วิตามินบำบัด
การฉีดวิตามินผิว คืออะไร
การฉีดวิตามินผิวหรือวิตามินบำบัด เป็นการให้วิตามินแก่ร่างกายโดยใช้วิธีการเหมือนการให้น้ำเกลือค่ะ หรือที่เรียกกันว่า IV Drip Vitamin Therapy วิธีนี้คือการป้อนวิตามินต่าง ๆ เข้าสู่ระบบไหลเวียนของเลือดโดยตรง ซึ่งเมื่อเทียบกับการทานวิตามินเสริมแล้ว การฉีดวิตามินจะทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่าและนำวิตามินไปใช้ได้มากกว่า ที่สำคัญ ยังเห็นผลลัพธ์ได้เร็วกว่าการทานวิตามินเสริมด้วยค่ะ

การฉีดวิตามินผิว หรือฉีดผิวขาว ใช้วิตามินอะไร
เราอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการฉีดวิตามินผิวขาว หรือรีวิวฉีดผิวขาวด้วยวิตามินมาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่ทราบว่า ฉีดวิตามินอะไร แล้วช่วยให้ผิวขาวขึ้นมาได้จริงหรือไม่
วิตามินสำคัญที่ช่วยให้ผิวขาวใสคือ วิตามินซี ค่ะ
วิตามินซี หรือ กรดแอสคอบิก (Ascorbic acid) ขึ้นชื่อว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอกอย่าง ฝุ่นควัน มลภาวะ และรังสียูวี เสริมสร้างให้ผิวแข็งแรงและชะลอความแก่ วิตามินซียังมีสรรพคุณในการยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน ซึ่งช่วยลบเลือนจุดด่างดำและฝ้า นอกจากนี้ ยังช่วยซ่อมแซมผิวส่วนที่ถูกทำร้ายจากแสงแดดด้วยค่ะ
วิตามินซียังเป็นองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการผลิตคอลลาเจนในทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งตัวคอลลาเจนที่เป็นส่วนที่ช่วยอุ้มน้ำให้กับเซลล์และเพิ่มความยืดหยุ่น ทำให้ผิวชุ่มชื้น เต่งตึงดูมีสุขภาพดีค่ะ
ฉีดวิตามินผิว ช่วยอะไรบ้าง
หลายคนอาจจะสงสัยว่า การฉีดวิตามินผิวมีสรรพคุณนอกเหนือจากเรื่องผิวขาวใสหรือไม่ หมอตอบได้เลยค่ะว่า ช่วยได้มากกว่าเรื่องความกระจ่างใสผิวแน่นอน เพราะการฉีดวิตามินหรือวิตามินบำบัดนั้นมีอยู่หลายสูตรด้วยกัน นอกจากให้ผิวขาวแล้ว วิตามินบำบัดยังช่วย:
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั้งใต้ชั้นผิวหนัง กระดูก และฟัน
- ลดอาการภูมิแพ้ เสริมภูมิคุ้มกัน และป้องกันเซลล์จากสารอนุมูลอิสระ
- การดีท็อกซ์ของเสีย ขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยให้ตับทำงานได้ขึ้น
- ปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหาร
- ส่งเสริมการทำงานของสมองส่วนความรู้ความเข้าใจ (Cognitive function)
- ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ เมื่อยล้า อ่อนเพลีย รวมถึงอาการออฟฟิศซินโดรม
- ทำให้รู้สึกสดชื่นและแอคทีฟมากขึ้น

อย่างที่หมอกล่าวไปว่าการฉีดวิตามินนั้นทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินได้ดีและให้ผลลัพธ์ได้เร็วกว่าการทานวิตามินเสริม ทรีตเมนต์ตัวนี้จะตอบโจทย์กลุ่มคนที่ต้องการการฟื้นฟูร่างกายของตัวเองแบบเร่งด่วน
การฉีดวิตามินผิว เหมาะกับใครบ้าง
- คนที่ต้องการฟื้นฟูผิวและรีเฟรชร่างกายแบบรวดเร็ว
- คนที่มีอาการภูมิแพ้บ่อย หรือเป็นหวัดง่าย
- คนที่ผิวหมองคล้ำ แห้งกร้าน และต้องการการฟื้นฟูที่เห็นผลได้ไวกว่าการทาครีมบำรุง
- คนที่ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลตัวเอง มีเวลาพักผ่อนน้อย จนทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเอเนอจี้อยู่เสมอ

ฉีดวิตามินผิว กี่ครั้งเห็นผล
ได้รู้สรรพคุณข้อดีของวิตามินบำบัดไปแล้ว เรามาไขข้อสงสัยคำถาม ฉีดวิตามินผิว กี่ครั้งเห็นผล กันค่ะ
โดยทั่วไปแล้ว ผลของการฉีดวิตามินผิวอาจจะรู้สึกได้หลังฉีดวิตามินเพียง 1 ครั้ง โดยอาจสัมผัสได้ว่าผิวมีความชุ่มชื้นและผ่องใสมากขึ้น เนื่องจากวิตามินเข้มข้นถูกซึมซับเข้าไปใช้งานตามส่วนต่างของร่างกายอย่างรวดเร็ว
แต่วิตามินฉีดผิวเหล่านี้ เป็นวิตามินชนิดละลายในน้ำ (Water Soluble Vitamins) ทำให้ถูกขับถ่ายออกจากร่างกายได้ง่าย ผลของวิตามินบำบัดจึงอยู่ได้เพียง 2 สัปดาห์ จึงควรมีการฉีดอย่างต่อเนื่องอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและดีที่สุด
ฉีดวิตามินผิว ควรเว้นกี่วัน
สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มฉีด หมอจะแนะนำให้เริ่มฉีดวิตามินผิวสัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่ละครั้งจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 30 นาที ผลได้ชัดเจนภายใน 3 สัปดาห์ โดยจะรู้สึกได้ว่าผิวมีความเนียนใส มีความชุ่มชื้น และร่างกายรู้สึกตื่นตัว มีพลังงานมากขึ้น หลังจากฉีดติดต่อกัน 5 ครั้ง ก็สามารถปรับตารางเป็นฉีดเพียงเดือนละ 1 ครั้งได้ค่ะ
แต่อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์ตรงนี้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและสูตรวิตามินที่รับด้วยค่ะ

ฉีดวิตามินผิว ที่ EY Clinic ปลอดภัย ไม่เจือจางยา
อย่างที่กล่าวไปค่ะว่า วิตามินที่ให้บริการก็มีหลายสูตรด้วยกัน ซึ่งแต่ละสูตรก็ถูกออกแบบมาเพื่อผลลัพธ์ที่ต่างกัน อย่างเช่น สูตร snow white ที่เน้นฟื้นฟูผิวให้ขาวและชุ่มชื้น หรือ สูตร liver detox ที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของตับและล้างสารพิษออกจากร่างกาย และอีกมากมาย โดยจะแบ่งแพ็กเกจการฉีดเป็น 1 ครั้ง 6 ครั้ง และ 13 ครั้ง ตามตัวอย่างดังนี้ค่ะ

snow white; 799 บาท/1 ครั้ง; 3,995บาท/ 6 ครั้ง; 7,990บาท/13 ครั้ง
liver detox; 2,599 บาท/1 ครั้ง;12,995บาท/ 6 ครั้ง; 26,990บาท/13 ครั้ง
ซึ่งที่ EY Clinic ก็จะมีหมอโบว์ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟู (American Academy of Anti-Aging) เป็นผู้ดูแลสูตรและให้คำปรึกษากับทุกคนที่เข้ารับการฉีดวิตามินค่ะ โดยคลินิกของเรารับประกันเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย และยังรับประกันความพึงพอใจของผู้เข้ารับบริการด้วยค่ะ โดยเราจะไม่มีการเจือจางยา ไม่มีการขายแบบยัดเยียด และยังดูและติดตามผลการรักษาอย่างใส่ใจเพื่อให้มั่นใจว่าคุณแฮปปี้กับบริการของเราค่ะ
รีวิวจากผู้รับบริการจริง


บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว
เราคงได้ยินกันมาตั้งแต่เล็กว่า ผักผลไม้อุดมไปด้วยวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่เคยสงสัยไหมคะ ว่าวิตามินคืออะไรกันแน่ แล้ววิตามินแต่ละตัวมีหน้าที่อะไร หากขาดวิตามิน จะมีอาการแบบไหน และอะไรทำให้เราขาดวิตามิน มาหาคำตอบกันในบทความนี้ค่ะ
วิตามิน (Vitamin) คืออะไร
หมอคิดว่า เราคงคุ้นชินกับคำพูดประมาณว่า ผักผลไม้อุดมไปด้วยวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายนะคะ แต่จริงๆ แล้ววิตามินคืออะไรกันแน่ อธิบายง่ายๆ วิตามิน (Vitamin) ก็คือ สารประกอบที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายตั้งแต่ระดับเซลล์ และจัดเป็น Micronutrient หรือสารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน ร่างกายมีความต้องการในปริมาณที่ไม่มาก แต่หากร่างกายขาดวิตามินแล้วก็จะทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ และหากขาดวิตามินเป็นเวลานานก็อาจจะทำให้ร่างกายบกพร่องได้ค่ะ
วิตามิน แบ่งออกเป็นกี่ประเภท
เราจำแนกวิตามินออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันค่ะ
วิตามินประเภทละลายน้ำ (Water-soluble) ได้แก่ วิตามิน B ทุกชนิด และวิตามิน C
วิตามินที่ละลายในน้ำถูกดูดซึมที่ผ่านลำไส้เล็ก เข้ากระแสเลือดโดยตรง กักเก็บในร่างกายได้ในปริมาณที่ไม่เยอะมาก และถูกขับออกจากร่างกายได้ง่าย

วิตามินประเภทละลายในไขมัน (Fat-soluble) ได้แก่ วิตามิน A วิตามิน D วิตามิน E และ วิตามิน K
วิตามินที่ละลายในไขมันจะถูกดูดซึมพร้อมกับไขมัน และกักเก็บในเซลล์ไขมันของร่างกาย ทำให้เก็บได้ในปริมาณที่เยอะและเป็นเวลานาน
เรามาดูวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย และบทบาทคร่าวๆ ของวิตามินแต่ละตัวกันค่ะ

วิตามิน A (Retinol) มีความจำเป็นต่อการมองเห็น ระบบภูมิคุ้มกัน และสุขภาพผิว พบมากในเนื้อปลา ตับ และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนม

วิตามิน B ที่จำเป็นต่อร่างกายมีอยู่ด้วยกัน 8 ชนิด
- B1 (thiamin) มีบทบาทในการทำงานของระบบประสาท
- B2 (riboflavin) มีความสำคัญต่อกระบวนการผลิตเม็ดเลือดแดง
- B3 (niacin) มีความสำคัญต่อการซ่อมแซม DNA
- B5 (pantothenic acid) มีความจำเป็นต่อการผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย
- B6 (pyridoxine) มีความจำเป็นต่อการผลิตสารสื่อประสาทและการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาท
- B7 (biotin) ช่วยเรื่องการเผาผลาญ และดูแลรักษาระบบประสาท พบได้ในถั่ว ไข่แดง และผักบางชนิด
- B9 (folate หรือ folic acid) มีบทบาทในเรื่องของการผลิตและซ่อมแซมดีเอ็นเอ ช่วยในการผลิตเม็ดเลือดแดง และจำเป็นต่อการพัฒนาของทารกในครรภ์ พบได้มากในผัก เช่น ดอกกระหล่ำ บรอกโคลี และผักโขม
- B12 (cyanocobalamin) มีความสำคัญต่อกระบวนการผลิตเม็ดเลือดแดงและการทำงานของระบบประสาท พบได้ในเนื้อสัตว์ เนื้อปลา และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนม
วิตามิน C (Ascorbic acid) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีบทบาทในระบบภูมิคุ้มกัน และจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน พบมากในผลไม้ตระกูลส้ม เบอร์รี่ และผักใบเขียว
วิตามิน D (Calciferols) มีความจำเป็นต่อการดูดซึมแคลเซียมในร่างกาย ช่วยเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรง มีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน และมีผลต่ออารมณ์
วิตามิน E (Tocopherol) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว พบได้มากในถั่ว และผักใบเขียว
วิตามิน K (Phylloquinone) มีความสำคัญต่อการแข็งตัวของเลือด ระบบเลือด และกระดูก พบได้มากในผักใบเขียว
สาเหตุของการขาดวิตามิน
ทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่
จะเห็นได้ว่าวิตามินที่ร่างกายต้องการจะอยู่ในอาหารหลากหลายประเภท ซึ่งการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่โดยมีความหลากหลายของอาหารในแต่ละมื้อจะทำให้เราได้รับวิตามินอย่างครบถ้วน แต่ในปัจจุบัน ไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบอาจจะไม่เอื้ออำนวยต่อการทานอาหารที่มีความหลากหลาย และการทานผักผลไม้อาจจะเป็นสิ่งที่หลายๆ คนมองข้ามไปค่ะ

ทานอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิต (Processed food)
อาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตอย่าง เช่น อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง ซีเรียล ไส้กรอก ขนมหวาน และขนมขบเคี้ยว ย่อมมีคุณค่าทางอาหารน้อยกว่าอาหารสด แต่มักเป็นตัวเลือกที่ง่ายสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาทำอาหาร และเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายขาดวิตามินหากรับประทานเป็นประจำค่ะ

การดื่มแอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ต่อต้านการดูดซึมของวิตามินค่ะ คนที่ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและเป็นประจำมักจะขาดวิตามิน A,วิตามิน B6, Folate และ Thiamine ค่ะ
การใช้ยาบางประเภท
ยาบางประเภทส่งผลทำให้ร่างกายขาดวิตามินได้ค่ะ อาทิ เช่น Wafarin ซึ่งเป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือดสำหรับผู้ที่มีโรคหัวใจเต้นไม่ปกติ โรคเส้นเลือดขอด และผู้ที่ใส่ลิ้นหัวใจเทียม อาจทำให้ผู้ที่ใช้ยาขาดวิตามิน E และวิตามิน K ซึ่งในกรณีนี้ จำเป็นต้องใช้วิตามินอาหารเสริม (Vitamin Supplement) เข้ามาเป็นตัวช่วย และควรมีพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอค่ะ
อายุและปัจจัยทางพันธุกรรม
อายุที่มากขึ้นทำให้ความสามารถในการย่อยและดูดซึมอาหารลดลง และปัจจัยทางพันธุกรรมก็อาจะส่งผลทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินและสารอาหารต่าง ๆ ได้น้อยค่ะ ซึ่งวิตามินอาหารเสริมก็จะช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้ค่ะ

สัญญาณของการขาดวิตามิน อาการแบบไหนที่ควรเฝ้าระวัง
สัญญาณของการขาดวิตามินที่พบได้บ่อย มีดังนี้ค่ะ
- รู้สึกเหนื่อยล้า ไม่ค่อยมีพลังงาน
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ข้อและกระดูก
- ผมร่วง หรือขาดง่าย
- เล็บเปราะและฉีก
- เลือดออกตามไรฟัน
- ปากแห้งแตก มุมปากเป็นแผล หรือมีแผลในช่องปาก
โดยทั่วไปแล้ว อาการของการขาดวิตามินจะเป็นอาการที่ไม่รุนแรง ทำให้หลาย ๆ คนไม่ได้สังเกตค่ะ ซึ่งหากคุณเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ค่อยมีเวลาให้ตัวเอง มีอาการเหนื่อยล้า ไม่สดชื่น หรือมีอาการข้างต้น สามารถลองเข้ามาพูดคุยและตรวจวัดระดับวิตามินที่ EY Clinic ได้ค่ะ


ตรวจวิตามินและแร่ธาตุ ที่ EY Clinic
โปรแกรมตรวจ Micronutrient profile + Vitamin (19) เป็นบริการทางด้าน Wellness ของ EY Clinic ซึ่งประกอบไปด้วย
- ตรวจร่างกายโดยแพทย์
- ตรวจระดับวิตามินและแร่ธาตุ 19 ชนิด
- รายงานผลและให้คำปรึกษา
ในราคา 14,999 บาท
โดยโปรแกรมนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการทำงานของร่างกายของคุณ สำรวจดูความสมดุลของสารอาหารต่าง ๆ และนำความข้อมูลที่ได้ไปช่วยในการปรับเปลี่นพฤติกรรมเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นค่ะ โดยจะมีหมอโบว์ แพทย์เฉพาะทางเฉพาะทางเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-aging medicine) เป็นผู้ดูแลให้คำปรึกษากับคุณแบบแต่ปัจเจก ไม่มีการขายอาหารเสริมหรือทรีตเมนต์ที่ไม่จำเป็น ให้คุณเริ่มดูแลตัวเองง่ายๆ ที่ EY Clinic ค่ะ
รีวิวจากผู้รับบริการจริง


บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาตร์ชะลอวัยแล้ว
ในบทความนี้ หมอจะพาไปเจาะลึกปัญหาผิวที่หมองคล้ำทำให้เราดูสุขภาพไม่ดี และทำให้เราขาดความมั่นใจ มาดูกันว่าสาเหตุของผิวหมองคล้ำคืออะไร และเราจะมีวิธีทำให้ผิวขาวใสได้อย่างไรบ้างค่ะ
สาเหตุของผิวหมองคล้ำ

ปัจจัยที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส ดูไม่มีน้ำมีนวล มีอยู่มากมายค่ะ ทั้งปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรม ซึ่งหมอจะขอยกตัวอย่าง 3 ปัจจัยหลักของผิวหมองคล้ำที่ส่งผลกระทบกับคนวันทำงานมากที่สุดค่ะ
แสงแดด รังสียูวี
ปัจจัยหลักที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ ไม่ใช่สิ่งอื่นเป็นแต่เป็น แสงแดด ค่ะ หากพูดถึงสภาพอากาศในประเทศไทยแล้ว เรียกได้ว่าจะเดินทางอย่างไรก็เจอแดดค่ะ ซึ่งรังสียูวีเป็นตัวการทำให้เซลล์ผิวสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินออกมามากขึ้น (Melanin) ส่งผลผิวคล้ำลง นอกจากนี้ยังเร่งกระบวนการการแก่ตัวของผิว ทำลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิว และทำให้จุดด่างดำเข้มและเด่นชัดขึ้นด้วยค่ะ
การพักผ่อนไม่เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมามากกว่าปกติ ซึ่งคอร์ติซอลทำให้ผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส และไม่ชุ่มชื้น การนอนไม่พอยังทำให้ผิวเสียสมดุล เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ ทำให้ถูกทำร้ายจากแสงแดดและมลภาวะได้ง่าย ๆ และยังทำให้รบกวนกระบวนการผลัดเซลล์ผิว นอกจากนี้การนอนไม่พอยังทำให้ขอบตาคล้ำ เนื่องจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอทำให้เลือกไหลเวียนไม่ได้ ส่งผลให้หลอดเลือดใต้ตาขยายตัวและทำให้บริเวณใต้ตาบวมด้วยค่ะ
แสงสีฟ้าจากหน้าจอมือถือและคอมพิวเตอร์
แสงสีฟ้า นอกจากจะรบกวนการนอนของเราแล้วยังรบกวนการทำงานของเซลล์ผิวด้วยค่ะ โดยงานวิจัย The impact of blue light and digital screens on the skin จาก Journal of Cosmetic Dermatology ในปี 2023 ระบุไว้ว่า แสงสีฟ้าจากหน้าจอมีส่วนในการเร่งกระบวนการแก่ตัวของผิวและทำให้ผิวหมองคล้ำได้ โดยแสงสีฟ้าทำให้เกิดการปล่อยสารอนุมูลอิสระ (Free radicals) ในชั้นผิวซึ่งทำให้เซลล์อักเสบเสียหาย ซ่อมแซมตัวเองได้ช้า และกระตุ้นให้การเกิดสร้างเม็ดสีเมลานินด้วยค่ะ
การดูแลให้ผิวขาวใสเป็นธรรมชาติ
- ทาครีมกันแดดก่อนออกแดดเสมอ เพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวี
- บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์เป็นประจำ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้ผิว
- หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานาน
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวได้ซ่อมแซมตัวเอง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เนื่องจากน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของการทำงานของเซลล์ผิว
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
6 วิธีทำให้ผิวขาว กระจ่างใส สุขภาพดี

มาดู 6 วิธีทำให้ผิวขาวภายใน 7 วันที่ทำได้ที่บ้านของคุณเอง หมอบอกเลยค่ะว่า แค่ลองทำ 6 วิธีง่าย ๆ นี้ก็สามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของผิวแล้วค่ะ
ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและมีความกระจ่างใสค่ะ น้ำเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ โดยเฉพาะกระบวนการสมานแผลและการผลัดเซลล์ผิว การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันยังช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น เต่งตึง และช่วยปรับสีผิวให้เสมอกันได้ด้วยค่ะ
โดยองค์กร US National Academies of Sciences, Engineering, and Medicine แนะนำว่า ผู้ชายควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย วันละ 3-4 ลิตร และ ผู้หญิง 2-3 ลิตรค่ะ และดื่มเป็นน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มที่ไม่เติมน้ำตาลนะคะ คนที่ชอบดื่มชานมไข่มุก หรือโกโก้ เป็นชีวิตจิตใจ อาจต้องชั่งใจสักหน่อยเพราะน้ำตาลในเครื่องดื่มเหล่านี้ส่งผลทำให้ผิวของเราแก่เร็วและเป็นสิวได้ง่ายค่ะ หากสามารถลดปริมาณลงได้ก็จะเป็นผลดีต่อร่างกายและผิวของเราค่ะ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ข้อนี้หลายคนอาจจะมองข้ามไป แต่การป้อนอาหารที่มีประโยชน์ให้ร่างกายเป็นหนึ่งในวิธีทำให้ผิวขาวใสที่ทำได้ง่ายที่สุดค่ะ หมอผึ้งจะย้ำอยู่เสมอว่า อาหารที่มีไขมันเยอะ มีน้ำตาลสูง อาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูป (Processed food และ Ultra-proceed food) และขนมขบเคี้ยว ส่งผลให้ผิวของเราหมองคล้ำ ทำให้ผิวมัน เกิดสิวง่าย และอักเสบง่าย นอกจากนี้อาหารเหล่านี้ยังย่อยยาก มีสารอาหารไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวของเราดูไม่หมอง ไม่ผ่องใส และมีผดผื่นด้วยค่ะ
ในทางกลับกัน ผักสด ผลไม้ และอาหารปรุงสุกโดยไม่มีการปรุงแต่ง (Whole food) เป็นอาหารที่เป็นมิตรต่อระบบย่อยอาหารของเรา ให้เกลือแร่และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบของเซลล์ เสริมสร้างผิวให้แข็งแรง และเปล่งปลั่งขึ้นมาได้ค่ะ
พักผ่อนให้เพียงพอ
ช่วงเวลานอนเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นเราควรให้ความสำคัญต่อการนอนให้เพียงพอในแต่ละวัน การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอจะส่งผลร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมา นั้นก็คือ คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งคอร์ติซอลที่สูงจะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ทำให้เซลล์เกิดการอักเสบ เป็นสิวง่าย ใต้ตาคล้ำ ผิวหมองคล้ำดูไม่สดใส นอกจากนี้ยังทำให้ผิวแห้งและแก่เร็วด้วยค่ะ
สครับผิว สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
การสครับผิวนอกจากจะเป็นวิธีทำให้ผิวขาวที่ทำได้ง่าย ๆ ที่บ้านแล้วยังเป็นวิธีผ่อนคลายร่างกายที่ดีด้วยค่ะ การสครับผิวช่วยในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิว ช่วยกำจัดสิ่งสกปรกตกค้างและเซลล์ที่ตายแล้วออก ก่อนเผยผิวใหม่ที่ขาวใส อีกทั้งยังช่วยให้จุดด่างดำและรอยแผลเป็นดูจางลง นอกจากนี้ยังทำให้ผิวดูดซับสกินแคร์ได้มากขึ้นด้วยค่ะ
ไม่ว่าคุณจะชอบสครับผิวด้วยผลิตภัณฑ์แบรนด์ต่าง ๆ หรือ ชอบสครับสูตรธรรมชาติ อย่าง สครับสูตรกาแฟ-โยเกิร์ต หรือสครับมะขามเปียก ก็ต้องอย่าลืมว่า การสครับผิวบ่อยเกินไปจะทำให้ผิวแห้งกร้าน และสครับบางตัวก็อาจไม่เหมาะกับผิวของเรา ฉะนั้นทุกครั้งหลังจากสครับผิว จึงควรจะบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ และอย่าลืมสังเกตการเปลี่ยนแปลงของผิวตัวเองด้วยค่ะ
บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ และทากันแดดเป็นประจำ
ความชุ่มชื้นเป็นปัจจัยสำคัญของผิวทีแข็งแรงและกระจ่างใส การบำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ก็เหมือนเป็นการล็อกความชุ่มชื้นให้ผิว และเสริมเกราะป้องกันให้ผิวต่อมลภาวะในอากาศด้วยค่ะ
และ ครีมกันแดด ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับคนที่อยากมีผิวขาว ถึงแม้จะหลีกเลี่ยงแดดอย่างเต็มที่แล้ว ก็อาจจะยังถูกทำร้านด้วยรังสียูวีอยู่ดี รังสียูวีนอกจากจะทำให้ผิวคล้ำแล้วยังทำลายโครงสร้างของผิว ทำให้คอลลาเจนสลายตัว ส่งผลให้ผิวขาดความชุ่มชื้นและแก่เร็ว ฉะนั้นการทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านจึงเป็นวิธีทำให้ผิวขึ้นที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ ค่ะ
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Whitening
ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Whitening เป็นอีกหนึ่งสูตรลับผิวขาวที่จะช่วยให้ผิวพรรณของคุณสดใสอย่างที่ต้องการได้ค่ะ โดย Whitening ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของไฮโครควินีน (Hydroquinone), โคจิก แอซิด (Kojic acid),อาร์บูติน (Arbutin), และวิตามินซี ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวยับยั้งการเกิดของเม็ดสีเมลานิน (Melanin) จึงช่วยให้ผิวของขาวขึ้นค่ะ
นอกจากความสามารถในการยับยั้งเมลานินแล้ว Whitening มี AHA และ BHA ที่ช่วยในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิว และมักจะสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง วิตามินอี หรือ อาซินาไมด์ (Niacinamide) ที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันไม่ให้ผิวหมองคล้ำจากแสงแดดและมลภาวะอีกด้วยค่ะ
ผลิตภัณฑ์ Whitening บางตัวยังสามารถช่วยเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยส่วนประกอบของ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) และ เซราไมด์ (Cermamide) ทำให้ผิวดูใส ฉ่ำ และปรับสีผิวให้เสมอกันด้วยค่ะ
ฉีดวิตามินผิวขาว: สูตรลับผิวขาวแบบเร่งด่วน

นอกจาก 6 วิธีทำให้ผิวขาวที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ผิวขาวขึ้นภายใน 7 วันได้ นั่นก็คือการ ฉีดวิตามินผิว หรือ IV Drip Vitamin Therapy ค่ะ วิธีนี้จะเป็นการป้อนวิตามินที่มีประโยชน์เข้าสู่กระแสเลือดโดยไม่ต้องผ่านการดูดซึมทางระบบย่อยอาหาร ทำให้ร่างกายนำวิตามินไปใช้ได้ทันทีและได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วค่ะ
วิตามินหลักที่ใช้ในทรีตเมนต์ฉีดผิวขาว จะเป็น วิตามินซี ซึ่งมีสรรพคุณในการยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ปกป้องผิวจากฝุ่นควัน-มลภาวะ และยังช่วยซ่อมแซมผิวส่วนที่ถูกทำร้ายจากรังสียูวีค่ะ
ข้อดีและข้อเสียของการฉีดผิวขาว

ข้อดี: ได้ผลรวดเร็ว ทำให้ผิวขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการการบำรุงเร่งด่วน
ข้อเสีย: ควรฉีดเป็นประจำเพื่อคงผลลัพธ์ และควรเลือกฉีดกับคลินิกที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้
ที่ EY Clinic เราก็จะมี วิตามินสูตรผิวขาวหลายตัวที่เหมาะกับคนที่ผิวหมองคล้ำ แห้งกร้านแต่ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลตัวเองค่ะ ราคาเริ่มต้นที่ 799 บาท/ครั้ง ค่ะ
- snow white เริ่มต้นที่ 799 บาท/1 ครั้ง
- healthy & white เริ่มต้นที่ 1,299 บาท/1 ครั้ง
- precious white เริ่มต้นที่ 1,999 บาท/1 ครั้ง
- superglow เริ่มต้นที่ 2,199 บาท/1 ครั้ง
- white booster เริ่มต้นที่ 2,499 บาท/1 ครั้ง
- ultimate bright เริ่มต้นที่ 2,599 บาท/1 ครั้ง
- iv cocktail (healthy & precious white) เริ่มต้นที่ 2,799 บาท/1 ครั้ง
โดยสูตรที่ยอดนิยมที่สุดก็จะเป็นตัว iv cocktail ซึ่งจะเป็นสูตรผสมระหว่าง healthy & white และ precious white ค่ะ หลังจากฉีดแล้วจะสัมผัสได้ว่าผิวมีความชุ่มชื้นและกระจ่างใสเปล่งปลั่งมากขึ้น
ควรฉีดวิตามินผิวขาวบ่อยแค่ไหน
ในช่วงแรกของการฉีดวิตามินผิวขาว เราสามารถฉีดได้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเดือนละ 2-3 ครั้งตามความสะดวก เพื่อคงผลลัพธ์ค่ะ
ปรับผิวหมอง ให้ขาวใส ที่ EY Clinic

ไม่ว่าจะเป็นวิธีทำให้ผิวขาวสูตรไหน หมอขอย้ำนะคะ ว่า ความสม่ำเสมอ คือกุญแจดอกสำคัญของผิวที่ผ่องใสและสุขภาพดีอย่างยั่งยืนค่ะ การให้ความสำคัญกับสุขภาพผิว ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผิวของคุณแข็งแรงขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองได้ด้วยค่ะ
ที่ EY Clinic เราใส่ใจในทุกแง่มุมของทั้ง Skin และ Wellness ค่ะ ซึ่งทรีตเมนต์วิตามินผิวขาวที่เรามีเป็นหนึ่งในบริการทางด้าน Wellness ดูแลโดยหมอโบว์ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟู จาก American Academy of Anti-Aging และพร้อมให้คำปรึกษาและอยู่กับคุณทุกสเต็ปของการฟื้นฟูร่างกายและผิวของคุณค่ะ แวะเข้ามาคุยกับหมอโบว์ได้ที่ EY Clinic ค่ะ

รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง



บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาตร์ชะลอวัยแล้ว