วิตามินบำบัด

บำรุงผิวขาว, ป้องกันภูมิแพ้และสิว, ฟื้นฟูผิว, ดีท็อกซ์, เพิ่มคอลลาเจน, เสริมการทำงานของสมอง, และรักษาออฟฟิศซินโดรม
ฉีดวิตามินผิวขาว กี่ครั้งเห็นผล – ข้อควรรู้เรื่องวิตามินบำบัด (Vitamin Therapy)
วิตามินบำบัด
ฉีดวิตามินผิวขาว กี่ครั้งเห็นผล – ข้อควรรู้เรื่องวิตามินบำบัด (Vitamin Therapy)

การฉีดวิตามินผิว คืออะไร

การฉีดวิตามินผิวหรือวิตามินบำบัด เป็นการให้วิตามินแก่ร่างกายโดยใช้วิธีการเหมือนการให้น้ำเกลือค่ะ หรือที่เรียกกันว่า IV Drip Vitamin Therapy วิธีนี้คือการป้อนวิตามินต่าง ๆ เข้าสู่ระบบไหลเวียนของเลือดโดยตรง ซึ่งเมื่อเทียบกับการทานวิตามินเสริมแล้ว การฉีดวิตามินจะทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่าและนำวิตามินไปใช้ได้มากกว่า ที่สำคัญ ยังเห็นผลลัพธ์ได้เร็วกว่าการทานวิตามินเสริมด้วยค่ะ

การฉีดวิตามินผิว หรือฉีดผิวขาว ใช้วิตามินอะไร

เราอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการฉีดวิตามินผิวขาว หรือรีวิวฉีดผิวขาวด้วยวิตามินมาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่ทราบว่า ฉีดวิตามินอะไร แล้วช่วยให้ผิวขาวขึ้นมาได้จริงหรือไม่

วิตามินสำคัญที่ช่วยให้ผิวขาวใสคือ วิตามินซี ค่ะ

วิตามินซี หรือ กรดแอสคอบิก (Ascorbic acid) ขึ้นชื่อว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอกอย่าง ฝุ่นควัน มลภาวะ และรังสียูวี เสริมสร้างให้ผิวแข็งแรงและชะลอความแก่ วิตามินซียังมีสรรพคุณในการยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน ซึ่งช่วยลบเลือนจุดด่างดำและฝ้า นอกจากนี้ ยังช่วยซ่อมแซมผิวส่วนที่ถูกทำร้ายจากแสงแดดด้วยค่ะ

วิตามินซียังเป็นองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการผลิตคอลลาเจนในทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งตัวคอลลาเจนที่เป็นส่วนที่ช่วยอุ้มน้ำให้กับเซลล์และเพิ่มความยืดหยุ่น ทำให้ผิวชุ่มชื้น เต่งตึงดูมีสุขภาพดีค่ะ

ฉีดวิตามินผิว ช่วยอะไรบ้าง

หลายคนอาจจะสงสัยว่า การฉีดวิตามินผิวมีสรรพคุณนอกเหนือจากเรื่องผิวขาวใสหรือไม่ หมอตอบได้เลยค่ะว่า ช่วยได้มากกว่าเรื่องความกระจ่างใสผิวแน่นอน เพราะการฉีดวิตามินหรือวิตามินบำบัดนั้นมีอยู่หลายสูตรด้วยกัน นอกจากให้ผิวขาวแล้ว วิตามินบำบัดยังช่วย:

  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั้งใต้ชั้นผิวหนัง กระดูก และฟัน
  • ลดอาการภูมิแพ้ เสริมภูมิคุ้มกัน และป้องกันเซลล์จากสารอนุมูลอิสระ
  • การดีท็อกซ์ของเสีย ขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยให้ตับทำงานได้ขึ้น
  • ปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหาร
  • ส่งเสริมการทำงานของสมองส่วนความรู้ความเข้าใจ (Cognitive function)
  • ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ เมื่อยล้า อ่อนเพลีย รวมถึงอาการออฟฟิศซินโดรม
  • ทำให้รู้สึกสดชื่นและแอคทีฟมากขึ้น

อย่างที่หมอกล่าวไปว่าการฉีดวิตามินนั้นทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินได้ดีและให้ผลลัพธ์ได้เร็วกว่าการทานวิตามินเสริม ทรีตเมนต์ตัวนี้จะตอบโจทย์กลุ่มคนที่ต้องการการฟื้นฟูร่างกายของตัวเองแบบเร่งด่วน

การฉีดวิตามินผิว เหมาะกับใครบ้าง

  • คนที่ต้องการฟื้นฟูผิวและรีเฟรชร่างกายแบบรวดเร็ว
  • คนที่มีอาการภูมิแพ้บ่อย หรือเป็นหวัดง่าย
  • คนที่ผิวหมองคล้ำ แห้งกร้าน และต้องการการฟื้นฟูที่เห็นผลได้ไวกว่าการทาครีมบำรุง
  • คนที่ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลตัวเอง มีเวลาพักผ่อนน้อย จนทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเอเนอจี้อยู่เสมอ

ฉีดวิตามินผิว กี่ครั้งเห็นผล

ได้รู้สรรพคุณข้อดีของวิตามินบำบัดไปแล้ว เรามาไขข้อสงสัยคำถาม ฉีดวิตามินผิว กี่ครั้งเห็นผล กันค่ะ

โดยทั่วไปแล้ว ผลของการฉีดวิตามินผิวอาจจะรู้สึกได้หลังฉีดวิตามินเพียง 1 ครั้ง โดยอาจสัมผัสได้ว่าผิวมีความชุ่มชื้นและผ่องใสมากขึ้น เนื่องจากวิตามินเข้มข้นถูกซึมซับเข้าไปใช้งานตามส่วนต่างของร่างกายอย่างรวดเร็ว

แต่วิตามินฉีดผิวเหล่านี้ เป็นวิตามินชนิดละลายในน้ำ (Water Soluble Vitamins) ทำให้ถูกขับถ่ายออกจากร่างกายได้ง่าย ผลของวิตามินบำบัดจึงอยู่ได้เพียง 2 สัปดาห์ จึงควรมีการฉีดอย่างต่อเนื่องอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและดีที่สุด

ฉีดวิตามินผิว ควรเว้นกี่วัน

สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มฉีด หมอจะแนะนำให้เริ่มฉีดวิตามินผิวสัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่ละครั้งจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 30 นาที ผลได้ชัดเจนภายใน 3 สัปดาห์ โดยจะรู้สึกได้ว่าผิวมีความเนียนใส มีความชุ่มชื้น และร่างกายรู้สึกตื่นตัว มีพลังงานมากขึ้น หลังจากฉีดติดต่อกัน 5 ครั้ง ก็สามารถปรับตารางเป็นฉีดเพียงเดือนละ 1 ครั้งได้ค่ะ

แต่อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์ตรงนี้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและสูตรวิตามินที่รับด้วยค่ะ

ฉีดวิตามินผิว ที่ EY Clinic ปลอดภัย ไม่เจือจางยา

อย่างที่กล่าวไปค่ะว่า วิตามินที่ให้บริการก็มีหลายสูตรด้วยกัน ซึ่งแต่ละสูตรก็ถูกออกแบบมาเพื่อผลลัพธ์ที่ต่างกัน อย่างเช่น สูตร snow white ที่เน้นฟื้นฟูผิวให้ขาวและชุ่มชื้น หรือ สูตร liver detox ที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของตับและล้างสารพิษออกจากร่างกาย และอีกมากมาย โดยจะแบ่งแพ็กเกจการฉีดเป็น 1 ครั้ง 6 ครั้ง และ 13 ครั้ง ตามตัวอย่างดังนี้ค่ะ

snow white; 799 บาท/1 ครั้ง; 3,995บาท/ 6 ครั้ง; 7,990บาท/13 ครั้ง

liver detox; 2,599 บาท/1 ครั้ง;12,995บาท/ 6 ครั้ง; 26,990บาท/13 ครั้ง

ซึ่งที่ EY Clinic ก็จะมีหมอโบว์ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟู (American Academy of Anti-Aging) เป็นผู้ดูแลสูตรและให้คำปรึกษากับทุกคนที่เข้ารับการฉีดวิตามินค่ะ โดยคลินิกของเรารับประกันเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย และยังรับประกันความพึงพอใจของผู้เข้ารับบริการด้วยค่ะ โดยเราจะไม่มีการเจือจางยา ไม่มีการขายแบบยัดเยียด และยังดูและติดตามผลการรักษาอย่างใส่ใจเพื่อให้มั่นใจว่าคุณแฮปปี้กับบริการของเราค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว

ฉีดวิตามินผิวขาว กี่ครั้งเห็นผล – ข้อควรรู้เรื่องวิตามินบำบัด (Vitamin Therapy)
Dr. Pantalee Chuensampan
Mar 11, 2024
กู้ผิวด้วย 6 วิธีทำให้ผิวขาว ใส เปล่งปลั่ง ที่ทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน
วิตามินบำบัด
กู้ผิวด้วย 6 วิธีทำให้ผิวขาว ใส เปล่งปลั่ง ที่ทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน
ในบทความนี้ หมอจะพาไปเจาะลึกปัญหาผิวที่หมองคล้ำทำให้เราดูสุขภาพไม่ดี และทำให้เราขาดความมั่นใจ มาดูกันว่าสาเหตุของผิวหมองคล้ำคืออะไร และเราจะมีวิธีทำให้ผิวขาวใสได้อย่างไรบ้างค่ะ

ในบทความนี้ หมอจะพาไปเจาะลึกปัญหาผิวที่หมองคล้ำทำให้เราดูสุขภาพไม่ดี และทำให้เราขาดความมั่นใจ มาดูกันว่าสาเหตุของผิวหมองคล้ำคืออะไร และเราจะมีวิธีทำให้ผิวขาวใสได้อย่างไรบ้างค่ะ

สาเหตุของผิวหมองคล้ำ

ปัจจัยที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส ดูไม่มีน้ำมีนวล มีอยู่มากมายค่ะ ทั้งปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรม ซึ่งหมอจะขอยกตัวอย่าง 3 ปัจจัยหลักของผิวหมองคล้ำที่ส่งผลกระทบกับคนวันทำงานมากที่สุดค่ะ

แสงแดด รังสียูวี

ปัจจัยหลักที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ ไม่ใช่สิ่งอื่นเป็นแต่เป็น แสงแดด ค่ะ หากพูดถึงสภาพอากาศในประเทศไทยแล้ว เรียกได้ว่าจะเดินทางอย่างไรก็เจอแดดค่ะ ซึ่งรังสียูวีเป็นตัวการทำให้เซลล์ผิวสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินออกมามากขึ้น (Melanin) ส่งผลผิวคล้ำลง นอกจากนี้ยังเร่งกระบวนการการแก่ตัวของผิว ทำลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิว และทำให้จุดด่างดำเข้มและเด่นชัดขึ้นด้วยค่ะ

การพักผ่อนไม่เพียงพอ

การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมามากกว่าปกติ ซึ่งคอร์ติซอลทำให้ผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส และไม่ชุ่มชื้น การนอนไม่พอยังทำให้ผิวเสียสมดุล เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ ทำให้ถูกทำร้ายจากแสงแดดและมลภาวะได้ง่าย ๆ และยังทำให้รบกวนกระบวนการผลัดเซลล์ผิว นอกจากนี้การนอนไม่พอยังทำให้ขอบตาคล้ำ เนื่องจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอทำให้เลือกไหลเวียนไม่ได้ ส่งผลให้หลอดเลือดใต้ตาขยายตัวและทำให้บริเวณใต้ตาบวมด้วยค่ะ

แสงสีฟ้าจากหน้าจอมือถือและคอมพิวเตอร์

แสงสีฟ้า นอกจากจะรบกวนการนอนของเราแล้วยังรบกวนการทำงานของเซลล์ผิวด้วยค่ะ โดยงานวิจัย The impact of blue light and digital screens on the skin จาก Journal of Cosmetic Dermatology ในปี 2023 ระบุไว้ว่า แสงสีฟ้าจากหน้าจอมีส่วนในการเร่งกระบวนการแก่ตัวของผิวและทำให้ผิวหมองคล้ำได้ โดยแสงสีฟ้าทำให้เกิดการปล่อยสารอนุมูลอิสระ (Free radicals) ในชั้นผิวซึ่งทำให้เซลล์อักเสบเสียหาย ซ่อมแซมตัวเองได้ช้า และกระตุ้นให้การเกิดสร้างเม็ดสีเมลานินด้วยค่ะ

6 วิธีทำให้ผิวขาว กระจ่างใส สุขภาพดี

มาดู 6 วิธีทำให้ผิวขาวภายใน 7 วันที่ทำได้ที่บ้านของคุณเอง หมอบอกเลยค่ะว่า แค่ลองทำ 6 วิธีง่าย ๆ นี้ก็สามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของผิวแล้วค่ะ

ดื่มน้ำให้เพียงพอ

การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและมีความกระจ่างใสค่ะ น้ำเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ โดยเฉพาะกระบวนการสมานแผลและการผลัดเซลล์ผิว การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันยังช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น เต่งตึง และช่วยปรับสีผิวให้เสมอกันได้ด้วยค่ะ

โดยองค์กร US National Academies of Sciences, Engineering, and Medicine แนะนำว่า ผู้ชายควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย วันละ 3-4 ลิตร และ ผู้หญิง 2-3 ลิตรค่ะ และดื่มเป็นน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มที่ไม่เติมน้ำตาลนะคะ คนที่ชอบดื่มชานมไข่มุก หรือโกโก้ เป็นชีวิตจิตใจ อาจต้องชั่งใจสักหน่อยเพราะน้ำตาลในเครื่องดื่มเหล่านี้ส่งผลทำให้ผิวของเราแก่เร็วและเป็นสิวได้ง่ายค่ะ หากสามารถลดปริมาณลงได้ก็จะเป็นผลดีต่อร่างกายและผิวของเราค่ะ

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

ข้อนี้หลายคนอาจจะมองข้ามไป แต่การป้อนอาหารที่มีประโยชน์ให้ร่างกายเป็นหนึ่งในวิธีทำให้ผิวขาวใสที่ทำได้ง่ายที่สุดค่ะ หมอผึ้งจะย้ำอยู่เสมอว่า อาหารที่มีไขมันเยอะ มีน้ำตาลสูง อาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูป (Processed food และ Ultra-proceed food) และขนมขบเคี้ยว ส่งผลให้ผิวของเราหมองคล้ำ ทำให้ผิวมัน เกิดสิวง่าย และอักเสบง่าย นอกจากนี้อาหารเหล่านี้ยังย่อยยาก มีสารอาหารไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวของเราดูไม่หมอง ไม่ผ่องใส และมีผดผื่นด้วยค่ะ

ในทางกลับกัน ผักสด ผลไม้ และอาหารปรุงสุกโดยไม่มีการปรุงแต่ง (Whole food) เป็นอาหารที่เป็นมิตรต่อระบบย่อยอาหารของเรา ให้เกลือแร่และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบของเซลล์ เสริมสร้างผิวให้แข็งแรง และเปล่งปลั่งขึ้นมาได้ค่ะ

พักผ่อนให้เพียงพอ

ช่วงเวลานอนเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นเราควรให้ความสำคัญต่อการนอนให้เพียงพอในแต่ละวัน การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอจะส่งผลร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมา นั้นก็คือ คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งคอร์ติซอลที่สูงจะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ทำให้เซลล์เกิดการอักเสบ เป็นสิวง่าย ใต้ตาคล้ำ ผิวหมองคล้ำดูไม่สดใส นอกจากนี้ยังทำให้ผิวแห้งและแก่เร็วด้วยค่ะ

สครับผิว สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

การสครับผิวนอกจากจะเป็นวิธีทำให้ผิวขาวที่ทำได้ง่าย ๆ ที่บ้านแล้วยังเป็นวิธีผ่อนคลายร่างกายที่ดีด้วยค่ะ การสครับผิวช่วยในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิว ช่วยกำจัดสิ่งสกปรกตกค้างและเซลล์ที่ตายแล้วออก ก่อนเผยผิวใหม่ที่ขาวใส อีกทั้งยังช่วยให้จุดด่างดำและรอยแผลเป็นดูจางลง นอกจากนี้ยังทำให้ผิวดูดซับสกินแคร์ได้มากขึ้นด้วยค่ะ

ไม่ว่าคุณจะชอบสครับผิวด้วยผลิตภัณฑ์แบรนด์ต่าง ๆ หรือ ชอบสครับสูตรธรรมชาติ อย่าง สครับสูตรกาแฟ-โยเกิร์ต หรือสครับมะขามเปียก ก็ต้องอย่าลืมว่า การสครับผิวบ่อยเกินไปจะทำให้ผิวแห้งกร้าน และสครับบางตัวก็อาจไม่เหมาะกับผิวของเรา ฉะนั้นทุกครั้งหลังจากสครับผิว จึงควรจะบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ และอย่าลืมสังเกตการเปลี่ยนแปลงของผิวตัวเองด้วยค่ะ

บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ และทากันแดดเป็นประจำ

ความชุ่มชื้นเป็นปัจจัยสำคัญของผิวทีแข็งแรงและกระจ่างใส การบำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ก็เหมือนเป็นการล็อกความชุ่มชื้นให้ผิว และเสริมเกราะป้องกันให้ผิวต่อมลภาวะในอากาศด้วยค่ะ

และ ครีมกันแดด ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับคนที่อยากมีผิวขาว ถึงแม้จะหลีกเลี่ยงแดดอย่างเต็มที่แล้ว ก็อาจจะยังถูกทำร้านด้วยรังสียูวีอยู่ดี รังสียูวีนอกจากจะทำให้ผิวคล้ำแล้วยังทำลายโครงสร้างของผิว ทำให้คอลลาเจนสลายตัว ส่งผลให้ผิวขาดความชุ่มชื้นและแก่เร็ว ฉะนั้นการทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านจึงเป็นวิธีทำให้ผิวขึ้นที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ ค่ะ

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Whitening

ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Whitening เป็นอีกหนึ่งสูตรลับผิวขาวที่จะช่วยให้ผิวพรรณของคุณสดใสอย่างที่ต้องการได้ค่ะ โดย Whitening ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของไฮโครควินีน (Hydroquinone), โคจิก แอซิด (Kojic acid),อาร์บูติน (Arbutin), และวิตามินซี ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวยับยั้งการเกิดของเม็ดสีเมลานิน (Melanin) จึงช่วยให้ผิวของขาวขึ้นค่ะ

นอกจากความสามารถในการยับยั้งเมลานินแล้ว Whitening มี AHA และ BHA ที่ช่วยในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิว และมักจะสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง วิตามินอี หรือ อาซินาไมด์ (Niacinamide) ที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันไม่ให้ผิวหมองคล้ำจากแสงแดดและมลภาวะอีกด้วยค่ะ

ผลิตภัณฑ์ Whitening บางตัวยังสามารถช่วยเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยส่วนประกอบของ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) และ เซราไมด์ (Cermamide) ทำให้ผิวดูใส ฉ่ำ และปรับสีผิวให้เสมอกันด้วยค่ะ

ฉีดวิตามินผิวขาว: สูตรลับผิวขาวแบบเร่งด่วน

นอกจาก 6 วิธีทำให้ผิวขาวที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ผิวขาวขึ้นภายใน 7 วันได้ นั่นก็คือการ ฉีดวิตามินผิว หรือ IV Drip Vitamin Therapy ค่ะ วิธีนี้จะเป็นการป้อนวิตามินที่มีประโยชน์เข้าสู่กระแสเลือดโดยไม่ต้องผ่านการดูดซึมทางระบบย่อยอาหาร ทำให้ร่างกายนำวิตามินไปใช้ได้ทันทีและได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วค่ะ

วิตามินหลักที่ใช้ในทรีตเมนต์ฉีดผิวขาว จะเป็น วิตามินซี ซึ่งมีสรรพคุณในการยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ปกป้องผิวจากฝุ่นควัน-มลภาวะ และยังช่วยซ่อมแซมผิวส่วนที่ถูกทำร้ายจากรังสียูวีค่ะ

ข้อดีและข้อเสียของการฉีดผิวขาว

ข้อดี: ได้ผลรวดเร็ว ทำให้ผิวขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการการบำรุงเร่งด่วน

ข้อเสีย: ควรฉีดเป็นประจำเพื่อคงผลลัพธ์ และควรเลือกฉีดกับคลินิกที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้

ที่ EY Clinic เราก็จะมี วิตามินสูตรผิวขาวหลายตัวที่เหมาะกับคนที่ผิวหมองคล้ำ แห้งกร้านแต่ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลตัวเองค่ะ ราคาเริ่มต้นที่ 799 บาท/ครั้ง ค่ะ

  • snow white เริ่มต้นที่ 799 บาท/1 ครั้ง
  • healthy & white เริ่มต้นที่ 1,299 บาท/1 ครั้ง
  • precious white เริ่มต้นที่ 1,999 บาท/1 ครั้ง
  • superglow เริ่มต้นที่ 2,199 บาท/1 ครั้ง
  • white booster เริ่มต้นที่ 2,499 บาท/1 ครั้ง
  • ultimate bright เริ่มต้นที่ 2,599 บาท/1 ครั้ง
  • iv cocktail (healthy & precious white) เริ่มต้นที่ 2,799 บาท/1 ครั้ง

โดยสูตรที่ยอดนิยมที่สุดก็จะเป็นตัว iv cocktail ซึ่งจะเป็นสูตรผสมระหว่าง healthy & white และ precious white ค่ะ หลังจากฉีดแล้วจะสัมผัสได้ว่าผิวมีความชุ่มชื้นและกระจ่างใสเปล่งปลั่งมากขึ้น

ควรฉีดวิตามินผิวขาวบ่อยแค่ไหน

ในช่วงแรกของการฉีดวิตามินผิวขาว เราสามารถฉีดได้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเดือนละ 2-3 ครั้งตามความสะดวก เพื่อคงผลลัพธ์ค่ะ

ปรับผิวหมอง ให้ขาวใส ที่ EY Clinic

ไม่ว่าจะเป็นวิธีทำให้ผิวขาวสูตรไหน หมอขอย้ำนะคะ ว่า ความสม่ำเสมอ คือกุญแจดอกสำคัญของผิวที่ผ่องใสและสุขภาพดีอย่างยั่งยืนค่ะ การให้ความสำคัญกับสุขภาพผิว ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผิวของคุณแข็งแรงขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองได้ด้วยค่ะ

ที่ EY Clinic เราใส่ใจในทุกแง่มุมของทั้ง Skin และ Wellness ค่ะ ซึ่งทรีตเมนต์วิตามินผิวขาวที่เรามีเป็นหนึ่งในบริการทางด้าน Wellness ดูแลโดยหมอโบว์ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟู จาก American Academy of Anti-Aging และพร้อมให้คำปรึกษาและอยู่กับคุณทุกสเต็ปของการฟื้นฟูร่างกายและผิวของคุณค่ะ แวะเข้ามาคุยกับหมอโบว์ได้ที่ EY Clinic ค่ะ

รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาตร์ชะลอวัยแล้ว

กู้ผิวด้วย 6 วิธีทำให้ผิวขาว ใส เปล่งปลั่ง ที่ทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน
Dr. Pantalee Chuensampan
Mar 8, 2024
เหนื่อยล้า ผมร่วง ไม่สดใส ใช่อาการของการขาดวิตามินหรือไม่
วิตามินบำบัด
เหนื่อยล้า ผมร่วง ไม่สดใส ใช่อาการของการขาดวิตามินหรือไม่
เราคงได้ยินกันมาตั้งแต่เล็กว่า ผักผลไม้อุดมไปด้วยวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่เคยสงสัยไหมคะ ว่าวิตามินคืออะไรกันแน่ แล้ววิตามินแต่ละตัวมีหน้าที่อะไร หากขาดวิตามิน จะมีอาการแบบไหน และอะไรทำให้เราขาดวิตามิน มาหาคำตอบกันในบทความนี้ค่ะ

เราคงได้ยินกันมาตั้งแต่เล็กว่า ผักผลไม้อุดมไปด้วยวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่เคยสงสัยไหมคะ ว่าวิตามินคืออะไรกันแน่ แล้ววิตามินแต่ละตัวมีหน้าที่อะไร หากขาดวิตามิน จะมีอาการแบบไหน และอะไรทำให้เราขาดวิตามิน มาหาคำตอบกันในบทความนี้ค่ะ

วิตามิน (Vitamin) คืออะไร

หมอคิดว่า เราคงคุ้นชินกับคำพูดประมาณว่า ผักผลไม้อุดมไปด้วยวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายนะคะ แต่จริงๆ แล้ววิตามินคืออะไรกันแน่ อธิบายง่ายๆ วิตามิน (Vitamin) ก็คือ สารประกอบที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายตั้งแต่ระดับเซลล์ และจัดเป็น Micronutrient หรือสารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน ร่างกายมีความต้องการในปริมาณที่ไม่มาก แต่หากร่างกายขาดวิตามินแล้วก็จะทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ และหากขาดวิตามินเป็นเวลานานก็อาจจะทำให้ร่างกายบกพร่องได้ค่ะ

วิตามิน แบ่งออกเป็นกี่ประเภท

เราจำแนกวิตามินออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันค่ะ

วิตามินประเภทละลายน้ำ (Water-soluble) ได้แก่ วิตามิน B ทุกชนิด และวิตามิน C

วิตามินที่ละลายในน้ำถูกดูดซึมที่ผ่านลำไส้เล็ก เข้ากระแสเลือดโดยตรง กักเก็บในร่างกายได้ในปริมาณที่ไม่เยอะมาก และถูกขับออกจากร่างกายได้ง่าย

วิตามินประเภทละลายในไขมัน (Fat-soluble) ได้แก่ วิตามิน A วิตามิน D วิตามิน E และ วิตามิน K

วิตามินที่ละลายในไขมันจะถูกดูดซึมพร้อมกับไขมัน และกักเก็บในเซลล์ไขมันของร่างกาย ทำให้เก็บได้ในปริมาณที่เยอะและเป็นเวลานาน

เรามาดูวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย และบทบาทคร่าวๆ ของวิตามินแต่ละตัวกันค่ะ

วิตามิน A (Retinol) มีความจำเป็นต่อการมองเห็น ระบบภูมิคุ้มกัน และสุขภาพผิว พบมากในเนื้อปลา ตับ และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนม

วิตามิน B ที่จำเป็นต่อร่างกายมีอยู่ด้วยกัน 8 ชนิด

  • B1 (thiamin) มีบทบาทในการทำงานของระบบประสาท
  • B2 (riboflavin) มีความสำคัญต่อกระบวนการผลิตเม็ดเลือดแดง
  • B3 (niacin) มีความสำคัญต่อการซ่อมแซม DNA
  • B5 (pantothenic acid) มีความจำเป็นต่อการผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย
  • B6 (pyridoxine) มีความจำเป็นต่อการผลิตสารสื่อประสาทและการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาท
  • B7 (biotin) ช่วยเรื่องการเผาผลาญ และดูแลรักษาระบบประสาท พบได้ในถั่ว ไข่แดง และผักบางชนิด
  • B9 (folate หรือ folic acid) มีบทบาทในเรื่องของการผลิตและซ่อมแซมดีเอ็นเอ ช่วยในการผลิตเม็ดเลือดแดง และจำเป็นต่อการพัฒนาของทารกในครรภ์ พบได้มากในผัก เช่น ดอกกระหล่ำ บรอกโคลี และผักโขม
  • B12 (cyanocobalamin) มีความสำคัญต่อกระบวนการผลิตเม็ดเลือดแดงและการทำงานของระบบประสาท พบได้ในเนื้อสัตว์ เนื้อปลา และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนม

วิตามิน C (Ascorbic acid) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีบทบาทในระบบภูมิคุ้มกัน และจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน พบมากในผลไม้ตระกูลส้ม เบอร์รี่ และผักใบเขียว

วิตามิน D (Calciferols) มีความจำเป็นต่อการดูดซึมแคลเซียมในร่างกาย ช่วยเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรง มีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน และมีผลต่ออารมณ์

วิตามิน E (Tocopherol) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว พบได้มากในถั่ว และผักใบเขียว

วิตามิน K (Phylloquinone) มีความสำคัญต่อการแข็งตัวของเลือด ระบบเลือด และกระดูก พบได้มากในผักใบเขียว

สาเหตุของการขาดวิตามิน

ทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่

จะเห็นได้ว่าวิตามินที่ร่างกายต้องการจะอยู่ในอาหารหลากหลายประเภท ซึ่งการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่โดยมีความหลากหลายของอาหารในแต่ละมื้อจะทำให้เราได้รับวิตามินอย่างครบถ้วน แต่ในปัจจุบัน ไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบอาจจะไม่เอื้ออำนวยต่อการทานอาหารที่มีความหลากหลาย และการทานผักผลไม้อาจจะเป็นสิ่งที่หลายๆ คนมองข้ามไปค่ะ

ทานอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิต (Processed food) 

อาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตอย่าง เช่น อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง ซีเรียล ไส้กรอก ขนมหวาน และขนมขบเคี้ยว ย่อมมีคุณค่าทางอาหารน้อยกว่าอาหารสด แต่มักเป็นตัวเลือกที่ง่ายสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาทำอาหาร และเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายขาดวิตามินหากรับประทานเป็นประจำค่ะ

การดื่มแอลกอฮอล์

แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ต่อต้านการดูดซึมของวิตามินค่ะ คนที่ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและเป็นประจำมักจะขาดวิตามิน A,วิตามิน B6, Folate และ Thiamine ค่ะ

การใช้ยาบางประเภท

ยาบางประเภทส่งผลทำให้ร่างกายขาดวิตามินได้ค่ะ อาทิ เช่น Wafarin ซึ่งเป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือดสำหรับผู้ที่มีโรคหัวใจเต้นไม่ปกติ โรคเส้นเลือดขอด และผู้ที่ใส่ลิ้นหัวใจเทียม อาจทำให้ผู้ที่ใช้ยาขาดวิตามิน E และวิตามิน K ซึ่งในกรณีนี้ จำเป็นต้องใช้วิตามินอาหารเสริม (Vitamin Supplement) เข้ามาเป็นตัวช่วย และควรมีพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอค่ะ

อายุและปัจจัยทางพันธุกรรม

อายุที่มากขึ้นทำให้ความสามารถในการย่อยและดูดซึมอาหารลดลง และปัจจัยทางพันธุกรรมก็อาจะส่งผลทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินและสารอาหารต่าง ๆ ได้น้อยค่ะ ซึ่งวิตามินอาหารเสริมก็จะช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้ค่ะ

สัญญาณของการขาดวิตามิน อาการแบบไหนที่ควรเฝ้าระวัง

สัญญาณของการขาดวิตามินที่พบได้บ่อย มีดังนี้ค่ะ

  • รู้สึกเหนื่อยล้า ไม่ค่อยมีพลังงาน
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ข้อและกระดูก
  • ผมร่วง หรือขาดง่าย
  • เล็บเปราะและฉีก
  • เลือดออกตามไรฟัน
  • ปากแห้งแตก มุมปากเป็นแผล หรือมีแผลในช่องปาก

โดยทั่วไปแล้ว อาการของการขาดวิตามินจะเป็นอาการที่ไม่รุนแรง ทำให้หลาย ๆ คนไม่ได้สังเกตค่ะ ซึ่งหากคุณเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ค่อยมีเวลาให้ตัวเอง มีอาการเหนื่อยล้า ไม่สดชื่น หรือมีอาการข้างต้น สามารถลองเข้ามาพูดคุยและตรวจวัดระดับวิตามินที่ EY Clinic ได้ค่ะ

ตรวจวิตามินและแร่ธาตุ ที่ EY Clinic

โปรแกรมตรวจ Micronutrient profile + Vitamin (19) เป็นบริการทางด้าน Wellness ของ EY Clinic ซึ่งประกอบไปด้วย

  • ตรวจร่างกายโดยแพทย์
  • ตรวจระดับวิตามินและแร่ธาตุ 19 ชนิด
  • รายงานผลและให้คำปรึกษา 

ในราคา 14,999 บาท

โดยโปรแกรมนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการทำงานของร่างกายของคุณ สำรวจดูความสมดุลของสารอาหารต่าง ๆ และนำความข้อมูลที่ได้ไปช่วยในการปรับเปลี่นพฤติกรรมเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นค่ะ โดยจะมีหมอโบว์ แพทย์เฉพาะทางเฉพาะทางเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-aging medicine) เป็นผู้ดูแลให้คำปรึกษากับคุณแบบแต่ปัจเจก ไม่มีการขายอาหารเสริมหรือทรีตเมนต์ที่ไม่จำเป็น ให้คุณเริ่มดูแลตัวเองง่ายๆ ที่ EY Clinic ค่ะ

รีวิวจากผู้รับบริการจริง

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาตร์ชะลอวัยแล้ว

เหนื่อยล้า ผมร่วง ไม่สดใส ใช่อาการของการขาดวิตามินหรือไม่
Dr. Pantalee Chuensampan
Mar 8, 2024
เราอยากให้คุณดูดี และรู้สึกดีทุกวัน
เรามีทรีตเมนต์หลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของคุณ ตั้งแต่การดูแลผิวไปจนถึงโภชนาการ เรามีทุกสิ่งที่คุณต้องการเพื่อให้คุณรู้สึกดีที่สุด