฉีดผิดชั้นผิวทำให้ไม่เกิดผลลัพธ์ การติดเชื้อเนื่องจากไม่มีการรักษาความสะอาดที่ถูกวิธี หรือการเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงที่มาจากเมโสปลอมหรือจากการผสมตัวยาอื่นในเมโสค่ะ
แล้วถ้าคลินิกที่เราใช้บริการเป็นคลินิกที่เชื่อถือได้ มีหมอประจำผู้มีความเชี่ยวชาญมีใบรับรองชัดเจน การฉีดสลายไขมัน อันตรายไหม? หมอผึ้งขอตอบเลยว่า ไม่อันตราย เพราะเมโสแฟตเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงต่ำ สารสกัดต่าง ๆ ในเมโสแฟตถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเราและสามารถย่อยสลายได้โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่าการดูดไขมัน (Liposuction)
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะมีคำถามว่า แล้วเราจะแพ้เมโสแฟตได้ไหม ตรงนี้หมอตอบชัด ๆ ค่ะว่า มีโอกาสแพ้แต่น้อยมาก ๆ เพราะเมโสแฟตเป็นทรีตเมนต์ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก มีการพัฒนามานานกว่า 20 ปี และมีรายงานผลข้างเคียงจากผู้ที่มีอาการแพ้น้อยมากค่ะ ฉะนั้น เราสามารถสรุปได้ว่าเมโสแฟตเป็นทรีตเมนต์ที่ปลอดภัยค่ะ
หมอขอเสริมว่า ทุกทรีทเมนต์ย่อมมีข้อจำกัดค่ะ การฉีดสลายไขมันเฉพาะจุดด้วยเมโสแฟตควรได้รับการระมัดระวังเป็นพิเศษในกลุ่มคนต่อไปนี้
- สตรีมีครรภ์ และสตรีที่กำลังให้นมบุตร
- ผู้ที่มีปัญหาโรคผิวหนังอักเสบ ควรปรึกษาคุณหมอก่อนที่จะเริ่มฉีดเมโสแฟต
- คนป่วยที่ในแต่ละวันจำเป็นต้องรับประทานยาจำนวนมาก เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือโรคมะเร็ง ควรแจ้งให้คุณหมอทราบและประเมินความเสี่ยงก่อนเริ่มฉีดเมโสแฟต
ฉีดสลายไขมันแล้วเป็นอย่างไร ผลข้างเคียงหลังเมโสแฟตที่คุณควรรู้
ผลข้างเคียงหลังจากการฉีดเมโสแฟตที่พบได้ส่วนมากมักจะเป็นอาการบวมช้ำ ซึ่งจะบรรเทาลงเองภายใน 24 ชั่วโมงค่ะ หลังจากฉีดแล้วควรงดการขัดหน้า นวดหน้า และทรีตเมนต์อื่น ๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ ในช่วง 3 วันแรกหลังฉีด
ในกรณีที่ฉีดสลายไขมันบริเวณเหนียงหรือแก้ม อาการหน้าบวมอาจอยู่นานถึง 1-3 วัน ก่อนจะเริ่มบรรเทาลงไปเอง ซึ่งหากอาการบวมไม่มีท่าทีที่จะดีขึ้น หรือมีอาการปวดระบมมากขึ้น เราควรปรึกษาแพทย์ทันทีค่ะ
การฉีดสลายไขมันจะใช้เวลา 1-3 สัปดาห์ ในการทำงาน โดยเราจะรู้สึกได้ว่าบริเวณที่ฉีดดูกระชับขึ้น ซึ่งคุณหมอที่ดูแลอาจจะนัดมาฉีดเพิ่มเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เราอยากได้มากที่สุดค่ะ แต่ว่าต้องย้ำกันอีกทีว่า ผลลัพธ์ของการฉีดสลายไขมันขึ้นอยู่กับตัวบุคคล และการฉีดสลายไขมันก็เป็นแค่การลดไขมันเฉพาะจุดเท่านั้น ไม่ใช่วิธีการลดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายค่ะ
ฉีดสลายไขมัน ราคาเท่าไร
ที่ EY Clinic มีสูตรยาฉีดสลายไขมันอยู่ 3 สูตรด้วยกัน แต่ละสูตรจะมีความแตกต่างตามด้านล่างนี้เลยค่ะ
สูตร Lipox เหมาะสำหรับคนที่มีแก้มและเหนียง ยกกระชับผิวได้ดีและไม่ทำให้เกิดอาการบวบแสบค่ะ
- เริ่มต้นที่ 10cc ราคา 2,799 บาท
- 20cc ราคา 4,999 บาท
- 30cc ราคา 6,999 บาท
สูตร Mesofat Body เหมาะกับคนที่ต้องการลดสัดส่วน สามารถฉีดได้ทั้งบริเวณ ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง สะโพก
- เริ่มต้นที่ 35cc ราคา 7,999 บาท
- ขวดละ 105cc ราคา 14,999 บาท
สูตร Mesofat Premium เป็นตัวยาเกรดพรีเมียม เหมาะสำหรับฉีดสลายไขมันบริเวณแก้มและเหนียง ช่วยให้หน้าเรียว กระชับ และเห็นผลไวค่ะ
- เริ่มต้นที่ขวดละ 10cc ราคา 5,599 บาท
- ขวดละ 20cc ราคา 9,999 บาท
- ขวดละ 30cc ราคา 14,299 บาท
ฉีดเมโสแฟตที่ EY Clinic
อย่างที่หมอผึ้งได้กล่าวไปว่า การฉีดสลายไขมันจะอันตรายมาก ๆ หากฉีดกับหมอที่ไม่ชำนาญหรือกับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐานค่ะ ซึ่งที่ EY Clinic ของเราใช้เมโสแฟตมีคุณภาพสูงที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับโลกรวมถึงอย. ของประเทศไทย โดยเราไม่มีการเจือจางตัวยา หัตถการทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี มีการให้คำปรึกษาและการดูแลทั้งก่อนและหลังทรีทเมนต์ เพื่อมั่นใจว่าคุณได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและเหมาะสมที่สุดสำหรับคุณค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
ข้อห้าม หลังฉีดโบท็อกซ์ ทำอย่างไรให้โบอยู่นาน ไม่ไหล ไม่ย้อย
สำหรับใครที่กำลังจะเข้ารับการฉีดโบ หรือคนที่กำลังตัดสินใจ วิธีการดูแลตัวเองและข้อห้ามหลังฉีดโบท็อกซ์เป็นสิ่งที่คุณควรศึกษาไว้ก่อนค่ะ หมอผึ้งจะพาไปดูว่า หลังฉีดโบแล้ว เราไม่ควรทานอะไร ต้องงดแอลกอฮอล์นานแค่ไหน และทำอย่างไรไม่ให้โบท็อกซ์ไหลไปส่วนอื่นของใบหน้าค่ะ
ก่อนฉีดโบท็อกซ์ ควรรู้อะไรบ้าง
โบท็อกซ์ถือเป็นหนึ่งในทรีตเมนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในวงการเวชศาสตร์ความงาม และเป็นทรีตเมนต์ที่ครองใจใครหลาย ๆ คนที่มีปัญหากังวลใจเรื่องริ้วรอยบนใบหน้าค่ะ ไม่ว่าเป็นริ้วรอยหน้าผากย่น ตีนกา ร่องน้ำหมาก หรือ รอยย่นระหว่างคิ้วค่ะ ซึ่งก่อนจะตัดสินใจเข้าฉีดโบท็อกซ์ เราควรมีการเตรียมตัวดังนี้ค่ะ
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโบท็อกซ์
ก่อนฉีดโบท็อกซ์ เราควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับทรีตเมนต์ตัวนี้ให้ดีก่อน เพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอในการประกอบการตัดสินใจ ศึกษาเกี่ยวกับวิธีการทำงานของโบท็อกซ์ ผลลัพธ์ของการรักษา วิธีการดูแลตัวเอง หลังฉีดโบท็อกซ์มีข้อห้ามอย่างไร รวมถึงราคาของการฉีดโบท็อกซ์ด้วยค่ะ
เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน
การเลือกใช้บริการกับคลินิกที่ผ่านการตรวจสอบของกระทรวงสาธารณสุข เป็นสิ่งที่หมอผึ้งย้ำเสมอไม่ว่าจะเป็นทรีตเมนต์ตัวไหนก็ตามค่ะ เนื่องจากห้องที่ใช้ทำหัตถการต้องเป็นห้องที่ปลอดเชื้อ มีการรักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัดและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นคนดำเนินการด้วยค่ะ
ใบหน้าของเราเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยและเส้นประสาท การฉีดโบท็อกซ์จะควรถูกดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อาการตาตกเนื่องจากโบท็อกซ์ไหลไปยังกล้ามเนื้อรอบดวงตา อาการหน้าตึงเนื่องจากใช้โบท็อกซ์มากเกินไป หรืออาการมุมปากเบี้ยวเวลายิ้ม
ถ้าหมอที่ฉีดไม่มีประสบการณ์ ก็อาจทำให้เกิดการฉีดผิดชั้นผิวหรือใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ การประเมินสภาพผิวก่อนฉีดก็เป็นอีกเรื่องสำคัญ โดยแพทย์จะเป็นคนให้คำปรึกษาและประเมินว่าปัญหาที่เรามีเหมาะกับทรีตเมนต์โบท็อกซ์หรือไม่ และควรเข้าฉีดบ่อยแค่ไหน หากเข้ารับบริการกับคลินิกที่ไม่มีแพทย์ประจำก็อาจทำให้เราเสียเงินไปโดยที่ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
ปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
อย่างที่หมอผึ้งได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า การประเมินผิวก่อนการฉีดโบท็อกซ์เป็นขั้นตอนที่สำคัญ โดยคุณหมอจะให้คำปรึกษาและพิจารณาว่าโบท็อกซ์สามารถแก้ปัญหาผิวหรือให้ผลลัพธ์ที่เราอยากได้หรือไม่ นอกจากนี้เรายังควรต้องแจ้งคุณหมอเรื่องโรคประจำตัว และยาหรืออาการเสริมที่ใช้อยู่เป็นประจำเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอาการแทรกซ้อนและเพื่อให้ได้ผลลัพธ์อย่างเต็มประสิทธภาพ
เลือกฉีดโบท็อกซ์แท้เท่านั้น
ในประเทศไทย โบท็อกซ์ถูกขึ้นทะเบียนเป็นยาควบคุมพิเศษที่สั่งได้โดยแพทย์เท่านั้น นั่นแปลว่าโบท็อกซ์ที่มีขายตามร้านค้าออนไลน์นั้นถือเป็นสินค้าผิดกฏหมาย และอาจเป็นโบท็อกซ์ปลอม ซึ่งหมอผึ้งบอกได้เลยว่าอันตรายมาก เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าโบท็อกซ์ตัวนั้นมีส่วนผสมของอะไรบ้าง แต่หากเราใช้บริการกับคลินิกที่ได้มาตรฐานก็ไม่มีอะไรต้องกังวลค่ะ
วิธีการเช็คโบท็อกซ์แท้ สามารถทำได้ดังนี้: โบท็อกซ์แท้ที่ผ่านอย.แล้วจะมีเลขทะเบียนอย. ระบุอยู่ที่กล่อง มีเอกสารกำกับที่เป็นภาษาไทย และมีเลข LOT บนกล่องที่ตรงกับเลข LOT บนขวด ตัวยาที่อยู่ในขวดจะมีลักษณะเป็นผลึกอยู่ที่ก้นขวด ซึ่งหมอจะต้องใส่น้ำเกลือเข้าไปเพื่อดูดตัวยาออกมา โบท็อกซ์บางยี่ห้อเช่น Allergan จะมีสติกเกอร์ซีลอยู่ที่ฝากล่องเพื่อปกป้องการเปิดเพื่อสลับขวดยา
ที่ EY Clinic จะมีบริการโบท็อกซ์ให้เลือกอยู่ 3 สัญชาติด้วยกัน: Allergan จากอเมริกา Nabota จากเกาหลี และ Xeomin จากเยอรมัน ซึ่งหมอผึ้งการันตีได้ว่าทุกทรีตเมนต์ที่คลินิกจะใช้ตัวยาเต็มปริมาณ ไม่มีการเจือจาง ไม่มีการผสมยาหลอก และมีคุณหมอเป็นคนฉีดทุกครั้งค่ะ
4 ข้อปฏิบัติเพื่อเตรียมผิวหน้าก่อนฉีดโบท็อกซ์
- งดใช้สกินแคร์หรือยาที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ และ AHA ในช่วง 1-2 วันก่อนฉีด
- งดการทำทรีตเมนต์อื่น ๆ เช่นการสครับหน้า หรือ ลอกผิว ในช่วง 1-2 วันก่อนฉีด
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs และอาการเสริมที่มีวิตามินอีหรือน้ำมันปลาเป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อลดการเกิดรอยฟกช้ำหลังจากการฉีดโบท็อกซ์
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนเข้ารับการฉีดโบท็อกซ์
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนถึงประวัติการใช้ยาและโรคประจำตัว
โบท็อกซ์ไม่เหมาะกับใคร
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่
- ผู้ที่เคยมีประวัติเคยแพ้ส่วนผสมของโบท็อกซ์มาก่อน
- ผู้ที่มีกำลังมีภาวะติดเชื้อหรือมีอาการอักเสบทางผิวหนังในบริเวณที่จะฉีดโบท็อกซ์
- ผู้ที่มีภาวะกลืนลำบาก (Dysphagia)
- ผู้ที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
ถึงโบท็อกซ์เป็นหัตถการที่ทำได้ง่ายและมีความเสี่ยงต่ำ แต่หมอผึ้งขอย้ำว่า เราควรแจ้งแพทย์ให้รู้ถึงประวัติการใช้ยาและโรคประจำตัวของเราก่อนจะตัดสินใจรับการฉีดโบท็อกซ์เสมอ
ข้อห้าม หลังฉีดโบท็อกซ์
หลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้วเราจะสามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงเวลา 2-7 วันแรกค่ะ และเห็นผลลัพธ์อย่างเต็มที่ภายใน 1-2 สัปดาห์ ซึ่งผลลัพธ์ตรงนี้จะอยู่ได้เฉลี่ยประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและบริเวณที่ฉีด
ฉีดโบท็อกซ์แล้ว หน้าบวมไหม
หลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้ว บริเวณที่ฉีดอาจมีอาการฟกช้ำ ปวดระบม และบวมหรือนูนเล็กน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ บรรเทาลงไปเองภายในคืนแรก โดยเราสามารถใช้วิธีประคบเย็นเพื่อลดอาการปวดบวมได้; ใช้ผ้าสะอาดห่อน้ำแข็งและประคบบริเวณที่ฉีดอย่างเบามือโดยไม่กดหรือนวด
ฉีดโบท็อกซ์ เคี้ยวหมากฝรั่งได้ไหม
หมอแนะนำว่า เราควรขยับกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง เช่น การเคี้ยวหมากฝรั่งเป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาทีหลังฉีดโบท็อกซ์เพื่อให้ยากระจายเข้าสู่กล้ามเนื้อที่เราต้องการได้ทั่วบริเวณ โดยเฉพาะกับคนที่ฉีดโบท็อกซ์บริเวณกราม
ฉีดโบท็อกซ์วันแรก ห้ามทำอะไร
หมอผึ้งขอกำชับว่า ห้ามนอนราบในช่วง 4-5 ชั่วโมงแรกหลังฉีดโบท็อกซ์ และพยายามก้มหน้าให้น้อยที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้โบท็อกซ์ไหลหรือกระจายไปสู่บริเวณที่เราไม่ต้องการ และไม่การกด นวด หรือลงน้ำหนักในบริเวณที่ฉีดมากเกินไปในช่วง 24 ชั่วโมงหลังฉีด
ฉีดโบท็อกซ์ แต่งหน้า ทาสกินแคร์ได้ไหม
เพื่อลดโอกาสการอักเสบติดเชื้อของรอยเข็ม หมอผึ้งแนะนำว่าควรงดการทาสกินแคร์และการแต่งหน้าเป็นเวลา 24 ชั่วโมงหลังจากฉีดโบท็อกซ์ ทั้งนี้เรายังสามารถล้างหน้าได้ตามปกติ โดยเว้นเวลาอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงก่อนที่จะล้างหน้า เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน และซับหน้าให้แห้งหลังล้าง
ฉีดโบท็อกซ์ ออกกำลังกายได้ไหม
การออกกำลังกายเป็นประจำถือเป็นกิจวัตรที่ดี แต่หมอผึ้งขอแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังฉีดโบท็อกซ์ โดยเฉพาะในช่วง 4-5 ชั่วโมงแรก ควรงดออกกำลังกายอย่างเด็ดขาด แม้แต่การออกกำลังการเบา ๆ อย่างโยคะหรือพิลาทีส เนื่องจากกิจกรรมเหล่านี้อาจทำให้สารโบท็อกซ์กระจายตัวไปสู่มัดกล้ามเนื้อที่เราไม่ต้องการ ทำให้เกิดเป็นผลข้างเคียงอย่าง อาการตาตก หรืออาการกลืนยาก นอกจากนี้ เหงื่อที่ออกยังทำให้แผลจากรอยเข็มเสี่ยงต่อการติดเชื้อด้วย
นอกจากการออกกำลังกายแล้ว กิจกรรมอื่น ๆ ที่ทำให้เหงื่อออกมาก อย่างเช่น การอบซาวน่า กิจกรรมกลางแจ้ง หรือแม้แต่การปรุงอาหารหน้าเตาร้อนก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน
ฉีดโบท็อกซ์ งดแอลกอฮอล์กี่วัน
หลังฉีดโบท็อกซ์แล้ว ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ โดยเฉพาะในช่วง 2-3 วันแรก เนื่องจากแอลกอฮอล์มีผลทำให้เลือกสูบฉีดและทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง ซึ่งอาจทำให้แผลรอยเข็มฟกช้ำมากกว่าเดิมหรือมีอาการบวมมากขึ้น นอกจากนี้แอลกอฮอล์ยังทำให้แผลหายช้า และเป็นตัวทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งทำให้แผลรอยเข็มของเราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ฉีดโบท็อกซ์ ห้ามกินอะไรบ้าง
หมอผึ้งขอบอกก่อนว่า อาหารเหล่านี้ไม่ได้เข้าไปทำปฏิกริยากับโบท็อกซ์หรือทำให้โบท็อกซ์หมดฤทธิ์แต่อย่างไร แต่เป็นเพียงอาหารที่ควรงดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังฉีดเพื่อช่วยให้ร่างกายได้รักษาแผลที่เกิดจากเข็มโบท็อกซ์ได้อย่างเต็มที่
อาหารปิ้งย่าง ชาบู หรืออาหารที่ทำให้เราต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ
ความร้อนจะทำให้หลอดเลือดขยายตัวมีผลทำให้อาการช้ำเข็มและอาการบวมแย่ลง อีกทั้งเหงื่อที่ออกยังเป็นตัวนำเชื้อโรคเข้าสู่รอยเข็มซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อทางผิวหนัง
อาหารดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ
อาหารดิบ หรือ ของดิบ ๆ สุก ๆ ที่ปรุงมาไม่ดีหรือไม่สะอาดมักทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือเกิดภาวะอาหารเป็นพิษ และอาจเป็นตัวนำเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด
อาหารหมักดอง
อาหารจำพวกผักดอง ผลไม้ดอง และปลาร้า หากถูกหมักอย่างไม่ถูกสุขอนามัย ก็สามารถเป็นตัวนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายของเราได้
อาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เช่น โรตี ชานมไข่มุก
ของทอด ของมัน และของหวานมีส่วนทำให้เซลล์เกิดการอักเสบซึ่งทำให้กระบวนการการสมานแผลช้าลงและยังมีสารอนุมูลอิสระที่ซึ่งเป็นตัวทำลายเซลล์ ในช่วงหลังฉีดโบท็อกซ์จึงแนะนำให้งดอาหารประเภทนี้
ข้อห้าม หลังฉีดโบท็อกซ์เกี่ยวกับยาและอาหารเสริม
หลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้ว หมอผึ้งอยากแนะนำให้หลีกเลี่ยงยาและอาหารเสริมประเภทต่อไปนี้ในช่วง 24 ชั่วโมงหลังฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดความเสี่ยงของอาการข้างเคียง
- ยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs ที่มีผลทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง เช่น Ibuprofen, Naproxen, และ Aspirin - หากจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดจริง ๆ หมอแนะนำให้ใช้เป็นพาราเซตามอลแทนค่ะ
- อาหารเสริมที่มีโอเมก้า 3 กิงโกะ และวิตามี อี เนื่องจากสารอาหารเหล่านี้ผลทำให้เลือกแข็งตัวช้า
ฉีดโบท็อกซ์ ราคาเท่าไร
ที่ EY Clinic มีโบท็อกซ์อยู่ 3 สัญชาติที่พร้อมให้บริการค่ะ ได้แก่ Allergan จากสหรัฐอเมริกา, Nabota จากเกาหลี และ Xeomin จากเยอรมัน ซึ่งแต่ละตัวจะมีแพ็คเกจที่ต่างกันค่ะ
- Nabota เริ่มต้นที่ 150 บาท ต่อ 1 unit และ 4,999 บาท ต่อ 50 unit
- Allergan เริ่มต้นที่ 11,999 บาท ต่อ 50 unit
- Xeomin เริ่มต้นที่ 15,999 บาท ต่อ 100 unit
โดยคุณสามารถดูรายละเอียดและแพ็กเกจเพิ่มเติมได้ที่นี่และแวะมาปรึกษาหมอก่อนตัดสินใจได้ที่ EY Clinic ค่ะ
ฉีดโบท็อกซ์อย่างปลอดภัยที่ EY Clinic
ที่ EY Clinic เราเคร่งครัดในเรื่องของมาตรฐานความปลอดภัยและความพึงพอใจของผู้รับบริการเสมอค่ะ เลือกฝากใจไว้กับคลินิกของเราที่มีทีมแพทย์เฉพาะทาง ทุกท่านมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ในการทำหัตถการความงาม หมดกังวลเรื่องความปลอดภัยและเรื่องใช้ตัวยาปลอมแน่นอนค่ะ หมอผึ้งเองมีประสบการณ์การฉีดโบท็อกซ์มาแล้วกว่า 14 ปี และยังเป็นอาจารย์แพทย์ ณ สภาบันโรคผิวหนัง ยินดีตอบคำถาม ไขข้อสงสัย และดูแลให้คุณได้ผลลัพธ์ที่คุณต้องการค่ะ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
รีจูรัน (Rejuran ©) คืออะไร? ไขความลับนวัตกรรมชุบผิวฉ่ำ ใส ไร้รอยสิว จากประเทศเกาหลี
เทรนด์หน้ากระจกหรือหน้าวาวฉ่ำน้ำกำลังเป็นเทรนด์ความงามที่ได้รับความนิยมสูงมากในประเทศไทย ซึ่งหนึ่งในทรีตเม้นต์ที่จะเสกหน้าให้เด้งฟู อิ่มน้ำได้ในเวลาสั้น ๆ ก็คงจะไม่พ้น รีจูรัน (Rejuran ©) เคล็ดลับความงามจากประเทศที่ช่วยกู้เซลล์ผิวและฟื้นฟูใบหน้าให้เต่งตึง กระจ่างใส ในบทความนี้ หมอผึ้งจะมาสรุปคร่าว ๆ ว่า ทรีทเมนต์ รีจูรัน ตัวนี้คืออะไร ช่วยให้หน้าเราอิ่มฟูได้อย่างไร และหมอยังรวบรวมข้อควรรู้ต่าง ๆ ของนวัตกรรมเกาหลีตัวนี้มาให้อ่านกันด้วย
รีจูรัน (Rejuran ©) คืออะไร
หลายคนอาจจะเข้าใจว่า รีจูรันก็เหมือนฟิลเลอร์ที่ฉีดเพิ่มให้หน้าดูฟู ดูอิ่มน้ำ แต่อันที่จริงแล้วรีจูรันคือสารสกัดโพลีนิวคลีโอไทด์จากปลาแซลม่อน นวัตกรรมจากประเทศเกาหลีที่ช่วยในเรื่องของการฟื้นฟู ปรับสมดุล และคืนความอ่อนวัยให้ผิวหน้า โดยมีงานวิจัยรับรองแล้วว่ารีจูรันสามารถช่วยลดปัญหาริ้วรอย ปัญหาผิวหมองคล้ำขาดความชุ่มชื้น และคืนความอ่อนวัย (Rejuvenation) ให้ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รีจูรัน ทำงานอย่างไร
รีจูรันเป็นสารโพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide หรือ PN) บริสุทธิ์ที่สกัดมาจากปลาแซลม่อน ซึ่งหมอจะขออธิบายคำว่าโพลีนิวคลีโอไทด์ ก่อน: โพลีนิวคลีโอไทด์คือสารประกอบตามธรรมชาติที่พบได้ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต มีหน้าที่ควบคุมการทำงานและการเจริญเติบโตของเซลล์ตั้งแต่ระดับพันธุกรรม (ดีเอ็นเอของเราก็เป็นโพลีนิวคลีโอไทด์)
รีจูรัน ก็คือชิ้นส่วนโพลีนิวคลีโอด์ที่ดึงออกมาจากดีเอ็นเอของปลาแซลม่อน ซึ่งจะเข้าไปทำงานตามกระบวนการต่อไปนี้
- กระตุ้นกระบวนการผลิตเซลล์ผิวใหม่ โดยเฉพาะเซลล์ Fibroblast ที่มีหน้าที่ผลิตคอลลาเจน โดยเป็นทำงานในระดับดีเอ็นเอ
- ทำให้เกิดหลั่ง Growth Factor ที่ช่วยในการซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อใหม่
- มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ (Anti-inflammatory effects)
- โพลีนิวคลีโอไทด์เข้าไปช่วยเสริมโครงสร้างให้สารเคลือบเซลล์ (Extracellular matrix หรือ ECM) และช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น ซึ่งงานวิจัยจากเกาหลีค้นพบว่า รีจูรันมีประสิทธิภาพในเพิ่มความยืดหยุ่นและเรียบเนียนให้กับผิวมากกว่าฟิลเลอร์
- ช่วยให้ผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) หนาตัวขึ้น ซึ่งเป้นการสร้างเกราะป้องกันให้ผิวจากสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่นควัน มลภาวะและแสงยูวีที่ทำให้หน้าแก่เร็ว
- กระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่ (Angiogenesis) ซึ่งช่วยในการสมานแผลและหล่อเลี้ยงให้เซลล์ทำงานได้อย่างเต็มที่
ชิ้นส่วนโพลีนิวคลีโอด์ในรีจูรันได้รับการรับรองแล้วว่า ปลอดภัยและทำงานเข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ดี โดยไม่เกิดอันตราย และจะย่อยสลายไปตามกระบวนทางธรรมชาติเมื่อหมดอายุการใช้งาน โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีสารตกค้างสะสมในร่างกาย
รีจูรันช่วยเรื่องอะไรบ้าง
- ปรับสมดุลให้ผิวและช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา โดยสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวถึง 14.69 % หลังจบทรีทเมนต์
- กระชับรูขุมขน
- ช่วยให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้น
- เพิ่มความยืดหยุ่น (Elasticity) โดยให้ผิวมากถึง 21.78% หลังจบทรีทเมนต์
- แก้ปัญหาผิวหน้ามัน
- ช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
- ยกกระชับใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์อยากเป็นธรรมชาติ
- สร้างเกราะป้องกันที่ปกป้องผิวต่อมลภาวะ แสงแดด และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมต่าง ๆที่ทำให้ผิวเสื่อมสภาพเกินอายุ
รีจูรัน มีกี่ประเภท
รีจูรันที่อยู่ในท้องตลาดตอนนี้จะมี Rejuran Healer, Rejuran S, และ Rejuran I ซึ่งแต่ละตัวเป็นโพลีนิวคลีโอไทด์เหมือนกัน แต่จะถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาคนละจุดกัน Rejuran S จะมีความเข้มข้นและเนื้อที่หนืดกว่า Rejuran Healer ซึ่งทำให้รุ่นนี้แก้ปัญหาแผลเป็นจากสิวได้ดี ส่วน Rejuran I จะมีเนื้อที่เบาบางซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยในพื้นที่ละเอียดอ่อนอย่าง ผิวรอบดวงตาและเปลือกตา
รีจูรัน เหมาะกับใครบ้าง
Rejuran Healer เหมาะกับ:
- คนที่มีผิวมันหรือแห้ง ขาดความสมดุล
- คนที่มีผิวบางและผิวแพ้ง่าย
- คนที่ปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส
- คนที่ต้องการกระชับรูขุมขน
- คนที่มีปัญหาริ้วรอย
- คนที่ต้องการผิวที่เต่งตึง อิ่มน้ำและกระจ่างใส
- คนที่ต้องการการฟื้นฟูแบบรวดเร็ว เห็นผลไว
- คนที่ต้องการคืนความออ่นวัยให้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
Rejuran S เหมาะกับ:
- คนที่มีแผลเป็นทั่วไปบนใบหน้า
- คนที่มีปัญหาเรื่องหลุมสิว
- คนที่มีแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรอยบุ๋ม
Rejuran I เหมาะกับ:
- คนที่มีริ้วรอยรอบดวงตา
- คนที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำจากภูมิแพ้หรือกรรมพันธุ์
- คนที่มีรอยย่นบนเปลือกตา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถแก้ไขด้วยฟิลเลอร์ได้
ฉีดรีจูรัน กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานแค่ไหน
สำหรับคนที่เริ่มฉีดรีจูรันครั้งแรก หมอผึ้งขอแนะนำว่าให้ฉีด 3-4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 2-3 สัปดาห์ต่อครั้ง เราจะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ 3-5 วันหลังฉีดครั้งแรก การฟื้นฟูซ่อมแซมผิวเบื้องต้นจะใช้เวลาประมาณ 4 สัปดาห์ ซึ่งเราจะรู้สึกได้ว่าผิวเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังฉีดเข็มสุดท้ายไปแล้ว จะเห็นได้ชัดเจนว่า ผิวมีความกระจ่างใส ชุ่มชื้น ริ้วรอยลดลง รูขุมขนกระชับขึ้น และผิวมีสุขภาพดีขึ้น ซึ่งหลังจากนี้เราสามารถกลับมาฉีดได้อีกทุก ๆ 3-6 เดือนเพื่อคงผลลัพธ์
การฉีดรีจูรันเป็นอย่างไร ฉีดครั้งละกี่ cc
หมอเริ่มต้นทรีตเมนต์ด้วยการให้ยาชาก่อน ซึ่งอาจใช้เวลา 30-45 นาทีในการออกฤทธิ์ จากนั้นก็จะเริ่มการฉีดรีจูรันเข้าชั้นหนังแท้ (Dermis) ด้วยเข็มขนาดเล็กโดยจะฉีดเป็นจุด ๆ ทั่วใบหน้าตั้งแต่ หน้าผาก ขมับ ระหว่างคิ้ว แก้ม รอบริมฝีปาก ไปจนถึงกราม หลังจากฉีดแล้ว จะทิ้งรอยเข็มที่มีลักษณะเหมือนจุดไข่ปลาเล็ก และจะใช้รีจูรันอยู่ที่ 2 cc
หลังฉีดรีจูรันแล้ว ต้องดูแลตัวเองอย่างไร
อาการหลังฉีดรีจูรันจะคล้ายกับอาการหลังฉีดฟิลเลอร์ นั่นก็คือ บวมแดง ช้ำ และเจ็บระบมเล็กน้อย บางคนอาจจะรู้สึกว่าหน้าแห้ง ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 1-3 วัน หลังฉีดรีจูรันแล้วเราสามารถดูแลตัวเองได้ดังนี้
- ทำความสะอาดใบหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว แต่ควรรอหลังฉีด 4-6 ชั่วโมงก่อนจะล้างหรือเช็ดหน้า
- งดใช้เครื่องสำอางเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังฉีด
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย กิจกรรมออกแดด และการอบซาวน่าเป็นเวลา 48-72 ชั่วโมง
- งดแว็กซ์ขนหรือทำทรีทเมนต์กำจัดขนด้วยเลเซอร์ ในช่วงที่ฉีดรีจูรัน หากจำเป็นต้องทำ ควรทำเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ก่อนฉีด
รีจูรันฉีดพร้อมโบท็อกซ์-ฟิลเลอร์ได้ไหม
โดยหลักการแล้ว ทรีตเมนต์เหล่านี้สามารถทำพร้อมกันได้ ตัวฟิลเลอร์เป็นไฮยาลูรอนิก แอซิดที่มาเข้าเติมเต็มปริมาตรของผิว ทำให้หน้าดูมีเนื้อ เต็มอิ่มและชุ่มชื้น และโบท็อกซ์ทำงานผ่านระบบประสาทของกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเรื่องความหย่อนคล้อยและริ้วรอย ทรีตเมนต์เหล่านี้จะแก้ปัญหาคนละจุดเมื่อเทียบกับรีจูรัน แต่หมออยากจะแนะนำว่า ไม่ควรทำทั้งสองตัวในวันเดียวกันเพราะจะทำให้เจ็บระบมและช้ำหลังฉีดมากเกินไป และควรเว้นระยะระหว่างทรีตเมนต์แต่ละตัวอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
ข้อจำกัด-ข้อควรระวัง: ใครไม่ควรฉีดรีจูรัน
- ผู้ที่มีอาการแพ้อาหารทะเลไม่ควรฉีด เนื่องจากรีจูรันเป็นสารที่สกัดมาจากปลาแซลม่อน
- ผู้ที่กำลังให้นมบุตรหรือกำลังตั้งครรภ์ยังไม่ฉีด ทั้งนี้ไม่ใช่ว่ารีรันเป็นอันตรายต่อเด็กแต่เป็นเพราะยังไม่มีการทดลองทางคลินิกมากพอที่จะประเมินผลข้างเคียงในคนกลุ่มนี้
- ผู้ที่ใช้ยาที่มีผลทำให้เลือดแข็งตัวช้า (Blood-thinners) ซึ่งได้แก่ ยาวาร์ฟาริน, ยากลุ่ม NSAIDS เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน นาพรอกเซนและ พอนแสตน
- ผู้ที่รับประทานอาหารเสริมหรือสมุนไพรที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดเช่น จินเส็ง และ พริมโรส-ออยล์ ควรงดใช้สมุนไพรเหล่านี้เป็นเวลา 1 สัปดาห์ก่อนฉีด
- ผู้ที่กำลังมีภาวะการอักเสบหรือติดเชื้อทางผิวหนังไม่ควรฉีด
- ผู้ที่เคยฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Stimulators) อย่าง Sculptra และ Elllansé มาก่อน
หมอผึ้งอยากจะย้ำว่าการทำหัตถการความงาม ไม่ว่าจะเป็นการฉีดรีจูรัน ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ หรือเมโส เราควรเลือกคลินิกที่มีความเชื่อถือและได้มาตรฐาน มีแพทย์ประจำคลินิกที่สามารถให้คำปรึกษากับเราได้ เนื่องจากทุกหัตถการควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้มั่นใจว่าจะปลอดภัยและได้ผลลัพธ์อย่างที่เราต้อง
และอย่าลืมแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับโรคประจำตัวและยาที่ใช้อยู่เป็นประจำให้แพทย์ทุกครั้งก่อนรับการรักษาด้วย
รีจูรันกับฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ที่ถูกกฎหมายในประเทศไทยจะเป็นไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid หรือ HA) ซึ่งทำงานโดยการเข้าไปเติมเต็มชั้นผิวให้มีความยืดหยุ่น ชุ่มชื้นและเต่งตึง ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่เหมือนกับโพลีนิวคลีโอไทด์ของรีจูรัน เมื่อเทียบกับแล้วฟิลเลอร์มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการเกิดใหม่ของเซลล์ และการผลิตคอลลาเจนที่ด้อยกว่ารีจูรัน
แต่สิ่งที่รีจูรันทำไม่ได้เหมือนฟิลเลอร์คือการเพิ่มความอวบอิ่มและ “ปั้น” รูปหน้า การฉีดแก้มส้ม หน้าผากนูน ปรับรูปคาง เติมร่องแก้ม และฉีดปากนั้นจำเป็นต้องเป็นฟิลเลอร์เท่านั้น ดังนั้น หมอขอสรุปว่า ทั้งฟิลเลอร์และรีจูรันมีประโยชน์ต่างกัน ซึ่งเราควรปรึกษาแพทย์เพื่อประกอบการตัดสินใจได้ก่อนทำทรีตเมนต์
รีจูรันกับเมโสหน้าใส
หมอผึ้งขอสรุปง่าย ๆ ว่าเมโสก็เหมือนการให้อาหารผิวและรีจูรันเหมือนการฉีดสารสกัดจากปลาบูสต์การทำงานของเซลล์ เมโสหน้าใส (Mesotherapy) เป็นการฉีดค็อกเทลที่ประกอบไปด้วยวิตามิน เอนไซม์ แร่ธาตุและสารบำรุงต่าง ๆ เข้าสู่ชั้นผิว ซึ่งแตกต่างจากรีจูรันที่เน้นกระตุ้นการทำงานของเซลล์ที่เรามีอยู่แล้วมากกว่า นอกจากนี้เมโสยังเป็นทรีตเมนต์ที่ต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยหมอจะพิจารณาถึงผิว อายุ ไลฟ์สไตล์ และผลลัพธ์คุณอยากได้เพื่อผสมค็อกเทลวิตามินออกมา เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์สูงสุด
ประโยชน์ของเมโสหน้าใสก็จะคล้ายกับรีจูรันในบางส่วน เช่น สามารถบำรุง ฟื้นฟูผิว ลดรอยดำรอยแดง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่ช้อยส์ของการเลือกทำรีจูรันหรือเมโสย่อมขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่แต่ละคนอยากได้ และการพิจารณาแพทย์ผู้ดูแลเคสของเรา
ฉีด รีจูรัน ที่ไหนดี
ก่อนตัดสินใจฉีดรีจูรันหรือรับทรีตเมนต์ใด ๆ ก็ตาม หมอผึ้งอยากให้ทุกคนคำนึงถึงความปลอดภัยก่อน ในปัจจุบันนี้ เราจะเห็นว่าผลิตภัณฑ์ความงามที่เป็นของปลอมนั้นมีอยู่มากมายในท้องตลาด รวมไปถึงคลินิกความงามที่จ้างหมอปลอมหรือหมอกระเป๋าก็มีออกข่าวอยู่ตลอด เราจึงควรศึกษาข้อมูลของคลินิกที่เราจะเข้ารับบริการก่อนอยู่เสมอ ตรวจเช็กป้ายชื่อ เลขที่ใบอนุญาต 11 หลักในคลินิก รีวิวจากผู้ใช้จริง และเลือกคลินิกที่มีแพทย์ประจำผู้มีความรู้เฉพาะทาง ซึ่งก่อนฉีดหมอควรนำผลิตภัณฑ์ออกกล่องให้เราเห็น เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่แท้จริง ไม่มีการสลับสับเปลี่ยน และไม่มีการเจือจางตัวยา
หากคุณยังมีข้อสงสัย ไม่แน่ใจว่ารีจูรันจะเหมาะกับปัญหาผิวของคุณไหมหรืออยากกู้ผิวหน้าตัวเองแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี ลองมาฝากใจไว้กับ EY Clinic หมอผึ้งและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกคนยินดีมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคุณและดูแลให้คุณมีผิวที่สุขภาพดีไปนาน ๆ
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
โบท็อกซ์กับฟิลเลอร์ ต่างกันยังไง อันไหนดีกว่า?
ทั้งโบท็อกซ์และฟิลเลอร์เป็นทรีตเมนต์เพื่อความสวยของที่ทำได้ง่าย ปลอดภัย และมีผลข้างเคียงเพียงน้อยนิด แต่หัตถการทั้งสองตัวนี้แท้จริงแล้วต่างกันมากน้อยแค่ไหน แก้ปัญหาได้เหมือนกันหรือไม่ และเราในฐานะผู้บริโภคควรเลือกฉีดตัวไหนดี ในบทความนี้ EY Clinic หมอผึ้งจะมาไขข้อสงสัยและแจกแจงให้ได้เข้าใจกันว่า โบท็อกซ์กับฟิลเลอร์ต่างกันอย่างไร อันไหนดีกว่า และจะตัดสินใจเลือกฉีดได้อย่างไร
โบท็อกซ์ (Botox) คืออะไร
โบท็อกซ์เป็นตัวเลือกยอดฮิตสำหรับคนมีปัญหาและความกังวลเรื่องริ้วรอย ตีนกา และใบหน้าที่หย่อนคล้อย ไม่กระชับ โบท็อกซ์ แท้จริงแล้วคือชื่อทางการค้าของสาร โบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) ที่ถูกออกฤทธิ์กับเซลล์ประสาทของเรา ถึงจะขึ้นชื่อว่า ท็อกซิน แต่ก็ไม่เป็นอันตรายหากถูกฉีดโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ สารตัวนี้จะเข้าไปจับกับสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) บริเวณปลายประสาทส่วนกล้ามเนื้อ ส่งผลให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวน้อยลงและไม่หดเกร็ง เหมือนเป็นการฟรีซกล้ามเนื้อเฉพาะจุดไว้ชั่วคราว
โบท็อกซ์เริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-3 วันหลังจากที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ แล้วจะเริ่มเห็นผลได้ชัดเจนที่สุดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก และมีคงผลลัพธ์ได้นาน 3-4 เดือน ก่อนที่จะสลายตัวไปตามกระบวนทางธรรมชาติของร่างกายโดยไม่ทิ้งสารตกค้าง
ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร
ฟิลเลอร์ แปลว่า สารเติมเต็ม ซึ่งเป็นคำนิยามที่ดีที่สุดของทรีตเมนต์ประเภทนี้ ฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมที่สุดคือ สารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) ที่ช่วยเติมเต็มชั้นผิวและช่วยกักเก็บความชุ่มชื่นให้เซลล์ ทำให้ใบหน้าดูอิ่มน้ำ อ่อนวัย และลดปัญหาริ้วรอย
ตัวไฮยาลูรอนิก แอซิดเป็นสารที่พบได้ตามส่วนต่าง ๆ ในร่างกายของเราและฟิลเลอร์ที่เป็นไฮยาก็สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติหลังจากฉีดไปแล้ว โดยฟิลเลอร์จะใช้เวลาประมาณ 7-14 วันเพื่อเซตตัว และผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานตั้งแต่ 6 เดือน – 2 ปี ขึ้นอยู่กับรุ่นและแบรนด์ที่เราเลือก
นอกจากนี้ หากฉีดฟิลเลอร์แล้วเกิดอาการอักเสบ จับตัวเป็นก้อน หรือให้ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นที่พอใจ เราสามารถฉีดเอนไซม์ไฮยาลูรอนิเดส (Hyaluronidase) ซึ่งเป็นสารที่จะเข้าไปสลายฟิลเลอร์และทำให้ฟิลเลอร์ยุบตัวในเวลาเพียง 1-2 วัน
โบท็อกซ์กับฟิลเลอร์ ต่างกันอย่างไร
โบท็อกซ์กับฟิลเลอร์เป็นผลิตภัณฑ์สองตัวที่มีกลไกการทำงานต่างกันโดยสิ้นเชิงและแก้ปัญหาได้คนละจุด ตารางด้านล่างนี้ได้สรุปความแตกต่างที่ทุกคนควรรู้ก่อนตัดสินใจรับทรีตเมนต์ทั้งสองตัวนี้
ความเสี่ยงของโบท็อกซ์และฟิลเลอร์
ถึงโบท็อกซ์และฟิลเลอร์จะเป็นหัตถการที่ปลอดภัย ไม่ทิ้งแผลระยะยาว และไม่ต้องการการพักฟื้น แต่ความเสี่ยงของทรีตเมนต์ทั้งสองตัวก็เป็นสิ่งที่หมออยากให้ทุกคนรู้ไว้ก่อนจะตัดสินใจ
ในช่วง 24 ชม.แรกหลังจากการฉีดฟิลเลอร์และโบท็อกซ์ รอยเข็มที่อยู่บนใบหน้าจะยังไม่ผิดสนิท ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางผิวหนัง คนที่ฉีดจึงจำเป็นต้องรักษาความสะอาด งดกิจกรรมที่ขับเหงื่อ และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์
นอกจากอาการช้ำเข็มแล้ว ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการฉีดโบท็อกซ์ได้แก่ อาการหนังตาตก (Eyelid drooping) กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscle weakness) ทำให้ยิ้มไม่สุดหรือแสดงสีหน้าได้ไม่ชัดเจน อาการคล้ายไข้หวัด (Flu-like symptoms) และอาการปวดหัว แต่ผลข้างเคียงเหล่านี้พบได้ยากและจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
ในส่วนของฟิลเลอร์ ภาวะแทรกซ้อนที่มีโอกาสเกิดได้ ได้แก่ อาการฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อนหรือไหลไปยังยังส่วนอื่นของใบหน้า อาการฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือดซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเนื้อตาย (Necrosis) หรือตาบอด
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้จะมีน้อยมาก แค่เราเลือกทำหัตถการกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์เฉพาะทางผู้มีประสบการณ์ความรู้ และใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้
โบท็อกซ์กับฟิลเลอร์ อันไหนดีที่สุด?
หมอขอสรุปอีกทีว่า โบท็อกซ์ทำงานโดยการลดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยปรับริ้วรอยและร่องลึกอย่าง ตีนกา ริ้วรอยย่นบนหน้าผากหรือรอยระหว่างคิ้วให้เรียบเนียน โบท็อกซ์ยังช่วยในการปรับผิวหน้าให้กระชับ เหมาะกับการยกหน้าหรือลิฟหน้าให้ดูเรียวขึ้น ลดความหย่อนของเหนียงและยังสามารถปรับรูปจมูกให้ดูเป็นสันชัดเจนขึ้น ในขณะที่อีกตัวเลือกหนึ่งของเราซึ่งก็คือ ฟิลเลอร์จะทำงานโดยการเติมเต็มปริมาตรให้ผิวและทำให้ผิวดูอิ่มฟูและเต่งตึง ฟิลเลอร์สามารถช่วยลดร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ปรับแก้มให้เต็มเป็นแก้มลูกส้ม และยังทำให้ผิวดูชุ่มชื้นและดูอ่อนวัย
แล้วระหว่างโบท็อกซ์กับฟิลเลอร์ เราควรเลือกฉีดอันไหน?
ตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่าผลลัพธ์ที่เราอยากได้นั้นคืออะไร ทรีตเมนต์ทั้งสองตัวแก้ปัญหากันคนละจุด ฉะนั้นอันที่เหมาะกับเราที่สุดก็คืออันที่สามารถแก้ไขปัญหาของผิวของเรา และเราสามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้ดูแลเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกได้เสมอ ซึ่งหากคุณฝากใจไว้กับ EY Clinic หมอผึ้งกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกคนก็ยินดีให้ความช่วยเหลือคุณอย่างเต็มที่แน่นอน
โบท็อกซ์กับฟิลเลอร์ ฉีดพร้อมกันได้ไหม
อย่างที่ได้สรุปกันไปว่า โบท็อกกับฟิลเลอร์สามารถช่วยแก้ปัญหาได้คนละจุดด้วยวิธีการที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นเราสามารถฉีดทั้งสองตัวพร้อมกันได้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยโบท็อกซ์จะช่วยยกกระชับใบหน้าผ่านการบล็อกการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ช่วยให้หน้าไม่เหี่ยวย่น และฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มความเอิ่บอิ่มและคืนความอ่อนวัยให้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
การฉีดโบท็อกซ์และฟิลเลอร์พร้อมกันยังเป็นคอมโบทรีตเมนต์ที่เหมาะสมกับหลายกรณี เช่น ปัญหาร่องแก้มลึกที่เกิดจากการยิ้มบ่อย ๆ แพทย์ผู้ดูแลอาจเลือกใช้โบท็อกซ์ในปริมาณเล็กน้อยเพื่อลดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบางส่วนของแก้ม ก่อนจะเติมฟิลเลอร์เพื่อยกร่องแก้มให้เต็ม และทำให้รอยยิ้มของเรายังสวยเป็นธรรมชาติ ไม่ตึงจนเกินไป และผลลัพธ์ยังอยู่ได้นานกว่าแค่ฉีดโบท็อกซ์อย่างเดียวอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจตรงนี้ควรอยู่ภายใต้การพิจารณาของหมอที่ดูแลเคสของเราเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับเราที่สุด และอีกสิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ เราควรตรวจเช็กข้อมูลของคลินิกที่เรากำลังจะเข้าใช้บริการให้แน่ใจว่าเป็นคลินิกที่มีมาตรฐาน ใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ ไม่เจือจางยา และมีแพทย์อยู่ประจำ ที่ EY Clinic เองก็มีทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านโรคผิวหนัง เวชศาสตร์ชะลอวัย และเวชศาสตร์ฟื้นฟู ที่พร้อมจะดูและ ให้คำปรึกษา และมอบการรักษาที่ดีที่สุดให้กับคุณ
รีวิวจากผู้ใช้บริการ EY Clinic
เมโสหน้าใสคืออะไร ฉีดเมโสเองอันตรายไหม หลังฉีดห้ามทำอะไรบ้าง?
หลาย ๆ คน อาจจะเคยเห็นคลิปรีวิวการฉีดเมโสหน้าใสเองที่บ้านตามโซเชียลมีเดียหรืออาจจะกำลังอยากซื้อเมโสหน้าใสมาฉีดเองตามแบบที่เห็นในคลิป หรือบางคนอาจจะไม่รู้เลยว่าเมโสคืออะไร ในบทความนี้ หมอผึ้งจะมาอธิบายว่า เมโสหน้าใสมีวิธีการทำงานอย่างไร ฉีดเมโสเองที่บ้านอันตรายแค่ไหน ทำไมเราควรเลือกฉีดเมโสที่คลินิก และหลังฉีดเมโสเราห้ามทำอะไรบ้าง
เมโสหน้าใสคืออะไร ช่วยแก้ปัญหาผิวแบบไหน
ทรีตเมนต์เมโสหน้าใส คือการฉีดวิตามิน เอนไซม์ แร่ธาตุและสารบำรุงต่าง ๆ เข้าสู่ชั้นผิวเพื่อปรับสมดุลและฟื้นฟูผิว เมโสหน้าใสของแต่ละคลินิกจะมีองค์ประกอบที่ต่างกันออกไป โดยส่วนใหญ่แล้วเมโสหน้าใสมักเป็นวิตามินเอ ซี อี คอลลาเจน ไฮยาลูรอนิก แอซิดและสารสกัดจากพืช ซึ่งแพทย์ผู้ดูแลจะฉีดเมโสเข้าไปยังผิวชั้นกลาง (Dermis) ของเรา ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วย:
- กระตุ้นเซลล์ผิวให้สร้างคอลลาเจน เพิ่มความชุ่มชื้นทำให้ผิวดูฉ่ำน้ำและอิ่มฟู
- ลดการอักเสบ ฟื้นฟูเซลล์ผิวให้แข็งแรง และสร้างภูมิคุ้นกันให้ผิวเพื่อลดการเกิดสิว
- ทำให้รอยดำ-รอยแดง ฝ้า กระ ดูจางลงทำให้หน้าเนียนใส
- ปรับสมดุลให้เซลล์ผิวและลดความมัน ทำให้มีผิวมีสุขภาพดี กระจ่างใส ไม่หมองคล้ำ
หลังจากฉีดแล้ว เราจะสามารถความเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 2-3 วันแรก โดยผิวหน้าของเราจะค่อย ๆ ปรับสภาพและผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะเห็นได้ภายใน 1-2 สัปดาห์
คำว่า Meso มาจากชื่อเต็ม ๆ คือ Mesotherapy ซึ่งเป็นเทคนิคการรักษาทางการแพทย์ที่ถูกคิดค้นโดย Michel Pistor แพทย์ชาวฝรั่งเศสในปี 1952 และถูกพัฒนาต่อยอดมาเรื่อย ๆ ซึ่งในปัจจุบัน นอกจากเมโสหน้าใสแล้ว ทรีตเมนต์การฉีดเมโสยังถูกใช้ในการสลายเซลลูไลท์ตามบริเวณ ต้นขา หน้าท้อง หรือท้องแขน เพื่อกระชับรูปร่างและยังช่วยฟื้นฟูเซลล์รากผมในผู้ที่ปัญหาผมบาง-ผมร่วงได้อีกด้วย
ฉีดเมโสหน้าใสอันตรายไหม ถ้าฉีดบ่อย ๆ จะสะสมหรือไม่
หมอผึ้งตอบได้เลยว่า ไม่อันตราย หากฉีดกับแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญและใช้บริการกับคลินิกที่ไว้ใจได้ สารทุกตัวที่อยู่ในเมโสล้วนแล้วแต่เป็นสารที่พบในธรรมชาติซึ่งปลอดภัยต่อร่างกายมนุษย์ และเราสามารถฉีดได้ทุกเดือนเพื่อคงผลลัพธ์โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีสารตกค้างสะสมเนื่องจากสารประกอบในเมโสสามารถถูกดูดซึมและย่อยสลายได้เองตามกลไกธรรมชาติ ซึ่งเมโสทุกตัวของ EY Clinic ได้ผ่านรับรองมาตรฐานจากอย. และในทุกทรีตเมนต์ หมอจะใช้เมโสแท้แบบเต็มปริมาณ ไม่มีการเจือจาง ที่สำคัญที่สุด ทุกทรีตเมนต์จะถูกดำเนินการโดยจากคุณหมอเฉพาะทางเท่านั้น
ไม่อยากหาหมอ ฉีดเมโสเองที่บ้านได้ไหม?
ใครที่กำลังคิดว่าอยากจะสั่งเมโสมาเพื่อมาฉีดเองที่บ้านเพราะราคาถูกและสั่งซื้อง่าย หมอขอแนะนำว่า หยุดก่อน
เมโสปลอมน่ากลัวกว่าที่คิด
เมโสที่พบตามร้านออนไลน์มักเป็นเมโสปลอม ซึ่งอาจประกอบไปด้วยสารกลุ่มสเตียรอยด์ (Steroid) หรือสารแปลกปลอมอื่น ๆ ที่จะทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ตัวสเตียรอยด์มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อไม่ว่าจะเป็นจากเชื้อราหรือแบคทีเรีย สารกลุ่มนี้ยังทำให้เกิดสิวทั้งสิวอักเสบ (Inflamed acne) และสิวอุดตัน (Comeodones)
เมโสของ EY Clinic มีราคาเริ่มต้นที่ 2,499 บาทต่อ 1 ครั้ง (มาเด้ คอลลาเจน) ซึ่งให้ผลลัพธ์ได้รวดเร็วและเห็นได้ชัดเจนกว่าเมื่อเทียบกับการทาครีมบำรุง และถึงแม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าเมโสในชอปออนไลน์ หมอขอแนะนำว่าให้ลงทุนกับความปลอดภัยดีกว่าที่จะต้องเสี่ยงฉีดสารแปลกปลอมเข้าใบหน้าของเรา
ฉีดเมโสเองยิ่งอันตราย
การฉีดเมโสหน้าใสอาจจะดูเป็นหัตถการที่ทำได้ง่าย แต่แท้จริงแล้วแพทย์ทุกท่านที่จะฉีดเมโสได้ต้องผ่านการฝึกฝนเพื่อเรียนรู้วิธีการฉีดที่ถูกต้อง เทคนิคฉีดเมโสมีทั้งแบบสะกิดที่ฉีดทั่วทั้งใบหน้า และแบบ16 จุดที่ฉีดตามทิศทางการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลืองบนใบหน้า ซึ่งคนที่ไม่ได้รับการเทรนด์ก็จะไม่สามารถฉีดได้เหมือนแพทย์ ทำให้ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ อีกทั้งยังเสี่ยงผลข้างเคียงอย่างการติดเชื้อซึ่งเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อโดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา
เข็มที่ใช้หรือห้องที่ฉีดไม่ปลอดเชื้อ
การฉีดเมโสเองหน้าใสเองที่บ้านทำให้เราเสี่ยงต่อการติดเชื้อทั้งบริเวณผิวที่ฉีดและการติดเชื้อในกระแสเลือดเพราะเป็นการทำหัตถการในพื้นที่ที่ควบคุมความสะอาดไม่ได้ แต่หากเข้ามาใช้บริการที่คลินิก ห้องรักษาของเรามีมาตรการการฆ่าเชื้อโรคและป้องกันการติดเชื้อที่ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าปลอดภัย นอกจากนี้ที่คลินิกยังมีแพทย์ผู้ดูแลที่จะช่วยเหลือคุณได้ทันทีหากเกิดอาการแพ้หรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
ฉีดเองอาจทำให้เสียเยอะกว่าที่คิด
การฉีดเมโสเองที่บ้านอาจทำให้ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ตามต้องการเนื่องจากฉีดผิดชั้นผิวและไม่ได้ฉีดตามเทคนิคที่ถูกต้อง และผลข้างเคียงที่ได้รับก็อาจทำให้ต้องเสียเงินค่ารักษามากกว่าการเข้าฉีดเมโสที่คลินิก ที่สำคัญการฉีดเมโสปลอมติดต่อกันเรื่อย ๆ ยังจะทำให้เกิดสารตกค้างภายในร่างกายที่อาจส่งผลเสียระยะยาวต่อร่างกายเราอีกด้วย
หมอผึ้งขอย้ำอีกทีว่า เรื่องของความปลอดภัยนั้นควรมาเป็นอันดับหนึ่ง และถึงแม้การฉีดเมโสจะดูเป็นอะไรที่ทำได้ง่าย แนะนำว่าฝากหน้าให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแลจะดีที่สุดเพื่อให้ได้ความสวยที่น่าพอใจในแบบที่คุณต้องการ
หลังฉีดเมโสหน้าใสมีข้อห้ามทำอะไรบ้าง
ก่อนจะตัดสินใจฉีดเมโสหน้าใส เรามาดูกันก่อนว่าหลังฉีดเสร็จแล้วเราห้ามทำอะไรบ้าง
- ไม่การกดนวดหรือเกาใบหน้าเมื่อฉีดเสร็จ
- หลีกเลี่ยงการล้างหน้าเป็นเวลา 4-6 ชั่วโมงหลังฉีด
- งดการทาสกินแคร์หรือครีมบำรุงในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมออกแดดเป็นเวลาอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
แต่หมออยากให้ทุกคนทราบก่อนว่า ข้อห้ามเหล่านี้ไม่ได้เป็นข้อบังคับเด็ดขาด แต่หากดูแลตัวเองตามนี้ได้ก็จะช่วยให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อผิวของเราเอง
หลังฉีดแล้ว ใบหน้าอาจมีอาการคันหรือเกิดรอยแดงซึ่งตรงนี้เป็นอาการปกติที่เกิดจากการใช้เข็มและจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
หมอผึ้งอยากขอเสริมว่าทุกคอร์สของทรีตเมนต์การความงามควรจะถูกออกแบบมาเพื่อคนแต่ละบุคคลเพราะเราทุกคนมีปัญหาผิว ธรรมชาติของผิวและนิยามของความสวยที่ไม่เหมือนกัน ที่ EY Clinic เราไม่เพียงแต่อยากจะมอบความสวยให้คุณแต่เราอยากให้คุณมีผิวที่สุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอกและเรายินดีที่จะอยู่กับคุณในทุกขั้นตอน
รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
Mesotherapy เมโสมีประโยชน์อะไรบ้าง
สวัสดีค่ะ วันนี้หมอผึ้งจะมาเล่าถึงเรื่องการทำเมโสหรือ Mesotherapy ให้ทุกคนฟังนะคะ หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์จากบทความนี้ เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจค่ะ
ศาสตร์เบื้องหลังเมโส
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หมอรู้สึกทึ่งกับวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังการรักษาผิวหนังของเรามาโดยตลอด Mesotherapy ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่น่าทึ่งมีขั้นตอนเกี่ยวข้องกับการส่งวิตามิน เอ็นไซม์ ฮอร์โมน และสารสกัดจากพืชฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนัง ส่วนผสมเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อฟื้นฟูผิว ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต และกระตุ้นการสลายไขมัน ด้วยการกระตุ้นการตอบสนองต่อการรักษาของร่างกาย เมโสจะส่งเสริมการสร้างและฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นและอ่อนเยาว์ขึ้น ทีนี้มาเจาะลึกกันว่าการรักษานี้มีประโยชน์ต่อคุณอย่างไร
การประยุกต์ใช้ Mesotherapy
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจกลไกการทำงานของ Mesotherapy และการใช้งานที่หลากหลาย แม้ว่าเมโสจะได้รับการยอมรับอย่างสูงในด้านคุณสมบัติในการต่อต้านริ้วรอยและลดจุดด่างดำ แต่เมโสก็มีประสิทธิภาพไม่แพ้กันในการจัดการกับปัญหาผิวอื่นๆ ตัวอย่างเช่น สามารถต่อสู้กับเซลลูไลท์ ทำให้ผิวเรียบเนียนและกระชับขึ้น นอกจากนี้ เมโสยังประสบความสำเร็จในการนำมาใช้รักษาผมร่วง เช่น ภาวะผมร่วงจากกรรมพันธุ์ (Androgenic alopecia) เนื่องจากสามารถช่วยกระตุ้นหนังศีรษะและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผม อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของเมโสนั้นขึ้นอยู่กับตัววิตามินหรือสารสกัดที่นำมาใช้ให้เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล โดยคุณหมอจะปรับเปลี่ยนแผนการรักษาให้เหมาะกับปัญหาและความต้องการเฉพาะของผิว เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับการดูแลที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณมากที่สุด
ขั้นตอนการฉีดเมโส
การทำเมโสเป็นการรักษาที่ปลอดภัย ไม่ทำให้เกิดผิวหน้าไหม้หรือบางลง ประกอบด้วยขั้นตอนของการฉีดวิตามินหลายจุดเป็นจุดเล็กๆ (microinjection) กระจายทั่วผิว สารที่นำมาฉีดเป็นค็อกเทลสูตรพิเศษของวิตามิน เอ็นไซม์ และสารสกัดจากพืช นำมาใช้เพื่อฟื้นฟู กระชับผิว ช่วยให้ผิวใส ลดจุดด่างดำ รวมทั้งกำจัดไขมันส่วนเกิน อย่าปล่อยให้คำว่า "microinjection" ทำให้คุณกังวลใจ เราให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของผู้เข้ารับการรักษาเป็นอย่างมาก และมีการทายาชาเฉพาะที่ผิวหนังล่วงหน้าเพื่อให้รู้สึกไม่สบายน้อยที่สุด เป้าหมายของเราที่ EY Clinic ไม่ใช่แค่เพื่อผลลัพธ์ที่มองเห็นได้ แต่ยังมอบประสบการณ์ที่สะดวกสบายและผ่อนคลายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ประโยชน์ของเมโส
จากการประสบการณ์การรักษา 14 ปีของหมอ หมอได้เห็นแล้วว่าเมโสสามารถปฏิวัติสุขภาพผิวได้อย่างแท้จริงได้อย่างไร หมอเชื่อมั่นในพลังของทรีตเมนต์นี้และความสามารถในการจัดการกับปัญหาผิวต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมโสมีประโยชน์มากมาย รวมถึงการฟื้นฟูและกระชับผิว ลดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น รักษาเม็ดสี และปรับปรุงลักษณะโดยรวมและสุขภาพของผิว การรักษานี้มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดในการปรับปรุงความมีชีวิตชีวาและความอ่อนเยาว์ของผิว สามารถปรับให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของผิวแต่ละบุคคล ทำให้เป็นทางออกที่หลากหลายสำหรับสภาพผิวต่างๆ ที่ EY Clinic เราภูมิใจที่จะนำเสนอการรักษาที่พลิกโฉมนี้แก่คนไข้ของเรา ช่วยให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายด้านผิวพรรณและเพิ่มความมั่นใจ
เทคนิคการฉีดเมโส
ในฐานะแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง เป็นความรับผิดชอบของหมอที่จะต้องแน่ใจว่าคนไข้ของหมอเข้าใจขั้นตอนการรักษาที่เรานำเสนอ เมโสเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างรวดเร็วและตรงไปตรงมา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการฉีดวิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโน และกรดไฮยาลูโรนิก ซึ่งปรับให้เหมาะกับความต้องการของผู้ป่วยแต่ละรายโดยเฉพาะ ส่วนผสมของวิตามินจะถูกฉีดเข้าไปในชั้น Dermis ซึ่งเป็นชั้นกลางของผิวหนัง ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีที่สุด ตามหลักแนวคิดคือต้องการบำรุงและฟื้นฟูผิวในขณะที่ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งมีความสำคัญต่อความยืดหยุ่นและความกระชับของผิว กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นแต่ยังเข้าไปแก้ต้นเหตุของปัญหาผิวต่างๆ จากภายในทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ยาวนาน โดยส่วนตัวแล้วหมอมั่นใจว่าผู้ป่วยแต่ละรายจะได้รับแผนการรักษาที่จัดทำขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อตอบสนองความต้องการและข้อกังวลของแต่ละคน
ประโยชน์และความอเนกประสงค์ของเมโส
จากการประสบการณ์การทำงาน หมอสังเกตเห็นประโยชน์มากมายจากเมโสเทอราพี เป็นทรีตเมนต์อเนกประสงค์ที่สามารถจัดการกับปัญหาผิวได้หลากหลาย ตั้งแต่การเพิ่มความชุ่มชื้นและความเปล่งปลั่งของผิวไปจนถึงการส่งเสริมความยืดหยุ่นและลดริ้วรอย Mesotherapy เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการฟื้นฟูผิวอย่างครบวงจร สามารถใช้เพื่อต่อสู้กับผิวหมองคล้ำ รักษาฝ้า แก้ไขความหย่อนคล้อยของผิว ลดไขมันส่วนเกิน หรือเพื่อลดริ้วรอยตื้นๆ นอกจากนี้ยังใช้ในการรักษาโรคผมร่วงจากกรรมพันธุ์ คุณสมบัติกระตุ้นของเมโสสามารถช่วยกระตุ้นรูขุมขนและส่งเสริมการงอกของเส้นผม ซึ่งการรักษานี้มีแนวโน้มได้ผลดีสำหรับผู้ที่ทุกข์ทรมานจากผมบาง ในฐานะแพทย์ผิวหนัง หมอให้ความสำคัญกับการรักษาที่ได้ผลดี มีความปลอดภัยสูง สามารถปรับเปลี่ยนตามปัญหาของแต่ละบุคคลได้และเมโสก็เหมาะกับเกณฑ์นี้อย่างยิ่ง
แนวทางการรักษาด้วยเมโสที่ EY Clinic
ที่ EY Clinic หมอเชื่อในการสร้างแผนการรักษาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล ซึ่งทรีตเมนต์นี้เกี่ยวข้องกับการเลือกส่วนผสมในคอกเทลของเมโสอย่างระมัดระวังโดยพิจารณาจากปัญหาผิวเฉพาะและสุขภาพโดยรวมของคุณ หมอคำนึงถึงประเภทผิว อายุ ไลฟ์สไตล์ และเป้าหมายการดูแลผิวส่วนบุคคลของคุณ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับคุณ เป็นวิธีการแบบองค์รวมเฉพาะบุคคลที่ช่วยให้เราได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ไม่เพียงแต่เสริมสุขภาพผิวของคุณ แต่ยังรวมถึงความมั่นใจและความเป็นอยู่ที่ดีของคุณด้วย อย่าลืมว่าเส้นทางสู่ผิวสุขภาพดีขึ้นก็เป็นเป้าหมายของเราเช่นกัน และเรามุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือคุณในทุกขั้นตอน
ฟื้นฟูผิวด้วยเมโสที่ EY Clinic
ที่ EY Clinic เราภูมิใจนำเสนอ Mesotherapy เป็นหนึ่งในการรักษาชั้นนำของเราสำหรับการฟื้นฟูผิว ความเชี่ยวชาญและความมุ่งมั่นของเราที่มีต่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ป่วยทำให้เราแตกต่าง เราค้นคว้าอย่างต่อเนื่องและตามทันความก้าวหน้าล่าสุดในวิทยาการผิวหนัง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยของเราจะได้รับการดูแลที่ดีที่สุด หมอผึ้ง ดูแลการทำเมโสแต่ละสูตรเป็นการส่วนตัว เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและความพึงพอใจของคุณตลอดกระบวนการ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ต้อนรับคุณที่ EY Clinic ซึ่งจะแนะนำคุณตลอดการเดินทางสู่สุขภาพผิวที่แข็งแรงและสดใสยิ่งขึ้น สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Mesotherapy หรือจองคำปรึกษา กรุณาติดต่อทีมงานของเราได้ที่เบอร์ 0615941923 หรือติดต่อผ่าน LINE Official: @EyclinicTH อย่าลืมว่าผิวกระจ่างใสไม่ใช่แค่ความฝัน แต่เป็นการเดินทางที่เริ่มต้นขึ้นที่นี่ที่ EY Clinic
ฉีดโบท็อกซ์อันตรายไหม! อยากสวยแต่กลัวเสี่ยง ควรพิจารณาอะไรบ้างก่อนทำ?
ชั่วโมงนี้วงการความสวยความงามต่างพูดถึงการฉีดโบท็อกซ์กันเป็นเรื่องปกติ ทั้งฉีดหน้า ฉีดกราม หรือฉีดที่ส่วนอื่นๆ ซึ่งคนที่กำลังสนใจอยากฉีดก็มักจะสงสัยในใจว่า ฉีดโบท็อกซ์อันตรายไหม? ถ้าฉีดไปแล้วจะมีผลข้างเคียงอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า เพราะเคยได้ข่าวมาว่ามีหลายเคสที่มีคนไปฉีดโบท็อกซ์แล้วหน้าเบี้ยว และเพื่อเป็นการไขข้อข้องใจ วันนี้เราจะคุณไปทำความเข้าใจว่าจริงๆ แล้วการฉีดโบท็อกซ์นั้นอันตรายหรือไม่
โบท็อกซ์ คืออะไรและออกฤทธิ์อย่างไร?
อันที่จริงแล้วโบท็อกซ์ก็คือชื่อทางการค้าของสารที่มีชื่อเต็มว่า โบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) ที่เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ถูกผลิตขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งมีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium botulinum) โดยเจ้าเชื้อตัวนี้ในธรรมชาติเป็นต้นเหตุของโรคอาหารเป็นพิษที่พบได้ในมนุษย์ เช่น อาหารกระป๋องที่ปนเปื้อนเชื้อตัวนี้ ที่หากใครได้รับเข้าไปในปริมาณมากก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ซึ่งเชื้อคลอสตริเดียม โบทูลินัม จะทำให้กล้ามเนื้อกระบังลมไม่ทำงานและทำให้ผู้ที่ได้รับเชื้อหยุดหายใจ
ด้วยกลไกการออกฤทธิ์ของเจ้าเชื้อแบคทีเรียร้าย นักวิทยาศาสตร์จึงได้ทำการศึกษาต่อและพัฒนาให้มันกลายมาเป็นสารที่ใช้ในวงการความสวยความงาม โดยปัจจุบันสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ ที่ใช้กันอยู่ในประเทศไทยถูกผลิตจาก 4 บริษัท ได้แก่ Xeomin (เยอรมนี), Allergan (สหรัฐอเมริกา), Dysport (อังกฤษ) และ Nabota (เกาหลี)
สำหรับการนำสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ มาใช้งานในด้านความสวยความงามนั้น มันจะออกฤทธิ์โดยการไปจับตัวเข้ากับเซลล์ปลายประสาทเพื่อยับยั้งไม่ให้เซลล์ดังกล่าวสามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ ซึ่งผลที่ได้ก็คือกล้ามเนื้อที่สารตัวนี้ไปจับจะไม่สามารถหดตัวได้ หรือเรียกว่ากล้ามเนื้อกลายเป็นอัมพาตชั่วคราวนั่นเอง
โดยอาการอัมพาตนั้นจะเกิดขึ้นเฉพาะกล้ามเนื้อมัดที่ถูกฉีดโบท็อกซ์เข้าไป พร้อมกับเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-3 วันหลังจากที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ แล้วจะเริ่มเห็นผลได้ชัดเจนที่สุดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก จากนั้นยังคงประสิทธิภาพในการทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตอยู่ได้นาน 3-4 เดือน เมื่อครบเวลากล้ามเนื้อก็จะค่อยๆ กลับมายืดและหดตัวได้ตามปกติเหมือนตอนก่อนฉีด และนั่นหมายความว่าใครที่ต้องการฉีดโบท็อกซ์ก็จะต้องกลับมาฉีดซ้ำอยู่เสมอหากต้องการให้ผลการรักษาคงอยู่เหมือนเดิม
อันตรายและผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์
อันตรายหรือผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์นั้นจริงๆ แล้วไม่ได้มาจากสารที่ฉีดเข้าไป เพราะโบท็อกซ์ทุกยี่ห้อที่ใช้งานในประเทศไทยทั้งหมดได้รับอนุญาตจากอย. ให้ใช้งานได้อย่างถูกต้องแล้ว และจะไม่ทิ้งสารตกค้างหลงเหลือในร่างกายของเราแต่อย่างใด แต่ว่าความเสี่ยงจากการฉีดโบท็อกซ์ก็ยังอาจมีเกิดขึ้นได้เช่นกัน
- ติดเชื้อจากการฉีด
หากใครไม่ได้ศึกษาและเลือกฉีดโบท็อกซ์กับคลินิกที่ใช้เครื่องมือไม่ได้มาตรฐานหรือกระบวนการฉีดไม่สะอาด รวมถึงเคสที่ออกข่าวอยู่บ่อยครั้งอย่างคนที่ทำการฉีดโบท็อกซ์ไม่ใช่คุณหมอที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์จริงๆ หรือที่เรามักเรียกกันว่า “หมอกระเป๋า” บุคคลเหล่านี้ไม่ได้รู้จักเทคนิคการทำให้ปราศจากเชื้อ (Sterile technique) ที่จะต้องทำทุกครั้งเพื่อป้องกันการติดเชื้อนั่นเอง
- ตาตก
อีกหนึ่งความอันตรายจากการฉีดโบท็อกซ์ที่อาจพบได้หลังทำการฉีดที่ระหว่างคิ้วเพื่อลดริ้วรอย ในตำแหน่งที่ใกล้กันกับเปลือกตาด้านบน มีผลทำให้กล้ามเนื้อในบริเวณหนังตาเป็นอัมพาตอ่อนแรงและตกลงมาได้ ซึ่งอาการตาตกมักมีสาเหตุมาจากการฉีดโบท็อกซ์ไม่ถูกวิธีและขาดความเข้าใจ
- ยิ้มไม่สุด มุมปากเบี้ยว
ความอันตรายข้อสุดท้ายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อฉีดโบท็อกซ์อย่างอาการยิ้มไม่สุดหรือมุมปากเบี้ยวนั้น มักพบในคนที่ฉีดโบท็อกซ์บริเวณกราม โดยมีสาเหตุมาจากการฉีดโบท็อกซ์ผิดที่จนเกิดการ
กระจายตัวที่ผิดจุด ซึ่งจะแสดงผลออกมาในรูปแบบของการยิ้มไม่สุด แสดงสีหน้าตามปกติไม่ได้ รวมถึงมีมุมปากเบี้ยว
โดยสาเหตุที่ทำให้การฉีดโบท็อกซ์มีความอันตรายและก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ตามมา ล้วนมาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้
- แพทย์ไม่ได้ชำนาญเรื่องการฉีดโบท็อกซ์
ส่วนใหญ่แล้วผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังการฉีดโบท็อกซ์จะมาจากการที่ผู้ฉีดไม่ใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจริงๆ หรือที่เรียกว่าหมอกระเป๋า จึงทำให้การฉีดโบท็อกซ์ผิดตำแหน่งหรือคลาดเคลื่อนจากจุดที่สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างถูกต้องนั่นเอง
- โบท็อกซ์ที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน
จริงอยู่ที่โบท็อกซ์ที่ใช้ในประเทศไทยจะได้รับการรับรองจากอย. ว่ามีความปลอดภัยใช้กับร่างกายมนุษย์ได้ แต่ก็ยังมีเคสที่มีการแอบนำเข้าโบท็อกซ์ปลอมที่ไม่ผ่านการรับรองมาแอบอ้างเป็นของแท้ และทำการฉีดโบท็อกซ์ให้กับลูกค้า
- ปริมาณการฉีดโบท็อกซ์ไม่ถูกต้อง
คำว่ายูนิตในที่นี้หมายถึงปริมาณของโบท็อกซ์ที่ใช้ฉีด เช่น 60 ยูนิต ที่หากคำนวณไม่ถูกต้องมีการใช้มากเกินไป ก็อาจทำให้กล้ามเนื้อในจุดที่ฉีดเกิดความแข็งตึง ไม่สามารถยิ้มได้สุดหรือยกปากบนขึ้นได้ และยังรวมถึงไม่สามารถยกคิ้วได้ตามปกติ
- การไหลของโบท็อกซ์
นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่มาจากตัวผู้รับการฉีดโบท็อกซ์บวกกับการไม่ใส่ใจของคลินิกที่ไม่ได้ให้คำแนะนำหลังการฉีดที่ถูกต้อง เช่น มีการนอนราบหลังฉีดโบท็อกซ์ทันทีจนตัวสารที่ฉีดไหลไปอยู่ในกล้ามเนื้อที่ไม่ต้องการให้สารออกฤทธิ์ นอกจากนี้ความบริสุทธิ์ของโบท็อกซ์ก็ยังมีผลให้เกิดการไหลของตัวสารได้เหมือนกัน หากสารที่ฉีดมีความบริสุทธิ์สูงก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการไหลลดลงด้วย
การเตรียมตัวก่อนและหลังการฉีดโบท็อกซ์ควรทำอย่างไร?
อ่านมาถึงตรงนี้คุณคงเริ่มมั่นใจว่าการฉีดโบท็อกซ์ไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด เพื่อเป็นการทำให้ตัวคุณเองปลอดภัยและมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด เราแนะนำให้คุณเตรียมตัวก่อนและปฏิบัติตัวหลังฉีดโบท็อกซ์แล้วดังนี้
4 สิ่งที่คุณควรเตรียมพร้อมก่อนฉีดโบท็อกซ์
- งดการใช้ยากรดวิตามิน A และ AHA รวมถึงไม่สครับหน้าหรือขัดหน้าในช่วง 1-2 วันก่อนการฉีดโบท็อกซ์
- งดการใช้ยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDS ที่ได้แก่ Brufen, Naproxen, Motrin วิตามินอี น้ำมันปลา เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อลดการเกิดรอยฟกช้ำหลังจากการฉีดโบท็อกซ์
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชม. ก่อนเข้ารับการฉีดโบท็อกซ์
- กรณีที่มีประวัติเคยเป็นโรคเริมบริเวณริมฝีปาก คุณควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำการฉีดโบท็อกซ์
11 สิ่งที่คุณควรทำหลังฉีดโบท็อกซ์แล้ว
- ห้ามนอนราบหรือก้มหน้าหลังจากที่ฉีดโบท็อกซ์แล้ว 4 ชม.
- ห้ามกด นวด หรือทำอะไรก็ตามที่กระทบกับบริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์ ไม่ว่าจะเป็นการนวดหน้า สวมหมวก และสวมหมวกกันน็อก
- ห้ามอยู่ในสถานที่ที่มีอุณหภูมิสูง เช่น การยืนปรุงอาหารหน้าเตาแก๊ส หรือการเข้าไปอบซาวน่า เป็นเวลา 4 ชม. หลังจากฉีดโบท็อกซ์
- ห้ามออกกำลังกายหนักหรือแม้แต่การเล่นโยคะเป็นเวลา 4 ชม. หลังจากที่ฉีดโบท็อกซ์
- ห้ามทายาหรือใช้เครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น กรดวิตามินเอ AHA วิตามินซี เป็นเวลา 24 ชม. หลังจากฉีดโบท็อกซ์
- หลังจากที่ฉีดโบท็อกซ์แล้ว 1-2 ชม. ให้พยายามขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเพื่อเป็นการกระจายสารเข้าสู่กล้ามเนื้อได้รวดเร็วขึ้น
- รอยนูนที่เกิดขึ้นจากการฉีดโบท็อกซ์จะหายไปได้เองภายในเวลา 2-3 ชม. หลังจากการฉีด
- หลังจากฉีดโบท็อกซ์สามารถใช้น้ำแข็งเพื่อประคบในกรณีที่คุณมีอาการปวดบวมแดงหรือช้ำได้
- หลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้วสามารถใช้เครื่องสำอางได้ แต่ควรทำด้วยความนุ่มนวลและหลีกเลี่ยงการกดบริเวณที่ฉีด
- การฉีดโบท็อกซ์จะแสดงผลภายใน 2-7 วัน และจะเห็นผลเต็มที่ได้ภายใน 2 สัปดาห์
- หากมีอาการผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นให้รีบกลับมาหาคุณหมอเพื่อวินิจฉัยและทำการแก้ไขทันที
ฉีดโบท็อกซ์ที่ EY Clinic มั่นใจและปลอดภัยสำหรับคุณ
เราเชื่อว่าคำถามของคุณที่สงสัยว่า “ฉีดโบท็อกอันตรายไหม” คงถูกไขข้อข้องใจไปจนหมดแล้ว ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดควบคู่ไปกับความปลอดภัยไร้ผลข้างเคียงนั้น จะต้องทำโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวลล์เนสที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปีจากสถาบันชั้นนำของประเทศ ที่เข้าใจถึงเทคนิคการฉีดโบท็อกซ์ที่ถูกต้อง พร้อมกับการเลือกใช้โบท็อกซ์ที่มีคุณภาพและผ่านการรับรองจากอย.
โดยที่ EY Clinic นั้นเรามีโบท็อกซ์ทั้ง 3 ยี่ห้อที่มีข้อดีและราคาแตกต่างกัน ดังนี้
โบท็อกซ์ Nabota: มีราคาที่สบายกระเป๋ากว่าแบรนด์ที่ผลิตในยุโรปและอเมริกา
แต่ยังผ่านการรับรองจาก อย. ประเทศสหรัฐอเมริกา U.S.FDA 2018 สามารถฉีดแล้วเห็นผลได้เร็วและเข้าที่ไวกว่าโบเกาหลียี่ห้ออื่น ๆ
ราคา: 50 ยูนิต 4,999 บาท และ 100 ยูนิต 8,499 บาท
โบท็อกซ์ Allergan: ผลิตจากโปรตีนเชิงซ้อนส่วนที่ 1 และ 2 ทำให้มีโอกาสดื้อโบน้อยมาก
สามารถฉีดเข้ากล้ามเนื้อได้แม่นยำ มีความบริสุทธิ์สูง แถมยังไม่มีส่วนผสมของไขมันสัตว์ จึงทำให้เหมาะกับการฉีดเฉพาะจุดบริเวณเล็ก ๆ
ราคา: 50 ยูนิต 11,999 บาท และ 100 ยูนิต 17,999 บาท
โบท็อกซ์ Xeomin: มีความบริสุทธิ์สูง เนื้อ Botox กระจายง่าย มีความยืดหยุ่นสูง
ฉีดแล้วสามารถขยับใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ สบายผิว ไม่หนักหน้า และทำให้โบเข้าที่เร็วกว่า
ราคา: 100 ยูนิต 15,999 บาท
ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องฉีดโบท็อกซ์กับคลินิกที่ได้มาตรฐานและมีการดูแลรักษาความสะอาดสถานที่รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้เป็นอย่างดี หากคุณสนใจอยากฉีดโบท็อกซ์ก็สามารถปรึกษา EY Clinic ด้วยการติดต่อเราได้ที่ไลน์ @EYClinicTH
ฉีดโบลดริ้วรอยที่จุดไหนได้บ้าง เห็นผลในกี่วัน และมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง?
ปัจจุบันการฉีดโบลดริ้วรอยถือเป็นหนึ่งในวิธีคืนความอ่อนเยาว์ให้กับทั้งคุณผู้หญิงและผู้ชายที่ได้รับความนิยมเอามาก ๆ เพราะหลังฉีดโบท็อกซ์แล้วเห็นผลได้เร็วมากแถมยังไม่ต้องพักฟื้นอีกต่างหาก และที่สำคัญก็คือการฉีดโบลดริ้วรอยนั้นไม่ได้ราคาแพงอย่างที่หลายคนเข้าใจเลย
เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจฉีดโบลดริ้วรอยได้อย่างมั่นใจ ก่อนอื่นต้องทำการศึกษาก่อนว่าการฉีดโบท็อกซ์สามารถฉีดที่จุดไหนได้บ้าง เมื่อฉีดแล้วกี่วันถึงจะเห็นผล รวมทั้งมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง และต่อจากนี้เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดที่เกริ่นมาเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอยให้คุณเอง
โบท็อกซ์ลดริ้วรอย ได้อย่างไร?
โบท็อกซ์หรือชื่อเต็มว่า โบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) ที่ฉีดไปยังบริเวณที่ต้องการลดริ้วรอย โดยมีกลไกการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ซึ่งผลที่ได้ก็คือริ้วรอยที่เหี่ยวย่นจะถูกคลี่ออก จากเดิมที่คุณเคยยิ้มหรือขยับสีหน้าตามปกติแล้วจะมีการพับของผิว แต่หลังจากฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยแล้วรอยยับที่เคยมีอยู่จะค่อย ๆ จางและเลือนหายไปอย่างได้ผล
แต่สิ่งที่คุณควรรู้ไว้ก็คือการฉีดโบลดริ้วรอยนั้นสามารถช่วยแก้ไขริ้วรอยที่อยู่ตื้น ๆ ได้เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยที่เกิดขึ้นจากการแสดงอารมณ์หรือสีหน้า เช่น การยิ้ม การขมวดคิ้ว ริ้วรอยบริเวณรอยย่นจมูกหรือแม้แต่รอยตีนกา แต่ถ้าเป็นกรณีของริ้วรอยลึก ๆ ที่มาจากสาเหตุกระดูกเกิดการทรุดตัว แบบนี้จะไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดโบลดริ้วรอย แต่คุณควรเปลี่ยนไปใช้วิธีฉีดฟิลเลอร์เพื่อหนุนในชั้นผิวจะเห็นผลได้ดีกว่า
EY Clinic คัดสรรโบท็อกซ์แบรนด์ชั้นนำระดับโลก
ฉีดแล้วลดริ้วรอยได้อย่างเห็นผล ไม่ต้องพักฟื้นนาน
โบท็อกซ์ลดริ้วรอย สามารถฉีดที่จุดไหนได้บ้าง ?
- ฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยรอบดวงตาและใต้ตา
เริ่มต้นด้วยการฉีดโบลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาและใต้ตา ที่ได้ชื่อว่าเป็นส่วนที่เกิดริ้วรอยได้ง่ายที่สุด แซงหน้าริ้วรอยส่วนอื่นบนใบหน้าเข้าวินเป็นที่ 1 เรียกว่าถ้ามีริ้วรอยบริเวณนี้ก็จะทำให้คุณดูอ่อนล้าและไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่นัก
แน่นอนว่าการฉีดโบท็อกซ์สามารถลดริ้วรอยรอบดวงตา ริ้วรอยหางตา รอยตีนกา ได้อย่างเห็นผล เพราะโบท็อกซ์จะเข้าไปคลายกล้ามเนื้อในบริเวณดังกล่าวชั่วคราวและส่งผลให้ริ้วรอยดูจางลงนั่นเอง แต่ก็ต้องระวังไว้ว่าถ้าฉีดโบลดริ้วรอยที่รอบดวงตามากเกินไป อาจทำให้ตาดูแข็งและไม่เป็นธรรมชาติ
- ฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยหน้าผาก
หากคุณกำลังเจอปัญหายิ้มแล้วมีริ้วรอยเหี่ยวย่นขึ้นที่บนหน้าผากเวลายิ้มหรือแสดงสีหน้าและอารมณ์ การฉีดโบลดริ้วรอยก็สามารถที่จะช่วยคุณได้ในเรื่องนี้ เนื่องจากโบท็อกซ์ที่ฉีดเข้าไปในบริเวณหน้าผากจะช่วยคลายกล้ามเนื้อและลดริ้วรอยให้ดูจางลงอย่างเห็นได้ชัดนั่นเอง และทางที่ดีก็ควรฉีดให้ไวเพราะถ้าทิ้งไว้นานร่องริ้วรอยอาจลึกขึ้นเรื่อย ๆ กว่าตอนนี้ก็ได้
- ฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยระหว่างคิ้ว
ริ้วรอยระหว่างคิ้วนั้นเป็นอะไรที่เกิดขึ้นได้ง่ายมาก ๆ ไม่แพ้ริ้วรอยบริเวณอื่น เพียงแค่คุณขมวดคิ้วอยู่บ่อย ๆ ก็จะทำให้เกิดรอยย่นระหว่างคิ้วที่ใครก็เห็นได้ชัดเจนเพราะเป็นจุดที่ดึงดูดสายตาคน ซึ่งทำให้ใบหน้าของคุณดูแก่กว่าวัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ว่าคุณก็สามารถฉีดโบลดริ้วรอยระหว่างคิ้วได้ เพื่อช่วยยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อและทำให้ผิวหนังมีความเรียบเนียนมากขึ้น ทั้งนี้ การฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอยระหว่างคิ้วจะต้องทำโดยคุณหมอผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากบริเวณนี้มีกล้ามเนื้อท่ีซับซ้อนจนทำให้การฉีดโบท็อกซ์มีความยากและต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
แก้ปัญหาอย่างตรงจุด วิเคราะห์ปัญหา พร้อมวางแผนการรักษาอย่างถูกต้อง
และปลอดภัย โดยแพทย์จาก EY Clinic
ฉีดโบลดริ้วรอยไปแล้วกี่วันถึงจะเห็นผล ?
จริงๆ แล้วการฉีดโบลดริ้วรอยจะเห็นผลเร็วหรือช้าล้วนขึ้นอยู่กับริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์ เนื่องจากแต่ละจุดจะมีการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกันอยู่เล็กน้อย ซึ่งจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อของโบท็อกซ์ที่เลือกใช้ร่วมด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การเตรียมตัวก่อนฉีดและการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์ก็จัดว่าเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของโบลดริ้วรอยอีกด้วย และต่อจากนี้คือระยะเวลาหลังฉีดโบท็อกซ์ในบริเวณต่างๆ แล้วจะเห็นผล
- บริเวณกล้ามเนื้อที่มีการขยับ
หลังจากที่คุณรับการฉีดโบลดริ้วรอยที่บริเวณกล้ามเนื้อมัดที่มีการขยับแล้ว จะเริ่มเห็นผลในช่วง 3-7 วัน และออกฤทธิ์ลดริ้วรอยได้เต็มประสิทธิภาพภายใน 14 วัน ซึ่งจะมีข้างเคียงทำให้กล้ามเนื้อในจุดที่ฉีดขยับน้อยลงหรือขยับไม่ได้เลย แน่นอนว่าคุณสามารถแจ้งคุณหมอก่อนได้ว่าต้องการความตึงระดับไหน
- บริเวณริ้วรอยเล็ก ๆ บนผิวหน้า
หากคุณฉีดโบท็อกซ์ในบริเวณที่มีริ้วรอยเล็กๆ ก็จะใช้เวลานานกว่าบริเวณกล้ามเนื้อที่มีการขยับ โดยอยู่ราว 4-6 สัปดาห์ ก็จะเห็นผลช่วยลดริ้วรอยได้แบบเต็มที่ เนื่องจากต้องรอให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเพื่อเติมเต็มในร่องริ้วรอยที่เคยโดนพับตอนที่กล้ามเนื้อทำงานเยอะ ๆ และถ้าผู้ที่ฉีดโบลดริ้วรอยมีอายุมากก็จะเห็นผลได้ช้ากว่าคนที่มีอายุน้อย
ข้อห้ามหลังฉีดโบลดริ้วรอยที่คุณไม่ควรทำเด็ดขาด
1. ห้ามนอนราบเป็นเวลา 3 ชั่วโมงหลังจากฉีดโบท็อกซ์
สิ่งแรกที่คุณควรทำตามอย่างเคร่งครัดก็คือ 3 ชั่วโมงหลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้วห้ามนอนราบเด็ดขาด เพราะส่งผลให้โบท็อกซ์ที่ทำการฉีดไปแล้วมีโอกาสไหลไปยังบริเวณอื่นๆ ที่ไม่ต้องการให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้
2. ห้ามอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนหรือทำกิจกรรมใด ๆ ที่ทำให้มีความร้อนบริเวณใบหน้า
อย่างต่อมาก็คือคุณห้ามไปอยู่ในที่ที่มีความร้อนสูง เช่น เล่นโยคะร้อน ไปเข้าซาวน่า ยืนทำอาหารหน้าตาที่มีไฟแรง รวมถึงการทำเลเซอร์ต่าง ๆ เหล่านี้ทั้งหมดงดไปเลยเป็นเวลา 2 สัปดาห์หลังฉีด
3. รายชื่ออาหารที่คุณห้ามกินหลังฉีดโบลดริ้วรอย
- ห้ามกินแอลกอฮอล์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ ไวน์ โซจู หรือเหล้าหมักต่าง ๆ และงดสูบบุหรี่ด้วย
- ห้ามกินปิ้งย่าง ชาบู หมูกระทะ ที่ต้องไปนั่งหน้าเตาร้อน ๆ
ข้อดี-ข้อเสีย ของการฉีดโบลดริ้วรอยมีอะไรบ้าง ?
ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอย
- เห็นผลการช่วยลดริ้วรอยที่ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ได้รวดเร็วภายใน 7-14 วันเท่านั้น
- ช่วยให้ผู้ที่ฉีดเกิดความมั่นใจและมีใบหน้าที่ดูดีมากยิ่งขึ้น
- เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยใหม่ที่อาจมีขึ้นมาอีกในอนาคตได้
- ฉีดโบลดริ้วรอยแล้วสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่เจ็บ ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น
- การฉีดโบท็อกซ์ของแท้ที่ผ่านการรับรองจากอย. จะไม่ทิ้งสารตกค้างใด ๆ ในร่างกาย
ข้อเสียของการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอย
- หากอยากให้การลดริ้วรอยคงประสิทธิภาพเดิมเอาไว้ได้นาน ๆ จะต้องฉีดโบท็อกซ์เป็นประจำ เพราะผลลัพธ์อยู่ชั่วคราวตั้งแต่ 4 เดือนจนถึง 8เดือน ขึ้นอยู่กับความลึกของริ้วรอยและโบท็อกซ์ที่ใช้
- มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงลามไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการ หากคนที่ฉีดไม่ใช่คุณหมอที่มีประสบการณ์ อาจเกิดการฉีดผิดจุด จนทำให้หน้าแข็งยิ้มได้ยาก รวมถึงมีคิ้วตก คิ้วกระดก หรือหนังตาตกได้
- อาจเจอโบท็อกซ์ปลอมที่ตัวสารไม่ได้บริสุทธิ์จนก่อให้เกิดอาการแพ้ตามมา รวมถึงผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ช่วยให้ริ้วรอยหายไป แถมยังเสี่ยงต่อการดื้อยา ที่หากฉีดโบท็อกซ์เพื่อแก้ไขด้วยโบท็อกซ์ของแท้ก็จะไม่ได้ผลในเรื่องการลดริ้วรอยอย่างน่าเสียดาย
อาการดื้อโบท็อกซ์คืออะไร และป้องกันอย่างไรไม่ให้ดื้อยา ?
อาการดื้อโบท็อกซ์เป็นอะไรที่ใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะนี่คืออาการที่ร่างกายได้สร้างภูมิต้านทานโบท็อกซ์ขึ้นมา ด้วยการส่งเม็ดเลือดขาวมาทำลาย ส่งผลให้ร่างกายไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยโบท็อกซ์เหมือนเดิม เนื่องจากโบท็อกซ์จะไม่สามารถออกฤทธิ์ลดการทำงานของกล้ามเนื้อได้ ส่งผลให้ผู้ที่รักษาริ้วรอยด้วยโบท็อกซ์จะไม่สามารถฉีดโบเพื่อลดริ้วรอยได้อีก
อาการดื้อโบท็อกซ์สามารถแก้ไขได้หรือไม่ ?
ขอบอกตามตรงว่าหากใครที่มีอาการดื้อโบท็อกซ์แล้วจะสามารถแก้หรือจัดการกับภูมิต้านทานที่ถูกสร้างขึ้นมาได้ยากหรือแม้แต่การเปลี่ยนไปใช้ยี่ห้อโบท็อกซ์ที่ไม่เคยฉีดมาก่อนก็ไม่สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้เช่นกัน และวิธีที่ดีที่สุดก็คือคุณควรหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดอาการดื้อโบท็อกซ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ นั่นเอง
3 วิธีป้องกันไม่ให้เกิดอาการดื้อโบท็อกซ์
- ปรึกษาคุณหมอที่เข้าใจเรื่องการฉีดโบท็อกซ์ เพื่อเลี่ยงปัญหาฉีดโบลดริ้วรอยในปริมาณมากเกินไป เนื่องจากโบท็อกซ์แต่ละยี่ห้อมีประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยที่แตกต่างกัน ซึ่งต้องใช้ปริมาณให้เหมาะสมกับจุดที่ฉีดในทุกครั้ง
- หลีกเลี่ยงการฉีดโบท็อกซ์บ่อยเกินไป แนะนำให้เว้นระยะห่างสัก 3 เดือน พร้อมกับเลือกยี่ห้อโบท็อกซ์ที่สามารถออกฤทธิ์ได้ยาวนานกว่า
- ไม่แนะนำให้เปลี่ยนยี่ห้อโบท็อกซ์ที่ใช้ฉีดบ่อย รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้โบท็อกซ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานจนเกิดอาการดื้อโบท็อกซ์
เราใส่ใจทุกรายละเอียด พร้อมมอบคำแนะนำก่อนและหลังฉีดโบ
ที่จะทำให้ Botox อยู่กับคุณได้นานที่สุด
ฉีดโบลดริ้วรอยที่ EY Clinic กระชับผิวได้รวดเร็วและปราศจากผลข้างเคียง โดยแพทย์ที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปี
มาถึงตรงนี้คุณคงเข้าใจแล้วว่าฉีดโบลดริ้วรอยนั้นช่วยให้คุณมีใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์แลดูกระชับขึ้นได้อย่างไร รวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ ที่ทำให้คุณสามารถตัดสินใจฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยได้อย่างมั่น ยิ่งหากคุณได้ฉีดโบลดริ้วรอยกับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวลล์เนสที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปีจากสถาบันชั้นนำของประเทศของ EY Clinic ที่ใช้โบท็อกซ์แท้คุณภาพสูงที่ผ่านการรับรองจาก อย. ก็ยิ่งทำให้คุณมั่นใจในผลลัพธ์และได้รับความคุ้มค่าอย่างแน่นอน นัดหมายฉีดโบท็อกซ์กับเราได้ที่ LINE Official: @EyclinicTH
7 ข้อปฏิบัติควรรู้ หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก และสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายหลังฉีด
ใครที่เพิ่งฉีดฟิลเลอร์ปากเพื่อเพิ่มความมั่นใจจากการที่มีริมฝีปากบาง ปากเริ่มมีริ้วรอย หรือยกปากปรับรูปหน้าใหม่ มาถึงตอนนี้คุณอยากรู้แล้วว่าหลังฉีดฟิลเลอร์มาแล้วต้องปฏิบัติตัวอย่างไร รวมถึงมีอะไรบ้างที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อช่วยให้ผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์ปากออกมาดีและเห็นผลไวมากที่สุด ในบทความนี้จะมีทุกสิ่งที่คุณควรรู้หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก หากทำตามที่เราแนะนำ มั่นใจได้เลยว่าปากของคุณจะกลับมาสวยได้รูป มีความชุ่มชื้น และเรียบเนียนแบบเป็นธรรมชาติได้แน่ ๆ
หลังฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วควรดูแลตัวเองอย่างไร?
เพื่อให้ผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์ปากออกมาดีที่สุด รวมถึงป้องกันไม่ให้คุณได้รับผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ต่อจากนี้ไปเราจะมาแนะนำวิธีดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปากเพื่อให้คุณได้ปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง
1. ห้ามดื่มน้ำด้วยการใช้หลอดดูดหรือสูบบุหรี่
เพื่อให้ริมฝีปากที่เพิ่งฉีดฟิลเลอร์ออกมาได้รูปทรงที่สวยงามและเข้าที่ตามที่คุณหมอได้วางแผนไว้ ให้คุณงดการดื่มน้ำโดยการใช้หลอดดูด หรือสูบบุหรี่ ไปจนถึงการแสดงความรักกับคู่ของคุณด้วยการจูบอย่างเด็ดขาด แนะนำว่าให้งดพฤติกรรมเหล่านี้ประมาณ 12 ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นปากที่ทำมาอาจเสียรูปทรงได้
2. ห้ามสัมผัสบริเวณริมฝีปาก รวมถึงการนวดหรือคลึงก็ไม่ได้
เก็บมือแสนซนของคุณไว้ให้ดี ๆ แล้วท่องไว้ว่าอย่าไปจับโดนริมฝีปากที่คุณหมอเพิ่งฉีดฟิลเลอร์ปั้นรูปปากมาให้ เพราะหลังจากฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วจะยังมีรอยเข็ม รอยช้ำ รวมถึงฟิลเลอร์ที่เข้าฉีดเข้าสู่ปากอาจยังไม่เข้าที่ดี เกิดไปสัมผัสโดนก็มีสิทธิ์ทำให้ริมฝีปากผิดรูปเสียทรงได้
ใครที่ใจร้อนก็ขอให้อดทนรอประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาการบวมที่บริเวณปากจะค่อย ๆ ยุบและเห็นทรงริมฝีปากที่สวยขึ้นเรื่อย ๆ แต่หากคุณเริ่มรู้สึกระคายเคือง บวม ปวด ไม่หายเป็นปกติภายใน 3 วัน ควรรีบไปหาแพทย์เพื่อดูอาการและให้ยามาเพิ่ม
3. ห้ามลอกหรือดึงหนังที่ริมฝีปาก
สาว ๆ คนไหนเห็นสะเก็ดแผลหรืออะไรหลุดลอกไม่ดี ขอให้ห้ามใจตัวเองไว้ดี ๆ เพราะหลังจากฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วให้งดการแกะ ลอก หรือดึงหนังริมฝีปากให้หลุดออกมาเด็ดขาด เนื่องจากเป็นการทำให้ริมฝีปากมีแผลและทำให้ไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ได้ และส่งผลให้ปากแตก แห้ง และเสียรูปทรงนั่นเอง
4. ห้ามดื่มอะไรร้อน ๆ และหลีกเลี่ยงการโดนแดด
48 ชั่วโมงหลังจากฉีดฟิลเลอร์ปาก จำไว้ให้ขึ้นใจว่าคุณควรงดการดื่มเครื่องดื่มร้อน ๆ ไม่ว่าจะเป็น ชา กาแฟ หรืออาหารต้มผัดแกงทอดที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ เนื่องจากริมฝีปากของคุณมีความไวต่อความร้อนมากเป็นพิเศษ ซึ่งความร้อนนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองบริเวณริมฝีปาก ทั้งบวม แดง และเป็นผื่น รวมถึงทำให้ปากสูญเสียความชุ่มชื้นจนเกิดอาการเจ็บและอักเสบตามมาได้
นอกจากนี้ยังต้องหลีกเลี่ยงการโดนแดดกลางแจ้งที่ส่งผ่านความร้อนมาสู่ริมฝีปากของคุณโดยตรง รวมถึงการอบซาวน่า การทำกับข้าว และกิจกรรมใด ๆ ก็ตามที่อยู่ในพื้นที่ร้อน ๆ เพราะทั้งหมดที่กล่าวมาจะทำให้ผิวหนังที่ริมฝีปากเกิดการยืดหรือหดตัว และส่งผลต่อการเซตตัวของฟิลเลอร์ที่เพิ่งฉีดเข้าไปนั่นเอง
5. ห้ามดื่มแอลกอฮอล์
14 วันหลังจากฉีดฟิลเลอร์ปาก ให้คุณเตือนสติตัวเองเสมอว่า ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นสุรา เบียร์ ไวน์ วอดก้า วิสกี้ โซจู หรือแม้แต่สาเกโดยเด็ดขาด เพราะแอลกอฮอล์ที่คุณดื่มเข้าไปจะขยายหลอดเลือดให้มีการสูบฉีดเลือดมากขึ้น นั่นหมายความว่าอาการบวมที่ริมฝีปากก็จะหายช้าลงกว่าปกติ นี่ยังไม่นับโอกาสที่คุณอาจเมาจนเผลอไปทำอะไรที่เสี่ยงต่อการที่ริมฝีปากจะผิดรูปเสียทรงอีกต่างหาก
6. ห้ามกินอาหารหรืออาหารเสริมบางชนิด
สำหรับคนที่กินอาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของ วิตามินอี, ขิง, กระเทียม, น้ำมันอีฟนิงพริมโรส หรือแปะก๊วย รวมถึงยาแอสไพริน ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID เหล่านี้ทั้งหมดขอให้คุณงดโดยเด็ดขาดทั้งก่อนและหลังจากที่เพิ่งฉีดฟิลเลอร์มา เพราะอาหารและยาเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด และส่งผลให้ริมฝีปากที่ฉีดฟิลเลอร์มามีโอกาสช้ำได้ง่ายกว่าปกติ
7. ห้ามกำจัดขนหรือแว็กซ์บริเวณรอบริมฝีปาก
ข้อนี้เป็นอะไรที่ใกล้เคียงกับการงดสัมผัสฝีปากมาก ๆ เพราะหากคุณแว็กซ์หรือถอนขนที่ใกล้ ๆ กับริมฝีปากที่ฉีดฟิลเลอร์มาก ก็มีสิทธิ์ไปโดนจนทำให้ปากมีการบาดเจ็บหรืออักเสบขึ้นมาได้ง่าย ๆ ดังนั้นให้งดกำจัดขนด้วยวิธีต่าง ๆ ในบริเวณรอบริมฝีปากไม่ก่อนสักระยะจะดีที่สุด
ข้อควรระวังหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารหมักดองหรืออาหารดิบ
ด้วยความที่อาหารดิบไม่ได้ผ่านการปรุงให้สุก นั่นจึงทำให้มีความเสี่ยงที่จะมีพยาธิเจือปนอยู่ในอาหารดังกล่าว และพยาธิบางตัวก็อาจเข้าไปทำให้เกิดอาการอักเสบหลังฉีดฟิลเลอร์ปากได้ ส่วนอาหารที่ผ่านการหมักดองมานั้นมีแนวโน้มสูงที่จะไม่ได้ผลิตขึ้นด้วยกรรมวิธีที่มีความสะอาด ซึ่งอาจนำพาเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายของคุณจนไปกระตุ้นให้จุดที่ฉีดฟิลเลอร์เกิดการอักเสบได้เช่นกัน
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีรสจัด
สาว ๆ คนไหนชื่นชอบการกินส้มตำ ยำ หรืออะไรก็ตามที่มีรสเค็มจัดและเผ็ดจัด หลังจากฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วประมาณ 3-7 วัน ขอให้หลีกเลี่ยงไปก่อน เพราะอาหารเหล่านี้มีโซเดียมสูงจนทำให้ร่างกายรู้สึกกระหายน้ำและมีการเก็บสะสมน้ำเพิ่มขึ้น จนทำให้ใบหน้ารวมถึงลำตัวดูบวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งบริเวณที่เพิ่งฉีดฟิลเลอร์ปากมาก็จะบวมหนักไม่แพ้กัน
ยิ่งไปกว่านั้น อาหารที่มีรสหวานจัดก็ยังเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คุณไม่ควรกินหลังฉีดฟิลเลอร์ปากอีกด้วย เพราะน้ำตาลจะเข้าไปกระตุ้นให้ผิวเกิดอาการอักเสบจนแผลหายได้ช้าลง
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
48 ชั่วโมงหลังฉีดฟิลเลอร์ปากมาแล้วห้ามคุณดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นสุรา เบียร์ ไวน์ วิสกี้ โซจู วอดก้า หรือแม้แต่สาเก รวมถึงควรงดการดื่มให้ได้ 2 สัปดาห์จะดีที่สุด เพราะแอลกอฮอล์จะเข้าไปขยายหลอดเลือดและกระตุ้นให้มีการสูบฉีดเลือดเพิ่มขึ้น จนบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ปากมีอาการเจ็บปวดหรือรู้สึกว่าบวมแดงขึ้น
นอกจากนี้ การดื่มของมึนเมามาก ๆ ก็อาจทำให้เกิดการขาดสติจนเผลอเอามือไปจับหรือมีอะไรมากระแทกบริเวณปากที่เพิ่งฉีดฟิลเลอร์ได้โดยไม่รู้ตัว จนทำให้ฟิลเลอร์ปากเกิดการผิดรูปและประสิทธิภาพลดลงจนอาจถึงขั้นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อแก้ไข
- หลีกเลี่ยงการทาลิปสติก
ใครที่อยากเติมปากให้ดูสวยฉ่ำฟังนี้ทางนี้ก่อน เพราะหลังฉีดฟิลเลอร์ปากมาแล้วคุณควรงดทาลิปสติกไปเลย 12 ชั่วโมง เพราะอาจส่งผลให้เกิดอาการอักเสบของบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ได้ และหลังจากที่ผ่านชั่วเวลาดังกล่าวมาแล้วก็เริ่มทาลิปสติกได้ เพียงแต่ต้องค่อย ๆ ทาอย่ากดแรงเกินไป
รีวิวปากทรงสวยหลังฉีดฟิลเลอร์ปากกับ EY Clinic
สำหรับใครที่อยากได้ทรงปากสวย มีวอลลุ่ม ดูธรรมชาติและทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้น แลดูสุขภาพดีหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก EY Clinic ขอนำเสนอฟิลเลอร์ปาก 𝐤𝐲𝐬𝐬𝐞 𝐛𝐲 𝐫𝐞𝐬𝐭𝐲𝐥𝐚𝐧𝐞 ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด แต่มีความคงตัว สร้างขอบริมฝีปากที่ชัดเจนให้ความชุ่มชื้น อวบอิ่ม ปรับสีปากให้ดูสุขภาพดี ออกแบบมาสำหรับใช้เติมเต็มริมฝีปากโดยเฉพาะ ซึ่งอยู่ได้นานถึง 8-12 เดือน และมีราคารวมถึงรีวิวดังนี้
- Restylane Kysse 1cc ราคา 13,999 บาท
- Restylane Kysse cc ที่ 2 ราคา 12,600 บาท
- Restylane Kysse cc ที่ 3 ราคา 11,900 บาท
- Restylane Kysse cc ที่ 4 ราคาเพียง 10,500 บาท
EY Clinic ฉีดฟิลเลอร์ปากให้สวยได้ทรงและอวบอิ่มเป็นธรรมชาติ
เพราะการฉีดฟิลเลอร์เป็นหนึ่งในหัตถการที่ต้องมีความละเอียดในการทำเป็นอย่างมาก เพื่อที่หลังฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วจะได้ผลลัพธ์ที่ปากออกมามีทรงสวย แลดูนุ่มชุ่มชื้น และเป็นธรรมชาติเหมือนไม่ได้เติมแต่ง ยิ่งหากคุณได้ฉีดฟิลเลอร์ปากกับทีมแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวลล์เนสที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปีจากสถาบันชั้นนำของประเทศที่ EY Clinic ริมฝีปากของคุณก็จะออกมาสวยเหมือนกับสิ่งที่คาดหวังไว้ ปรึกษาเราได้ที่ไลน์ @EYClinicTH
13 วิธีลดแก้ม ลดเหนียง แบบธรรมชาติ และแบบเร่งด่วน วิธีไหนได้ผล
ยุคนี้บิวตี้สแตนดาร์ดของสาว ๆ คือต้องมีหน้าเรียวรูปไข่ หรือทรงวีที่ดูจากมุมไหนก็สวยเด่น แต่ก็มีหลายคนที่เนื้อแก้มเยอะจนรู้สึกอยากจะลดในจุดนี้ หรือบางคนถึงขั้นมีเหนียงที่ทำให้เมื่อมองตัวเองจากหน้ากระจกก็รู้สึกไม่มั่นใจ โดยปัจจุบันมีวิธีลดแก้มลดเหนียงมากมาย ทั้งแบบธรรมชาติหรือใช้วิธีทางการแพทย์ที่เห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็ว
ในบทความนี้ EY Clinic จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจว่าสาเหตุของการที่แก้มหรือเหนียงมีขนาดใหญ่คืออะไร มีวิธีการลดแบบไหนบ้าง รวมถึงขั้นตอนการลดแก้มและเหนียงด้วยวิธีทางการแพทย์
สาเหตุของไขมันที่แก้มหรือเหนียง
อยากให้ทุกคนได้เข้าใจกันก่อนว่าสาเหตุที่คุณมีไขมันสะสมที่แก้มหรือเหนียงนั้นมาจากอะไร โดยปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้ใบหน้าดูกลมจากการที่มีไขมันสะสมนั้น มาจากได้หลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกรรมพันธุ์ หรือพฤติกรรมส่วนตัวเช่น ชอบกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ของหวาน ของมัน ของทอด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และการที่มีอายุมากขึ้นก็ยังทำให้แก้มดูหย่อนคล้อยลงด้วย
วิธีลดแก้มไม่ให้ดูป่องหรือบวมน้ำที่ทำได้ด้วยตัวเอง
เรามาเริ่มต้นกันด้วยวิธีลดแก้มที่ไม่ว่าใครก็สามารถลดเองได้แบบธรรมชาติ ซึ่งทำที่ไหนก็ได้และยังไม่ต้องเสียเงินเพื่อลดแก้มหรือเหนียงอีกต่างหาก จะมีอะไรบ้างนั้นเรามาดูและลองทำไปพร้อมกัน
- เลือกกินอาหารอย่างถูกต้อง
วิธีลดแก้มที่ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ในระยะยาวก็คือคุณต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร ลดอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลสูง หลีกเลี่ยงอาหารมันหรือทอด อาหารรสจัด รวมถึงของกินเค็มจัดที่มีโซเดียมสูง เพราะยิ่งกินอาหารประเภทเข้าไปมากเท่าไรก็ยิ่งเกิดอาการบวมน้ำตามมา จนหน้าและแก้มดูป่องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นั่นก็เพราะร่างกายจำเป็นต้องสะสมน้ำไว้ใต้ผิดเพื่อใช้ขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกายนั่นเอง
- ปรับเปลี่ยนวิธีการนอน
แค่ปรับวิธีการนอนให้ถูกต้องนั่นก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นวิธีลดแก้มขั้นพื้นฐานแล้ว แม้ว่าการนอนที่ถูกต้องจะไม่ได้ส่งผลต่อการลดแก้มโดยตรง แต่ก็สามารถช่วยให้คนที่มีแก้มเยอะเป็นทุนเดิมไม่มีใบหน้าที่บวมใหญ่ขึ้นได้ เพราะการนอนหมอนที่อยู่ต่ำจนเกินไปทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่สะดวกจนหน้าเกิดการบวมขึ้น แต่ถ้านอนหนุนหมอนที่มีความสูงพอดีพร้อม ๆ กับปรับท่านอนให้ถูกต้อง ไม่นอนคว่ำหน้า เนื่องจากเวลานอนหลับความชื้นที่อยู่ที่หมอนจะขึ้นมาอยู่บริเวณใบหน้าของคุณ และนั่นคืออีกหนึ่งสาเหตุที่หน้าบวมหลังตื่นนอน
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอในแต่ละวัน
แค่คุณได้ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในทุกวัน ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้ใบหน้าดูเล็กลงได้แล้ว เพราะหากคุณดื่มน้ำน้อยเกินไป ร่างกายก็จะปรับตัวด้วยการดึงเอาน้ำที่อยู่ในส่วนอื่น ๆ ของร่างกายมาสำรองไว้ที่บริเวณรอบดวงตาและแก้มจนทำให้ดูใหญ่ขึ้นนั่นเอง จึงแนะนำว่าคุณควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1.5-2 ลิตร หรือคิดเป็น 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยให้ร่างกายมีน้ำเพียงพอสำหรับไว้ใช้ อาการบวมน้ำก็จะลดลงและไม่ทำให้ใบหน้าหรือแก้มบวม
- งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
หนุ่มสาวสายปาร์ตี้เจอวิธีลดแก้มข้อนี้ไปอาจจะตกใจ เพราะว่าคุณต้องงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็น สุรา เบียร์ ไวน์ หรือแม้แต่โซจู เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้เลือดมีความเข้มข้นสูงขึ้น ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ร่างกายดึงน้ำจากส่วนต่าง ๆ ในร่างกายมาเจือจางแอลกอฮอล์ที่อยู่ในเลือดเพื่อปรับสมดุลและป้องกันไม่ให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำ โดยการเก็บสำรองน้ำไว้ที่บริเวณใบหน้ารวมถึงแก้ม ผลที่ตามมาก็คือหน้าจะบวมแถมแก้มดูป่องขึ้น
- เป่าลูกโป่ง
หลายคนอาจสงสัยว่าแค่การเป่าลูกโป่งง่าย ๆ คือวิธีลดแก้มได้จริงหรือ? คำตอบก็คือจริง เพราะเวลาที่คุณเป่าลูกโป่งจะเป็นการช่วยบริหารกล้ามเนื้อบริเวณแก้มให้มีความตึงและกระชับมากยิ่งขึ้น โดยคุณจะรู้สึกได้ว่าระหว่างที่กำลังเป่าลมเข้าไปในลูกโป่งจะสัมผัสได้ว่ากล้ามเนื้อบริเวณแก้มมีการยืดตัวออก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวิธีการออกกำลังกล้ามเนื้อใบหน้า หากทำเป็นประจำ 10 ครั้งต่อวัน ก็จะช่วยลดแก้มได้อย่างเห็นผล
8 วิธีลดแก้มด้วยวิธีทางการแพทย์
ใครที่ลองวิธีลดแก้มลดเหนียงแบบธรรมชาติไปแล้วแต่ยังรู้สึกว่าผลลัพธ์เร็วไม่ทันใจ ก็คงถึงเวลาที่ต้องมาลองใช้การลดแก้มและกำจัดเหนียงออกไปด้วยวิธีทางการแพทย์กันบ้างแล้ว โดยเราจะแนะนำ 8 วิธีให้คุณได้ศึกษาก่อนที่ตัดสินใจให้ไปหาคุณหมอจริง ๆ พร้อมแล้วเรามาดูด้วยกันเลย
1. ฉีดเมโสแฟตสลายไขมัน
เรามาเริ่มต้นกันด้วยวิธีที่ถือว่าได้รับความนิยมจากสาว ๆ ที่มีปัญหาแก้มเยอะจากไขมันสะสมบริเวณใบหน้า อย่างการฉีดเมโสแฟตที่ทำแล้วช่วยสลายไขมันทั้งบริเวณแก้มและเหนียงได้เห็นผลดีมาก ๆ เนื่องจากเป็นไขมันจุดที่การออกกำลังกายหรือเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารแล้วก็ยังลดได้ยากนั่นเอง
โดยในเมโสแฟตหลาย ๆ สูตรมีส่วนประกอบของสารที่ออกฤทธิ์ช่วยลดแก้มลดเหนียงดังนี้
- Mesostabyl
ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ lipase เพื่อลดการสร้างไตรกลีเซอไรด์และช่วยยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอล
- L-carnitine
ช่วยดึงเอาไขมันที่สะสมในร่างกายออกมาเป็นพลังงานได้มากขึ้น ส่งผลให้เผาผลาญไขมัน หรือ fat burn ได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
- Tyrosine
เพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกายจนไขมันเกิดการแตกตัวเล็กลงและถูกขับออกมา
- Juglans regia
กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด การทำงานของระบบเผาผลาญ และลดอาการบวมน้ำ
- Nicotiana tabacum
กระตุ้นการเกิดลิโพไลซิส ทำให้ผนังเซลล์ไขมันแตกสลาย และถูกขับออกผ่านระบบน้ำเหลือง
หลังจากที่ฉีดสลายไขมันแก้มด้วยเมโสแฟตไปแล้ว คุณก็จะมีอาการแก้มหรือเหนียงบวมเล็กน้อยจากยาที่ฉีดเข้าไป แต่ก็ไม่ต้องตกใจเพราะมันจะค่อย ๆ ยุบลงได้เองภายใน 3-4 ชั่วโมง พร้อมกับเริ่มเห็นผลได้ชัดเจนตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1-3 ซึ่งจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับไขมันสะสมของแต่ละคน
2. ฉีดโบท็อกซ์ลดขนาดกราม
จริง ๆ แล้วการฉีดโบท็อกซ์ไม่ได้ช่วยสลายไขมันที่แก้มหรือเหนียงแต่อย่างใด แต่มันคือสารที่เข้าไปช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะคนที่มีใบหน้าใหญ่จากขนาดกราม กรณีแบบนี้ก็ทำการฉีดโบท็อกซ์เพื่อทำให้แก้มและใบหน้าดูมีขนาดเล็กลงได้ ยิ่งถ้าได้ทำพร้อมกับฉีดเมโสแฟตด้วยแล้วก็จะยิ่งเห็นผลว่าใบหน้าเรียวเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด
3. จัดฟันให้รูปหน้าเข้าที่
ใครที่เข้าใจผิดคิดไปว่าการจัดฟันช่วยให้แก้มมีขนาดเล็กลงในระยะยาวอันนี้ไม่ถูกต้อง แต่เป็นเพียงการทำให้ใบหน้าดูเล็กลงจากการที่เคี้ยวอาหารไม่สะดวก กินอาหารได้น้อย ส่งผลให้ไขมันบริเวณใบหน้ามีปริมาณลดลง ควบคู่กับกล้ามเนื้อกรามและกล้ามเนื้อแมสซีเตอร์ที่ใช้สำหรับการเคี้ยวบดอาหาร ไม่ค่อยได้ใช้เคี้ยวจนทำให้แก้มดูมีขนาดที่เล็กลงนั่นเอง
นอกจากนี้ หากสามารถจัดฟันได้ถูกวิธีแล้ว เนื้อริมฝีปากก็จะยุบเข้าไปตามตำแหน่งฟันที่ถอยเข้าไปอยู่ในจุดที่ถูกต้อง เพียงเท่านี้ส่วนอื่นของใบหน้า เช่น โหนกแก้มจะดูเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจน หน้าตอบลง หากรู้สึกว่าตัวเองดูโทรมหรือป่วยมากเกินไป ก็ทำการฉีดฟิลเลอร์เติมเข้าไปเพื่อให้ใบหน้าดูอิ่มเอิบได้
4. ดูดไขมันลดแก้มลดเหนียง
มาถึงการดูดไขมันเฉพาะจุดที่นับว่าเป็นวิธีลดแก้ม ใบหน้า เหนียง และกรอบหน้าได้ดีมากอีกหนึ่งทางเลือก เนื่องจากช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเรียวแถมมีกรอบหน้าที่ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ต้องแลกกับผลข้างเคียงที่ทำให้บริเวณที่ดูดไขมันมีอาการเจ็บ บวม และฟกช้ำในจุดที่ทำหัตถการ ขณะเดียวกันก็อาจทำให้ผิวมีลักษณะเป็นคลื่นไม่เรียบเนียนและมีรอยแผลเป็นได้ และที่สำคัญคือยังต้องใช้เวลาพักกว่าจะเห็นผลเต็มที่อีกด้วย
5. ผ่าตัดลดแก้ม
สำหรับใครที่มีปัญหากระพุ้งแก้มมาก ๆ จนทำให้ใบหน้าดูกลม การผ่าตัดลดแก้มหรือผ่าเอาไขมันที่กระพุ้งแก้มออกก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดแก้มได้ดีไม่แพ้วิธีอื่น ไม่ว่าคุณจะมีแก้มป่อง แก้มเยอะ รวมถึงเป็นคนที่ไม่กังวลเรื่องการผ่าตัดและสามารถใช้เวลาไปกับการพักฟื้นได้พอสมควร ก็ควรพิจารณาวิธีผ่าตัดลดแก้มเข้าไปในลิสต์รายการด้วย เพราะหลังจากผ่าตัดไปแล้วไขมันบริเวณกระพุ้งแก้มจะแทบไม่กลับมา หรือถ้าจะกลับมาก็มีปริมาณน้อยมาก ๆ
ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีเท่านั้น แต่วิธีผ่าตัดลดแก้มก็ยังต้องใส่ใจในการเลือกแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดเป็นพิเศษ โดยแนะนำให้เลือกทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้น เพราะคุณหมอจะต้องวินิจฉัยพร้อมกับวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคลโดยดูจากรูปหน้าเป็นสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด ที่อาจทำให้ใบหน้าดูไม่สมส่วน ใบหน้าตอบเกินไป จนไม่สามารถทำให้กลับมามีสัดส่วนที่สมดุลแบบธรรมชาติได้ วิธีเดียวก็คือต้องฉีดฟิลเลอร์เสริมลงไปในชั้นผิวหนังเพื่อปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนที่พอดี
6. ผ่าตัดดึงหน้า
อีกหนึ่งวิธีลดแก้มที่พึ่งพาการผ่าตัดของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้ผลใกล้เคียงกับการผ่าตัดลดแก้ม ก็คงเป็นวิธีผ่าตัดดึงหน้าหรือ facelift เพื่อช่วยยกกระชับเนื้อเยื่อบนใบหน้าให้ดูดียิ่งขึ้น ไล่มาตั้งแต่ผิวหน้า แก้ม สันกราม ไปจนถึงบริเวณลำคอ
แน่นอนว่าการผ่าตัดดึงหน้าถือได้ว่าเป็นการทำหัตถการที่มีความซับซ้อนมากกว่าวิธีอื่น ๆ เนื่องจากต้องดูดไขมันเพื่อลดแก้ม เหนียง รวมถึงตัดผิวหน้าบางส่วนออกร่วมด้วย เพื่อทำให้ใบหน้าดูกระชับและเรียบเนียนยิ่งขึ้นแต่ก็ยังดูเป็นธรรมชาติอยู่ เหมาะกับคนที่มีเวลาพักฟื้นและไม่กลัวการผ่าตัด
7. การร้อยไหม
มาถึงวิธีลดแก้มที่ได้รับความนิยมจากคุณผู้หญิงมาก ๆ อีกแบบหนึ่ง อย่างการร้อยไหมที่ช่วยทั้งเรื่องการยกกระชับผิวหน้าควบคู่ไปกับการปรับให้ใบหน้าดูเรียวมากขึ้นแบบที่ไม่ต้องผ่าตัดให้เจ็บตัว แต่ก็อยากให้คุณเข้าใจตรงนี้ไปพร้อมกันว่าการร้อยไหมไม่ได้ช่วยลดแก้มโดยตรง แต่ว่าเป็นการช่วยแก้ปัญหาแก้มหย่อนคล้อยด้วยการยกกระชับผิว มากกว่าการลดไขมันบริเวณแก้มและเหนียงที่มีสะสมเป็นจำนวนมาก
8. ทำ Hifu
ในที่สุดก็มาถึงการทำ Hifu ที่ช่วยยกกระชับได้ทั้งใบหน้า เหนียง ลำคอ และเหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่มีปัญหาแก้มเยอะ แก้มเริ่มหย่อนคล้อยตามอายุที่มากขึ้น และขาดความกระชับลดลงไปเรื่อย ๆ เมื่อทำ Hifu แล้วจะช่วยปรับรูปหน้าและยกแก้มขึ้นมาได้อย่างเห็นผลทันทีแถมไม่ทิ้งรอยแผลใดไว้เบื้องหลัง ซึ่งเจ้าเครื่อง Hifu นั้นจะมีหัวที่ใช้ยิงแตกต่างตามระดับความลึกของชั้นผิวหนัง ตั้งแต่ 1.5-4.5 มิลลิเมตร โดยหัวที่ใช้ยิงลดไขมันกับเซลลูไลต์จะเป็นหัวยิงระดับความลึก 3.0 มิลลิเมตร ที่ส่งพลังงานลงไปในระดับผิวหนังชั้นกลางเพื่อลดไขมันที่แก้มนั่นเอง
รีวิวการลดแก้มโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ EY Clinic
หากคุณกำลังประสบปัญหาแก้มและเหนียงที่ใหญ่ขึ้นจากการสะสมของไขมันใต้ผิวหนัง ที่ EY Clinic เราก็มีวิธีลดแก้มที่ทำแล้วเห็นผลดีได้กับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยอาจเริ่มจากการทำ Hifu ที่แก้มกับเหนียง เพื่อแก้ปัญหากรอบหน้าไม่เท่ากันเนื่องจากแก้มหย่อนคล้อย รวมถึงปัญหาคางสองชั้นและเหนียงให้ดูกระชับขึ้น สำหรับราคาของการทำ Hifu เหนียงจะเริ่มต้นที่ 4,199 บาทจนถึง 10,079 บาท ที่เป็นราคาทำ 3 ครั้ง
ส่วนใครอยากลดไขมันสะสมบริเวณแก้มให้เห็นแบบเร็ว ๆ เราแนะนำเป็นการฉีดเมโสแฟต เช่นการฉีด lipox จำนวน 10-30cc ในราคาระหว่าง 2,799-6,999 บาท ที่จะช่วยสลายไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่บริเวณแก้มและเหนียงได้มีประสิทธิภาพ แถมยังไม่มีผลข้างเคียงที่ทำให้รู้สึกแสบหรือบวมอีกด้วย หากอยากเห็นผลไวก็ลองเป็น mesofat premium ปริมาณระหว่าง 10-30 cc ในราคา 5,599-14,299 บาท ซึ่งสลายไขมันได้เร็วมาก ควบคู่กับการยกกระชับผิวให้ดูเต่งตึงไปพร้อม ๆ กัน
ลดแก้มให้หน้าดูเรียวได้รูปและกระชับยิ่งขึ้นที่ EY Clinic
สาว ๆ หลายคนคงได้ไขข้อข้องใจถึงวิธีลดแก้มไปจนหมดแล้ว แต่อีกสิ่งที่ควรใส่ใจไม่แพ้กันนั้นก็คือการเลือกทำหัตถการเพื่อลดแก้มและเหนียงกับคลินิกที่ได้มาตรฐานและเชี่ยวชาญในด้านนี้จริง ๆ โดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวลล์เนสที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปีจากสถาบันชั้นนำของประเทศของ EY Clinic จะช่วยให้ใบหน้าของคุณกลับมาเรียวได้ทรงและมีแก้มกับเหนียงที่เล็กลงกว่าเดิม ติดต่อเราได้ที่ไลน์ @EYClinicTH