ฟิลเลอร์ฉีดหลุมสิว vs Rejuran S ตัวไหนดีกว่ากัน
ในปัจจุบันเรามีวิธีการรักษาหลุมสิวให้เลือกอยู่มากมาย และแน่นอนว่า การฉีดหลุมสิว ก็เป็นวิธีที่หลายคนกำลังให้ความสนใจค่ะ ในบทความนี้ หมอผึ้งจะพาไปทำความรู้จักกับการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว และ การรักษาหลุมสิวด้วย Rejuran S ไปดูกันว่าแต่ละวิธี มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร และอันไหนจะเหมาะกับคุณที่สุดค่ะ
สรุปใจความสำคัญ
- การฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ เป็นการฉีดสารไฮยาลูรอนิก แอซิด ในการเติมเต็มปริมาตรของผิวบริเวณหลุมสิว
- การฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S เป็นการฉีดสารสกัดที่ได้จากปลาแซลมอนเข้าสู่ชั้นผิว
- Rejuran S เป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาหลุมสิว และรอยแผลเป็นโดยเฉพาะ
- ฟิลเลอร์หลุมสิว ให้ผลการรักษาที่รวดเร็ว ในขณะที่ Rejuran S ให้ผลการรักษาที่ช้ากว่า แต่ถาวร
- การฉีดหลุมสิวสามารถทำร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ได้ เช่น การตัดพังผืด และเลเซอร์หลุมสิวได้ โดยเมื่อทำร่วมกันแล้ว จะเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้น
การฉีดหลุมสิว ด้วยฟิลเลอร์
การฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ คือ การใช้สารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) ในการเติมเต็ม หรือทดแทนเนื้อเยื่อที่หายไปบริเวณหลุมสิวค่ะ ฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดหลุมสิวก็เป็นฟิลเลอร์ชนิดเดียวกับที่ใช้ฉีดเพื่อลดริ้วรอยให้หน้าดูอิ่มฟู อ่อนวัย โดยสารไฮยาลูรอนิก แอซิดเป็นสารที่พบได้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มีหน้าที่ในการอุ้มน้ำและเพิ่มความยืดหยุ่นในอวัยวะต่าง ๆ เมื่อฉีดแล้ว สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีค่ะ โดยจะเห็นว่าหลุมสิวจางลง ผิวมีความเต่งตึง และเรียบเนียนค่ะ นอกจากนี้ ตัวสารไฮยาลูรอนิก แอซิดยังมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนด้วยค่ะ
การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว เป็นวิธีแก้ปัญหาหลุมสิวที่ทำได้ง่าย เห็นผลได้ไว และไม่ต้องการเวลาพักฟื้นค่ะ
ใครเหมาะกับการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์
- คนที่มีหลุมสิวแบบ Boxcar หรือ หลุมสิวแบบ Rolling ที่มีระดับความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง
- คนที่มีหลุมสิวจำนวนน้อย
- คนที่ต้องการการรักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว และไม่ยุ่งยาก
- คนที่มีต้องการการรักษาที่ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
- คนที่มีรอยแผลเป็นจากโรคอีสุกอีใส
ผลลัพธ์ของการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์จะอยู่ได้ตั้งแต่ 6-12 เดือน (หรือนานกว่านั้น) ตามอายุของฟิลเลอร์ที่ใช้ค่ะ โดยฟิลเลอร์จะสลายตัวไปตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย และไม่ทิ้งสารตกค้างใด ๆ ในร่างกายค่ะ
นอกจากนี้ การฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์มักนิยมทำควบคู่กับการตัดพังผืด (Subcision) เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นค่ะ
ข้อควรระวัง: การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว เป็นวิธีการรักษาหลุมสิวที่อาศัยเทคนิคและความชำนาญของแพทย์สูงค่ะ เนื่องจากแพทย์จะต้องมีการประเมินว่าจะต้องฉีดตำแหน่งไหน และใช้ปริมาณฟิลเลอร์เท่าไรต่อหลุมสิว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและเป็นธรรมชาติที่สุดค่ะ
การฉีดหลุมสิว ด้วย Rejuran S
Rejuran S คือ สารโพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide หรือ PN) สกัดจากปลาแซลมอนที่พัฒนามาเพื่อแก้ปัญหาแผลเป็นและหลุมสิวโดยเฉพาะ โดย Rejuran S จะมีความเข้มข้นมากกว่า Rejuran Healer ที่ใช้เพื่อบำรุงและคืนความอ่อนวัย (Rejuvenation) อย่างล้ำลึกให้ผิวโดยรวมค่ะ โดยกระบวนการทำงานของ Rejuran S มีดังนี้ค่ะ
- โพลีนิวคลีโอไทด์จากปลาแซลมอนทำงานในระดับดีเอ็นเอในการกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่และการหลั่งสาร Growth Factor ที่ช่วยสร้างเนื่อเยื่อใหม่
- โพลีนิวคลีโอไทด์ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดฝอย (Angiogenesis) ซึ่งเพิ่มการกำจัดของเสียเซลล์ที่ตายแล้วและช่วยในการทำงานของเซลล์
- โพลีนิวคลีโอไทด์ยังมีสรรพคุณในการลดการอักเสบของเซลล์ (Anti-inflammatory effects) และลดแผลของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
- Rejuran S ยังช่วยเสริมโครงสร้างให้สารที่เคลือบเซลล์ (Extracellular matrix หรือ ECM) ซึ่งทำให้ผิวยืดหยุ่นและแข็งแรงยิ่งขึ้น
ซึ่งสารสกัดโพลีนิวคลีโอไทด์ที่ได้มาจากปลาแซลมอนใน Rejuran S นับเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Stimulator) ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพ (Biocompatibility) กับดีเอ็นเอของมนุษย์ สามารถทำงานในเซลล์ของเราได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย และสามารถย่อยสลายได้ตามกลไกธรรมชาติค่ะ
ใครที่เหมาะกับการฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S
- คนที่มีหลุมสิวแบบ Boxcar หรือ Rolling ที่มีระดับความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง
- คนที่ต้องการการฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
- คนที่มีปัญหาแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรอยบุ๋ม
เมื่อพูดถึงผลลัพธ์ เราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง 2-3 สัปดาห์หลังฉีด Rejuran S ครั้งแรกเพราะ Rejuran S ทำงานที่ลึกถึงระดับดีเอ็นเอในการผลักผิวเข้าสู่กระบวนการสมานแผลและฟื้นฟูเซลล์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่อย่างถาวรค่ะ
หมอขอแนะนำให้เริ่มต้นการรักษาที่การฉีด Rejuran S จำนวน 3-5 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 เดือนค่ะ เมื่อเริ่มฉีดแล้ว หลุมสิวจะเริ่มจางลงเรื่อย ๆ ประกอบกับผิวจากมีความกระชับและเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ นอกจากนี้ การฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S ก็สามารถทำร่วมกับการตัดพังผืด หรือเลเซอร์หลุมสิวได้ เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ
ข้อควรระวัง: เนื่องจาก Rejuran S มีเป็นสารสกัดที่ได้มาจากปลาแซลมอน การฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S จึงไม่เหมาะกับคนที่มีประวัติปลาทะเล หรือมีประวัติแพ้ผลิตภัณฑ์ Rejuran ตัวอื่นมาก่อนค่ะ
เปรียบเทียบการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ และ Rejuran S
การฉีดหลุมสิวทั้งด้วยฟิลเลอร์และ Rejuran S เป็นการรักษาที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีประสิทธิภาพค่ะ
ฟิลเลอร์ vs Rejuran S
ฟิลเลอร์เป็นสารไฮยาลูรอนิก แอซิด ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดเดียวกันกับที่พบได้ตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ ในขณะที่ Rejuran S คือสารโพลีนิวคลีโอไทด์หรือชิ้นส่วนดีเอ็นเอที่ได้มาจากปลาแซลมอนค่ะ ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยต่อร่างกายมนุษย์ สามารถใช้ในหัตถการการรักษาหลุมสิวได้โดยไม่ทิ้งสารตกค้างและไม่เป็นอันตรายค่ะ
การทำงานของฟิลเลอร์ vs Rejuran S
ฟิลเลอร์หลุมสิว เมื่อฉีดแล้วจะเข้าไปเติมเต็มปริมาตร หรือ ทดแทนเนื้อเยื้อส่วนที่หายไปบริเวณหลุมสิว หลังฉีดแล้วจึงสามารถเห็นผลได้ทันทีว่า หลุมสิวดูจางลงค่ะ แต่ Rejuran S จะมีการทำงานที่ซับซ้อนกว่า กล่าวคือ ตัวสารโพลีนิวคลีโอไทด์จะเข้าไปกระตุ้นกระบวนการสมานแผลและผลิตเซลล์ผิวใหม่ของร่างกายผ่านการทำงานระดับดีเอ็นเอ จึงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ก่อนจะเห็นความเปลี่ยนแปลงค่ะ
ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ vs Rejuran S
การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวเป็นการรักษาหลุมสิวที่ให้ผลลัพธ์ได้เร็วค่ะ จึงเหมาะกับคนที่ต้องรักษาหลุมสิวแบบเร่งด่วน และฉีดเพิ่มเติม 3-5 ครั้ง ติดต่อกันได้ และทำควบคู่กับการตัดพังผืด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นค่ะ
โดยผลของการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวจะคงอยู่ได้ราว ๆ 6-12 เดือน หรือมากกว่านั้น ตามอายุของฟิลเลอร์ที่ใช้ค่ะ เมื่อเวลาผ่านไป ฟิลเลอร์จะค่อย ๆ สลายตัวไปทางกลไกธรรมชาติของร่างกายค่ะ
ในทางกลับกันผลลัพธ์ของ Rejuran S จะใช้เวลาสักระยะหนึ่ง โดยควรฉีดติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 3-4 สัปดาห์ โดยเราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงเรื่อย ๆ จนเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ซึ่งจะคงอยู่อย่างถาวรค่ะ
ฟิลเลอร์ฉีดหลุมสิว vs Rejuran S ตัวไหนดีกว่ากัน
หมอคิดว่า หัตถการทั้งสองตัวมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันค่ะ ฉะนั้นถ้าถามว่า ตัวไหนดีกว่า หมอขอตอบว่า ขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพผิวของแต่ละบุคคลค่ะ นอกจากนี้ เราก็ยังมีวิธีการรักษาหลุมสิวอีกมากมาย ซึ่งไม่ว่าคุณจะเลือกฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ หรือ Rejuran S สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้ค่ะ เพื่อความปลอดภัยของคุณค่ะ
การรักษาหลุมสิวด้วยวิธีต่าง ๆ
นอกจากการฉีดฟิลเลอร์และ Rejuran S เพื่อรักษาหลุมสิวแล้ว ในปัจจุบัน เรายังมีวิธีการรักษาอีกมากมายที่จะช่วยคืนความเรียบเนียนให้ผิวหน้าของคุณได้ค่ะ โดยในบทความนี้ หมอจะขอยกตัวอย่างวิธีการรักษาที่ได้มีความเสี่ยงต่ำ และได้รับความนิยมสูงค่ะ ได้แก่ การใช้เรตินอยด์ การตัดพังผืด เลเซอร์ และ PRP ค่ะ
การใช้เรตินอยด์ (Retinoid)
สารกลุ่มเรตินอยด์ คือ อนุพันธ์ของวิตามินเอค่ะ ซึ่งสารกลุ่มเรตินอยด์ที่เราน่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง ได้แก่ Retinol, Tretinoin และ Isotretinoin สารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ในการเร่งการผลิตเซลล์ผิวใหม่ ทำให้หลุมสิวจางลง และช่วยปรับให้ผิวเรียบเนียนค่ะ
แต่แน่นอนว่า การรักษาหลุมสิวใช้เรตินอยด์จะใช้เวลานานกว่าการรักษาแบบอื่น และจำเป็นต้องใช้อย่างสม่ำเสมอ วิธีนี้จึงไม่เหมาะคนที่ต้องการการรักษาแบบเร่งด่วน และไม่เหมาะกับคนที่มีผิวแพ้ง่ายด้วยค่ะ
การตัดพังผืด (Subcision)
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นค่ะว่า การฉีดหลุมสิวสามารถทำควบคู่กับการตัดพังผืดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาได้ โดยการทำ Subcision หลุมสิว ก็คือการใช้เข็มขนาดเล็กสอดเข้าไปใต้หลุมสิวเพื่อเลาะเอาเนื้อเยื่อส่วนที่ดึงรั้งบริเวณฐานหลุมสิวออก วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเข้าสู่กระบวนการสมานแผลและสร้างคอลลาเจนใหม่ค่ะ
เลเซอร์รักษาหลุมสิว
เลเซอร์เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ทำร่วมกับการฉีดหลุมสิวได้ เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุดค่ะ โดยเลเซอร์ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่
เลเซอร์ Venus Viva MD
เลเซอร์หลุมสิว Venus Viva MD คือเลเซอร์รักษาหลุมสิวที่มีเทคโนโลยี NanoFractional™ Radiofrequency หรือการส่งคลื่นวิทยุผ่านเข้าสู่ชั้นผิวด้วยเข็มที่มีขนาดเล็กเพียงประมาณ 300 นาโนเมตร ซึ่งไม่สร้างความเจ็บปวดระหว่างการรักษาซึ่งต่างจากเลเซอร์ตัวอื่นค่ะ และยังลดโอกาสเกิดผิวไหม้คล้ำ (Hyperpigmentation) หลังทำเลเซอร์ด้วยค่ะ
คลื่นวิทยุที่ถูกส่งผ่านเข้าไปในชั้นผิวด้วยเข็มขนาดเล็กเหล่านี้ จะทำความร้อนเป็นจุดเล็ก ๆ (เรียกว่า Microthermal zone) ซึ่งกระตุ้นกระบวนการสมานแผลของเซลล์ในบริเวณหลุมสิวของเราค่ะ
เลเซอร์ Fractional RF
เลเซอร์หลุมสิว Fractional RF เป็นเลเซอร์อีกหนึ่งตัวที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและการสร้างเซลล์ผิวใหม่ค่ะ โดยที่ EY Clinic จะใช้เลเซอร์ Fractional RF ด้วยเทคนิค Microneedling ค่ะ เทคนิคนี้คือ การใช้เข็มขนาดเล็ก (ขนาด 0.5-3 มิลลิเมตร ซึ่งใหญ่กว่าเข็มของ Venus Viva MD) ทิ่มเข้าไปในชั้นผิวเพื่อสร้างแผลเป็นจุดเล็ก ๆ ที่จะกระตุ้นกระบวนการสมานแผล และยังช่วยให้คลื่น RF เข้าสู่ชั้นผิวได้ลึกและทั่วถึงมากขึ้นด้วยค่ะ
บริการเลเซอร์รักษาหลุมสิว Fractional RF ที่ EY Clinic มีรายละเอียดดังนี้ค่ะ
- Fractional RF (size S) 1 ครั้ง ราคา 4,999.-
- Fractional RF (size M) 2 ครั้ง ราคา 8,999.-
- Fractional RF (size L) ทั่วหน้า 5 ครั้งแถม 1 ครั้ง ราคา 24,995.-
เลเซอร์ Fractional CO2
เลเซอร์หลุมสิว Fractional CO2 คือเลเซอร์ที่ความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร โดยใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวกลางในการแทรกตัวเข้าสู่เซลล์ผิวค่ะ เมื่อเข้าสู่ผิวหนังแล้ว ความร้อนของเลเซอร์จะเข้าไปทำให้น้ำในเนื้อเยื่อร้อนขึ้น ทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการผลิตคอลลาเจน ผลัดเซลล์ผิว และเร่งผลิตเซลล์ผิวใหม่ค่ะ
นอกจากหลุมสิวแล้ว เลเซอร์ Fractional CO2 ยังช่วยแก้ไขปัญหาผิวอย่าง กระ สิวข้าวสาร สิวอุดตันหัวปิดและลบเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณ หน้าผาก รอบดวงตา แก้ม และรอบปากได้ด้วยค่ะ
EY Clinic จะใช้เครื่องเลเซอร์ Fractional CO2 ที่ชื่อว่า “Smooth X” ค่ะ
- SmoothX หลุมสิวที่แก้ม 3,499.- ต่อครั้ง และมีแพ็กเกจ 17,495.- ต่อ 6 ครั้ง
- SmoothX หลุมสิวทั่วหน้า 3,999.- ต่อครั้ง และมีแพ็กเกจ 19,995.- ต่อ 6 ครั้ง
หลังทำเลเซอร์ Fractional CO2 เสร็จแล้ว บริเวณที่ทำจะมีแผลเล็ก ๆ พร้อมกับสะเก็ดแผลเล็กน้อย โดยแพทย์จะทายาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
PRP รักษาหลุมสิว
PRP หรือ Plasma-Rich Platelet เป็นการใช้สารสกัดจากเกล็ดเลือดของตัวเราในการฟื้นบำรุงผิวหน้าค่ะ โดยในเกล็ดเลือดของเราจะมีโปรตีนที่เรียกว่า Growth factor ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน อีลาสติน และเร่งการสมานแผล โดยแพทย์จะเจาะเลือดของเราเพื่อนำไปปั่นและสกัดเกล็ดเลือดออกมา จากนั้นจะฉีดเกล็ดเลือดฉีดเข้าชั้นผิวหนังคล้ายกับการฉีดเมโสหน้าใสค่ะ ซึ่งวิธีนี้นอกจากจะรักษาหลุมสิวได้แล้ว ยังเพิ่มความอ่อนวัย กระชับ และเสริมความแข็งแรงให้กับผิวหน้าได้ด้วยค่ะ
เตรียมตัวก่อนฉีดหลุมสิว
ทั้งการฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์ และ Rejuran S เป็นการรักษาที่มีความเสี่ยงต่ำ ทำได้ง่ายและไม่ต้องการเวลาพักฟื้นค่ะ ซึ่งก่อนเข้ารับการฉีดหลุมสิว เราสามารถเตรียมตัวได้ตามวิธีต่อไปนี้ค่ะ
ก่อนตัดสินใจฉีดหลุมสิว:
- เลือกคลินิกที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ โดยอ่านรีวิวจากผู้เข้ารับบริการจริงและเช็กข้อมูลของคลินิก - เนื่องจากในปัจจุบัน เราสามารถเจอมิจฉาชีพในรูปแบบของหมอกระเป๋า ฟิลเลอร์ปลอม หรือคลินิกที่ไม่ต่อใบอนุญาต ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยควรศึกษาข้อมูลเหล่านี้ก่อนค่ะ
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดหลุมสิว - เพื่อให้มั่นใจว่า เรารู้ถึงข้อจำกัด ราคา วิธีการทำหัตถการ และวิธีดูแลตัวเอง ก่อน-หลัง การรักษาค่ะ
- พูดคุยกับแพทย์ถึงผลลัพธ์ที่คาดหวัง - เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเราที่สุดค่ะ
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัวและยาที่ใช้เสมอ
เตรียมตัวก่อนไปฉีดหลุมสิว:
- หยุดใช้ยาที่มีผลทำให้เลือดแข็งตัวช้า เช่น ยากลุ่ม NSAIDS, กลุ่มยาแก้ปวด คลายกล้ามเนื้อ หรืออาหารเสริมต่าง ๆ ในช่วง 3-4 วันก่อนฉีดหลุมสิว เพื่อลดโอกาสการเกิดอาการบวมช้ำจากเข็มหลังการรักษาค่ะ
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงก่อนฉีดหลุมสิว เนื่องจากแอลกอฮอล์อาจทำให้มีอาการบวมช้ำเข็มรุนแรงขึ้นค่ะ
- งดการทำหัตถการอื่น ๆ เช่น การสครับใบหน้า เลเซอร์ หรือการรักษาอื่น ๆ อย่างน้อย 3 วันก่อนฉีดหลุมสิว
ขั้นตอนการฉีดหลุมสิว
การฉีดหลุมสิวทั้งด้วยฟิลเลอร์และ Rejuran S จะมีขั้นตอนคล้าย ๆ กันค่ะ โดยจะเริ่มจากการแปะยาชาหรือประคบเย็น ก่อนจะเริ่มฉีดค่ะ ซึ่งก่อนฉีด แพทย์ควรจะนำกล่องฟิลเลอร์หรือกล่อง Rejuran S ให้เราดูก่อนที่จะแกะ เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่กำลังจะใช้เป็นผลิตภัณฑ์ของแท้ค่ะ
ผลข้างเคียงหลังฉีดหลุมสิว
ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังฉีดหลุมสิว คือ อาการบวม แดง ช้ำ จากเข็มค่ะ ซึ่งอาการเหล่านี้จะบรรเทาลงไปเองภายใน 2-3 วันหลังการรักษาค่ะ
วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดหลุมสิว
หลังฉีดหลุมสิวแล้ว เราสามารถดูแลตัวเองได้อย่างง่าย ๆ ด้วยวิธีการต่อไปนี้ค่ะ
- ทำความสะอาดใบหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว แต่ควรรอหลังฉีด 4-6 ชั่วโมงก่อนจะล้างหรือเช็ดหน้า
- งดใช้เครื่องสำอางเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อปกป้องกันติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย กิจกรรมออกแดด การอบซาวน่า หรือกิจกรรมใด ๆ ที่ทำให้เลือดสูบฉีดเป็นเวลา 48-72 ชั่วโมงหลังฉีด เพื่อลดการบวมแดงจากเข็ม
ฉีดหลุมสิว ถาวร ต้องฉีดตัวไหน?
สำหรับคนที่ต้องการการฉีดหลุมสิวที่มีผลลัพธ์ถาวร หมอจะแนะนำเป็นตัว Rejuran S ค่ะ เนื่องจาก Rejuran S เป็นสาร Polynucleotide เข้าไปที่กระตุ้นการกระบวนซ่อมแซมหลุมสิวตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นผลลัพธ์ที่ถาวร แต่จะใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เมื่อเทียบกับการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวค่ะ
โดยทั่วไปแล้วการฉีดหลุมสิวด้วย Rejuran S ควรจะเริ่มต้นที่ อย่างน้อย 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 3-4 สัปดาห์ และหลังจากนั้น สามารถฉีดกระตุ้นได้ทุก ๆ 6-12 เดือนค่ะ
ในทางกลับกัน การฉีดหลุมสิวด้วยฟิลเลอร์สามารถให้ผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่เป็นผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร เนื่องจากฟิลเลอร์เป็นเพียงสารไฮยาลูรอนิก แอซิดที่เข้าไปเติมเต็มปริมาตรของหลุมสิวค่ะ ผลลัพธ์จึงจะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือนตามอายุของฟิลเลอร์ค่ะ
รักษาหลุมสิว คืนความเรียบเนียนให้ผิวหน้า ที่ EY Clinic
ที่ EY Clinic เราเข้าใจถึงความท้อใจกับปัญหาหน้าขรุขระ ไม่เรียบเนียนค่ะ เราจึงมุ่งมั่นที่จะคืนความมั่นใจให้คุณผ่านการดูแลรักษาที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล โดยไม่มีการยัดเยียดคอร์สที่ไม่จำเป็น โดยแพ็กเกจรักษาหลุมสิวที่ EY Clinic มีดังนี้ค่ะ
โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size S (4,999.-)
- เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน
โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size M (8,999.-)
- Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
- เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน
โปรแกรมหลุมสิว SmoothSure Size L (18,999.-)
- Subcision หลุมสิว แก้ม 2 ข้าง
- เลเซอร์ Fractional RF กระตุ้นคอลลาเจน
- Rejuran S รุ่นเฉพาะหลุมสิว (1cc)
EY Clinic เป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว และ ชะลอวัย
เพราะเราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์รวมกันมากกว่า 30 ปี นำทีมโดย หมอผึ้ง (พญ.พัจนภา เวชอนุรักษ์) แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง สถาบันโรคผิวหนัง Board of Dermatology and Dermatosurgery และ หมอโบว์ (พญ. พันธลี ชื่นสัมพันธ์) เวชศาสตร์ชะลอวัย American Board of Anti-Aging & Regenerative Medicine แพทยศาสตรบัณฑิตโรงพยาบาลรามาธิบดียินดี ให้คำปรึกษาและช่วยดูแลให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีมากขึ้นค่ะ
แวะมาพูดคุย ปรึกษาปัญหาผิวกับหมอผึ้ง หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ @EYClinicTH ค่ะ