เคล็ด(ไม่)ลับเรื่องวิธีรักษาสิว และที่มาของสิวว่าเกิดจากอะไร?
ใครมีปัญหาสิวขึ้นมากวนใจบนใบหน้าย่อมไม่ใช่แค่เรื่องจิ๋วแน่ ๆ ไหนจะสิวอุดตัน สิวหัวดำ สิวอักเสบ ที่ถ้าหายเองก็ดี แต่ถ้าไม่ก็อาจสร้างความเจ็บปวดไปสักพักแถมยังมีโอกาสที่จะทิ้งรอยดำรอยแดงเอาไว้ให้ดูต่างหน้าอีกด้วย มาถึงตอนนี้ คุณคงอยากรู้วิธีลดสิวหรือรักษาสิวให้ความเจ็บปวดนี้หายไปอย่างเร็วที่สุดแล้วใช่ไหม
เผย 4 สาเหตุที่ทำให้เกิดสิว
ก่อนไปดูวิธีรักษาสิว เราควรรู้จักกับสาเหตุการเกิดสิวกันก่อน โดยทั่วไปแล้วสิวที่เกิดขึ้นบนร่างกายของเรา ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใบหน้าหรือส่วนไหนก็ตาม ล้วนมาจากสาเหตุหลัก 4 ข้อ ดังนี้
- การอุดตันของรูขุมขน
สาเหตุแรกที่ทำให้เกิดสิวที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งเกิดจากการที่เซลล์หนังกำพร้าชั้นนอกสุดมีความหนากว่าปกติ และเมื่อเกิดพร้อมกับกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ผิดปกติ จึงเป็นต้นตอที่ทำให้เกิดการอุดตันบริเวณรูขุมขน และมีสิวอุดตันขนาดเล็กเกิดขึ้นตามมานั่นเอง
- ความผิดปกติของต่อมไขมัน
ใต้ผิวหนังของเราทุกคนมีต่อมไขมันที่ทำหน้าที่ผลิตไขมันในปริมาณรวมถึงส่วนประกอบที่เหมาะสมเพื่อทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นไม่แห้งกร้าน แต่สำหรับคนที่มีปัญหาสิวก็ล้วนมาจากการที่เจ้าต่อมไขมันมีการทำงานผิดปกติจนผลิตไขมันออกมาจำนวนมากและไปสะสมรวมกันอยู่ที่รูขุมขน ซึ่งในที่สุดก็เกิดการอุดตันมากขึ้นและกลายเป็นสิว
- เชื้อแบคทีเรียตัวร้าย
ไม่ต้องเชื่อก็ต้องเชื่อว่าเจ้าแบคทีเรียชื่อ cutibacterium acnes (C.acnes) หรือชื่อเดิมคือ propionibacterium acnes (P.acnes) ที่เดิมทีเป็นแบคทีเรียประจำถิ่นที่อาศัยอยู่ในรูขุมขนของคนเรา แต่ในคนที่มีต่อมไขมันกับการอุดตันของรูขุมขนมากเป็นพิเศษ ทั้งสองอย่างนี้คืออาหารโปรดของเจ้าแบคทีเรียชนิดนี้ และนั่นทำให้มันเติบโตอยู่ในรูขุมขนที่อุดตันได้อย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นสิวขึ้นมาในที่สุด
- รูขุมขนที่มีการอักเสบ
3 ปัจจัยแรกไล่มาจาก การอุดตันของรูขุมขน ต่อมไขมันที่ผลิตไขมันมากเกินไป และเชื้อแบคทีเรีย cutebacterium acnes ที่มีจำนวนมากขึ้นในรูขุมขน เป็นตัวการที่ทำให้เกิดสิวอุดตันซึ่งจะเริ่มขยายขนาดใหญ่และมีการอักเสบมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็แตกออกและแพร่กระจายเชื้อไปยังผิวหนังบริเวณโดยรอบ และแน่นอนว่าสิวชนิดนี้จะมีลักษณะบวม แดง เมื่อกดแล้วจะรู้สึกเจ็บเป็นอย่างมาก
ไม่เพียงแต่ปัจจัยภายในเท่านั้นที่เป็นสาเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดสิว แต่ยังนับรวมถึงปัจจัยภายนอกอีกมากมาย อย่างเช่น การกินอาหาร ยา หรืออาหารเสริมบางชนิด ที่เป็นตัวการทำให้เกิดสิว นอกจากนี้ การใช้เครื่องสำอางตลอดจนผลิตภัณฑ์บางชนิดก็ยังไปกระตุ้นให้เกิดสิวได้อีกด้วย รวมถึงคนที่มีการใส่หมวกกันน็อก หน้ากากอนามัย หรืออะไรที่เสียดสีกับใบหน้าบ่อยครั้ง ก็ยังนับเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดสิวได้เช่นกัน
เรื่องสิวเป็นอะไรที่ถ้าได้เกิดขึ้นกับใครแล้ว คนคนนั้นย่อมรู้สึกหงุดหงิดและมีอาการเจ็บปวดจนคิดว่าทำอย่างไรถึงจะลดหรือรักษาสิวเจ้าปัญหาได้สักที โดยต่อจากนี้เราจะพาคุณไปค้นหาว่าอะไรคือวิธีลดสิวที่ทำแล้วเห็นผลเร็ว รวมถึงทำอย่างไรถึงจะป้องกันไม่ให้สิวกลับมาเกิดที่ใบหน้าของคุณอีก
พักผ่อนให้เพียงพอ
เรามาเริ่มกันด้วยวิธีลดสิวที่ยากมากสำหรับใครหลายคน อย่างการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน หากเป็นไปได้ให้พยายามนอนก่อนเวลา 22:00 น. เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวร่างกายของคุณจะได้พักผ่อนพร้อมกับมีการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายอย่างเต็มที่ ไม่เพียงเท่านี้ยังช่วยให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังกลับมาทำงานเป็นปกติและหน้าไม่มันมากอีกด้วย
พยายามไม่เก็บเรื่องมาคิดให้เครียด
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าเมื่อเราเครียดแล้วร่างกายจะเริ่มหลั่งฮอร์โมน cortisol และฮอร์โมนอื่นๆ ที่กระตุ้นให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น สังเกตดี ๆ จะเห็นว่าเวลาที่คุณเครียดผิวหน้าก็จะเริ่มมันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดสิวตามมานั่นเอง ดังนั้นพยายามปล่อยวางและหาทางผ่อนคลายไม่ให้ตัวเองรู้สึกเครียดจนเกินไปจะดีที่สุด
ล้างทำความสะอาดใบหน้าอย่างถูกวิธี
ความสะอาดเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาสิว และป้องกันสิวได้ดี แต่ความคิดที่ว่าล้างหน้าบ่อย ๆ แล้วจะดี อันนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องแต่อย่างใด นั่นยิ่งเป็นการกระตุ้นให้มีการผลิตน้ำมันออกสู่ผิวหน้ามากขึ้นไปอีก ดังนั้นวิธีล้างหน้าที่เหมาะสมกับพวกเรามากที่สุด ก็คือการล้างทำความสะอาดใบหน้าเพียง 2 ครั้ง ในการอาบน้ำช่วงเช้าและเย็นก็เพียงพอแล้ว แต่ให้คุณเน้นไปที่การเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าที่ออกแบบมาสำหรับคนผิวบอบบาง ผิวมัน หรือผิวเป็นสิวง่ายจะเห็นผลได้ดียิ่งขึ้น
หมั่นทาครีมกันแดดทุกวัน
แสงแดดที่มีทั้ง UVA UVB และรังสีอื่น ๆ ที่ทำให้ผิวของเราคล้ำลงนั้น ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่เข้าไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำการผลิตไขมันออกมามากขึ้นอีกด้วย ยิ่งใบหน้าของคุณมีความมันมากเท่าไร คุณก็ยิ่งมีโอกาสเป็นสิวมากขึ้นเท่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน และถึงจะไม่ได้ออกจากบ้านแต่ถ้าคุณทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือเล่นมือถือ ก็ควรที่จะทาครีมกันแดดด้วยเช่นกัน
ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ
ด้วยความที่ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำราว 70% ดังนั้นการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก อย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร หรือขึ้นอยู่กับเพศ อายุ และน้ำหนักตัว เพื่อที่จะได้ช่วยให้ทุกระบบในร่างกายทำงานได้ตามปกติ รวมถึงช่วยขับสารพิษที่ตกค้างสะสมอยู่ให้ออกไปทางระบบขับถ่ายได้ดีอีกด้วย
เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์
บางคนมีความไวต่ออาหารหรือแพ้อาหารที่มีส่วนผสมบางประเภท ซึ่งก็มีอาหารหลายอย่างที่ไปกระตุ้นให้เกิดสิวขึ้นมาได้เหมือนกัน โดยแต่ละคนล้วนมีอาหารที่กระตุ้นสิวหรืออาจไม่มีเลยก็ได้ ดังนั้นคุณต้องสังเกตตัวเองให้ดีว่าถ้ากินอะไรเข้าไปแล้วหลังจากนั้นจะมีสิวเห่อขึ้นมา แต่ส่วนใหญ่แล้วอาหารที่กระตุ้นให้เกิดสิวมักจะเป็น ของที่มีส่วนประกอบของแป้งและน้ำตาลรวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารที่แปรรูปจากนม เพราะอาหารเหล่านี้จะเข้าไปทำให้ร่างกายรวมถึงเซลล์เกิดการอักเสบ จนในที่สุดก็เกิดเป็นสิวตามมานั่นเอง
ยาคุมกำเนิด
สำหรับคุณผู้หญิงที่มีปัญหาสิวฮอร์โมน การรับประทานยาคุมกำเนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศหญิงอย่างเอสโตรเจนและโปรเจสติน สามารถที่จะช่วยรักษาสิวดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะตัวยาจะเข้าไปลดระดับฮอร์โมนเพศชายอย่างแอนโดรเจนลง เป็นผลให้ต่อมไขมันที่ผลิตไขมันซีบัมมีจำนวนลดน้อยลง และสิวก็จะเกิดขึ้นน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าการรักษาสิวด้วยวิธีนี้จะต้องให้แพทย์หรือเภสัชกรเป็นผู้ให้คำแนะนำก่อนจะดีที่สุด
หลีกเลี่ยงการใช้กระดาษซับหน้ามัน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการใช้กระดาษซับหน้ามันนั้นเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวที่หลายคนไม่คาดคิดมาก่อน จริงอยู่ที่เมื่อซับหน้าจนหายมันเรียบร้อยแล้วอาจดูว่าทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ แต่นั่นเป็นการกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตไขมันออกมามากกว่าเดิม วิธีในการจัดการกับความมันบนใบหน้าที่ดีที่สุด ก็คือการใช้ทิชชูอ่อนนุ่มสำหรับใบหน้าซับความมันส่วนเกินออกไปแทน หรือไม่ก็ใช้สเปรย์น้ำแร่ฉีดใบหน้าแล้วทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นใช้ทิชชูเช็ดออกเบา ๆ เพิ่มเติมความสดชื่นและลดความมันให้กับใบหน้า
หลีกเลี่ยงและปกป้องผิวจากมลภาวะ
การที่คุณต้องเผชิญหน้ากับมลภาวะในชีวิตประจำวัน อย่าง แสงแดด ไอเสียจากเครื่องยนต์ หรือแม้แต่ฝุ่นควันที่ลอยอยู่ทั่วไป ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวขึ้นบนใบหน้า โดยวิธีป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันผิวจากมลภาวะ ไม่ว่าจะด้วยการป้องกันไม่ให้เกิดปฏิกิริยาที่ทำร้ายผิว หรือสามารถลดการเกาะติดของมลภาวะบนผิวหน้าได้ อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการช่วยลดปัญหาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
รักษาสิวก่อนทำการบำรุงผิว
ใครกำลังมีสิวเห่ออยู่ทั่วทั้งใบหน้าแล้วคิดว่าการหาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อช่วยเรื่องสิวจะเป็นหนทางที่แก้ปัญหาได้ ขอบอกว่านั่นไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้อง แต่คุณควรที่จะรักษาสิวที่มีด้วยการใช้ครีมรักษาสิวหรือไปหาแพทย์ผิวหนังเพื่อจัดการรักษาสิวเจ้าปัญหาให้หมดไปเสียก่อน จากนั้นถึงค่อยมาค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยดำรอยแดงที่สิวทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า และค่อยเริ่มการป้องกันไม่ให้สิวกลับมาอยู่บนใบหน้าของคุณอีกในอนาคต
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เขียนว่า non-comedogenic
หลังจากที่คุณได้จัดการรักษาสิวให้หายดีจนกลับมาอยู่ในสภาวะปกติแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ป้องกันและดูแลผิวเพื่อไม่ให้สิวกลับมาย่างกรายบนใบหน้าของคุณอีก โดยไม่ว่าคุณจะมีสภาพผิวแห้ง แพ้ง่าย ผิวผสม หรือผิวมัน เราแนะนำว่าคุณควรดูบนฉลากของผลิตภัณฑ์ว่ามีเขียนว่า non-comedogenic ที่ระบุว่านั่นคือผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ปราศจากน้ำมัน และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน เพียงเท่านี้คุณก็สามารถหลีกเลี่ยงการเป็นสิวในอนาคตได้อย่างเห็นผลแล้ว
ระวังเรื่องการใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
การที่คุณกินยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียหรือทายาประเภทนี้อยู่เพื่อใช้ในการรักษาสิวอักเสบ ในระยะยาวหากมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องก็อาจเกิดปัญหาดื้อยาได้เช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนการเริ่มใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเพื่อรักษาสิวทุกครั้ง ในส่วนของยาทาฆ่าเชื้อแบคทีเรียนั้น ควรใช้ร่วมกับยาทาที่มีชื่อว่า เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการดื้อยาของยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดทาได้
ไม่ใช้มือสัมผัสใบหน้าถ้าไม่จำเป็น
รู้หรือไม่ว่าบนมือของเรามีเชื้อโรคสะสมอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัวมาก่อน ซึ่งการนำมือไปสัมผัสกับใบหน้าก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดสิว ยิ่งคนที่มีผิวหน้าบอบบางแพ้ง่ายอยู่แล้วก็ยิ่งจะเป็นสิวได้ง่ายขึ้นไปอีก ถ้าเป็นไปได้ก็ให้ทำการล้างมือให้สะอาดก่อนที่จะนำมือมาจับหรือสัมผัสกับใบหน้าทุกครั้ง เนื่องจากมือถือ แป้นพิมพ์ หรือตามสิ่งของที่เรานำมือไปจับล้วนมีสิ่งสกปรกและแบคทีเรียเป็นจำนวนมากนั่นเอง
ไม่ใช้มือบีบ แคะ หรือแกะสิว
ข้อสุดท้ายนี้เป็นอะไรที่หลายคนห้ามใจกับมือของตัวเองไม่ให้ทำได้ยากที่สุด แต่การบีบ แคะ หรือแกะสิวบนใบหน้านั้น นอกจากนี้ไม่ช่วยรักษาสิวสิวแล้ว ยังไปกระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองจนผิวหนังมีการอักเสบรุนแรงมากขึ้นด้วย มีหลายครั้งที่สิวหายแล้วแต่ยังคงทิ้งรอยดำรอยแดง หลุมสิวลึก หรือรอยนูนทิ้งเอาไว้ให้คุณดู ดังนั้นถ้ามีสิวเห่อบนใบหน้าก็ควรจัดการกับมันอย่างถูกวิธีจะดีที่สุด
5 วิธีรักษาสิวที่ได้ผลและแทบไม่มีผลข้างเคียง
ปกติแล้ววิธีในการรักษาสิวมีอยู่หลายวิธี ไล่ระดับจากเบา ๆ ที่สามารถจัดการสิวได้ด้วยตัวเอง ไปถึงมีความรุนแรงมากจนต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ทำให้ เพื่อหลีกเลี่ยงการอักเสบหรือติดเชื้อเพิ่มขึ้น และต่อจากนี้คือ 4 วิธีรักษาสิวที่คุณควรรู้เอาไว้
1. กดสิว
การกดสิวเป็นหนึ่งในวิธีรักษาสิวทั้งหัวขาวและหัวดำยอดฮิต ซึ่งต้องบอกตรงนี้เลยว่าการกดสิวไม่ควรทำด้วยตัวเองที่บ้าน เพราะจะต้องให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเป็นคนทำการรักษาสิวให้ ด้วยเครื่องมือกับขั้นตอนในการทำที่สะอาดถูกหลัก เพื่อป้องกันไม่ให้สิวแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ จนมีสิวเพิ่มขึ้นแทนที่จะจัดการสิวได้หมด
โดยวิธีการรักษาสิวด้วยการกดนั้น สำหรับสิวหัวขาวจะเป็นสิวหัวปิดอาจต้องใช้การเปิดหัวสิวร่วมด้วยส่วนสิวหัวดำเป็นสิวหัวเปิดสามารถ กดออกได้ง่ายกว่า
สำหรับการกดสิวเพื่อรักษาสิวที่ EY Clinic จะอยู่ในแพ็กเกจ acne basic ซึ่งเหมาะสำหรับผู้มีปัญหาสิวไม่ได้เยอะมาก ทำพร้อมการกดสิวกับการมาสก์หน้าให้ผิวหน้ากลับมาชุ่มชื้น และมีการทำทรีตเมนต์ช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใส ทั้งหมดนี้มีราคาเริ่มต้น 999 บาทต่อครั้งเท่านั้น
2. ทายารักษาสิว
ต่อมาคือการจัดการกับสิวด้วยการทายารักษาสิวที่ปัจจุบันมีอยู่หลายชนิด และสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ดังนี้
- เบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide)
นี่สารที่มีอยู่ในครีมทารักษาสิวหลายชนิด ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นอย่างการช่วยกำจัดแบคทีเรีย cutibacterium acnes (C.acnes) ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิว รวมถึงทำให้สิวแห้งลงและป้องกันการเกิดสิวใหม่อีกด้วย
- ซัลเฟอร์ (Sulfur)
ซัลเฟอร์หรือที่รู้จักกันดีว่า กำมะถัน คือส่วนประกอบเคมีทางธรรมชาติที่ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของการเกิดสิวไปพร้อม ๆ กับการเร่งให้เกิดการผลัดเซลล์ใหม่อีกด้วย
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic)
กรดชนิดนี้นิยมอย่างมากในการนำมาผสมในแชมพู สบู่ และโฟมล้างหน้า เพราะมีความสามารถในการช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งช่วยในการรักษาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ การเลือกใช้ยาทารักษาสิวเป็นอะไรที่ต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะเริ่มทาทุกครั้ง เพราะในกรณีที่ปัญหาสิวของคุณมีการติดเชื้อและเป็นมาเรื้อรังค่อนข้างนาน แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะมากินร่วมด้วย แต่จะให้กินเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
3. มาสก์หน้ารักษาสิว
หากคุณมีปัญหาสิวหัวขาวหรือสิวหัวดำที่ไม่ได้มีอาการเจ็บปวดหรือมีรอยแดงปรากฏขึ้น คุณก็สามารถรักษาสิวด้วยการมาสก์หน้าได้ โดยเริ่มต้นจากการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่บนใบหน้าเสียก่อน จากนั้นจะทำการเร่งกระบวนผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป รวมถึงใช้มาสก์ที่มีคุณสมบัติในการช่วยลดการผลิตน้ำมันของต่อมไขมันใต้ผิวหนังที่คือหนึ่งในต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิว ไม่เพียงเท่านี้ มาสก์หน้ารักษาสิวหลายสูตรก็ยังช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียรวมถึงเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอีกด้วย
4. เลเซอร์รักษาสิว
การใช้เลเซอร์รักษาสิวถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาได้ที่ต้นเหตุ เนื่องจากเลเซอร์ที่ยิงเฉพาะจุดจะทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังมีการผลิตน้ำมันออกมาลดลง จนทำให้การอุดตันของไขมันและสิ่งสกปรกในรูขุมน้อยลงอย่างมาก แถมยังช่วยลดการเกิดเชื้อแบคทีเรีย C.acnes ได้อย่างเห็นผล และแพทย์จะแนะนำให้เลเซอร์ควบคู่กับการใช้ยาฆ่าเชื้อในผู้ที่มีปัญหาสิวบางราย
อีกหนึ่งข้อดีของการเลเซอร์รักษาสิวก็คือการช่วยเร่งผลัดเซลล์ผิว ส่งผลให้รอยสิวที่เกิดขึ้นจะจางลงอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นานนัก โดยเฉพาะแพ็กเกจ acne advnced ของ EY Clinic ที่มีการกดสิว มาสก์หน้า ทำทรีตเมนต์ rejuve และยิงเลเซอร์ dermalight เพื่อลดรอยสิวและเพิ่มความกระจ่างใสด้วยเลเซอร์ทั่วหน้า
เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวไม่มากไปจนถึงคนมีรอยสิวเยอะ
สำหรับราคาต่อ 1 ครั้งจะอยู่ที่ 1,999 บาท ไปจนถึง 13 ครั้ง 19,990 บาท หรือเฉลี่ยเพียง 1,538 บาทต่อครั้งเท่านั้น
อาหารที่ช่วยลดสิวได้มีอะไรบ้าง?
มีข้อมูลในโลกอินเทอร์เน็ตมากมายที่ระบุว่าอาหารบางชนิดสามารถช่วยลดการเกิดสิวได้ ซึ่งเราจจะเปิดเผยอาหารดังกล่าวเพื่อให้คุณได้เลือกรับประทานเพื่อช่วยจัดการกับปัญหาสิวได้อีกทางหนึ่ง
อาหารที่อุดมไปด้วย omega 3
น้ำมันปลาคือหนึ่งในอาหารที่ช่วยรักษาสิวได้ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า-3 ซึ่งถือเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวชนิดหนึ่ง ที่จะเข้าไปยับยั้งการอักเสบที่เกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย ทั้งยังสามารถช่วยลดการอักเสบที่เกิดขึ้นบนผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการลดการเกิดสิวได้ในอีกทางหนึ่งนั่นเอง ดังนั้นคุณควรรับประทานอาหารที่มีโอเมก้า-3 เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า เป็นต้น
อาหารที่อุดมไปด้วย zinc
มีการศึกษาที่ระบุว่าคนที่กินอาหารซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุอย่างสังกะสี (zinc) อย่างเป็นประจำจะมีโอกาสเป็นสิวน้อยกว่าและแผลที่เกิดจากสิวก็จะหายกลับมาเป็นปกติได้เร็วอีกด้วย โดยอาหารที่มี zinc ตามธรรมชาติ ได้แก่ ปู หอยนางรม เมล็ดฟักทอง คีนัว และถั่วเลนทิล เป็นต้น
อาหารที่อุดมไปด้วย anti-oxidant
รู้หรือไม่ว่า Antioxidant หรือ สารต้านอนุมูลอิสระสามารถช่วยรักษาสิวและป้องกันสิวได้ ใครที่กินดาร์กช็อกโกแลต ผักเคล สตรอว์เบอร์รี และผักโขมเป็นประจำ คุณจะมีโอกาสเป็นสิวน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงหากเป็นสิวก็สามารถที่จะกลับมาเป็นปกติได้ไวอีกด้วย นั่นก็เพราะว่าในอาหารเหล่านี้มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น สามารถกำจัดของเสียและทำให้เกิดการอักเสบภายในร่างกายลดลงอย่างมาก
10 วิธีรักษาสิว ไม่ต้องหาหมอ! โดยวิธีธรรมชาติ ทำง่ายๆ แม้ทำที่บ้าน
1. ไข่ขาวลดสิว
ไข่ขาวนั้นมีลักษณะเป็นกาวจากธรรมชาติที่สามารถช่วยดีท็อกซ์ผิวหน้าของคุณให้สะอาดล้ำลึกจนถึงรูขุมขน แถมยังช่วยขจัดสิวเสี้ยนที่ฝังให้หลุดออกได้ดี พร้อมคืนนุ่มเด้งให้กับผิวหน้าอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ หากใช้ไข่ขาวร่วมกับมะนาวก็ยิ่งทำให้สิวยุบตัวได้เร็ว รอยสิวแลดูจางลง และผิวหน้ากลับมามีความกระจ่างใสอีกด้วย ถือเป็นสูตรรักษาสิวที่ง่ายและมีประโยชน์มากมายจริง ๆ
2. มะนาวลดสิว
มะนาวนอกจากจะทำเครื่องดื่มเย็น ๆ สดชื่น ๆ แล้ว ยังช่วยรักษาสิวได้อีกด้วย เนื่องจากกรดในน้ำมะนาวสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวได้ เพียงคุณบีบน้ำมะนาวลงในถ้วยพร้อมกับผสมน้ำอุ่นลงไปเล็กน้อยแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นนำสำลีมาชุบน้ำแล้วพอกไว้ให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที เท่านี้ก็จะช่วยให้สิวแห้งและยุบตัวได้ไวขึ้นแล้ว
3. ดินสอพองลดสิว
ดินสอพองถือเป็นหนึ่งในวิธีรักษาสิวแบบธรรมชาติที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสมัยก่อนจวบจนถึงปัจจุบัน โดยการใช้ดินสอพองนำมาบดแล้วละลายให้เข้ากับน้ำจนมีความข้นหนืด พร้อมกับนำพอกบนใบหน้าก็จะช่วยให้สิวที่อักเสบแห้งและหายได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการนำสมุนไพรบางอย่างมาผสมกับดินสอพองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาสิวอีกด้วย อย่างไรก็ตาม วิธีลดสิวด้วยดินสอพองไม่ควรทำเกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เนื่องจากจะทำให้ผิวแห้งเกินไปจนมีสิวขึ้นมาได้ง่ายกว่าเดิม
4. หอมแดงลดสิว
นอกจากหอมแดงจะนิยมมาใส่ในอาหารที่หลากหลายแล้ว ยังสามารถรักษาสิว ช่วยให้สิวอักเสบยุบตัวลงได้เร็วขึ้นอีกด้วย รวมถึงลดรอยดำรอยแดงจากสิวให้ดูจางลง พร้อมยับยั้งแบคทีเรียและลดการเกิดสิวใหม่ โดยการหอมแดงมาสับ ปั่น และผสมน้ำสะอาดลงไปเล็กน้อย จากนั้นนำส่วนผสมดังกล่าวมาพอกหน้าทิ้งไว้ราว 10 นาที แล้วจึงค่อยล้างออก
5. น้ำผึ้งกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติลดสิว
โยเกิร์ตผสมน้ำผึ้งนอกจากจะทานอร่อยแก้ท้องว่างได้แล้ว ยังช่วยรักษาสิวได้ด้วยหากคุณอยากมีใบหน้าที่ดูกระจ่างใส เพิ่มความชุ่มชื้นมากขึ้น และช่วยลดรอยสิวให้จางลง ก็ลองใช้น้ำผึ้งมาผสมกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติในอัตราส่วนที่เท่ากัน จากนั้นคนให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียวแล้วนำมาพอกทั่วทั้งใบหน้าหรือจะแต้มเฉพาะบริเวณที่เป็นสิวก็ได้เช่นกัน
6. มะละกอลดสิว
ด้วยความที่มะละกออุดมไปด้วยเอนไซม์ปาเปน (enzyme papain) และ ไคโมปาเปน (Chymopapain) ที่ช่วยย่อยโปรตีน โดยสามารถลดอาการอักเสบที่เกิดขึ้นกับผิวหนังรวมถึงสมานแผลได้เป็นอย่างดี ซึ่งได้ผลดีมากในการรักษาสิวอักเสบละลดรอยดำจากสิวได้อีกด้วย เพียงการนำมะละกอมาบดละพอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึงค่อยล้างออกนั่นเอง
7. ว่านหางจระเข้ลดสิว
ว่านหางจระเข้ได้ชื่อว่ามีสรรพคุณในการช่วยลดสิวได้ไม่แพ้ยาแต้มสิว เพราะสามารถลดอาการอักเสบของสิว รวมถึงลดรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจากสิวให้แลดูจางลงได้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความปลอดภัยและย่นระยะเวลาในการรักษาสิวให้ทำได้รวดเร็วทันใจ แถมยังลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการแพ้เวชสำอางบางตัวได้อีกต่างหาก
8. เปลือกมังคุดลดสิว
มังคุดได้ชื่อว่าเป็นผลไม้ที่สามารถลดการอักเสบของผิวหนังได้ดีอันดับต้น ๆ นั่นก็เพราะว่าในเปลือกมังคุดมีสารที่ชื่อว่า GM-1 ซึ่งช่วยระงับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย พร้อมทั้งมีสารที่ช่วยต้านการอักเสบอย่าง xanthone และ tannin ที่ช่วยให้แผลสามารถสมานตัวได้เร็วยิ่งขึ้น
9. มะเขือเทศลดสิว
หลายคนอาจรู้มาว่ามะเขือเทศเป็นผักที่นิยมใช้ในการบำรุงผิวหน้าให้ดูเปล่งประกายแลดูสดใสมาอย่างยาวนาน ยิ่งไปกว่านั้น มะเขือเทศยังใช้สำหรับการลดสิวได้ดีเช่นกัน เพียงหั่นมะเขือเทศเป็นแว่น ๆ หรือไม่ก็ใช้การบดให้ละเอียดจากนั้นนำมาพอกทั่วใบหน้า พร้อมกับทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น โดยแนะนำให้ทำต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพียงเท่านี้รอยสิวบนใบหน้าของคุณก็จะดูจางลง
10. น้ำแข็งลดสิว
มาถึงวิธีลดสิวข้อสุดท้ายที่คุณทำตามได้ง่าย ๆ ด้วยการนำก้อนน้ำแข็งมาห่อด้วยผ้าขนหนูแล้วนำมาประคบบนสิว อาการคัน อาการอักเสบ และรอยสิวก็จะบรรเทาแถมเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด
ลดสิวได้เร็วและปลอดภัยไม่แพ้วิธีธรรมชาติกับ EY Clinic
วิธีลดและรักษาสิวทั้งด้วยวิธีแบบธรรมชาติและการใช้วิธีทางการแพทย์ แต่ละแบบล้วนมีข้อดีที่แตกต่างกันไป ซึ่งหากคุณอยากรักษาสิวทุกประเภทที่อยู่บนใบหน้าของคุณให้หายไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย ทีมแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวลล์เนสที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปีจากสถาบันชั้นนำของประเทศที่ EY Clinic ก็พร้อมที่จะแนะนำวิธีการรักษาสิวที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ สามารถปรึกษาเราได้ที่ไลน์ @EYClinicTH