รักษาสิว ฝ้า และโรคผิวหนังทุกโรค

AdvaTx vs Dual Yellow vs Vbeam สำหรับการรักษาสิว
บทนำ
สวัสดีค่ะ บทความนี้เป็นบทความที่ 3 และบทสุดท้ายในซีรี่ส์ค้นหาตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับรอยสิว หากสนใจก็เข้าไปอ่านบทความที่ 1 และบทความที่ 2 ได้เลยนะคะ วันนี้หมอผึ้งจะมาแชร์ประสบการณ์การใช้เครื่องเลเซอร์ 3 แบบให้ฟังนะคะ หมอเป็นแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง หมอมีความยินดีที่จะต้อนรับคุณเข้าสู่บล็อกของเรา ซึ่งเรามุ่งมั่นที่จะให้ข้อมูลที่ครอบคลุมและเชื่อถือได้เกี่ยวกับความก้าวหน้าล่าสุดในการรักษาสิว
ในบล็อกโพสต์นี้ เราจะเจาะลึกการเปรียบเทียบโดยละเอียดของการรักษาสิวด้วยเลเซอร์ชั้นนำ 3 ชนิด ได้แก่ AdvaTx, Dual Yellow และ Vbeam การรักษาเหล่านี้ได้รับความนิยมในวงการแพทย์ผิวหนังเนื่องจากประสิทธิภาพในการรักษาสภาพผิวต่างๆ รวมถึงสิว
นี่คือสิ่งที่คุณคาดหวังได้จากโพสต์บล็อกนี้:
- ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิว: เราจะเริ่มด้วยการให้ข้อมูลภาพรวมคร่าวๆ ของสิว - อะไรเป็นสาเหตุของสิว ประเภทต่างๆ และเหตุใดการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ AdvaTx, Dual Yellow และ Vbeam: เราจะแนะนำคุณเกี่ยวกับการรักษาด้วยเลเซอร์ทั้งสามนี้ โดยอธิบายถึงวิธีการทำงาน ประโยชน์ และการประยุกต์ใช้ในการรักษาสิว
- การเปรียบเทียบ AdvaTx, Dual Yellow และ Vbeam: เราจะให้การเปรียบเทียบเชิงลึกของการรักษาเหล่านี้ โดยเน้นที่ประสิทธิภาพ ผลข้างเคียง ระยะเวลาการรักษา และค่าใช้จ่าย
- เหตุใดหมอจึงเลือก AdvaTx: เราจะเจาะลึกข้อดีเฉพาะของ AdvaTx และเหตุใดจึงอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาสิวของคุณ
- การเลือกคลินิกที่เหมาะสมสำหรับการรักษาของคุณ: สุดท้าย เราจะแนะนำคุณเกี่ยวกับวิธีการเลือกคลินิกที่เหมาะสมสำหรับการรักษาสิวของคุณ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของแพทย์ผิวหนังที่มีประสบการณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย
ในตอนท้ายของบล็อกโพสต์นี้ เราหวังว่าจะให้ความรู้ที่จำเป็นแก่คุณในการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดเกี่ยวกับการรักษาสิวของคุณ ดังนั้น เรามาเริ่มต้นการเดินทางสู่ผิวที่กระจ่างใสและสุขภาพดีกันดีกว่า
ทำความเข้าใจกับสิวและผลกระทบของการเป็นสิว
สิวเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนอุดตันด้วยน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ร่วมกับมีเชื้อแบคทีเรียบริเวณผิวหนังเพิ่มจำนวนขึ้น พบได้บ่อยที่สุดในวัยรุ่น แต่สามารถส่งผลกระทบต่อคนทุกวัย สิวสามารถปรากฏตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมทั้งใบหน้า หน้าผาก หน้าอก หลังส่วนบน และไหล่ ผลกระทบของสิวมีมากกว่าอาการทางร่างกาย นอกจากนี้ยังสามารถมีผลกระทบทางจิตใจอย่างมาก นำไปสู่การลดความภาคภูมิใจในตนเอง ความวิตกกังวล และในกรณีที่รุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า ดังนั้นการรักษาที่มีประสิทธิภาพจึงไม่ใช่แค่การทำให้ผิวกระจ่างใส แต่ยังรวมถึงการปรับปรุงคุณภาพชีวิตโดยรวมด้วย
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ AdvaTx, Dual Yellow และ Vbeam
AdvaTx, Dual Yellow และ Vbeam คือการรักษาด้วยเลเซอร์ขั้นสูงที่ใช้ในโรคผิวหนัง พวกเขาใช้ความยาวคลื่นเฉพาะของแสงเพื่อกำหนดเป้าหมายและรักษาสภาพผิวต่างๆ รวมทั้งสิว
- AdvaTx ใช้สองความยาวคลื่น 589nm และ 1319nm เพื่อรักษาสภาพผิวต่างๆ รวมถึงสิว รอยแผลเป็นจากสิว และรอยโรคที่มีเม็ดสี เป็นที่รู้จักในด้านประสิทธิภาพและผลข้างเคียงน้อยที่สุด
- Dual Yellow คือการรักษาด้วยเลเซอร์ที่ใช้ความยาวคลื่น 578nm และ 511nm มีประสิทธิภาพในการรักษาสิว ฝ้า และรอยโรคของหลอดเลือดและเม็ดสีอื่นๆ
- Vbeam คือเลเซอร์ pulsed dye ที่ใช้รักษาสิวมานานหลายปี เป็นที่ทราบกันดีว่ามีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบของสิวและรอยแดง
ในหัวข้อต่อไปนี้ หมอจะลงลึกในแต่ละการรักษาเหล่านี้ สำรวจประโยชน์ ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และประสิทธิภาพในการรักษาสิว
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Dual Yellow, Vbeam และ AdvaTx

Dual Yellow

การรักษาด้วยเลเซอร์ Dual Yellow ใช้สองความยาวคลื่น 578 นาโนเมตรและ 511 นาโนเมตร เพื่อรักษาสภาพผิวต่างๆ ความยาวคลื่น 578 นาโนเมตรใช้เพื่อรักษาสภาพของหลอดเลือด เช่น โรคโรซาเซีย ปานแดง รอยแดงจากสิว และสิวอักเสบในขณะที่ความยาวคลื่น 511 นาโนเมตรใช้ในการรักษารอยโรคที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับเม็ดสี เช่น ฝ้า กระ
คุณสมบัติที่สำคัญของ Dual Yellow:
- ความยาวคลื่นคู่: 578 นาโนเมตร และ 511 นาโนเมตร
- รักษาปัญหาผิวที่หลากหลาย
- ความรู้สึกไม่สบายและการหยุดทำงานน้อยที่สุด
- ไม่ต้องใช้ความเย็นหรือยาชา
Vbeam

Vbeam เป็นเลเซอร์ pulsed dye (PDL) ที่ใช้ความยาวคลื่น 595 นาโนเมตรเพื่อรักษารอยโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือด หรือรอยแดง เช่น rosacea, ปาน port wine stain, เส้นเลือดฝอยบริเวณ ใบหน้าและขา, hemangiomas, angiomas, spider angiomas, สิวอักเสบและแผลเป็น
คุณสมบัติที่สำคัญของ Vbeam:
- ความยาวคลื่น : 595 นาโนเมตร
- รักษาปัญหาผิวเกี่ยวกับหลอดเลือดและรอยแดง
- มีความรู้สึกเจ็บบ้างในระดับที่ทนได้และอุบัติการณ์ของผลข้างเคียงต่ำ
- มีการปล่อยไอเย็นเพื่อทำให้รู้สึกสบายขณะทำมากขึ้นและปกป้องผิวจากแสงเลเซอร์
AdvaTx

AdvaTx เป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นสองช่วงคือ 589 นาโนเมตรและ 1319 นาโนเมตร เพื่อกำหนดเป้าหมายตามปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ความยาวคลื่น 589 นาโนเมตรใช้เพื่อรักษาภาวะที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือด เช่น โรคโรซาเซีย ปานแดง รอยแดงจากสิว และสิวอักเสบ ในขณะที่ความยาวคลื่น 1319 นาโนเมตรใช้สำหรับกระตุ้นคอลลาเจน ลดริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น และรักษารอยแผลเป็นจากสิว
คุณสมบัติที่สำคัญของ AdvaTx:
- ความยาวคลื่นคู่: 589 นาโนเมตร และ 1319 นาโนเมตร
- รักษาปัญหาผิวที่หลากหลาย
- ความรู้สึกไม่สบายและระยะเวลาการพักฟื้นน้อยที่สุด
- ไม่ต้องใช้ความเย็นหรือยาชา
ในหัวข้อถัดไป หมอจะเจาะลึกถึงประโยชน์และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาเหล่านี้
ผลข้างเคียงและความเสี่ยง
AdvaTx
มีรายงานว่า AdvaTx มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ รอยแดงเล็กน้อยซึ่งมักจะน้อยกว่าเลเซอร์อื่นๆ เช่น PDL หรือเลเซอร์ Nd:YAG ที่อาจทำให้เกิดรอยช้ำ (Purpura) หรือการเกิดสะเก็ด AdvaTx ไม่เกิดรอยดำหรือรอยแผลเป็นในคนไข้ที่มีสีผิวเข้ม มีความเจ็บในระดับต่ำขณะทำการรักษา
Dual Yellow
เลเซอร์ Dual Yellow ถือว่าปลอดภัยและโดยทั่วไปคนไข้สามารถทนได้เป็นอย่างดี ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดจะเกิดขึ้นชั่วคราวและอาจรวมถึงรอยแดง บวม และคันบริเวณที่ทำการรักษา ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงสองสามวัน มีความเสี่ยงต่ำต่อการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี ในผิวหนัง
Vbeam
การรักษาด้วยเลเซอร์ Vbeam โดยทั่วไปมีความปลอดภัยและมีผลข้างเคียงน้อย อย่างไรก็ตาม คนไข้บางรายอาจพบผลข้างเคียงชั่วคราว เช่น รอยแดง บวม ช้ำ และมีรอยคล้ำ ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะหายไปภายในสองสามวันถึงหนึ่งสัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะเกิดแผลเป็นและการติดเชื้อแม้ว่าจะพบได้น้อยก็ตาม

สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าผลข้างเคียงและความเสี่ยงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ปัญหาที่กำลังรับการรักษา ตลอดจนทักษะและประสบการณ์ของผู้ประกอบวิชาชีพ ปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณสมบัติเสมอเพื่อทำความเข้าใจความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับการรักษาเหล่านี้
การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของการรักษา AdvaTx, Dual Yellow และ Vbeam
เมื่อพิจารณาการรักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายมักเป็นปัจจัยสำคัญ ที่นี่ หมอแสดงการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาด้วย AdvaTx, Dual Yellow และ Vbeam ในประเทศไทย โปรดทราบว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับคลินิกเฉพาะและความต้องการของคนไข้แต่ละราย
- ค่ารักษาด้วย AdvaTx: 3,000-5,000 บาทต่อครั้ง
- ค่ารักษา Dual Yellow: 3,000-5,000 บาทต่อครั้ง
- ค่ารักษา Vbeam: 5,000-7,000 บาทต่อครั้ง
แม้ว่าข้อมูลนี้อาจไม่ได้ระบุตัวเลขที่เจาะจง แต่สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าค่าใช้จ่ายของการรักษาเหล่านี้อาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่:
- ความรุนแรงและขอบเขตของสิวหรือสภาพผิวที่กำลังรักษา
- จำนวนครั้งการรักษาที่ต้องการ
- โครงสร้างราคาของคลินิกเฉพาะ
- จำเป็นต้องมีการรักษาหรือหัตถการเพิ่มเติมหรือไม่
สำหรับข้อมูลค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันที่สุด ขอแนะนำให้ติดต่อคลินิกโรคผิวหนังในประเทศไทยโดยตรง นี่คือคลินิกบางแห่งที่คุณอาจพิจารณา:
โปรดคำนึงถึงเสมอว่า ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายจะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่การพิจารณาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการรักษา ชื่อเสียงและประสบการณ์ของคลินิกและแพทย์ ตลอดจนความสะดวกสบายและความชอบส่วนตัวของคุณก็มีความสำคัญเช่นกัน
ทำไมต้องเลือก AdvaTx: อนาคตของการรักษาสิว

เมื่อพูดถึงการรักษาสิว ระบบเลเซอร์ AdvaTx โดดเด่นในฐานะเทคโนโลยีล้ำสมัยที่รวมประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความอเนกประสงค์เข้าไว้ด้วยกัน ต่อไปนี้เป็นเหตุผลที่น่าสนใจว่าทำไมคุณจึงควรพิจารณา AdvaTx สำหรับการรักษาสิวของคุณ:
- เทคโนโลยีความยาวคลื่นคู่: AdvaTx ใช้ความยาวคลื่นสองช่วงคือ 589nm และ 1319nm ซึ่งช่วยให้สามารถกำหนดเป้าหมายและรักษาสภาพผิวต่างๆ รวมถึงสิวได้อย่างแม่นยำ เทคโนโลยีความยาวคลื่นคู่นี้ช่วยให้ AdvaTx สามารถจัดการกับทั้งผิวชั้นตื้นและชั้นลึกของผิวหนัง โดยให้การรักษาที่ครอบคลุม
- มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล: AdvaTx ได้รับการพิสูจน์ทางคลินิกว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาสิว ทำงานโดยลดการอักเสบและกำหนดเป้าหมายไปที่ต่อมไขมันซึ่งมักเป็นสาเหตุของการเกิดสิว กลไกการทำงานนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงลักษณะที่ปรากฏของผิวอย่างเห็นได้ชัดหลังจากใช้เพียงไม่กี่ครั้ง
- ผลข้างเคียงน้อยที่สุด: หนึ่งในข้อได้เปรียบที่สำคัญของ AdvaTx คือผลข้างเคียงน้อยที่สุด ไม่เหมือนกับการรักษาอื่น ๆ AdvaTx ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบาย แดง หรือบวมอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันทีหลังการรักษา
- ความสามารถรอบด้าน: นอกจากการรักษาสิวแล้ว AdvaTx ยังสามารถจัดการกับสภาพผิวอื่นๆ ได้หลากหลาย เช่น โรคโรซาเซีย รอยโรคที่มีเม็ดสี และรอยโรคของหลอดเลือด ทำให้เป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงสุขภาพผิวโดยรวม
- ใช้งานง่าย: AdvaTx เป็นเครื่องเลเซอร์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ ซึ่งทำให้กระบวนการรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและตรงไปตรงมา สิ่งนี้ทำให้มั่นใจได้ถึงประสบการณ์ที่สะดวกสบายสำหรับคนไข้
- ประหยัดค่าใช้จ่าย: AdvaTx แตกต่างจากการรักษาด้วยเลเซอร์อื่นๆ ตรงที่ไม่ต้องการวัสดุสิ้นเปลืองหรือความเย็น ซึ่งสามารถเพิ่มต้นทุนโดยรวมของการรักษาได้ สิ่งนี้ทำให้ AdvaTx เป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าสำหรับคนไข้จำนวนมาก ในประเทศไทย ค่าใช้จ่ายของการรักษาด้วย AdvaTx อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับคลินิกและแผนการรักษาเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ตามราคากลาง คุณอาจคาดว่าจะจ่ายในช่วง 3,000 ถึง 5,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งถือว่าแข่งขันได้เมื่อเทียบกับการรักษาแบบอื่น
โดยสรุป AdvaTx นำเสนอการผสมผสานที่ไม่เหมือนใครระหว่างประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความอเนกประสงค์ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่มองหาวิธีแก้ปัญหาที่ครอบคลุมสำหรับการรักษาสิว การเลือก AdvaTx เท่ากับคุณกำลังลงทุนเพื่ออนาคตที่ผิวใสสุขภาพดี

การเลือกคลินิกที่เหมาะสมสำหรับการรักษาสิว AdvaTx ของคุณ

การเลือกคลินิกที่เหมาะสมสำหรับการรักษาสิวด้วย AdvaTx เป็นขั้นตอนสำคัญสู่การมีผิวที่กระจ่างใสและสุขภาพดี ต่อไปนี้คือปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อทำการเลือก:
- ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์: มองหาคลินิกที่มีแพทย์ผิวหนังและผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวที่มีประสบการณ์มากมายในการใช้เครื่อง AdvaTx ความเชี่ยวชาญของพวกเขาจะช่วยให้คุณได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดซึ่งเหมาะกับสภาพผิวและความกังวลของคุณโดยเฉพาะ
- การรับรอง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคลินิกได้รับการรับรองในการให้บริการ AdvaTx การรับรองนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการให้การรักษาเฉพาะนี้ของคลินิก
- การดูแลส่วนบุคคล: คลินิกที่ได้มาตรฐานที่สุดย่อมใช้เวลาในการทำความเข้าใจสภาพผิว ไลฟ์สไตล์ และเป้าหมายการรักษาของคุณก่อนที่จะสร้างแผนการรักษา AdvaTx ส่วนบุคคลสำหรับคุณ
- สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย: เลือกคลินิกที่ใช้ AdvaTx รุ่นล่าสุดและเทคโนโลยีการดูแลผิวขั้นสูงอื่นๆ คลินิกควรรักษาสภาพแวดล้อมที่สะอาด สะดวกสบาย และปลอดภัยสำหรับคนไข้ในการรับการรักษา
- การให้ความรู้แก่คนไข้: คลินิกที่ดีจะอธิบายขั้นตอนการรักษา AdvaTx สิ่งที่คาดหวัง และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลหลังการรักษา สิ่งนี้ช่วยให้คุณมีความรู้เกี่ยวกับสภาพผิวและการรักษาที่คุณได้รับ
- การดูแลติดตามผล: เลือกคลินิกที่ให้การดูแลติดตามผลเพื่อติดตามความคืบหน้าของคุณและทำการปรับเปลี่ยนแผนการรักษาที่จำเป็น การดูแลอย่างต่อเนื่องนี้มีความสำคัญต่อการบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- บทวิจารณ์และคำรับรอง: ดูบทวิจารณ์และคำรับรองจากคนไข้รายก่อนหน้า สิ่งนี้สามารถทำให้คุณเข้าใจถึงชื่อเสียงของคลินิกและคุณภาพการดูแลที่คลินิกมอบให้
- ราคา: แม้ว่าบัดเจทจะไม่ใช่ปัจจัยเดียว แต่สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาว่าราคาของคลินิกสำหรับการรักษา AdvaTx อยู่ในงบประมาณของคุณหรือไม่ โปรดจำไว้ว่าตัวเลือกที่ถูกที่สุดอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดเสมอไป
- สถานที่ตั้ง: พิจารณาที่ตั้งของคลินิก คลินิกที่ตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกจะช่วยให้คุณกำหนดเวลาและเข้าร่วมการรักษาได้ง่ายขึ้น
การเลือกคลินิกที่เหมาะสมสำหรับการรักษา AdvaTx ของคุณคือการตัดสินใจที่ควรทำอย่างรอบคอบ เมื่อคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ คุณจะพบคลินิกที่จะให้การรักษาสิวที่มีประสิทธิภาพ เป็นส่วนตัว และปลอดภัยแก่คุณ
ทำไม EY Clinic จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการรักษา AdvaTx ของคุณ?
ในเรื่องของการรักษาผิวหนังและสิว ความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์มีความสำคัญพอๆ กับเทคโนโลยีที่ใช้ ที่ EY Clinic หมอภูมิใจในทั้งสองอย่าง นี่คือเหตุผลที่คุณควรพิจารณา EY Clinic สำหรับการรักษาปัญหาผิวของคุณ:
- แพทย์ผิวหนังมากประสบการณ์: ทีมแพทย์ผิวหนังของหมอนำโดย พญ.พัจนภา เวชนุรักษ์ (คุณหมอผึ้ง), พญ.อาภาศรี สุขสำราญ (คุณหมอจอย) และพ.ญ. ชื่นกมล อึงพิทักษ์พันธุ์ (คุณหมอไหม) ซึ่งทั้งสามท่านได้รับการรับรองจากแพทยสภาและมีการศึกษาต่อด้านตจศัลยศาสตร์ พวกเขานำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากมายมาสู่คลินิกของหมอ เพื่อให้มั่นใจว่าคนไข้ของหมอได้รับการดูแลในระดับสูงสุด
- ผู้เชี่ยวชาญด้านการชะลอวัย: พญ.พันธลี ชื่นสัมพันธ์ (คุณหมอโบว์) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการชะลอวัย ได้รับการรับรองจาก Board ด้าน Anti-Aging and Regenerative Medicine จากชิคาโก และมีประสบการณ์มากมายในฐานะแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยที่โรงพยาบาลกรุงเทพและ Divana Wellness Medical Spa
- การดูแลเฉพาะบุคคล: ที่ EY Clinic หมอเข้าใจดีว่าคนไข้แต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นั่นเป็นเหตุผลที่หมอใช้เวลาในการทำความเข้าใจปัญหาผิวและเป้าหมายการรักษาเฉพาะของคุณ สิ่งนี้ทำให้หมอสามารถสร้างแผนการรักษาเฉพาะบุคคลที่เหมาะกับความต้องการของคุณ
- เทคโนโลยีล้ำสมัย: หมอใช้เทคโนโลยี AdvaTx ล่าสุดสำหรับการรักษาสิวของหมอ ระบบที่เป็นนวัตกรรมใหม่นี้ช่วยให้หมอกำหนดเป้าหมายและรักษาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่มีผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสิวแบบดั้งเดิม
- สภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายและเป็นกันเอง: คลินิกของหมอได้รับการออกแบบให้เป็นพื้นที่ที่สะดวกสบายและเป็นมิตรซึ่งคุณสามารถผ่อนคลายและรู้สึกสบายใจระหว่างการรักษา พนักงานที่เป็นมิตรและเป็นมืออาชีพของหมอพร้อมที่จะตอบคำถามใด ๆ และให้แน่ใจว่าคุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่คลินิกของหมอ
การเลือกคลินิกที่เหมาะสมสำหรับการรักษาสิวของคุณคือการตัดสินใจที่สำคัญ ที่ EY Clinic หมอมุ่งมั่นที่จะให้การดูแลคนไข้ในระดับสูงสุด ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์และเทคโนโลยีล้ำสมัย หมอมั่นใจว่าสามารถช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายด้านผิวพรรณได้ สามารถติดต่อเพื่อนัดหมายเวลาให้คำปรึกษาและเรียนรู้เพิ่มเติมว่า AdvaTx มีประโยชน์ต่อคุณอย่างไรผ่าน LINE Official: @EyclinicTH
รีวิวเคส AdvaTx ที่ EY Clinic




ทางเลือกที่ดีกว่า: AdvaTx ที่ EY Clinic

ในแวดวงของการรักษาสิว AdvaTx ถือเป็นคำตอบระดับแนวหน้า ด้วยความยาวคลื่นคู่ ผลข้างเคียงน้อยที่สุด และประสิทธิภาพที่น่าประทับใจ จึงไม่แปลกใจเลยที่มันกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับหลายๆ คน อย่างไรก็ตาม คุณภาพของการรักษาไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้เท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของคลินิกที่ดูแลด้วย
ที่ EY Clinic หมอภูมิใจในความมุ่งมั่นของหมอในการให้การดูแลคนไข้ของหมออย่างเหนือชั้น ทีมแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางระดับอาจารย์สถาบันโรคผิวหนัง ประสบการณ์ระหว่าง 14-20 ปีทุกท่านของหมอมีความเชี่ยวชาญในการใช้ AdvaTx เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดตามความต้องการเฉพาะของคุณ หมอเข้าใจดีว่าคนไข้แต่ละรายมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และหมอมุ่งมั่นที่จะให้การดูแลเฉพาะบุคคลซึ่งมุ่งเป้าไปที่ข้อกังวลเฉพาะของคุณ นอกจากนี้ EY Clinic ยังติดตั้งเทคโนโลยี AdvaTx ล่าสุด เพื่อให้มั่นใจว่าคนไข้ของหมอสามารถเข้าถึงทางเลือกการรักษาที่ทันสมัยที่สุดได้ สภาพแวดล้อมของคลินิกของหมอได้รับการออกแบบให้สะดวกสบายและเป็นกันเอง มั่นใจได้ถึงประสบการณ์ที่ดีตลอดการรักษาของคุณ การเลือก EY Clinic สำหรับการรักษาด้วย AdvaTx หมายถึงการเลือกคลินิกที่ให้ความสำคัญกับความพึงพอใจ ความปลอดภัย และผลลัพธ์ของคนไข้เหนือสิ่งอื่นใด ขอเชิญสัมผัสความแตกต่างของ EY Clinic และค้นพบผิวกระจ่างใสสุขภาพดีที่คุณต้องการ ปรึกษาเราตอนนี้ได้ที่เบอร์ 061 594 1923 หรือติดต่อผ่าน LINE Official: @EyclinicTH
Reference
1. แอดวาไลท์ (2566). AdvaTx: เทคโนโลยีเลเซอร์ยุคใหม่ สืบค้นจาก https://www.advalight.com/advatx
2. คลินิกเสริมความงาม Proderma (2566). เลเซอร์สีDual Yellow สืบค้นจาก https://prodermaclinics.com/en/service/dual-yellow/
3. สกินเอ็กซ์ (2566). การรักษาด้วยเลเซอร์คู่สีเหลือง ดึงมาจาก https://skinx.app/voucher/dual-yellow-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8 %A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A7
4. แคนเดลาการแพทย์ (2566). Vbeam เพอร์เฟ็คต้า สืบค้นจาก https://candelamedical.com/na/provider/product/vbeam-perfecta
5. แคนเดลาการแพทย์ (2566). รักษาหลุมสิวด้วย Vbeam Pulsed Dye Laser สืบค้นจาก http://www.medicallaseronline.com/PDFs/VBeam/CLINICAL_BULLETIN_Treatment_of_Acne_Scars.pdf
6. ช่องความงาม (2566). ADVATx ให้ทางเลือกที่ไม่ต้องบำรุงรักษาแทน PDL สืบค้นจาก http://bit.ly/2CLlVFC
7. คู่มือสุนทรียศาสตร์ (2566). แพลตฟอร์ม ADVATx เจเนอเรชันถัดไปเหนือกว่าเลเซอร์สีย้อมแบบพัลซิ่ง สืบค้นจาก www.aestheticchannel.com
8. Journal of Cosmetic Dermatology (2566). การรวมกันของความยาวคลื่นเลเซอร์ใหม่ 589 และ 1319 นาโนเมตรเพื่อรักษาสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง สืบค้นจากวารสาร Dermatology Times
9. สภาคองเกรส EADV (2558). การรักษารอยโรคหลอดเลือดด้วยเลเซอร์โซลิดสเตตใหม่ขนาด 589 นาโนเมตร – การสังเกตทางคลินิกครั้งแรก สืบค้นจาก EADV Congress Abstracts

สวัสดีค่ะ วันนี้หมอผึ้งจะมาเล่าสู่กันฟังคร่าวๆเรื่องของการผลัดเซลล์ผิวด้วย TCA นะคะ ในฐานะแพทย์ผิวหนังที่คุณไว้วางใจซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า 14 ปีในสาขานี้ หมอมักถูกถามเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูและผลัดเซลล์ผิวใหม่ การรักษาอย่างหนึ่งที่โดดเด่นในด้านประสิทธิภาพและมีการนำมาใช้อย่างต่อเนื่องคือการผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดไตรคลอโรอะซิติก (TCA peeling) เป็นวิธีการที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถปรับปรุงผิวได้อย่างมาก การผลัดเซลล์ผิวด้วย TCA เป็นหนึ่งในการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่ EY Clinic มีให้บริการ เป็นเทคนิคที่ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความกระจ่างใสของผิวแล้วยังช่วยแก้ปัญหาผิวต่างๆไม่ว่าจะเป็นฝ้า กระ จุดด่าง ผิวเสื่อมจากการโดนแสงแดด รวมถึงช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ให้หมอผึ้งแนะนำคุณเกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึกทางวิทยาศาสตร์และประโยชน์ของการผลัดเซลล์ผิวด้วยกรด TCA
ทำความเข้าใจเรื่อง TCA Peeling

ในวงการแพทย์ผิวหนัง การผลัดเซลล์ผิวด้วย TCA เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับมายาวนานและได้รับการสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์สำหรับการฟื้นฟูผิว TCA หรือ Trichloroacetic Acid เป็นสารเคมีที่ไม่เป็นพิษ ซึ่งเมื่อใช้กับผิวหนัง จะทำให้เซลล์ชั้นบนสุดแห้งและลอกออกเป็นเวลาหลายวันถึงหนึ่งสัปดาห์ กระบวนการนี้เผยให้เห็นชั้นใหม่ของผิวที่ไม่เสียหาย มีผิวสัมผัสที่เรียบเนียนขึ้นและสีผิวสม่ำเสมอขึ้น เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิว เช่น รอยดำ ฝ้า การถูกทำร้ายจากแสงแดด ริ้วรอย และสีผิวไม่สม่ำเสมอ ที่ EY Clinic ด้วยประสบการณ์ 14 ปีของหมอในฐานะแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง หมอดูแลและดำเนินการกระบวนการ TCA peeling เป็นการส่วนตัวเพื่อให้มั่นใจถึงความสะดวกสบายและความปลอดภัยในขณะที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เหตุใดการผลัดเซลล์ผิวด้วย TCA จึงมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิว

การผลัดเซลล์ผิวด้วย TCA ไม่ได้เป็นเพียงกระแสนิยมในอุตสาหกรรมความงามเท่านั้น แต่ยังได้รับการสนับสนุนจากวิทยาศาสตร์และเวชปฏิบัติด้านผิวหนังเป็นเวลาหลายปี ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิวและจัดการกับปัญหาผิวต่างๆ เคล็ดลับอยู่ที่คุณสมบัติของกรด TCA เมื่อทาลงบนผิวหนัง TCA จะทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ผิวหนังชั้นนอกสุด สิ่งนี้กระตุ้นกระบวนการรักษาตามธรรมชาติของผิว ส่งเสริมการเติบโตของเซลล์ผิวใหม่ คอลลาเจน และอิลาสติน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับผิวที่กระชับและอ่อนเยาว์ เป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสมสำหรับทุกสีผิว ในฐานะแพทย์ผิวหนัง หมอสามารถรับรองประสิทธิภาพของการผลัดเซลล์ผิวด้วย TCA สำหรับสภาพผิวต่างๆ ตั้งแต่การลดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นไปจนถึงการปรับปรุงคุณภาพของผิวและลดการสร้างเม็ดสี
ขั้นตอนการทำ TCA Peeling ที่ EY Clinic

ที่ EY Clinic ประสบการณ์การผลัดเซลล์ผิวด้วยกรด TCA ของคุณได้รับการวางแผนและดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เราเริ่มต้นด้วยการทำความสะอาดผิวของคุณอย่างหมดจด ตามด้วยการทากรด TCA ซึ่งใช้ความเข้มข้น 15-30% ขึ้นกับสภาพผิวและปัญหาผิว หลังจากนั้นจึงประคบด้วยสำลีชุบน้ำเย็นเพื่อลดอาการแสบระคายเคือง โปรแกรมนี้อาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนเล็กน้อยถึงปานกลาง ซึ่งโดยทั่วไปจะบรรเทาลงในเวลาประมาณ 5-10 นาที หลังขั้นตอนการรักษา ผิวของคุณอาจแดงและระคายเคืองง่าย คล้ายกับผลจากการถูกแดดเผา นี่เป็นเรื่องปกติและเกิดขึ้นชั่วคราว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการในขณะที่ผิวของคุณเตรียมที่จะผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกสุด หมอดูแลแต่ละขั้นตอนด้วยตัวเอง เพื่อให้มั่นใจว่าความเข้มข้นและระยะเวลาของการใช้ TCA นั้นเหมาะสมที่สุดสำหรับประเภทผิวของคุณและผลลัพธ์ที่ต้องการ วางใจได้ว่าทีมงานที่ทุ่มเทและมีประสบการณ์ของเราจะแนะนำคุณในทุกขั้นตอน
การดูแลตัวเองหลังทำ TCA peeling

- ทามอยเจอร์ไรเซอร์เข้มข้นหลังการผลัดเซลล์ผิวด้วย TCA เนื่องจากอาจมีผิวแห้งได้
- ทากันแดดสม่ำเสมอหลังเข้ารับการผลัดเซลล์ผิวด้วย TCA
- หลักเลี่ยงการโดนแสงแดดจัดประมาณ 2 สัปดาห์
- งดทายาสิว ยาฝ้า กรดผลไม้ที่อาจทำให้ระคายเคืองประมาณ 1 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการแกะเกาบริเวณผิวที่ทำการรักษาด้วยกรด TCA
TCA peeling ไม่เหมาะกับใคร

- ผู้ที่มีผิวแห้งมาก ระคายเคืองง่าย
- ผู้ที่มีผิวหนังอักเสบ มีผื่นแพ้ หรือมีแผลติดเชื้อ
- ผู้ที่เพิ่งโดนแสงแดดจัดมาหรือมีภาวะผิวไหม้แดด
- ผู้ที่เป็นเริมบริเวณใบหน้าซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสบริเวณผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มน้ำใสเล็กๆ ซึ่งการลอกหน้าด้วยกรด TCA จะทำให้เชื้อกระจายได้
สิ่งที่คุณจะได้รับจากการทำ TCA Peeling ที่ EY Clinic
ที่ EY Clinic ความสะดวกสบายและความปลอดภัยของคุณคือสิ่งสำคัญของเรา เมื่อคุณเข้ารับการรักษาด้วยการผลัดเซลล์ผิวด้วยกรด TCA เจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างมืออาชีพของเราจะรับรองว่าคุณได้รับข้อมูลที่ดีและสบายใจก่อนที่จะเริ่มกระบวนการ ขั้นตอนเริ่มต้นด้วยการทำความสะอาดผิวอย่างละเอียดเพื่อขจัดเครื่องสำอาง น้ำมัน หรือสิ่งสกปรกต่างๆ หลังจากนั้นจึงทาสาร TCA อย่างระมัดระวัง คุณอาจรู้สึกแสบหรือแสบร้อนเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติและเกิดขึ้นชั่วคราว โดยทั่วไปขั้นตอนจะเสร็จสิ้นภายใน 15 ถึง 30 นาที ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ทำการรักษาหลังการผลัดเซลล์ผิว คุณจะมีรอยแดงและลอกได้เมื่อผิวเก่าหลุดลอกและผิวใหม่ที่ฟื้นฟูจะเผยตัวออกมา วางใจได้ เราจะแนะนำคุณตลอดกระบวนการรักษาทั้งหมด พร้อมให้คำแนะนำการดูแลหลังการดูแลโดยละเอียดและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนการรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพผลลัพธ์ โปรดจำไว้ว่า ทุกประเภทผิวและแต่ละบุคคลมีปฏิกิริยาแตกต่างกัน แต่เวลาในการรักษาโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 7-10 วัน เมื่อทำอย่างถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญทางผิวหนังที่ EY Clinic การผลัดเซลล์ผิวด้วย TCA เป็นขั้นตอนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงเพื่อให้ได้ผิวที่มีสุขภาพดีและดูอ่อนเยาว์มากขึ้น โปรดจำไว้ว่าผิวของคุณเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดและสมควรได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ อย่าปล่อยให้ความกลัวที่จะลอกผิวมาขัดขวางคุณจากผิวที่กระจ่างใสอย่างที่คุณต้องการ
ข้อดีของการเลือก TCA Peeling ที่ EY Clinic

ที่ EY Clinic เรายืนหยัดในคุณภาพของกระบวนการผลัดเซลล์ผิวด้วย TCA ประโยชน์ของการเลือกคลินิกของเราสำหรับความต้องการในการฟื้นฟูผิวของคุณมีมากกว่าผลการรักษาที่มองเห็นได้ในทันที ขั้นตอนการผลัดเซลล์ผิวด้วย TCA ของเราดำเนินการภายใต้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญของหมอ เป็นการผลัดเซลล์ผิวอย่างล้ำลึกที่สามารถลดเลือนเส้นริ้วรอยเหี่ยวย่น แผลเป็นจากสิว และฝ้า ส่งผลให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เรียบเนียน และกระจ่างใสขึ้น นอกจากนี้ การเลือกบริการของเรา แสดงว่าคุณมอบความไว้วางใจให้กับผู้เชี่ยวชาญในด้านผิวหนังของคุณ หมอมีประสบการณ์เป็นแพทย์ผิวหนังมากว่า 14 ปี หมอจึงมีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับสุขภาพผิว คุณจึงมั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับการดูแลที่เหมาะกับความต้องการของผิวและผลลัพธ์ที่คุณต้องการ ประการสุดท้าย เรามีแนวทางที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางหมายความว่าเราให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและความพึงพอใจของคุณอย่างสูงสุด จากบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นมิตร ไปจนถึงทีมงานมืออาชีพและเอาใจใส่ เรามุ่งมั่นที่จะทำให้ประสบการณ์ของคุณที่ EY Clinic เป็นความประทับใจมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ วางใจให้ EY Clinic ดูแลคุณและให้เราช่วยเผยศักยภาพที่แท้จริงของผิวคุณ
TCA Peeling อีกตัวเลือกในการผลัดเซลล์ผิว
การเริ่มกระบวนการผลัดเซลล์ผิวด้วย TCA ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ดีต่อสุขภาพผิวของคุณ เป็นขั้นตอนที่ทรงพลังในการโอบรับความงามตามธรรมชาติของผิว ลดความไม่สมบูรณ์ และส่งเสริมผิวที่อ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวา ที่ EY Clinic เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบการดูแลผิวที่มีมาตรฐานสูงสุด ตามแนวทางของคุณหมอผึ้งที่เชี่ยวชาญด้านผิวหนังมา 14 ปี การผลัดเซลล์ผิวด้วย TCA ของเราเป็นมากกว่าขั้นตอนของการบำรุงผิวเป็นประสบการณ์แบบองค์รวมที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสุขภาพผิวและความมั่นใจในรูปลักษณ์ของคุณ ตั้งแต่การให้คำปรึกษาเบื้องต้นไปจนถึงการดูแลหลังการรักษา คุณอยู่ในมือของคุณหมอที่มุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยและได้ประสิทธิภาพที่ EY Clinic การเดินทางสู่ผิวสุขภาพดีและกระจ่างใสเริ่มต้นที่นี่ สามารถติดต่อเพื่อทำนัดหมายเข้ามาปรึกษาคุณหมอและเริ่มต้นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นนี้ด้วยกัน จำไว้ว่า ผิวสวยต้องอาศัยความมุ่งมั่น ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ จบบทความของเราเกี่ยวกับการลอกหน้าด้วยกรด TCA ที่ EY Clinic หากคุณมีข้อสงสัยเพิ่มเติมหรือหากคุณพร้อมที่จะจองการนัดหมาย สามารถติดต่อเราได้ที่เบอร์ 0615941923 หรือติดต่อผ่าน LINE Official: @EyclinicTH เราหวังว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพผิวของคุณ
ใครมีปัญหาสิวขึ้นมากวนใจบนใบหน้าย่อมไม่ใช่แค่เรื่องจิ๋วแน่ ๆ ไหนจะสิวอุดตัน สิวหัวดำ สิวอักเสบ ที่ถ้าหายเองก็ดี แต่ถ้าไม่ก็อาจสร้างความเจ็บปวดไปสักพักแถมยังมีโอกาสที่จะทิ้งรอยดำรอยแดงเอาไว้ให้ดูต่างหน้าอีกด้วย มาถึงตอนนี้ คุณคงอยากรู้วิธีลดสิวหรือรักษาสิวให้ความเจ็บปวดนี้หายไปอย่างเร็วที่สุดแล้วใช่ไหม
เผย 4 สาเหตุที่ทำให้เกิดสิว

ก่อนไปดูวิธีรักษาสิว เราควรรู้จักกับสาเหตุการเกิดสิวกันก่อน โดยทั่วไปแล้วสิวที่เกิดขึ้นบนร่างกายของเรา ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใบหน้าหรือส่วนไหนก็ตาม ล้วนมาจากสาเหตุหลัก 4 ข้อ ดังนี้
- การอุดตันของรูขุมขน
สาเหตุแรกที่ทำให้เกิดสิวที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งเกิดจากการที่เซลล์หนังกำพร้าชั้นนอกสุดมีความหนากว่าปกติ และเมื่อเกิดพร้อมกับกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ผิดปกติ จึงเป็นต้นตอที่ทำให้เกิดการอุดตันบริเวณรูขุมขน และมีสิวอุดตันขนาดเล็กเกิดขึ้นตามมานั่นเอง
- ความผิดปกติของต่อมไขมัน
ใต้ผิวหนังของเราทุกคนมีต่อมไขมันที่ทำหน้าที่ผลิตไขมันในปริมาณรวมถึงส่วนประกอบที่เหมาะสมเพื่อทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นไม่แห้งกร้าน แต่สำหรับคนที่มีปัญหาสิวก็ล้วนมาจากการที่เจ้าต่อมไขมันมีการทำงานผิดปกติจนผลิตไขมันออกมาจำนวนมากและไปสะสมรวมกันอยู่ที่รูขุมขน ซึ่งในที่สุดก็เกิดการอุดตันมากขึ้นและกลายเป็นสิว
- เชื้อแบคทีเรียตัวร้าย
ไม่ต้องเชื่อก็ต้องเชื่อว่าเจ้าแบคทีเรียชื่อ cutibacterium acnes (C.acnes) หรือชื่อเดิมคือ propionibacterium acnes (P.acnes) ที่เดิมทีเป็นแบคทีเรียประจำถิ่นที่อาศัยอยู่ในรูขุมขนของคนเรา แต่ในคนที่มีต่อมไขมันกับการอุดตันของรูขุมขนมากเป็นพิเศษ ทั้งสองอย่างนี้คืออาหารโปรดของเจ้าแบคทีเรียชนิดนี้ และนั่นทำให้มันเติบโตอยู่ในรูขุมขนที่อุดตันได้อย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นสิวขึ้นมาในที่สุด
- รูขุมขนที่มีการอักเสบ
3 ปัจจัยแรกไล่มาจาก การอุดตันของรูขุมขน ต่อมไขมันที่ผลิตไขมันมากเกินไป และเชื้อแบคทีเรีย cutebacterium acnes ที่มีจำนวนมากขึ้นในรูขุมขน เป็นตัวการที่ทำให้เกิดสิวอุดตันซึ่งจะเริ่มขยายขนาดใหญ่และมีการอักเสบมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็แตกออกและแพร่กระจายเชื้อไปยังผิวหนังบริเวณโดยรอบ และแน่นอนว่าสิวชนิดนี้จะมีลักษณะบวม แดง เมื่อกดแล้วจะรู้สึกเจ็บเป็นอย่างมาก
ไม่เพียงแต่ปัจจัยภายในเท่านั้นที่เป็นสาเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดสิว แต่ยังนับรวมถึงปัจจัยภายนอกอีกมากมาย อย่างเช่น การกินอาหาร ยา หรืออาหารเสริมบางชนิด ที่เป็นตัวการทำให้เกิดสิว นอกจากนี้ การใช้เครื่องสำอางตลอดจนผลิตภัณฑ์บางชนิดก็ยังไปกระตุ้นให้เกิดสิวได้อีกด้วย รวมถึงคนที่มีการใส่หมวกกันน็อก หน้ากากอนามัย หรืออะไรที่เสียดสีกับใบหน้าบ่อยครั้ง ก็ยังนับเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดสิวได้เช่นกัน

เรื่องสิวเป็นอะไรที่ถ้าได้เกิดขึ้นกับใครแล้ว คนคนนั้นย่อมรู้สึกหงุดหงิดและมีอาการเจ็บปวดจนคิดว่าทำอย่างไรถึงจะลดหรือรักษาสิวเจ้าปัญหาได้สักที โดยต่อจากนี้เราจะพาคุณไปค้นหาว่าอะไรคือวิธีลดสิวที่ทำแล้วเห็นผลเร็ว รวมถึงทำอย่างไรถึงจะป้องกันไม่ให้สิวกลับมาเกิดที่ใบหน้าของคุณอีก
พักผ่อนให้เพียงพอ
เรามาเริ่มกันด้วยวิธีลดสิวที่ยากมากสำหรับใครหลายคน อย่างการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน หากเป็นไปได้ให้พยายามนอนก่อนเวลา 22:00 น. เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวร่างกายของคุณจะได้พักผ่อนพร้อมกับมีการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายอย่างเต็มที่ ไม่เพียงเท่านี้ยังช่วยให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังกลับมาทำงานเป็นปกติและหน้าไม่มันมากอีกด้วย
พยายามไม่เก็บเรื่องมาคิดให้เครียด
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าเมื่อเราเครียดแล้วร่างกายจะเริ่มหลั่งฮอร์โมน cortisol และฮอร์โมนอื่นๆ ที่กระตุ้นให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น สังเกตดี ๆ จะเห็นว่าเวลาที่คุณเครียดผิวหน้าก็จะเริ่มมันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดสิวตามมานั่นเอง ดังนั้นพยายามปล่อยวางและหาทางผ่อนคลายไม่ให้ตัวเองรู้สึกเครียดจนเกินไปจะดีที่สุด
ล้างทำความสะอาดใบหน้าอย่างถูกวิธี
ความสะอาดเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาสิว และป้องกันสิวได้ดี แต่ความคิดที่ว่าล้างหน้าบ่อย ๆ แล้วจะดี อันนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องแต่อย่างใด นั่นยิ่งเป็นการกระตุ้นให้มีการผลิตน้ำมันออกสู่ผิวหน้ามากขึ้นไปอีก ดังนั้นวิธีล้างหน้าที่เหมาะสมกับพวกเรามากที่สุด ก็คือการล้างทำความสะอาดใบหน้าเพียง 2 ครั้ง ในการอาบน้ำช่วงเช้าและเย็นก็เพียงพอแล้ว แต่ให้คุณเน้นไปที่การเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าที่ออกแบบมาสำหรับคนผิวบอบบาง ผิวมัน หรือผิวเป็นสิวง่ายจะเห็นผลได้ดียิ่งขึ้น
หมั่นทาครีมกันแดดทุกวัน
แสงแดดที่มีทั้ง UVA UVB และรังสีอื่น ๆ ที่ทำให้ผิวของเราคล้ำลงนั้น ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่เข้าไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำการผลิตไขมันออกมามากขึ้นอีกด้วย ยิ่งใบหน้าของคุณมีความมันมากเท่าไร คุณก็ยิ่งมีโอกาสเป็นสิวมากขึ้นเท่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน และถึงจะไม่ได้ออกจากบ้านแต่ถ้าคุณทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือเล่นมือถือ ก็ควรที่จะทาครีมกันแดดด้วยเช่นกัน
ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ
ด้วยความที่ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำราว 70% ดังนั้นการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก อย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร หรือขึ้นอยู่กับเพศ อายุ และน้ำหนักตัว เพื่อที่จะได้ช่วยให้ทุกระบบในร่างกายทำงานได้ตามปกติ รวมถึงช่วยขับสารพิษที่ตกค้างสะสมอยู่ให้ออกไปทางระบบขับถ่ายได้ดีอีกด้วย
เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์
บางคนมีความไวต่ออาหารหรือแพ้อาหารที่มีส่วนผสมบางประเภท ซึ่งก็มีอาหารหลายอย่างที่ไปกระตุ้นให้เกิดสิวขึ้นมาได้เหมือนกัน โดยแต่ละคนล้วนมีอาหารที่กระตุ้นสิวหรืออาจไม่มีเลยก็ได้ ดังนั้นคุณต้องสังเกตตัวเองให้ดีว่าถ้ากินอะไรเข้าไปแล้วหลังจากนั้นจะมีสิวเห่อขึ้นมา แต่ส่วนใหญ่แล้วอาหารที่กระตุ้นให้เกิดสิวมักจะเป็น ของที่มีส่วนประกอบของแป้งและน้ำตาลรวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารที่แปรรูปจากนม เพราะอาหารเหล่านี้จะเข้าไปทำให้ร่างกายรวมถึงเซลล์เกิดการอักเสบ จนในที่สุดก็เกิดเป็นสิวตามมานั่นเอง
ยาคุมกำเนิด
สำหรับคุณผู้หญิงที่มีปัญหาสิวฮอร์โมน การรับประทานยาคุมกำเนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศหญิงอย่างเอสโตรเจนและโปรเจสติน สามารถที่จะช่วยรักษาสิวดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะตัวยาจะเข้าไปลดระดับฮอร์โมนเพศชายอย่างแอนโดรเจนลง เป็นผลให้ต่อมไขมันที่ผลิตไขมันซีบัมมีจำนวนลดน้อยลง และสิวก็จะเกิดขึ้นน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าการรักษาสิวด้วยวิธีนี้จะต้องให้แพทย์หรือเภสัชกรเป็นผู้ให้คำแนะนำก่อนจะดีที่สุด
หลีกเลี่ยงการใช้กระดาษซับหน้ามัน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการใช้กระดาษซับหน้ามันนั้นเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวที่หลายคนไม่คาดคิดมาก่อน จริงอยู่ที่เมื่อซับหน้าจนหายมันเรียบร้อยแล้วอาจดูว่าทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ แต่นั่นเป็นการกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตไขมันออกมามากกว่าเดิม วิธีในการจัดการกับความมันบนใบหน้าที่ดีที่สุด ก็คือการใช้ทิชชูอ่อนนุ่มสำหรับใบหน้าซับความมันส่วนเกินออกไปแทน หรือไม่ก็ใช้สเปรย์น้ำแร่ฉีดใบหน้าแล้วทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นใช้ทิชชูเช็ดออกเบา ๆ เพิ่มเติมความสดชื่นและลดความมันให้กับใบหน้า
หลีกเลี่ยงและปกป้องผิวจากมลภาวะ
การที่คุณต้องเผชิญหน้ากับมลภาวะในชีวิตประจำวัน อย่าง แสงแดด ไอเสียจากเครื่องยนต์ หรือแม้แต่ฝุ่นควันที่ลอยอยู่ทั่วไป ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวขึ้นบนใบหน้า โดยวิธีป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันผิวจากมลภาวะ ไม่ว่าจะด้วยการป้องกันไม่ให้เกิดปฏิกิริยาที่ทำร้ายผิว หรือสามารถลดการเกาะติดของมลภาวะบนผิวหน้าได้ อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการช่วยลดปัญหาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
รักษาสิวก่อนทำการบำรุงผิว
ใครกำลังมีสิวเห่ออยู่ทั่วทั้งใบหน้าแล้วคิดว่าการหาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อช่วยเรื่องสิวจะเป็นหนทางที่แก้ปัญหาได้ ขอบอกว่านั่นไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้อง แต่คุณควรที่จะรักษาสิวที่มีด้วยการใช้ครีมรักษาสิวหรือไปหาแพทย์ผิวหนังเพื่อจัดการรักษาสิวเจ้าปัญหาให้หมดไปเสียก่อน จากนั้นถึงค่อยมาค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยดำรอยแดงที่สิวทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า และค่อยเริ่มการป้องกันไม่ให้สิวกลับมาอยู่บนใบหน้าของคุณอีกในอนาคต
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เขียนว่า non-comedogenic
หลังจากที่คุณได้จัดการรักษาสิวให้หายดีจนกลับมาอยู่ในสภาวะปกติแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ป้องกันและดูแลผิวเพื่อไม่ให้สิวกลับมาย่างกรายบนใบหน้าของคุณอีก โดยไม่ว่าคุณจะมีสภาพผิวแห้ง แพ้ง่าย ผิวผสม หรือผิวมัน เราแนะนำว่าคุณควรดูบนฉลากของผลิตภัณฑ์ว่ามีเขียนว่า non-comedogenic ที่ระบุว่านั่นคือผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ปราศจากน้ำมัน และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน เพียงเท่านี้คุณก็สามารถหลีกเลี่ยงการเป็นสิวในอนาคตได้อย่างเห็นผลแล้ว
ระวังเรื่องการใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
การที่คุณกินยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียหรือทายาประเภทนี้อยู่เพื่อใช้ในการรักษาสิวอักเสบ ในระยะยาวหากมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องก็อาจเกิดปัญหาดื้อยาได้เช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนการเริ่มใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเพื่อรักษาสิวทุกครั้ง ในส่วนของยาทาฆ่าเชื้อแบคทีเรียนั้น ควรใช้ร่วมกับยาทาที่มีชื่อว่า เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการดื้อยาของยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดทาได้
ไม่ใช้มือสัมผัสใบหน้าถ้าไม่จำเป็น
รู้หรือไม่ว่าบนมือของเรามีเชื้อโรคสะสมอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัวมาก่อน ซึ่งการนำมือไปสัมผัสกับใบหน้าก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดสิว ยิ่งคนที่มีผิวหน้าบอบบางแพ้ง่ายอยู่แล้วก็ยิ่งจะเป็นสิวได้ง่ายขึ้นไปอีก ถ้าเป็นไปได้ก็ให้ทำการล้างมือให้สะอาดก่อนที่จะนำมือมาจับหรือสัมผัสกับใบหน้าทุกครั้ง เนื่องจากมือถือ แป้นพิมพ์ หรือตามสิ่งของที่เรานำมือไปจับล้วนมีสิ่งสกปรกและแบคทีเรียเป็นจำนวนมากนั่นเอง
ไม่ใช้มือบีบ แคะ หรือแกะสิว
ข้อสุดท้ายนี้เป็นอะไรที่หลายคนห้ามใจกับมือของตัวเองไม่ให้ทำได้ยากที่สุด แต่การบีบ แคะ หรือแกะสิวบนใบหน้านั้น นอกจากนี้ไม่ช่วยรักษาสิวสิวแล้ว ยังไปกระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองจนผิวหนังมีการอักเสบรุนแรงมากขึ้นด้วย มีหลายครั้งที่สิวหายแล้วแต่ยังคงทิ้งรอยดำรอยแดง หลุมสิวลึก หรือรอยนูนทิ้งเอาไว้ให้คุณดู ดังนั้นถ้ามีสิวเห่อบนใบหน้าก็ควรจัดการกับมันอย่างถูกวิธีจะดีที่สุด
5 วิธีรักษาสิวที่ได้ผลและแทบไม่มีผลข้างเคียง

ปกติแล้ววิธีในการรักษาสิวมีอยู่หลายวิธี ไล่ระดับจากเบา ๆ ที่สามารถจัดการสิวได้ด้วยตัวเอง ไปถึงมีความรุนแรงมากจนต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ทำให้ เพื่อหลีกเลี่ยงการอักเสบหรือติดเชื้อเพิ่มขึ้น และต่อจากนี้คือ 4 วิธีรักษาสิวที่คุณควรรู้เอาไว้
1. กดสิว
การกดสิวเป็นหนึ่งในวิธีรักษาสิวทั้งหัวขาวและหัวดำยอดฮิต ซึ่งต้องบอกตรงนี้เลยว่าการกดสิวไม่ควรทำด้วยตัวเองที่บ้าน เพราะจะต้องให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเป็นคนทำการรักษาสิวให้ ด้วยเครื่องมือกับขั้นตอนในการทำที่สะอาดถูกหลัก เพื่อป้องกันไม่ให้สิวแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ จนมีสิวเพิ่มขึ้นแทนที่จะจัดการสิวได้หมด
โดยวิธีการรักษาสิวด้วยการกดนั้น สำหรับสิวหัวขาวจะเป็นสิวหัวปิดอาจต้องใช้การเปิดหัวสิวร่วมด้วยส่วนสิวหัวดำเป็นสิวหัวเปิดสามารถ กดออกได้ง่ายกว่า
สำหรับการกดสิวเพื่อรักษาสิวที่ EY Clinic จะอยู่ในแพ็กเกจ acne basic ซึ่งเหมาะสำหรับผู้มีปัญหาสิวไม่ได้เยอะมาก ทำพร้อมการกดสิวกับการมาสก์หน้าให้ผิวหน้ากลับมาชุ่มชื้น และมีการทำทรีตเมนต์ช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใส ทั้งหมดนี้มีราคาเริ่มต้น 999 บาทต่อครั้งเท่านั้น
2. ทายารักษาสิว
ต่อมาคือการจัดการกับสิวด้วยการทายารักษาสิวที่ปัจจุบันมีอยู่หลายชนิด และสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ดังนี้
- เบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide)
นี่สารที่มีอยู่ในครีมทารักษาสิวหลายชนิด ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นอย่างการช่วยกำจัดแบคทีเรีย cutibacterium acnes (C.acnes) ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิว รวมถึงทำให้สิวแห้งลงและป้องกันการเกิดสิวใหม่อีกด้วย
- ซัลเฟอร์ (Sulfur)
ซัลเฟอร์หรือที่รู้จักกันดีว่า กำมะถัน คือส่วนประกอบเคมีทางธรรมชาติที่ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของการเกิดสิวไปพร้อม ๆ กับการเร่งให้เกิดการผลัดเซลล์ใหม่อีกด้วย
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic)
กรดชนิดนี้นิยมอย่างมากในการนำมาผสมในแชมพู สบู่ และโฟมล้างหน้า เพราะมีความสามารถในการช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งช่วยในการรักษาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ การเลือกใช้ยาทารักษาสิวเป็นอะไรที่ต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะเริ่มทาทุกครั้ง เพราะในกรณีที่ปัญหาสิวของคุณมีการติดเชื้อและเป็นมาเรื้อรังค่อนข้างนาน แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะมากินร่วมด้วย แต่จะให้กินเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
3. มาสก์หน้ารักษาสิว
หากคุณมีปัญหาสิวหัวขาวหรือสิวหัวดำที่ไม่ได้มีอาการเจ็บปวดหรือมีรอยแดงปรากฏขึ้น คุณก็สามารถรักษาสิวด้วยการมาสก์หน้าได้ โดยเริ่มต้นจากการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่บนใบหน้าเสียก่อน จากนั้นจะทำการเร่งกระบวนผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป รวมถึงใช้มาสก์ที่มีคุณสมบัติในการช่วยลดการผลิตน้ำมันของต่อมไขมันใต้ผิวหนังที่คือหนึ่งในต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิว ไม่เพียงเท่านี้ มาสก์หน้ารักษาสิวหลายสูตรก็ยังช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียรวมถึงเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอีกด้วย
4. เลเซอร์รักษาสิว
การใช้เลเซอร์รักษาสิวถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาได้ที่ต้นเหตุ เนื่องจากเลเซอร์ที่ยิงเฉพาะจุดจะทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังมีการผลิตน้ำมันออกมาลดลง จนทำให้การอุดตันของไขมันและสิ่งสกปรกในรูขุมน้อยลงอย่างมาก แถมยังช่วยลดการเกิดเชื้อแบคทีเรีย C.acnes ได้อย่างเห็นผล และแพทย์จะแนะนำให้เลเซอร์ควบคู่กับการใช้ยาฆ่าเชื้อในผู้ที่มีปัญหาสิวบางราย
อีกหนึ่งข้อดีของการเลเซอร์รักษาสิวก็คือการช่วยเร่งผลัดเซลล์ผิว ส่งผลให้รอยสิวที่เกิดขึ้นจะจางลงอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นานนัก โดยเฉพาะแพ็กเกจ acne advnced ของ EY Clinic ที่มีการกดสิว มาสก์หน้า ทำทรีตเมนต์ rejuve และยิงเลเซอร์ dermalight เพื่อลดรอยสิวและเพิ่มความกระจ่างใสด้วยเลเซอร์ทั่วหน้า
เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวไม่มากไปจนถึงคนมีรอยสิวเยอะ
สำหรับราคาต่อ 1 ครั้งจะอยู่ที่ 1,999 บาท ไปจนถึง 13 ครั้ง 19,990 บาท หรือเฉลี่ยเพียง 1,538 บาทต่อครั้งเท่านั้น
อาหารที่ช่วยลดสิวได้มีอะไรบ้าง?

มีข้อมูลในโลกอินเทอร์เน็ตมากมายที่ระบุว่าอาหารบางชนิดสามารถช่วยลดการเกิดสิวได้ ซึ่งเราจจะเปิดเผยอาหารดังกล่าวเพื่อให้คุณได้เลือกรับประทานเพื่อช่วยจัดการกับปัญหาสิวได้อีกทางหนึ่ง
อาหารที่อุดมไปด้วย omega 3

น้ำมันปลาคือหนึ่งในอาหารที่ช่วยรักษาสิวได้ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า-3 ซึ่งถือเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวชนิดหนึ่ง ที่จะเข้าไปยับยั้งการอักเสบที่เกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย ทั้งยังสามารถช่วยลดการอักเสบที่เกิดขึ้นบนผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการลดการเกิดสิวได้ในอีกทางหนึ่งนั่นเอง ดังนั้นคุณควรรับประทานอาหารที่มีโอเมก้า-3 เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า เป็นต้น
อาหารที่อุดมไปด้วย zinc

มีการศึกษาที่ระบุว่าคนที่กินอาหารซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุอย่างสังกะสี (zinc) อย่างเป็นประจำจะมีโอกาสเป็นสิวน้อยกว่าและแผลที่เกิดจากสิวก็จะหายกลับมาเป็นปกติได้เร็วอีกด้วย โดยอาหารที่มี zinc ตามธรรมชาติ ได้แก่ ปู หอยนางรม เมล็ดฟักทอง คีนัว และถั่วเลนทิล เป็นต้น
อาหารที่อุดมไปด้วย anti-oxidant

รู้หรือไม่ว่า Antioxidant หรือ สารต้านอนุมูลอิสระสามารถช่วยรักษาสิวและป้องกันสิวได้ ใครที่กินดาร์กช็อกโกแลต ผักเคล สตรอว์เบอร์รี และผักโขมเป็นประจำ คุณจะมีโอกาสเป็นสิวน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงหากเป็นสิวก็สามารถที่จะกลับมาเป็นปกติได้ไวอีกด้วย นั่นก็เพราะว่าในอาหารเหล่านี้มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น สามารถกำจัดของเสียและทำให้เกิดการอักเสบภายในร่างกายลดลงอย่างมาก
10 วิธีรักษาสิว ไม่ต้องหาหมอ! โดยวิธีธรรมชาติ ทำง่ายๆ แม้ทำที่บ้าน

1. ไข่ขาวลดสิว

ไข่ขาวนั้นมีลักษณะเป็นกาวจากธรรมชาติที่สามารถช่วยดีท็อกซ์ผิวหน้าของคุณให้สะอาดล้ำลึกจนถึงรูขุมขน แถมยังช่วยขจัดสิวเสี้ยนที่ฝังให้หลุดออกได้ดี พร้อมคืนนุ่มเด้งให้กับผิวหน้าอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ หากใช้ไข่ขาวร่วมกับมะนาวก็ยิ่งทำให้สิวยุบตัวได้เร็ว รอยสิวแลดูจางลง และผิวหน้ากลับมามีความกระจ่างใสอีกด้วย ถือเป็นสูตรรักษาสิวที่ง่ายและมีประโยชน์มากมายจริง ๆ
2. มะนาวลดสิว

มะนาวนอกจากจะทำเครื่องดื่มเย็น ๆ สดชื่น ๆ แล้ว ยังช่วยรักษาสิวได้อีกด้วย เนื่องจากกรดในน้ำมะนาวสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวได้ เพียงคุณบีบน้ำมะนาวลงในถ้วยพร้อมกับผสมน้ำอุ่นลงไปเล็กน้อยแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นนำสำลีมาชุบน้ำแล้วพอกไว้ให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที เท่านี้ก็จะช่วยให้สิวแห้งและยุบตัวได้ไวขึ้นแล้ว
3. ดินสอพองลดสิว

ดินสอพองถือเป็นหนึ่งในวิธีรักษาสิวแบบธรรมชาติที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสมัยก่อนจวบจนถึงปัจจุบัน โดยการใช้ดินสอพองนำมาบดแล้วละลายให้เข้ากับน้ำจนมีความข้นหนืด พร้อมกับนำพอกบนใบหน้าก็จะช่วยให้สิวที่อักเสบแห้งและหายได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการนำสมุนไพรบางอย่างมาผสมกับดินสอพองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาสิวอีกด้วย อย่างไรก็ตาม วิธีลดสิวด้วยดินสอพองไม่ควรทำเกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เนื่องจากจะทำให้ผิวแห้งเกินไปจนมีสิวขึ้นมาได้ง่ายกว่าเดิม
4. หอมแดงลดสิว

นอกจากหอมแดงจะนิยมมาใส่ในอาหารที่หลากหลายแล้ว ยังสามารถรักษาสิว ช่วยให้สิวอักเสบยุบตัวลงได้เร็วขึ้นอีกด้วย รวมถึงลดรอยดำรอยแดงจากสิวให้ดูจางลง พร้อมยับยั้งแบคทีเรียและลดการเกิดสิวใหม่ โดยการหอมแดงมาสับ ปั่น และผสมน้ำสะอาดลงไปเล็กน้อย จากนั้นนำส่วนผสมดังกล่าวมาพอกหน้าทิ้งไว้ราว 10 นาที แล้วจึงค่อยล้างออก
5. น้ำผึ้งกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติลดสิว

โยเกิร์ตผสมน้ำผึ้งนอกจากจะทานอร่อยแก้ท้องว่างได้แล้ว ยังช่วยรักษาสิวได้ด้วยหากคุณอยากมีใบหน้าที่ดูกระจ่างใส เพิ่มความชุ่มชื้นมากขึ้น และช่วยลดรอยสิวให้จางลง ก็ลองใช้น้ำผึ้งมาผสมกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติในอัตราส่วนที่เท่ากัน จากนั้นคนให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียวแล้วนำมาพอกทั่วทั้งใบหน้าหรือจะแต้มเฉพาะบริเวณที่เป็นสิวก็ได้เช่นกัน
6. มะละกอลดสิว

ด้วยความที่มะละกออุดมไปด้วยเอนไซม์ปาเปน (enzyme papain) และ ไคโมปาเปน (Chymopapain) ที่ช่วยย่อยโปรตีน โดยสามารถลดอาการอักเสบที่เกิดขึ้นกับผิวหนังรวมถึงสมานแผลได้เป็นอย่างดี ซึ่งได้ผลดีมากในการรักษาสิวอักเสบละลดรอยดำจากสิวได้อีกด้วย เพียงการนำมะละกอมาบดละพอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึงค่อยล้างออกนั่นเอง
7. ว่านหางจระเข้ลดสิว

ว่านหางจระเข้ได้ชื่อว่ามีสรรพคุณในการช่วยลดสิวได้ไม่แพ้ยาแต้มสิว เพราะสามารถลดอาการอักเสบของสิว รวมถึงลดรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจากสิวให้แลดูจางลงได้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความปลอดภัยและย่นระยะเวลาในการรักษาสิวให้ทำได้รวดเร็วทันใจ แถมยังลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการแพ้เวชสำอางบางตัวได้อีกต่างหาก
8. เปลือกมังคุดลดสิว

มังคุดได้ชื่อว่าเป็นผลไม้ที่สามารถลดการอักเสบของผิวหนังได้ดีอันดับต้น ๆ นั่นก็เพราะว่าในเปลือกมังคุดมีสารที่ชื่อว่า GM-1 ซึ่งช่วยระงับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย พร้อมทั้งมีสารที่ช่วยต้านการอักเสบอย่าง xanthone และ tannin ที่ช่วยให้แผลสามารถสมานตัวได้เร็วยิ่งขึ้น
9. มะเขือเทศลดสิว

หลายคนอาจรู้มาว่ามะเขือเทศเป็นผักที่นิยมใช้ในการบำรุงผิวหน้าให้ดูเปล่งประกายแลดูสดใสมาอย่างยาวนาน ยิ่งไปกว่านั้น มะเขือเทศยังใช้สำหรับการลดสิวได้ดีเช่นกัน เพียงหั่นมะเขือเทศเป็นแว่น ๆ หรือไม่ก็ใช้การบดให้ละเอียดจากนั้นนำมาพอกทั่วใบหน้า พร้อมกับทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น โดยแนะนำให้ทำต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพียงเท่านี้รอยสิวบนใบหน้าของคุณก็จะดูจางลง
10. น้ำแข็งลดสิว

มาถึงวิธีลดสิวข้อสุดท้ายที่คุณทำตามได้ง่าย ๆ ด้วยการนำก้อนน้ำแข็งมาห่อด้วยผ้าขนหนูแล้วนำมาประคบบนสิว อาการคัน อาการอักเสบ และรอยสิวก็จะบรรเทาแถมเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด
ลดสิวได้เร็วและปลอดภัยไม่แพ้วิธีธรรมชาติกับ EY Clinic

วิธีลดและรักษาสิวทั้งด้วยวิธีแบบธรรมชาติและการใช้วิธีทางการแพทย์ แต่ละแบบล้วนมีข้อดีที่แตกต่างกันไป ซึ่งหากคุณอยากรักษาสิวทุกประเภทที่อยู่บนใบหน้าของคุณให้หายไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย ทีมแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวลล์เนสที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปีจากสถาบันชั้นนำของประเทศที่ EY Clinic ก็พร้อมที่จะแนะนำวิธีการรักษาสิวที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ สามารถปรึกษาเราได้ที่ไลน์ @EYClinicTH

กดสิวดีจริงไหม ทำอย่างไรถึงจะไม่เสี่ยงหน้าพัง?
ไม่ว่าใครก็ย่อมต้องเคยมีสิวเห่อขึ้นบนใบหน้ากันแทบทั้งนั้น ซึ่งหลายคนก็เลือกที่จะกดสิวด้วยตัวเองเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้น แต่คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่าจริง ๆ แล้วการกดสิวนั้นเป็นวิธีรักษาสิวที่ถูกต้องและเหมาะกับสิวทุกประเภทหรือไม่ เพราะปัญหาสิวแต่ละแบบมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน เพื่อไม่ให้เสียเวลาเรามาทำความเข้าใจไปพร้อมกันว่าการกดสิวนั้นเป็นอย่างไรและมีเรื่องใดที่ควรรู้ก่อนกดสิวบ้าง เพื่อที่คุณจะได้ไม่เสี่ยงหน้าพังจนมีรอยดำรอยแดงจากการกดสิวตามมา
การกดสิวเป็นอย่างไร?

การกดสิวนั้นก็คือวิธีในการรักษาสิวอย่างหนึ่ง ด้วยการใช้เข็มหรืออุปกรณ์กดสิวที่ผ่านการฆ่าเชื้อทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว นำมาเจาะที่หัวสิวเพื่อให้หนองหรือสิ่งที่อุดตันอยู่ภายในสิวไหลออกมาจนหมด ซึ่งการกดสิวนั้นมีความเสี่ยงที่จะทำให้แบคทีเรียและสิ่งสกปรกกระเด็นไปสู่ผิวหน้าส่วนอื่น ๆ รวมถึงนิ้วมือที่ใช้บีบกดสิวออกมา นับเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดสิวขึ้นที่จุดใหม่ ๆ ตามมา รวมถึงเป็นต้นเหตุของสิวที่มีการอักเสบรุนแรง ทั้งบวมแดง ติดเชื้อ และอาจทิ้งรอยแผลเป็นที่มีรอยลึกจนรักษาได้ยาก
สิวประเภทใดเหมาะกับการรักษาด้วยการกดสิวบ้าง?

อย่างที่เราบอกไปตอนแรกว่าสิวแต่ละประเภทล้วนมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน โดยการกดสิวนั้นจะใช้กับสิวอุดตันเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตันหัวดำหรือสิวอุดตันหัวขาวที่ฝังตัวสร้างความเจ็บปวดอยู่บนใบหน้า ถ้าหากใครมีปัญหาสิวผดหรือสิวอักเสบที่มีความรุนแรง การทายารักษาสิวดูจะเป็นวิธีที่เหมาะสมมากกว่า นั่นก็เพราะว่าถ้ากดสิวทั้งสองชนิดที่กล่าวไปอาจทำผิวในบริเวณนั้นเกิดการระคายเคืองและติดเชื้อในที่สุด ซึ่งเราแนะนำว่าถ้าคุณต้องการกดสิวก็ให้มาปรึกษาและให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำการกดสิวอย่างถูกต้องดีกว่า
ข้อดีข้อเสียของการกดสิว

คุณคงพอเข้าใจแล้วว่าการกดสิวนั้นคืออะไร รวมถึงสามารถใช้สำหรับการรักษาสิวประเภทไหนได้บ้าง และต่อจากนี้เราจะพาคุณไปดูว่าจริง ๆ แล้วการกดสิวนั้นมีข้อดีและข้อเสียอะไรที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจกดสิวบ้าง
ข้อดีของการกดสิว
ข้อดีของการกดสิว คือ สามารถกำจัดสิวอุดตันได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบและทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้น อีกทั้งยังลดความเสี่ยงจากการใช้ยา ทั้งยาแต้มและยาแบบรับประทาน
ข้อเสียของการกดสิว
- มีโอกาสที่จะเกิดการอักเสบของสิวและผิวหนังบริเวณที่กดสิวได้
- อาจทำให้เกิดรอยดำหรือรอยแดงหลังจากการกดสิว
กดสิวโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด

แม้ว่าคุณอาจเคยกดสิวด้วยตัวเองแล้วไม่ได้มีผลข้างเคียงอะไร แต่นั่นก็ไม่ใช่วิธีรักษาสิวที่ถูกต้องและปลอดภัยเลย เพราะการกดสิวควรให้แพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ที่กดสิวให้คุณจะดีที่สุด เพราะว่าระหว่างขั้นตอนการกดสิวโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะมีการสวมใส่ถุงมืออนามัยเพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียที่อยู่บนมือ ไปสัมผัสโดนกับผิวหน้าของผู้ที่มาให้กดสิวโดยตรง พร้อมกับบีบผิวหนังที่มีสิวแล้วใช้เข็มที่ผ่านการฆ่าเชื้อมาเจาะหัวสิวให้เปิดออก จากนั้นจึงใช้เครื่องมือกดสิวอย่างเบามือให้หัวสิว หนอง และสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ไหลออกมาจนหมด และเช็ดทำความสะอาดบริเวณผิวหนังรอบๆ ด้วยน้ำเกลือเมื่อกดสิวเสร็จแล้ว
ใครที่มีปัญหาสิวอุดตันแล้วอยากรักษาด้วยวิธีการกดสิวร่วมกับวิธีอื่นด้วย ที่ EY Clinic เราก็มีแพ็กเกจ Acne+ ที่กดสิว มาสก์หน้า และทำ laser dermalight ที่ช่วยลดรอยสิวและเพิ่มความกระจ่างใสด้วยเลเซอร์ทั่วหน้า ในราคาเริ่มต้น 1,599 บาทต่อครั้ง หรือซื้อแพ็ก 13 ครั้ง ราคา 19,990 บาท เฉลี่ยแล้วตกอยู่ที่ 1,538 บาทต่อครั้งเท่านั้น จัดว่ามีความคุ้มค่าแบบไม่ต้องจ่ายแพงจนเกินไป
กดสิว ควรทำกี่รอบ
โดยทั่วไปแล้ว การกดสิวสามารถทำได้ทุก ๆ 2-4 สัปดาห์ โดยความถี่ของการกดสิวย่อมขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน อย่างไรก็ดี การกดสิวเป็นวิธีรักษาที่เหมาะกับสิวอุดตันเท่านั้น และไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาสิวอักเสบจำนวนมาก สำหรับคนที่มีปัญหาสิวรุนแรงหรือเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
กดสิว เจ็บไหม
การกดสิว จะมีความเจ็บปวดอยู่เล็กน้อย ซึ่งความเจ็บปวดก็ย่อมขึ้นอยู่กับวิธีกดสิวและความเชี่ยวชาญของผู้ดำเนินหัตถการด้วย เนื่องจากสิวในแต่ละบริเวณของใบหน้าต้องการน้ำหนักของการกดที่ไม่เท่ากัน รวมถึงเทคนิคการกดที่ต่างกันด้วย
กดสิวแล้ว เลเซอร์ต่อได้ไหม
ในการรักษาสิวอุดตัน มักจะมีการทำเลเซอร์ก่อนแล้วกดสิวที่หลัง เนื่องจากพลังงานเลเซอร์จะช่วยในการเปิดหัวสิว และทำให้กดออกได้ง่ายขึ้น
รีวิวการกดสิวโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ EY Clinic
สำหรับใครมีปัญหาสิวอุดตันกระจายอยู่ทั่วใบหน้าแล้วอยากจัดการให้หมดไป ก็สามารถหาคลินิกที่น่าเชื่อถือและเชี่ยวชาญด้านการรักษาสิวด้วยวิธีต่างๆ ได้ หรือจะมาที่ EY Clinic ซึ่งมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญรอให้คำปรึกษาเรื่องสิว และทำการกดสิวรวมถึงรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมด้วยเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด







กดสิวกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ EY Clinic หายไว ไม่มีผลข้างเคียง

คุณคงเข้าใจแล้วว่าการกดสิวนั้นจริงๆ แล้วมีข้อดีข้อเสีย รวมถึงวิธีในการกดสิวที่ถูกต้องทำอย่างไร แต่ทางเลือกที่เห็นผลไว ไม่ทำให้สิวอักเสบเพิ่มขึ้น และไม่ทิ้งรอยสิวลึกหลังจากกดสิว คือการให้แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวลล์เนสที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปีจากสถาบันชั้นนำของประเทศ ที่ EY Clinic เป็นคนคอยแนะนำและทำการกดสิวให้กับคุณ ติดต่อเราได้ที่ไลน์ @EYClinicTH
สิวที่คางเกิดจากอะไร? พร้อมวิธีรักษาสิวขึ้นคางที่เห็นผลไวทันใจ
ปัญหาสิวขึ้นคางนั้นถือว่าพบได้บ่อยไม่แพ้เรื่องสิวอักเสบบนใบหน้าเลย โดยเฉพาะในยุคที่เราทุกคนยังต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยกันเป็นประจำ ก็ยิ่งมีโอกาสที่สิวจะขึ้นที่คาง บริเวณรอบๆ ริมฝีปาก ลามไปถึงกรอบหน้าและช่วงขากรรไกรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เพียงเท่านี้ยังมีปัจจัยร่วมอื่นๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นให้สิวขึ้นที่คางอีกด้วย
เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถรับมือและจัดการกับสิวขึ้นคางได้อย่างถูกวิธีและมีประสิทธิภาพ เราจะคุณไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้สิวขึ้นคาง ประเภทของสิว วิธีรักษาสิวที่คาง และวิธีป้องกันไม่ให้สิวกลับมาขึ้นที่คางของคุณอีก ถ้าพร้อมแล้วเรามาดูกันเลย
สิวขึ้นคางเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่?

จริงๆ แล้วสาเหตุที่ทำให้สิวขึ้นคางล้วนมาจากปัจจัยหลัก 6 ข้อ ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่คุณหลีกเลี่ยงได้ และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ได้แก่
- สิวฮอร์โมน
ปัจจัยแรกที่ทำให้สิวขึ้นคางก็คือฮอร์โมนของคุณนั่นเอง เนื่องจากการทำงานที่ผิดปกติของต่อมไร้ท่อส่งผลให้ร่างกายของคุณผลิตฮอร์โมนเพศชายขึ้นมามากกว่าปกติ ซึ่งจะเข้าไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันที่ใบหน้าผลิตน้ำมันออกมาเป็นจำนวนมาก จนทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขนและในที่สุดก็เกิดสิวขึ้นที่คางตามมา
- สัมผัสใบหน้าบ่อย
ใครคนไหนที่ชอบบีบสิวหรือนำมือมาสัมผัสโดนใบหน้าของตัวเองบ่อยๆ คุณจะยิ่งมีโอกาสสิวขึ้นคางง่ายกว่าปกติ เพราะว่ามือของคุณอาจไปจับอะไรก็ตามที่มีเชื้อโรคติดอยู่ ยิ่งนำมือที่ยังไม่ได้ล้างมาบีบสิวที่อยู่บนหน้าด้วยแล้ว เจ้าสิวเม็ดเล็กก็มีโอกาสที่จะกลายร่างเป็นสิวอักเสบหรือสิวหัวช้างที่สร้างความเจ็บปวดและลุกลามไปยังบริเวณอื่นๆ ของใบหน้า
- ใส่หน้ากากอนามัยซ้ำไม่ยอมเปลี่ยน
ช่วงนี้หันไปทางไหนก็ยังเห็นคนสวมหน้ากากอนามัยเดินกันทั่วไปตามปกติ ซึ่งก็มีหลายคนที่ใส่หน้ากากอนามัยซ้ำหลายวันเพราะคิดว่าโอกาสติดเชื้อโควิด-19 น้อยลงมาก แต่การทำแบบนั้นจะส่งผลให้ใบหน้ารวมถึงคางของคุณสัมผัสกับสิ่งสกปรกจำนวนมากที่สะสมอยู่ภายใต้หน้ากาก ทั้งเหงื่อ ขี้ไคล และเครื่องสำอาง หากคุณล้างหน้าไม่สะอาดก็มีโอกาสสูงมากที่สิวจะขึ้นคางของคุณ
- มลภาวะที่ลอยอยู่ในอากาศ
ทันทีที่คุณก้าวเท้าออกนอกบ้าน มลภาวะที่ล่องลอยอยู่ในอากาศทั้งฝุ่นและละอองต่างๆ ก็จะปลิวมาติดอยู่บนใบหน้าของคุณโดยไม่รู้ตัว แน่นอนว่าเมื่อมาติดอยู่ที่บริเวณคางและคุณไม่ได้ล้างหน้าอย่างสะอาดหมดจดแล้ว ก็มีโอกาสสูงมากที่สิวขึ้นคางจนทำให้คุณรู้สึกเจ็บจากการอักเสบที่เกิดขึ้นได้
- ยาสีฟัน
พบได้บ่อยว่าการมีสิวอักเสบขึ้นซ้ำๆบริเวณคางอาจเกิดได้จากการใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูโอไรด์ ซึ่งในคนที่เป็นสิวอักเสบและรักษาไม่หาย คุณหมอจะแนะนำให้ใช้เป็นยาสีฟันที่ไม่มีฟลูโอไรด์เป็นส่วนประกอบแทน
- เป็นสิวหลังโกนหนวด
การโกนหนวดเป็นกิจวัตรประจำวันของผู้ชายหลายๆคน แต่อาจสังเกตเห็นว่าบางคนมีสิวขึ้นตามหลังการโกนหนวดตลอด จึงมีข้อแนะนำดังนี้ ให้เปลี่ยนมีดโกนเป็นประจำ ใช้ใบมีดชนิดใบมีดเดียวโกนตามแนวเส้นขน เปลี่ยนใบมีดโกนสม่ำเสมอและทาบำรุงหลังโกนหนวด บางคนอาจแพ้โฟมสำหรับโกนหนวดจึงแนะนำให้เปลี่ยนมาใช้สบู่อ่อนแทน
สิวขึ้นที่คางมีกี่ประเภท และแตกต่างกันอย่างไร?

เมื่อรู้ถึงสาเหตุของการเกิดสิวที่คางแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะมารู้จักประเภทของสิวขึ้นคางที่ขึ้นอยู่บริเวณกรอบล่างของใบหน้า ที่โดยส่วนใหญ่แล้วมาเกิดขึ้นในคนวัยทำงานและมักมาในรูปแบบของสิวอักเสบที่สร้างความเจ็บปวดไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม ยังมีสิวขึ้นคางประเภทอื่นๆ ที่พบได้บ่อยไม่แพ้กันดังนี้
1. สิวอักเสบขึ้นที่คาง

เริ่มต้นกันด้วยประเภทของสิวขึ้นคางที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะกับคนในวัยทำงานทั้งชายและหญิง โดยสิวอักเสบที่ขึ้นที่คางนั้นจะมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือสิวขึ้นคางที่มีลักษณะเป็นตุ่มหนอง ซึ่งเป็นสิวที่มีการอักเสบอยู่เพียงที่ชั้นผิวหนังชั้นบนซึ่งสิวประเภทนี้จะรักษาง่ายกว่า
ต่อมาคือสิวขึ้นคางในลักษณะของสิวหัวช้าง ซึ่งเกิดจากการอุดตันที่อยู่ในระดับลึกกว่า อักเสบมากกว่า นอกจากนี้ สิวขึ้นคางประเภทนี้สามารถกดสิวออกได้ยาก อาจจำเป็นต้องใช้การฉีดสิวเพื่อทำให้อาการอักเสบลดน้อยลงจนสามารถที่จะเจาะหัวสิวเพื่อกดสิวออก พร้อมกับทายาเพื่อให้ผิวบริเวณที่เป็นสิวกลับมาแข็งแรงดังเดิม ในบางกรณีที่มีการอักเสบเยอะมาก คุณหมอจะมีการจ่ายยารับประทานฆ่าเชื้อและลดอักเสบให้เพิ่มเติมด้วย
2. สิวเสี้ยนขึ้นใต้คาง

สิวเสี้ยนไม่ว่าขึ้นที่บริเวณใดของใบหน้าก็สร้างความกวนใจให้คนที่มีผิวมันอยู่ได้เสมอ โดยเฉพาะกับสิวเสี้ยนที่ขึ้นใต้คางที่มีลักษณะเป็นสิวเม็ดเล็กๆเป็นตุ่มสีขาวมักจะอยู่ในบริเวณช่วงกลางระหว่างริมฝีปากล่างกับคาง ยิ่งเม้มปากจะยิ่งเห็นได้ชัดว่าสิวเสี้ยนขึ้นอยู่ใต้คาง
สำหรับสิวในลักษณะนี้นั้นสามารถที่จะกดออกมาได้ยาก เนื่องจากสิวมีขนาดเล็กและเป็นสิวที่เวลากดออกมาจะมีน้ำ ซึ่งวิธีการรักษาสิวชนิดนี้ก็มักจะทำด้วยการกินยาควบคู่กับการทายาเป็นหลัก
3. สิวฮอร์โมนที่คาง

สิวฮอร์โมนที่ขึ้นบริเวณคางนั้นส่วนใหญ่จะเป็นสิวอักเสบ ซึ่งมักเกิดขึ้นที่คางของสาวๆ ที่ฮอร์โมนกำลังแปรปรวนช่วงใกล้จะเป็นประจำเดือน เรียกว่าสิวจะเห่อขึ้นมาพร้อมๆกันเลยทีเดียว
สำหรับวิธีการรักษาสิวฮอร์โมนที่คางนั้นจะค่อนข้างซับซ้อนและต้องมองหาสาเหตุที่มาจากร่างกายภายในเสียก่อน โดยเริ่มจากการสืบหาสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณเคยมีปัญหาด้านสูตินารีเวชมาก่อนหรือไม่ หรือเป็นโรคต่อมไร้ท่ออยู่หรือเปล่า ซึ่งความผิดปกติของร่างกายที่มีความสัมพันธ์กันกับการเกิดสิวฮอร์โมนนั้น จะมีอาการแสดง เช่น ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ผิวมัน ขนบริเวณร่างกายเยอะ ประจำเดือนมาครั้งแรกเร็วกว่าปกติ ถ้าสาวๆ คนไหนไม่มั่นใจว่าตัวเองมีอาการผิดปกติเหล่านี้อยู่หรือเปล่า แนะนำให้ไปปรึกษาคุณหมอด้านสูตินารีเวชรวมถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อก่อน เพื่อที่จะได้ทำการรักษาสิวฮอร์โมนได้อย่างถูกต้องต่อไป
4. สิวอุดตันขึ้นบริเวณคาง

หากสิวที่ขึ้นบริเวณคางลูบแล้วรู้สึกว่าเป็นตุ่มนูนเล็กๆไม่เจ็บ นั่นก็คือลักษณะของสิวอุดตันซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจกลายเป็นสิวอักเสบและทิ้งรอยแดง หรือรอยแผลเป็นได้ โดยวิธีการรักษาควรต้องประเมินให้แน่ใจก่อนว่าสิวมีความลึกอยู่ที่เท่าไหร่ หากอยู่ตื้นก็สามารถที่จะกดสิวเพื่อนำหัวออกมาได้ แต่ถ้าลึกมาก แนะนำให้ทายาเพื่อให้หัวสิวเปิดก่อนค่อยทำการกดสิวเพราะถ้าหัวสิวอยู่ลึกหรือหัวไม่เปิดจะมีโอกาสเกิดสิวอักเสบตามหลังการกดสิวได้ง่าย อย่างไรก็ตามแนะนำให้รักษาสิวอุดตันโดยใช้ยาร่วมด้วยเนื่องจากสิ วอุดตันบางจุดสามารถยุบไ้ด้เองจากการใช้ยา นอกจากนี้การทายาจะช่วยป้องกันไม่ให้สิวขึ้นใหม่ การกดสิวควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากการกดสิวที่ไม่ถูกวิธีอาจทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อ หรืออาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นหลังกดสิว
5. สิวผดที่คาง

ในกรณีของสิวผดที่คางนั้นจำเป็นต้องแยกแยะให้ดีว่าแท้จริงแล้วเป็นสิวประเภทอุดตันหรือไม่ เพราะถ้าเป็นสิวอุดตันก็สามารถกดเพื่อเอาหัวสิวออกได้
แต่ถ้าเป็นสิวผดที่ขึ้นบริเวณคางแนะนำให้เข้ามาปรึกษาคุณหมอเพื่อจ่ายยาทานและยาทา นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องประเมินและแยกให้ออกด้วยว่าสิ่งที่มีลักษณะคล้ายสิวนั้นเป็นรอยของโรค perioral dermatitis, rosacea และ seborrheic dermatitis หรือไม่ อีกแบบหนึ่งก็คือบางคนจะมีผื่นแพ้อักเสบขึ้นที่คางซึ่งมีลักษณะคล้ายกับสิวผดได้เหมือนกัน ซึ่งบรรดาอาการของโรคต่างๆ ที่เรากล่าวมานี้ จะมีวิธีในการรักษาที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง และคุณควรปรึกษาคุณหมอเพื่อจัดการอย่างถูกวิธี
สิวที่กรามผู้ชาย เกิดจากอะไร
สิวที่กรามของผู้ชาย มักเกิดจากปัจจัยทางด้านฮอร์โมน และปัจจัยทางพฤติกรรม เช่น การไม่รักษาความสะอาด หรือ การโกนหนวดที่ไม่ถูกวิธีค่ะ
ฮอร์โมนอย่าง เทสโทสเทอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย หรือ คอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียด จะส่งผลทำให้ผิวผลิตน้ำมันออกมากขึ้น นำไปสู่การอุดตันได้ง่าย และจะเกิดเป็นสิวในที่สุดค่ะ
อีกหนึ่งปัจจัยของสิวที่กรามในผู้ชาย ก็คือ การเสียดสีของมีดโกน หรือ มีดโกนที่ไม่สะอาดค่ะ โดยจะสังเกตได้ว่า บางคนจะเป็นสิวหลังโกนหนวดอยู่เสมอ ซึ่งเราสามารถแก้ปัญหาตรงนี้ได้ด้วยการเปลี่ยนมีดโกนเป็นประจำ ทำความสะอาดมีดโกนอย่างถูกวิธี โกนตามแนวเส้นขนโดยหลีกเลี่ยงการโกนซ้ำๆ และทาครีมบำรุงหลังโกนทุกครั้งค่ะ
ทำไมเป็นสิวที่คางซ้ำ ไม่หายสักที
การเป็นสิวที่คางซ้ำ ๆ รักษาไม่หายสักที อาจมีสาเหตุมาตากทั้งระดับฮอร์โมนที่แปรปรวน พฤติกรรม เช่น การชอบจับหน้าหรือเท้าคาง และปัจจัยเรื่องความสะอาดค่ะ โดยเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดการเกิดสิวที่คางซ้ำ ๆ ได้ เช่น
- พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงอาหารมันและของหวาน
- รักษาความสะอาดของใบหน้า โดยไม่ลืมที่จะล้างบริเวณคาง กราม และคอ
- หลีกเลี่ยงการจับหน้าและการเท้าคางบ่อย ๆ เพราะ มือของเรามักเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกระหว่างวัน
- รักษาความสะอาดของข้าวของเครื่องใช้ เช่น ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน และแปรงแต่งหน้า
วิธีรักษาสิวที่คางที่ได้ผลดี

สำหรับวิธีในการรักษาสิวขึ้นคางนั้นสามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน ซึ่งจะมีวิธีรักษาอย่างไรบ้างนั้นเราจะมาดูและทำความเข้าใจไปพร้อมกัน
- ล้างหน้าให้สะอาดเพื่อรักษาสิวขึ้นคาง
เรามาเริ่มต้นกันด้วยวิธีที่คุณสามารถทำด้วยตัวเองได้ง่ายที่สุด อย่างการล้างหน้าให้ผิวสะอาดหมดจดจนไม่เหลือสิ่งสกปรกใดๆ ตกค้างอยู่บนใบหน้า ซึ่งก็ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าที่มีความอ่อนโยน รวมถึงไม่นำมือมาแคะ แกะ เกาใบหน้าในส่วนบริเวณคางของคุณ เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองที่อาจทำให้เกิดการอักเสบของสิวตามมา การล้างหน้าวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว ไม่ควรล้างมากกว่านี้อาจทำให้ผิวหน้าระคายเคืองได้
นอกจากนี้ หากเป็นไปได้ให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผม ไม่ว่าจะเป็นแชมพู ครีมนวด หรือแม้แต่ทรีตเมนต์ผมที่มีความอ่อนโยนเช่นเดียวกัน เนื่องจากถ้าผลิตภัณฑ์สำหรับผมไหลมาโดนผิวหน้าเพราะอาจเป็นสาเหตุของสิวได้
- การทายาเพื่อรักษาสิวขึ้นคาง
การทายาคือหนึ่งในวิธีรักษาสิวขึ้นคางที่ได้รับความนิยมมาก โดยการใช้ตัวยาทาในกลุ่ม benzoyl peroxide, retinoic acid หรือยาปฏิชีวนะชนิดทา ที่สามารถลดอาการอักเสบของสิวที่ขึ้นบริเวณคางได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมๆ กับการลดเชื้อแบคทีเรียตัวร้ายที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวด้วย
- การกดสิวและการฉีดสิวเพื่อรักษาสิวขึ้นคาง
นี่อาจเป็นวิธีรักษาสิวขึ้นคางที่คนส่วนใหญ่ชอบทำกันเนื่องจากเห็นผลเร็ว อย่างการกดสิวและการฉีดสิวที่ช่วยจัดการกับสิวที่เห่อขึ้นมาจนทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวดและรำคาญใจ แนะนำว่าคุณควรให้คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเป็นผู้กดสิวหรือทำการฉีดสิวให้เท่านั้นเนื่องจากถ้ากดสิว หรือฉีดสิวไม่ถูกวิธีอาจทำให้สิวไม่ยุบ ทิ้งรอยแดง หรืออาจทำให้ผิวหนังยุบตัวได้
โดยที่ EY Clinic เรามีแพ็กเกจกดสิวที่ขึ้นคางอยู่ 3 แบบ ซึ่งเหมาะกับปัญหาสิวที่แตกต่างกันไป ได้แก่ Acne Basic, Acne+ และ Acne Advance ที่ออกแบบเพื่อเคลียร์สิวอุดตันบนใบหน้าและบริเวณคางให้หมดไป รวมถึงมาสก์หน้ากับเลเซอร์เพิ่มเติมในแต่ละแพ็กเกจ และมีราคาเริ่มต้นที่ 999-1,999 บาทต่อครั้ง ตามแพ็กเกจที่คุณเลือก
- การยิงเลเซอร์ IPL เพื่อรักษาสิวขึ้นคาง
มาถึงวิธีการรักษาสิวบริเวณคางที่นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ร่วมด้วยอย่างการยิงเลเซอร์ IPL ที่เป็นการใช้พลังงานแสงความเข้มข้นสูงในหลายช่วงคลื่นความยาวแสง มาฉายบริเวณผิวส่วนคางของผู้ที่เข้ารับการรักษาสิวเพื่อช่วยลดรอยดำและรอยแดงจากสิว ฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาแข็งแรง พร้อมทั้งลดการอักเสบและเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวที่คาง
- การกินยาคุมกำเนิดเพื่อรักษาสิวขึ้นคาง
นี่คือหนึ่งในวิธีรักษาสิวฮอร์โมนที่ชอบขึ้นบริเวณคางของสาวๆ เพราะการกินยาคุมจะช่วยคุมระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่ทำหน้ากระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมาสู่ผิวหน้าเพื่อควบคุมให้อยู่ในระดับปกติ ไม่ผลิตมากเกินไปจนทำให้เกิดการอุดตันจนเกิดเป็นสิวขึ้นที่คาง
- การกินยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาสิวขึ้นคาง
การกินยาปฏิชีวนะนับเป็นอีกวิธีรักษาสิวขึ้นที่คางที่เห็นผลได้ดีอีกแบบหนึ่ง เพราะจะเข้าไปทำให้การอักเสบของสิวลดลง ควบคู่ไปกับการลดแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวที่คางด้วย
- การกินยากลุ่ม Isotretinoin เพื่อรักษาสิวขึ้นคาง
หากใครมีสิวขึ้นคางในระดับรุนแรงหรือดื้อยาที่ใช้รักษา ก็สามารถกินยากลุ่ม isotretinoin ที่เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยลดสาเหตุของการเกิดสิว เช่น คุมต่อมไขมันให้ผลิตไขมันลดลง ลดอาการอักเสบของสิว ควบคู่กับการลดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย propionibacterium acnes รวมถึงยับยั้งการเกิดสิวอุดตันได้ด้วย
วิธีรักษาสิวที่คางด้วยตัวเอง
- ไม่แคะ แกะ หรือบีบสิว เพราะอาจทำให้การอักเสบรุนแรงมากกว่าเดิม และอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็น
- ไม่ปล่อยให้สิวหายเอง และรักษาด้วยยาแต้มสิวหรือการฉีดสิว
- ใช้เจลแต้มสิวหรือแผ่นแปะสิวที่มีสารไฮโดรคอลลอยด์ (Hydrocolloid) เพื่อดูดซับสิ่งสกปรก และลดการอักเสบของสิว
- หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหรือใช้เครื่องสำอางในช่วงที่มีสิว
- รักษาความสะอาดของใบหน้าอยู่เสมอ และไม่ลืมที่จะเช็ดเครื่องสำอางออกก่อนล้างหน้า
- รักษาความสะอาดของเครื่องใช้ที่ต้องสัมผัสกับใบหน้า เช่น ผ้าขนหนู ปลอกหมอน และอุปกรณ์แต่งหน้า
- เมื่อสิวหายแล้ว ดูแลอย่างต่อเนื่องด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยลดโอกาสการเกิดรอยสิว
3 วิธีป้องกันสิวที่คางได้อย่างเห็นผล
หากทุกคนเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากเป็นสิวที่คางใช่ไหม เราจึงจะพาคุณมาทำความเข้าใจถึง 3 วิธีที่ใช้ป้องกันไม่ให้สิวขึ้นคาง
1.ใช้คลีนซิ่งเช็ดใบหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ

ในยุคที่เรายังคงต้องใส่หน้ากากอนามัยในชีวิตประจำวันแบบนี้ เวลาที่คุณหายใจเข้าออกภายใต้หน้ากากก็จะทำให้ความชื้นสะสมพร้อมๆ กับคราบเหงื่อไคลและเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดสิวขึ้นที่คางได้ คุณควรทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึกถึงรูขุมขนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอุดตันและอักเสบจนเกิดสิว
ด้วยการใช้คลีนซิ่งที่มีค่า pH อ่อนโยนใกล้เคียงกับผิว และมีคุณสมบัติในการขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน พร้อมกับการมอบความชุ่มชื้นไม่ทำให้ผิวแห้งกร้าน โดยให้เลือกที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณก็จะช่วยให้สิวที่คางไม่กลับมากวนใจคุณอีก
2. ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันสิว

เมื่อคุณเช็ดหน้าหลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับทำความสะอาดใบหน้าที่มีปัญหาเรื่องสิวโดยเฉพาะ อย่างโฟมล้างหน้า facial gentle soap ของ EY Clinic ที่ช่วยควบคุมความมันและกำจัดแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวที่คางหรือบริเวณกรอบหน้า ซึ่งใครที่รู้ตัวว่าเป็นคนผิวหน้ามันก็ยิ่งต้องใช้ เพราะไขมันบนใบหน้าจะได้ไม่มันเยิ้มและเข้าไปอุดตันจนเกิดเป็นสิวอักเสบขึ้นที่คางนั่นเอง
3.บำรุงผิวหน้าด้วยโทนเนอร์สำหรับคนเป็นสิว

รู้หรือไม่ว่าแม้ผิวจะมันเยิ้มแต่ก็ขาดความชุ่มชื้นได้เช่นกัน มีโอกาสที่ผิวจะเกิดความระคายเคืองได้ง่าย ทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียน มีโอกาสเกิดขนคุดสูง และสิวที่ขึ้นคางอาจหายได้ยากกว่าปกติ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงควรหาโทนเนอร์สำหรับคนเป็นสิวโดยเฉพาะ O toner โทนเนอร์สูตรพิเศษของ EY Clinic ที่ช่วยปรับค่า pH ให้สมดุล กักเก็บความชุ่มชื้น และช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้เป็นอย่างดี
รีวิวรักษาสิวขึ้นคางจากผู้มีปัญหาสิวตัวจริง
ใครที่มีปัญหาสิวขึ้นคางกวนใจมาเป็นเวลานานแล้วจัดการรักษาให้หายภายในเวลาไม่นาน EY Clinic เรายินดีช่วยคุณจัดการปัญหาสิวให้หมดไปจากทั่วทั้งใบหน้าของคุณ โดยนี่คือตัวอย่างของผู้ที่เคยรับการรักษาสิวขึ้นที่คางกับเราแล้วได้ผลดี





รักษาสิวที่คางกับ EY Clinic เห็นผลไวและปลอดภัยแน่นอน

คุณคงได้เข้าใจแล้วว่าอะไรคือสาเหตุของการเกิดสิวที่คาง สิวมีกี่ประเภท วิธีการรักษาสิว และวิธีป้องกันไม่ให้สิวขึ้นที่คางหรือกรอบหน้าของคุณ เพื่อให้คุณสามารถจัดการสิวตัวร้ายที่ทำให้คุณรู้สึกเจ็บและหมดความมั่นใจได้ด้วยตัวเอง หากคุณต้องการรักษาสิวที่คางได้อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว ที่ EY Clinic เรามีแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวลล์เนสที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปีจากสถาบันชั้นนำของประเทศ ที่พร้อมแนะนำคุณในเรื่องสิวอย่างเป็นกันเอง ติดต่อเราได้ที่ไลน์ @EYClinicTH
ลดรอยดำและรอยแดงที่เกิดจากสิวยังไง วิธีไหนทำแล้วช่วยให้หน้าใสได้แบบเร่งด่วนบ้าง?
หลายคนที่เคยเป็นสิวเห่อหนักเต็มหน้ามาก่อนมักจะพบปัญหารอยดำและรอยแดง ที่แม้จะไม่ได้ทำให้เจ็บปวดเหมือนตอนที่เป็นสิว แต่กลับทำให้ความมั่นใจของผู้ที่มีรอยสิวเหล่านี้ลดลง หากคุณกำลังประสบปัญหานี้อยู่เราก็ยินดีที่จะแนะนำวิธีลดรอยแดงจากสิว ไปจนถึงพาคุณไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการเกิด และวิธีป้องกันไม่ให้เกิดรอยแดงจากสิวผ่านบทความนี้
สาเหตุของการเกิดรอยดำและรอยแดงจากสิวที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน

ก่อนที่จะไปดูวิธีลดรอยแดงจากสิวแบบเร่งด่วน เราอยากพาคุณมาทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดรอยดำและรอยแดงจากสิว โดยสาเหตุหลักๆ ก็ล้วนมาจากสิวอุดตันหัวปิดและสิวอุดตันหัวเปิดที่มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ สีขาวกับตุ่มสีดำ ที่เกิดจากการอุดตันบริเวณรูเปิดของต่อมไขมัน พอไม่ได้รับการแก้ไขที่ต้นเหตุก็จะทำให้สิว
เหล่านั้นเกิดการอักเสบและติดเชื้อแบคทีเรียในที่สุด
เมื่อสิวอักเสบก็จะมีลักษณะเป็นตุ่มแดงที่มีหนองอยู่ข้างใน ยิ่งปล่อยไว้ก็จะอักเสบขึ้นเรื่อยๆ จนสิวแข็งเป็นไตสีแดง ยิ่งกดก็ยิ่งเจ็บ ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสิวหัวช้าง หรือว่าซีสต์ ต่อมาเมื่อสิวอักเสบนั้นยุบตัวลงก็จะทิ้งรอยแดงเอาไว้ เนื่องจากหลอดเลือดเกิดการขยายตัวบริเวณผิวหนังที่อักเสบ และหากสิวที่อักเสบไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก็อาจทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวกลายเป็นรอยแดงชั่วคราวหรืออยู่นานเลยก็ได้
7 วิธีลดรอยดำรอยแดงจากสิว ภายในเวลา 2 สัปดาห์เท่านั้น
เมื่อรู้สาเหตุของการเกิดรอยสิวทั้งดำและแดงที่ทำเอาสาวๆ หลายคนต้องโบกรองพื้นและกลบผิวให้ดูเนียนขึ้นด้วยคอนซีลเลอร์กันทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เพื่อช่วยให้คุณสามารถกลับมามีใบหน้าที่ใสไร้ร่องรอยดำและแดงของสิว ก็ต้องมาดู 7 วิธีในการลดรอยแดงและรอยดำจากสิวกันดีกว่า รับรองว่าไม่ยากและสามารถทำตามได้ทุกคนแน่นอน
1. ทาครีมเพื่อลดรอยสิว

มาเริ่มต้นกันด้วยวิธีลดรอยแดงจากสิวที่ง่ายที่สุดที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน ซึ่งโดยปกติแล้วการใช้ครีมผิวขาวมาทาจะไม่ได้ช่วยให้รอยแดงรอยดำที่เกิดขึ้นจากสิวหายไปได้ เนื่องจากรอยเหล่านี้เกิดมาจากการอักเสบที่ใต้ผิวหนัง ซึ่งคุณจะต้องเลือกใช้ครีมลดรอยสิวที่สามารถจัดการกับจุดด่างดำ รอยแดง รวมถึงรอยสิวฝังลึก โดยครีมลดรอยสิวบางตัวมีคุณสมบัติในการรักษาสิวพร้อมกับป้องกันไม่ให้เกิดสิวซ้ำไปในตัว
2. เลเซอร์เพื่อลดรอยดำรอยแดงที่เกิดจากสิว

การยิงเลเซอร์คือหนึ่งในวิธีลดรอยดำรอยแดงจากสิวที่ได้รับความนิยมจากสาวๆ ในยุคนี้ เพราะไม่ว่าจะเจอปัญหารอยสิวทั้งดำทั้งแดง หรือจะมีหลุมสิวอยู่บนใบหน้า การรักษาด้วยเลเซอร์ก็เป็นวิธีที่สามารถจัดการผิวที่มีปัญหาสิวหนักๆ ได้อย่างอยู่หมัด และยังเห็นผลได้เร็วที่สุด เมื่อเทียบกับวิธีอื่น
สำหรับวิธีลดรอยแดงจากสิวแบบเร่งด่วนนี้จะเหมาะกับสาวๆ ที่มีเวลาพักฟื้นตัวเองหลังเข้ารับการเลเซอร์ผิวที่คลินิกพอสมควร เนื่องจากผิวที่เพิ่งถูกยิงเลเซอร์มาจะมีความไวต่อแดดมาก ดังนั้นในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกคุณควรพักฟื้นและหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรง แน่นอนว่าหากคุณสามารถทำตามข้อควรระวังนี้ได้ วิธีนี้ก็ถือเป็นวิธีลดรอยแดงจากสิวที่เห็นผลได้รวดเร็วมาก ซึ่งก่อนเลเซอร์ทุกครั้งคุณควรเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือพร้อมกับปรึกษาคุณหมออย่างละเอียด
ที่ EY Clinic ของเรามีแพ็กเกจ AdvaClear ซึ่งเป็นเลเซอร์สำหรับลดรอยแดงและรอยดำสิว เหมาะมาก ๆ สำหรับผู้ที่มีสิวอุดตัน สิวอักเสบ และรอยแดงรอยดำจากสิวกวนใจ โดยราคาของแพ็กเกจจะมีดังนี้
- 20 shot 799 บาท
- 1 ครั้ง 3,299 บาท
- 6 ครั้ง 16,495 บาท ตกครั้งละ 2,749 บาท


3. ใช้แผ่นมาส์กหน้าเพื่อลดรอยแดงจากสิว

สาวๆ คนไหนชอบใช้แผ่นมาสก์หน้าหรือ sheet mask ช่วงก่อนเข้านอน ขอบอกว่าเป็นวิธีที่ช่วยลดรอยแดงจากสิวที่ได้ผลเหมือนกัน ไม่ว่าจะเจอมลภาวะจากนอกบ้านทั้งแดดและฝุ่น ก็สามารถช่วยบำรุงผิวหน้าและฟื้นฟูให้กลับมามีผิวที่แข็งแรงขึ้น หากลองหาแผ่นมาสก์หน้าสูตรที่ช่วยลดรอยดำรอยแดงจากสิว แล้วมาสก์หน้าทุกวันหรือจะวันเว้นวันก็ได้ตามที่คุณสะดวก เพียงเท่าใบหน้าของคุณก็จะกลับมากระจ่างใสได้ไม่ยาวแล้ว แต่วิธีนี้อาจต้องลงทุนเพื่อหาซื้อแผ่นมาสก์หน้าที่ได้ผลดีและเหมาะใบหน้าของคุณสักหน่อย
4. มาสก์หน้าด้วยสมุนไพรเพื่อลดรอยแดงจากการกดสิว

สำหรับใครที่ชื่นชอบความสมุนไพรสไตล์ธรรมชาติ การมาสก์หน้าด้วยสมุนไพรไทยก็ถือเป็นวิธีลดรอยแดงรอยดำจากสิวที่ดีไม่แพ้วิธีอื่นเลย เพราะมีสูตรมากมายที่นิยมใช้มาตั้งแต่รุ่นคุณแม่ โดยเฉพาะสูตรว่านหางจระเข้ผสมกับมะนาวที่ฮอตฮิตมาตั้งแต่อดีต นั่นก็เพราะว่าว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการช่วยลดการอักเสบของสิว ส่วนมะนาวก็มีกรดผลไม้หรือที่เรียกว่า กรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHA) ที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมา
แน่นอนว่าวิธีมาสก์หน้าด้วยสูตรนี้ก็ไม่ได้ยากอะไรเลย เพียงแค่คุณนำว่านหางจระเข้มาขูดเอาวุ้นใสๆ ที่อยู่ด้านในออกมาผสมกับน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ จากนั้นคนให้เข้ากันแล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้าและทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที ซึ่งเมื่อทำแบบสัปดาห์เว้นสัปดาห์คุณก็จะสังเกตเห็นว่าใบหน้ามีจุดด่างดำและรอยแดงที่เกิดจากสิวลดลง แถมผิวยังกระจ่างใสและนุ่มชุ่มชื้นขึ้นอีกด้วย
5. สครับหน้าเพื่อลดรอยแดงจากสิว

หากสาวๆ คนไหนเคยเป็นสิวมาหนักมากจนใบหน้ามีรอยดำจากสิวอยู่ทั่วไปหมด การสครับหน้าก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีลดรอยดำรอยแดงจากสิวที่เห็นผลได้ดีอีกวิธีหนึ่ง เพราะเมื่อคุณสครับหน้าก็จะไปช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกและกระตุ้นให้เซลล์ผิวเกิดขึ้นจนมีสีผิวที่สม่ำเสมอกัน
ส่วนสูตรสครับหน้าที่เหมาะสำหรับการลดรอยจากสิวนั้น แนะนำเป็นสูตรโยเกิร์ต น้ำมะนาว และน้ำตาลทรายแดง ซึ่งสูตรนี้ไม่ได้ออกฤทธิ์แรงจนเกินไปนัก เนื่องจากน้ำตาลทรายแดงจะค่อยๆ ละลายพร้อมช่วยขัดผิวเก่าที่เสื่อมสภาพออกไปโดยไม่บาดผิวหน้าแต่อย่างใด ส่วนโยเกิร์ตก็จะเข้ามาเพิ่มเติมความชุ่มชื้นและกระชับรูขุมขน ไม่เพียงเท่านี้น้ำมะนาวยังช่วยควบคุมความมันบนใบหน้าได้อีกด้วย แค่คุณผสมทั้ง 3 อย่างนี้เข้าด้วยกันและนำมานวดเบาๆ ทั่วใบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เท่านี้รอยดำรอยแดงจากสิวก็จะจางลงแล้ว
6. ดื่มน้ำมะเขือเทศเพื่อลดรอยดำรอยแดงจากสิว

ใครเป็นสายเฮลธีชอบดื่มน้ำผักผลไม้เป็นชีวิตจิตใจ ขอบอกว่าการดื่มน้ำมะเขือเทศคือหนึ่งในวิธีลดรอยแดงจากสิวที่ได้ผลดีเหมือนกัน นั่นก็เพราะในมะเขือเทศมีไลโคปีนหรือสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัย รวมถึงลดอาการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกาย แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวแข็งแรงขึ้น มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถฟื้นตัวได้รวดเร็ว นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการดื่มน้ำมะเขือเทศถึงช่วยลดรอยดำรอยแดงที่เกิดจากสิวได้นั่นเอง
7. กินอาหารเสริมเพื่อลดรอยจากสิว

ปิดท้ายกันด้วยการกินอาหารเสริมสำหรับสาวๆ คนไหนที่มีเวลาน้อยและอยากให้รอยดำรอยแดงจากสิวหายไวๆ โดยวิตามินซีจัดเป็นหนึ่งในอาหารเสริมที่ช่วยเรื่องการลดรอยสิวและฟื้นฟูสภาพผิวทั่วไปได้ดีมาก เนื่องจากวิตามินซีจะเข้าไปกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมเซลล์ผิว และหากอยากให้เห็นผลก็ควรกินอาหารเสริมเป็นประจำเพื่อที่รอยดำรอยแดงจากสิวจะได้จางลงได้อย่างรวดเร็ว
การป้องกันการเกิดรอยแดงจากสิวทำอย่างไร?
หากสาวๆ คนไหนอยากตัดไฟตั้งแต่ต้นลมด้วยการเลือกที่จะป้องกันไม่ให้เกิดรอยดำรอยแดงจากสิว เราก็ยินดีที่จะบอกถึง 6 ข้อควรปฏิบัติหากคุณไม่อยากให้สิวที่เกิดบนใบหน้าทิ้งรอยสิวเอาไว้
- ห้ามแกะ บีบ หรือเกาสิวเอง
เชื่อว่าไม่ทุกคนที่เคยมีปัญหาเรื่องสิวล้วนผ่านการแกะ บีบ หรือเกาสิวจนหลุดออกมาด้วยตัวเองกันหมดแล้ว แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการทำแบบนั้นจะไปกระตุ้นให้เนื้อเยื่อบริเวณผิวหนังและรูขุมขนเกิดการอักเสบมากขึ้น จนเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นแผลเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นก็เพราะว่ามือและเล็บที่คุณใช้บีบ แกะ เกาสิวนั้นอาจมีเชื้อโรคสะสมอยู่ ส่งผลให้ผิวเกิดการระคายเคือง ติดเชื้อ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยแดงบนใบหน้าขึ้นมาได้ ดังนั้นงดบีบสิว สครับ และขัดหน้าก่อนจะดีที่สุด
- ทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิว
ใครที่ไม่ค่อยได้ทาครีมกันแดดเมื่อออกนอกบ้าน ขอบอกว่าคุณมีความเสี่ยงที่รอยสิวจะกลายเป็นรอยแดงและรอยดำมากขึ้นกว่าปกติ เพราะรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่อยู่ในแสงแดดจะเข้าไปกระตุ้นให้ผิวสร้างเม็ดสีเมลานินจนผิวของคุณหมองคล้ำขึ้น โดยเฉพาะบริเวณรอยแดงรอยดำที่เดิมก็บอบบางอยู่แล้ว จะยิ่งมีความแดงและดำมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นหากเป็นไปได้ให้คุณทาครีมกันแดดที่ใบหน้าเพื่อปกป้องผิวของคุณจากแสงแดดเป็นประจำทุกวัน
- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอในแต่ละวัน
การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอเป็นวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยลดโอกาสที่รอยสิวจะกลายเป็นรอยดำรอยแดงที่เข้มขึ้นกว่าเดิมได้ เพราะหากร่างกายขาดน้ำผิวก็จะแห้งและทำการผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนจนกลายเป็นสิวในที่สุด ดังนั้นแนะนำให้ดื่มน้ำให้เพียงพอแล้วผิวของคุณจะมีความชุ่มชื้นและลดโอกาสการเกิดสิว แถมยังช่วยขับสารพิษและช่วยให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย
- กินอาหารเสริมเพื่อช่วยบำรุงผิว
บางคนไม่ค่อยได้กินผักผลไม้ในมื้ออาหารเท่าไหร่ จึงส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นในแต่ละวัน ไม่เพียงเท่านี้ยังทำให้ผิวอ่อนแอลงเมื่อเจอกับมลภาวะภายนอกบ้าน นั่นหมายความว่าคุณควรกินอาหารเสริมอย่างบรรดาวิตามินบำรุงผิว เช่น วิตามินซี วิตามินบี หรือแม้แต่คอลลาเจน ก็ล้วนช่วยป้องกันไม่ให้เกิดรอยดำรอยแดงหลังจากที่เพิ่งหายจากสิวได้
- ใช้สกินแคร์ให้กับเหมาะสภาพผิว
เมื่อดื่มน้ำ กินอาหารเสริมที่ช่วยให้ทุกอย่างพร้อมจากภายในร่างกายแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องเลือกสกินแคร์หรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวให้เหมาะกับสภาพผิวของคุณเอง นั่นก็เพราะว่าถ้าใช้สกินแคร์ที่ถูกกับผิวจะช่วยให้ผิวของคุณฟื้นฟูตัวเองได้ไวและลดโอกาสที่จะเกิดสิวได้พร้อมกัน ซึ่งวิธีเลือกก็เพียงดูสกินแคร์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน ไม่สร้างความระคายเคืองต่อผิว มีคุณสมบัติช่วยต้านการอักเสบ และสามารถช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวให้กลับมาแข็งแรงกว่าเดิม
- ปรึกษาและรับคำแนะนำจากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญ
มาปิดท้ายกันด้วยวิธีที่ง่ายและได้ผลดีอย่างการเข้าไปปรึกษาคุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านผิวหนังโดยตรง ซึ่งใครที่มีรอยดำรอยแดงจากสิวค่อนข้างมากจะยิ่งช่วยให้คุณกลับมามีใบหน้าที่กระจ่างใสไร้จุดด่างดำได้เร็วขึ้น เพราะคุณหมอสามารถวินิจฉัยถึงสาเหตุของการเกิดสิว รวมถึงให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับการดูแลผิวที่เป็นสิวอย่างถูกต้อง และส่งผลให้รอยดำรอยแดงบนใบหน้าของคุณจางลงได้อย่างรวดเร็ว
รีวิวการแก้รอยดำรอยแดงจากสิวจากผู้มีปัญหาตัวจริง
หากคุณลองใช้วิธีธรรมชาติเพื่อแก้ปัญหารอยดำรอยแดงจากสิวแล้วแต่ยังไม่ได้ผล ก็สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสิวและผิวหนังของเรา เพื่อดูว่าปัญหารอยดำรอยแดงบนใบหน้าของคุณสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีไหนได้บ้าง และนี่คือรีวิวจากคนที่เราเคยช่วยเปลี่ยนใบหน้าให้กลับมาเรียบเนียนใสกว่าเดิม





แก้ไขปัญหารอยแดงหรือรอยดำจากสิวแบบเห็นผลได้เร็วที่ EY Clinic

วิธีลดรอยดำรอยแดงจากสิว สาเหตุของการเกิด รวมถึงวิธีลดรอยและการป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นทั้งหมดนี้ จะช่วยให้คุณสามารถกลับมามีใบหน้าที่เรียบเนียนสว่างใสได้เหมือนเดิม สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาการมีสิวอักเสบหรือมีรอยดำรอยแดง คุณสามารถปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวลล์เนสที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปีของ EY Clinic ได้ ซึ่งคุณจะได้รับคำแนะนำดีๆ ที่ช่วยให้คุณกลับมามีใบหน้าอันไร้รอยสิวได้อย่างแน่นอน ติดต่อเราได้ที่ไลน์ @EYClinicTH
วิธีทําให้หน้าใส ไร้สิว แบบธรรมชาติ เพื่อให้คุณสวยหล่ออย่างมั่นใจจนใครๆ ต่างต้องชม
วันนี้เรามีวิธีทำให้หน้าใส ไร้สิว แบบธรรมชาติ มาให้หนุ่มสาวทุกคนที่ล้วนฝันอยากจะมีใบหน้าสว่างใสจนเดินไปที่ไหนก็มีคนหันมองตาม เริ่มจากเคล็ดลับในการทำความสะอาดผิว ไปจนวิธีที่ทำให้ใบหน้าดูขาวสว่างแบบสุขภาพดี ถ้าพร้อมแล้วเรามาทำความเข้าใจวิธีและเคล็ดลับขจัดปัญหาผิวหมองคล้ำ มีจุดด่างดำ แห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น หรือแม้แต่มีริ้วรอยก่อนวัย เพื่อให้คุณดูสวยหล่อในแบบที่ใครก็พากันคิดว่าคุณมีผิวดีเป็นทุนเดิมกันเถอะ
เคล็ดลับทำความสะอาดผิวหน้าให้สว่างสดใสแลดูปังเป็นธรรมชาติ

ใครที่กำลังตามหาเคล็ดลับหรือวิธีทำให้ใบหน้าสว่างใสไร้สิวและดูสวยหล่อแบบธรรมชาติที่สุด คุณก็ควรเริ่มต้นด้วยการทำความสะอาดใบหน้าอย่างถูกวิธีก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ใช่เพียงแค่การชำระล้างสิ่งสกปรกให้หมดไปจากใบหน้าเท่านั้น หากทำไม่ถูกวิธีก็มีโอกาสที่ผิวหน้าของคุณจะแห้งตึงเนื่องจากสูญเสียความชุ่มชื้น และนั่นคือสาเหตุหลักของการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ผิวหนังเหี่ยวย่น หน้าแห้งกร้านจนลอกเป็นขุย และใบหน้าก็จะยิ่งดูหมองคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย
นอกจากนี้การที่ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นอยู่บ่อย ๆ ยังเป็นปัจจัยที่เข้าไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมาที่ผิวมากกว่าปกติ เพื่อชดเชยความชุ่มชื้นที่ขาดหายไป แต่ว่าน้ำมันที่ถูกผลิตออกมาเพิ่มนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อผิวของคุณเท่าไรเลย เพราะน้ำมันส่วนเกินเหล่านี้จะเข้าไปอุดตันตามรูขุมขนรวมกับสิ่งสกปรกที่คุณเจอมาในแต่ละวัน และนั่นเป็นตัวการที่ไปช่วยแบคทีเรียบนผิวหน้าที่ส่งผลให้เกิดสิวเติบโตได้ดีขึ้นอีกต่างหาก
นั่นหมายความว่าคุณควรที่จะทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งสกปรกและไขมันให้หลุดออกไปผิวหน้าและรูขุมขนของคุณอย่างหมดจด แถมยังต้องควบคุมให้ผิวหน้ามีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ เพื่อทำให้การทำความผิวหน้าของคุณมีประสิทธิภาพในการดูแลผิวให้สว่างใสแลดูปังเป็นธรรมชาติได้มากที่สุดนั่นเอง

ล้างหน้าให้สะอาดยิ่งขึ้นด้วยโฟมล้างหน้าและเคล็ดลับแบบพึ่งธรรมชาติ
โฟมล้างหน้าไม่ใช่สิ่งเดียวที่ช่วยทำความสะอาดใบหน้าของคุณให้ปราศจากสิ่งสกปรกที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวอุดตันเท่านั้น แต่คุณควรใช้สิ่งที่มาจากธรรมชาติเพื่อทำความสะอาดให้ใบหน้าร่วมด้วย เพื่อให้ผิวหน้าของคุณสะอาดหมดจดและสามารถเก็บรักษาความชุ่มชื้นให้อยู่ในผิวได้พร้อมกัน โดยต่อไปนี้คือเคล็ดลับการทำความสะอาดผิวด้วยโฟมล้างหน้าและการใช้ข้าวของจากธรรมชาติแบบแพ็กคู่
- ใช้คลีนซิ่งจากธรรมชาติในวันที่แต่งหน้าเบา ๆ
ในวันไหนที่คุณไม่ได้แต่งหน้าหรือประโคมครีมต่าง ๆ เพื่อบำรุงใบหน้ามากนัก ก็อาจลองใช้คลีนซิ่งที่มาจากธรรมชาติดูบ้าง เพราะทุก ๆ วันที่ผ่านมาใบหน้าของคุณเจอสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวผสมอยู่ในคลีนซิ่งมากมายหลายตัวเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น แอลกอฮอล์ พาราเบน และสารที่ใช้ลบเครื่องสำอางอื่น ๆ บนใบหน้า
สำหรับคลีนซิ่งจากธรรมชาติที่เหมาะกับสภาพผิวและคุณยังสามารถหาได้ง่ายใกล้ ๆ ตัวนั้น ก็ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว ที่นำมาใช้นวดใบหน้าเพื่อชำระล้างเครื่องสำอางได้ โดยวิธีก็ไม่ยากอะไรเพียงแค่คุณนำน้ำมันมะพร้าวมานวดให้ทั่วใบหน้าและเน้นไปบริเวณที่มีเครื่องสำอาง จากนั้นก็ใช้สำลีชุบน้ำมาเช็ดเพื่อล้างคราบน้ำมันมะพร้าวออกไป เท่านี้ใบหน้าของคุณก็จะสะอาดได้ด้วยวิธีแบบธรรมชาติแล้ว
- ใช้น้ำอุ่นชโลมผิวหน้าเพื่อช่วยเปิดรูขุมขน
การใช้น้ำอุ่นชโลมผิวหน้าเป็นหนึ่งเคล็ดลับที่ทำง่ายและได้ผลดีมาก เพราะความร้อนจากน้ำอุ่นจะเข้าไปช่วยเปิดรูขุมขนให้ขยายและค่อย ๆ เปิดออกจนกว้างขึ้น จากนั้นคุณก็จะสามารถทำความสะอาดสิ่งสกปรกและไขมันที่อุดตันอยู่บนผิวหน้าได้จนหมดเกลี้ยงแบบง่าย ๆ เลย
- ใช้โฟมล้างหน้าสูตรอ่อนโยนต่อผิว
เวลาไปที่ร้านขายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าก็ให้ลองมองหาโฟมล้างหน้าสูตรอ่อนโยนต่อผิว เนื่องจากผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะไม่มีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว ซึ่งได้แก่
- น้ำหอม
- แอลกอฮอล์
- สเตียรอยด์
- พาราเบน (วัตถุกันเสีย)
- สารในกลุ่ม Phthalates
อีกเรื่องที่ต้องใส่ใจไม่แพ้กันก็คือโฟมล้างหน้านั้นจะต้องปกป้องความชุ่มชื้นให้อยู่กับผิวหน้าของคุณไปนาน ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งตึงและเป็นสาเหตุของปัญหาผิวมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
- ผิวหน้าหลุดลอกเป็นขุยขาว ๆ
- ผิวหน้ามีปัญหาหมองคล้ำไม่สว่างใส
- ผิวหน้ามีความมันส่วนเกินมากเกินไปเนื่องจากขาดความชุ่มชื้น
- ผิวหน้ามีริ้วรอยดูแก่ก่อนวัยและจุดด่างดำให้เห็นชัดเจน
- ผิวหน้ามีความเสี่ยงสูงมากที่จะมีสิวอุดตันผุดขึ้นมา

- ใช้น้ำเย็นชโลมผิวหน้าเพื่อช่วยปิดรูขุมขน
หลังจากที่ทำความสะอาดหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องชโลมผิวหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อช่วยปิดรูขุมขนบนใบหน้า เนื่องจากรูขุมขนบนใบหน้าของคุณจะค่อย ๆ หดตัวเล็กลงและทยอยปิดเมื่อถูกน้ำเย็นนั่นเอง โดยการปิดรูขุมขนให้สนิทหลังจากที่ล้างทำความสะอาดใบหน้าด้วยวิธีและเคล็ดลับตามธรรมชาติแล้ว จะช่วยป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกต่าง ๆ หลุดเข้าไปในรูขุมขนบนผิวหน้าของคุณอีก
- ใช้โทนเนอร์ที่ทำขึ้นเองด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ
มาถึงเคล็ดลับทำความสะอาดใบหน้าให้สดใสไร้สิวด้วยการใช้โทนเนอร์ที่คุณสามารถทำขึ้นมาด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน ซึ่งโทนเนอร์จากวัตถุดิบธรรมชาตินี้ช่วยให้คุณมั่นใจว่ารูขุมขนจะสะอาดอย่างแน่นอน รวมถึงทำหน้าที่เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยบำรุงผิวหน้าของคุณไปในตัว และนี่คือสูตรโทนเนอร์จากธรรมชาติที่คุณสามารถทำเพื่อใช้เองได้
- โทนเนอร์สูตรน้ำมะเขือเทศสด ช่วยให้ผิวหน้าของคุณมีความชุ่มชื้นแลดูขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติ
- โทนเนอร์สูตรชาเขียว ช่วยลดริ้วรอยก่อนวัย จุดด่างดำ และอาการอักเสบของผิวให้ลดลง
- โทนเนอร์สูตรน้ำส้มสายชูแอปเปิลไซเดอร์ ช่วยปรับสภาพ pH ของผิวให้กลับมาสมดุลและป้องกันเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว
หน้าใส ไร้สิว ด้วย 6 วิธีธรรมชาติ ที่ทำได้ง่ายกว่าที่คุณคิด

1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
จำได้ไหมว่าหากผิวหน้าของคุณขาดความชุ่มชื้นก็จะส่งผลให้มีความมันส่วนเกินมากขึ้น นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมในแต่ละวันคุณถึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอ อาจนับง่าย ๆ เป็น 8-12 แก้วต่อวัน หรือประมาณวันละ 1.5-2 ลิตรต่อวัน ก็จะช่วยให้คุณมีผิวกายและผิวหน้าที่ดูอิ่มน้ำ ไม่แห้งกร้าน แลดูกระจ่างใสและลดความหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งทำควบคู่กับการกินอาหารที่มีประโยชน์ก็จะช่วยให้ผิวของคุณขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติและมีสุขภาพดีอีกด้วย
2. นอนหลับให้เพียงพอ
เมื่อสุขภาพดีจากภายในก็จะส่งผลถึงภายนอก คุณจึงควรที่จะนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในช่วงที่คุณนอนหลับ ไปพร้อมกับการให้ผิวหน้าได้พักฟื้นและเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ยิ่งไปกว่านั้น หากคุณได้ออกกำลังกายก็จะยิ่งช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อและเซลล์ผิวให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
3. รับประทานผัก ผลไม้ ที่มีประโยชน์
ใครที่ชอบกินผักผลไม้อยู่แล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ เพราะนี่คือหนึ่งในวิธีทำให้หน้าใสไร้สิวแบบธรรมชาติ ที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพผิวที่ดีจากภายในร่างกาย โดยผิวหน้าจะเปล่งปลั่ง ดูขาวใส และชุ่มชื้นยิ่งขึ้น เพราะวิตามินกับแร่ธาตุมากมายที่มีอยู่ในผักผลไม้นั่นเอง ซึ่งควรทำไปพร้อม ๆ กับการลองเลือกชนิดของผักและผลไม้ให้เหมาะสมกับความชอบและความต้องการของคุณเองจะดีที่สุด

4. ใช้สกินแคร์ที่ดีเพื่อบำรุงผิวหน้า
เพราะใบหน้าของแต่ละคนมีลักษณะผิวที่แตกต่างกัน การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและสกินแคร์ที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม แนะนำว่าคุณควรมองหาเซรั่มบำรุงผิวที่แมตช์กับผิวของคุณ แต่หากคุณไม่แน่ใจว่าตัวเองมีผิวประเภทไหนก็สามารถไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้เช่นกัน
5. ล้างทำความสะอาดใบหน้าอย่างถูกต้อง
อย่างที่เราเคยบอกไปก่อนหน้านี้ว่าการทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดหมดจด สามารถช่วยให้ผิวหน้าของคุณห่างไกลจากสิว มีความสว่างใส และลดโอกาสที่จะเกิดสิวได้ หากวันไหนที่คุณแต่งหน้าจัดเต็มไปข้างนอกมา ก็ควรที่จะใช้คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอางร่วมกับโฟม เจล หรือครีมล้างหน้า จากนั้นก็บำรุงผิวให้สุขภาพดีด้วยโทนเนอร์ที่เหมาะกับผิวของคุณ แต่ถ้าวันใดแต่งหน้าเบา ๆ ก็อาจลดขั้นตอนให้เหมาะสมมากขึ้นก็ได้เช่นกัน
6. ทาครีมกันแดดก่อนเริ่มแต่งหน้าเสมอ
เคล็ดลับสุดท้ายที่เป็นหนึ่งวิธีทำให้หน้าใสไร้สิวแบบธรรมชาติ ก็คือการทาครีมกันแดดก่อนที่คุณจะเริ่มแต่งหน้าเสมอ เพราะเมืองไทยขึ้นชื่อว่าแดดแรงและมีแสงยูวีเข้มข้นที่เล่นงานผิวหน้าของคุณให้หมองคล้ำและมีริ้วรอยได้ง่าย ๆ แต่ถ้าคุณได้ลงครีมกันแดดดี ๆ สักตัวก่อนแต่งหน้า ปัญหาที่ว่ามาเหล่านั้นก็จะไม่สามารถทำร้ายผิวหน้าของคุณได้อีก
สูตรหน้าใสไร้สิว ผิวนุ่มชุ่มชื้นสุขภาพดีแบบธรรมชาติ ที่ทำด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน

สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีทำให้หน้าใสไร้สิวและมีผิวที่นุ่มชุ่มชื้นสุขภาพดีแบบธรรมชาติ เรามี 6 สูตรที่คุณสามารถทำตามได้ด้วยตัวเองที่บ้านมาฝาก โดยจะมีอะไรบ้างนั้นเรามาดูไปพร้อมกันเลย
สูตรที่ 1 กล้วยหอมผสมกับนมสด
มาเริ่มกันด้วยสูตรกล้วยหอมผสมกับที่ช่วยบำรุงผิวหน้าให้สุขภาพดี เพียงคุณนำกล้วยหอมครึ่งลูกมาบดให้ละเอียดจากนั้นผสมนมสดเย็น ๆ แล้วคนให้ทุกอย่างเข้ากัน จากนั้นนำมาทาบนผิวหน้าให้ทั่ว และปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลา 30 นาที เมื่อครบเวลาก็ล้างหน้าออกให้สะอาด
สูตรที่ 2 ว่านหางจระเข้
ให้คุณนำว่านหางจระเข้มาปอกเปลือกแล้วคัดเอาเฉพาะส่วนที่เป็นวุ้นมาบนให้ละเอียด จากนั้นนำมาทาให้ทั่วใบหน้าและปล่อยทิ้งไว้ราว 20-30 นาที เมื่อครบเวลาก็ล้างหน้าให้สะอาด ซึ่งว่านหางจระเข้มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงผิวหน้าของคุณให้นุ่มชุ่มชื้นและเรียบเนียนขึ้น รวมถึงช่วยลดรอยดำรอยแดงที่เกิดจากสิว พร้อม ๆ กับฝ้า กระ จุดด่างดำ แน่นอนว่าหากอยากให้เห็นผลไว ๆ คุณก็ต้องหมั่นทำวิธีนี้เป็นประจำนั่นเอง
สูตรที่ 3 ไข่ขาวผสมกับน้ำผึ้ง
ต่อเนื่องด้วยการนำไข่ขาวมาผสมและคนให้เข้ากันดีกับน้ำผึ้ง จากนั้นนำมาทาบนใบหน้าแล้วรอให้แห้ง ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที เมื่อครบเวลาก็ล้างออกให้สะอาด โดยสูตรนี้ขึ้นชื่อว่าช่วยให้ใบหน้าของคุณสว่างใส ผิวอิ่มน้ำ และยังช่วยจัดการกับสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ในรูขุมขนได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย เรียกว่าเหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งหรือมีสิวอุดตันมาก ๆ

สูตรที่ 4 แตงโม
สูตรนี้ก็ทำได้ง่าย ๆ เพราะใช้เพียงแค่เนื้อแดงส่วนในสุดของแตงโมนำมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วนำมาวางบนใบหน้าให้ทั่ว จากนั้นปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลา 30 นาที เมื่อครบเวลาก็ล้างออกให้สะอาด ซึ่งวิตามินที่อยู่ในแตงโมจะช่วยบำรุงผิวหน้าของคุณให้นุ่มชุ่มชื้น และเปลี่ยนผิวให้ดูสว่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
สูตรที่ 5 โยเกิร์ต
อีกหนึ่งวิธีทำให้หน้าใสไร้สิวแบบธรรมชาติอย่างการใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติมาพอกบนใบหน้าทิ้งไว้ 20 นาที เมื่อครบเวลาก็ล้างออกให้สะอาด สูตรนี้สามารถทำได้ทุกวันโดยไม่ต้องกังวลว่าจะส่งผลเสียต่อผิวหน้าแน่นอน และหากเหลือก็ยังกินโยเกิร์ตที่มีอยู่ได้อีกด้วย เรียกว่าได้ทั้งผิวดีและระบบขับถ่ายดีไปพร้อมกัน
สูตรที่ 6 ใบบัวบก
มาถึงเคล็ดลับสุดท้ายในการเปลี่ยนใบหน้าให้ขาวใสไร้สิวอย่างการใช้ใบบัวบก เพียงล้างใบบัวบกให้สะอาดแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาใช้ จากนั้นให้คุณนำสำลีมาชุบน้ำใบบัวบกและนำไปทาหรือวางไว้บนใบหน้าเป็นเวลา 20-30 นาที เมื่อครบเวลาจึงค่อยล้างออกให้สะอาด โดยสูตรนี้ถือว่ามีสรรพคุณในการช่วยรักษาสิว ลดรอยดำรอยแดงที่เกิดจากสิว ริ้วรอยต่าง ๆ และช่วยให้มีใบหน้าที่ขาวใสเป็นธรรมชาติได้ดีมาก ๆ
EY Clinic พร้อมแนะนำวิธีที่ทำให้คุณมีใบหน้าใส ไร้สิว ได้รวดเร็วและปราศจากผลข้างเคียง

บรรดาวิธีทำให้คุณมีใบหน้าที่สว่างใสไร้สิวแบบธรรมชาติที่เราได้นำเสนอมาทั้งหมด รวมถึงเคล็ดลับในการช่วยให้คุณผิวหน้าที่ดีขึ้นจากภายในและภายนอก และสูตรบำรุงผิวหน้าทั้ง 6 สูตรที่สามารถทำตามด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน เหล่านี้ล้วนช่วยให้คุณมีผิวหน้าสุขภาพดีได้ตามต้องการแทบทั้งนั้น
แต่หากคุณอยากมีใบหน้าที่สดใส ไร้สิว แลดูเป็นธรรมชาติได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยแล้วละก็ EY Clinic เราก็มีแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวลล์เนสที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปีจากสถาบันชั้นนำของประเทศ ที่พร้อมมอบคำแนะนำรวมถึงการใช้เครื่องมือมาตรฐานระดับโลก เพื่อช่วยให้คุณมีผิวหน้าสุขภาพดีได้ตามที่คาดหวังเอาไว้ เพียงติดต่อเราที่ไลน์ @EYClinicTH
สิวอุดตัน (Comedones) สาเหตุเกิดจากอะไร? พร้อมวิธีรักษา
ได้ชื่อว่าสิวอุดตัน ทั้งสิวหัวขาวหรือสิวหัวดำ ก็ล้วนเป็นแก๊งสิวที่ชอบเห่อขึ้นมาบนใบหน้าของคุณอยู่บ่อยๆ ใช่ไหม แน่นอนว่าเจ้าสิวชนิดนี้เล่นเอาหนุ่มๆ สาวๆ หลายคนรำคาญใจจนอยากจะเอามันออกไปให้รู้แล้วรู้รอด โดยในบทความนี้เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าสิวอุดตันนั้นคืออะไร มีกี่ประเภท สาเหตุของการเกิดสิวชนิดนี้ รวมไปถึงการรักษาและป้องกันสิวอุดตันที่ทำแล้วเห็นผลดี เอาละเรามาดูไปพร้อมกันเลย
สิวอุดตันคืออะไรกันแน่?

สิวอุดตันหรือในชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า comedones ก็คือสิวประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการสร้างน้ำมันของต่อมไขมันใต้ผิวหนังที่มากผิดปกติจับรวมตัวกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วหรือสิ่งสกปรกอุดตันและเกิดอาการอุดตันในรูขุมขนซึ่งสิวอุดตันจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนใต้ผิวหนังอาจเห็นเป็นตุ่มสีเนื้อหรืออาจมีจุดสีดำ พอเอามือไปจับลูบโดนก็จะรู้สึกไม่เรียบเนียน แต่จะไม่แดง และไม่มีอาการเจ็บโดยมักพบสิวอุดตันได้บ่อยที่บริเวณใบหน้า ตั้งแต่หน้าผาก แก้ม และคาง
สิ่งที่ทำให้สิวอุดตันเกิดขึ้นบนใบหน้าของคุณมาจากการอุดตันของเคราตินที่รูขุมขนกับเซลล์เยื่อบุผิวหนังที่ตายแล้ว เมื่อสองอย่างนี้รวมกันก็จะกลายเป็นสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน ทำให้ไขมันไม่สามารถไหลออกมาสู่ภายนอกได้ตามปกติ และเกิดเป็นสิวอุดตันนั่นเอง
สิวอุดตันมีกี่ประเภท?
คำถามต่อมาที่แฟนคลับเจ้าสิวอุดตันตัวสร้างความรำคาญบนใบหน้าอยากรู้ก็คือ สิวอุดตันมีกี่ประเภทและมีความแตกต่างกันอย่างไร เราบอกได้ว่าสิวอุดตันมี 3 ประเภทดังนี้

1. สิวอุดตันหัวเปิด หรือ Open Comedones

เริ่มต้นกันด้วยสิวอุดตันหัวเปิดหรือที่พวกเราส่วนใหญ่เรียกกันว่าสิวอุดตันหัวดำ ที่คุณจะสามารถมองเห็นสิวอุดตันประเภทนี้ได้อย่างชัดเจน นั่นก็เพราะว่ามันมีลักษณะเป็นตุ่มนูนขึ้นมาเพียงเล็กน้อยพร้อม กับมีจุดดำที่อยู่บริเวณกลางหัวสิว สิวอุดตันหัวเปิดสามารถกดออกได้ง่าย แต่ก็ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเพราะอาจมีโอกาสติดเชื้อเพิ่มขึ้นหรือเกิดเป็นรอยสิวได้ในภายหลัง
2. สิวอุดตันหัวปิด หรือ Closed Comedones

สิวอุดตันหัวปิดหรือที่เรียกว่าสิวอุดตันไม่มีหัวนั้น จะมองเห็นด้วยตาเปล่าได้อยากกว่าสิวอุดตันหัวเปิด แต่ก็สามารถลูบเพื่อเช็กว่าบนใบหน้ามีตุ่มนูนขึ้นมาเล็กน้อยที่บริเวณไหนได้ ซึ่งสีของสิวชนิดนี้จะเป็นสีเดียวกับสีผิวหนังของแต่ละคน แต่ว่าคุณไม่ควรแกะหรือบีบสิวอุดตันชนิดนี้ด้วยตัวเอง เนื่องจากมีโอกาสสูงมากที่จะทำให้เกิดการอักเสบ
3. สิวอุดตันที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หรือ Microcomedones

สำหรับสิวอุดตันประเภทสุดท้ายนี้ก็คือระยะแรกของการเกิดสิวอุดตัน อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า โดยอาจเริ่มมีการรวมตัวของน้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว แบคทีเรียใต้ผิว ซึ่งต่อมาอาจกลายเป็นสิวอุดตัน และอักเสบตามมา ซึ่งสิวระยะนี้อาจหายได้เองถ้าไม่มีปัจจัยกระตุ้นเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามการทายาสิวสามารถช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดสิวในระยะต่อมาได้
สิวอุดตันพบได้บ่อยในตำแหน่งไหนบ้าง?

อย่างที่เราได้บอกไปตอนแรกๆ ของบทความว่าสิวอุดตันนั้นพบได้บ่อยบริเวณใบหน้า แต่จริงๆ แล้วก็ยังมีจุดอื่นที่สามารถพบสิวอุดตันได้เช่นกัน โดยจะมีอะไรบ้างนั้นเรามาดูไปพร้อมกันเลยดีกว่า
- สิวอุดตันบริเวณหน้าผาก
เริ่มต้นด้วยหน้าผากหรือบริเวณ T-Zone ที่มีต่อมไขมันใต้ผิวหนังเป็นจำนวนมาก ทำให้มีการผลิต
ไขมันออกมาสู่ผิวหนังมากที่สุด นั่นจึงเป็นจุดที่พบสิวอุดตันผุดขึ้นมาได้บ่อยที่สุด ยิ่งหากใครมีผิวแบบผิวผสมก็จะยิ่งมีโอกาสเป็นสิวอุดตันได้ง่ายกว่า
นอกจากนี้การอุดตันของสิ่งสกปรกต่างๆ ที่มาจากการดูแลเส้นผม หมวก หรือแม้แต่ผ้าคาดศีรษะที่ไม่ได้ทำความสะอาด ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดสิวอุดตันบริเวณหน้าผากได้เช่นเดียวกัน
- สิวอุดตันบริเวณคาง
มาต่อกันด้วยสิวอุดตันบริเวณคางที่พบได้บ่อยเป็นเบอร์สอง มิหนำซ้ำยังเป็นจุดที่เกิดสิวอุดตันซ้ำซากอีกต่างหาก ซึ่งสิวอุดตันที่คางนี้จะมีลักษณะเด่นตรงที่สามารถเห็นหัวสิวได้ชัดเจนและเป็นก้อนแข็งๆ กรณีที่สิวอุดตันไม่ได้อยู่ลึกมากก็ทำการกดเอาหัวสิวออกมาได้ แต่ว่าก็ควรกดโดยผู้เชี่ยวชาญเพราะจะได้ไม่ทิ้งรอยสิวเอาไว้ให้คุณดูต่างหน้า
- สิวอุดตันบริเวณแก้ม
สำหรับสิวอุดตันบริเวณแก้มนั้นพบได้ในคนที่มีการใช้เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่ทำให้เกิด
การอุดตันของรูขุมขนบนใบหน้า ไปจนถึงการใช้ฟองน้ำตบแป้งหรือแม้แต่ที่ปัดแก้มที่ไม่ได้ทำความสะอาด รวมถึงการนอนบนหมอนที่ไม่ได้ซักทำความสะอาด สวมหน้ากากอนามัยซ้ำๆ หรือแม้แต่การแพ้สารเคมี ก็ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอุดตันบนแก้มได้ทั้งนั้น
- สิวอุดตันบริเวณหลัง
ปิดท้ายด้วยสิวอุดตันบริเวณหลังที่ขึ้นในตำแหน่งอื่นนอกจากใบหน้า โดยสิวอุดตันประเภทนี้เกิดขึ้นจากการอุดตันของรูขุมขน ไขมัน แบคทีเรีย และเซลล์ผิวที่ตายแล้วรวมกัน ในบางครั้งก็มีสาเหตุจากเหงื่อที่มาจากการใส่เสื้อผ้ารัดแน่นจนเกินไป ยิ่งอากาศร้อนก็ยิ่งมีเหงื่อออกภายใต้เสื้อจนหมักหมมมากขึ้น นอกจากนี้สิวอุดตันบริเวณหลังยังเกิดได้จากสาเหตุอื่นๆ ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์หรือแม้แต่ฮอร์โมนที่ไม่สมดุล
สาเหตุของการเกิดสิวอุดตัน

สาเหตุของสิวอุดตันนั้นเกิดจากการที่ต่อมไขมันสร้างน้ำมันบนผิวหน้ามากเกินไป จนทำให้น้ำมันมารวมตัวกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ผสมกับแบคทีเรียที่อยู่บนผิวเองหรือมาจากมลภาวะหรือปัจจัย
ภายนอกอื่นๆ อันได้แก่
- มีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองบนผิวหน้า เช่น การบีบสิว ขัดหน้า ลอกหน้าด้วยสารเคมี ไปจนถึงการทำเลเซอร์ผิว
- ใช้ชีวิตประจำวันที่เจอกับมลภาวะจำนวนมาก ตั้งแต่ ฝุ่นละออง ฝุ่นควัน หรือไอเสียจากเครื่องยนต์
- อยู่ในสถานที่ที่มีอากาศร้อนมากๆ ซึ่งกระตุ้นให้ต่อมไขมันใต้ชั้นผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป
- ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม สระผม ครีมนวด ทรีตเมนต์ แล้วเกิดอาการแพ้สารเคมีเหล่านั้น
- ใช้เครื่องสำอางแล้วไม่ได้ทำการเช็ดด้วยคลีนซิ่งหรือล้างหน้าได้ไม่สะอาดจนมีสิ่งสกปรกเหลืออยู่บนใบหน้า
- รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของแป้ง น้ำตาล และไขมันมากเกินไป
- มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่ทำงานมากเกินไป
- ผู้หญิงในช่วงก่อนมีประจำเดือนอาจมีภาวะผิวหนังมีน้ำมากเกินไป
- คนที่สูบบุหรี่บ่อยจะมีโอกาสเป็นสิวอุดตันได้มากขึ้นกว่าปกติ
- คนที่มีความเครียดสูงจะทำให้ฮอร์โมนปลี่ยนแปลงและเป็นสิวอุดตันได้ง่าย
8 วิธีในการรักษาสิวอุดตัน

สำหรับแนวทางในการรักษาสิวอุดตันนั้นมีอยู่หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาทา ยากิน ยาฉีด และการยิงเลเซอร์ที่สิวอุดตันโดยตรง ซึ่งแต่ละวิธีจะใช้ตามระดับความรุนแรงของสิวอุดตันนั่นเอง
1. ทายาเพื่อรักษาสิวอุดตัน
เริ่มต้นกันด้วยวิธีรักษาสิวอุดตันด้วยการทายาที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ หรืออนุพันธ์วิตามินเอ เช่น Tretinoin หรือ Adapalene ซึ่งยาทาชนิดนี้ใช้รักษาสิวอุดตันเฉพาะจุดออกฤทธิ์โดยไปละลายสิวอุดตันบริเวณรูขุมขน ลดการอักเสบบริเวณผิวหนังทำให้โอกาสเกิดการอักเสบน้อยลง รวมถึงช่วยลดความมันบนใบหน้า และยังช่วยในเรื่องการ
กระตุ้นให้ผลัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดออกได้เร็วยิ่งขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามตัวยาอาจระคายเคืองผิว แนะนำให้ใช้ภายใต้การแนะนำของคุณหมอจะได้ผลดีที่สุดและลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา
2. กินยาเพื่อรักษาสิวอุดตัน
ในกรณีที่ใครก็ตามมีสิวอุดตันควบคู่กับสิวอักเสบ คุณหมอจะพิจารณาจ่ายยาปฏิชีวนะเพื่อลดอาการอักเสบที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามหากสิวอุดตันนั้นมีสาเหตุมาจากฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) คุณหมอก็จะจ่ายยาปรับฮอร์โมนเพื่อช่วยลดผลข้างเคียงที่มาจากการที่มีฮอร์โมนเพศชายมากเกินไป ในบางกรณีที่เป็นสิวชนิดรุนแรง คุณหมอจะมีการจ่ายยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ เช่น Isotretinoin ที่ช่วยลดการเกิดสิวตั้งแต่ลดการทำงานของต่อมไขมัน
3.กดสิวเพื่อรักษาสิวอุดตัน
นี่อาจเป็นวิธีสายฮาร์ดคอชื่นชอบ นั่นก็เพราะว่าการกดสิวจะช่วยให้หัวสิวหลุดออกได้ง่ายและรวดเร็วอย่างมาก แต่ขอบอกไว้ตรงนี้ว่าคุณไม่ควรบีบหรือกดสิวออกมาด้วยตัวเอง แต่ควรให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการกดสิวเป็นคนทำให้จะดีกว่า ด้วยการใช้เครื่องมือเฉพาะที่สามารถกดสิวให้ออกมาได้โดยไม่ทำให้เนื้อเยื่อช้ำหรืออักเสบจากการกระทำที่ไม่สะอาด ยิ่งถ้ากดไม่ถูกต้องหัวก็อาจจะออกมาไม่หมด จนทิ้งรอยแดงหรือรอยแผลเป็นไว้ก็ได้ โดยเฉพาะสิวที่ขึ้นบริเวณคางหรือกรอบหน้าที่มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นรอยแผลได้ง่าย
โดยที่ EY Clinic มีแพ็กเกจ Acne Basic เพื่อรักษาสิวอุดตันพร้อมกับมาสก์หน้าให้กลับมาขาวใสและเนียนนุ่มกว่าเดิม ในราคาเริ่มต้น 999 บาทต่อครั้ง หรือจะซื้อแพ็ก 13 ครั้ง ราคา 9,990 บาท ที่หารเฉลี่ยแล้วตกอยู่ที่ 768 บาทต่อครั้งเท่านั้น
4. เลเซอร์เพื่อรักษาสิวอุดตัน
ปัจจุบันเราพบเห็นการนำเอาเลเซอร์มาใช้ในวงการความสวยความงามเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่าสามารถใช้เลเซอร์ที่มีแสงความเข้มข้นสูงเพื่อเจาะและทำให้กดสิวอุดตันได้ง่ายและเร็วยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะสิวอุดตันที่อยู่ลึกลงไปในชั้นผิวก็จะถูกนำออกมาได้ไม่ยาก และยังสามารถใช้เลเซอร์เพื่อลบรอยดำรอยแดงที่เกิดจากสิวที่กดออกไปแล้วได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเนื่องจากมีโอกาสเกิดรอยเลเซอร์หลังทำได้
สำหรับ EY Clinic เรามีแพ็กเกจ Acne+ ที่ทำตั้งแต่กดสิว มาสก์หน้า ไปจนถึงการทำ laser dermalight ที่ช่วยลดรอยสิวและเพิ่มความกระจ่างใสด้วยเลเซอร์ทั่วหน้า ในราคาเริ่มต้น 1,599 บาทต่อครั้ง หรือจะซื้อแพ็ก 13 ครั้ง ราคา 19,990 บาท ที่หารเฉลี่ยแล้วตกอยู่ที่ 1,538 บาทต่อครั้งเท่านั้น และมีเลเซอร์ co2 สำหรับเปิดหัวสิวอุดตัน ราคาจุดละ 20บาท
5. จี้ไฟฟ้าเพื่อรักษาสิวอุดตัน
หากใครที่มีสิวอุดตันบนใบหน้าเยอะมากๆ การจี้ไฟฟ้าก็คือหนึ่งในวิธีที่คุณหมอจะนำมาใช้รักษา โดยการใช้ที่จี้ไฟฟ้าจี้ไปที่หิวสิวที่อุดตันอยู่เพื่อเปิดหัวสิว จากนั้นจะค่อยๆ กดหัวสิวเพื่อนำเอาสิ่งที่อุดตันอยู่ออกมา ซึ่งวิธีนี้สามารถจัดการสิวอุดตันจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเร็วกว่าการทายาทั่วไปมากๆ อย่างไรก็ตามมีโอกาสทิ้งรอยดำรอยแดงได้มากกว่าการทำเลเซอร์
3 วิธีป้องกันสิวอุดตันไม่ให้เห่อขึ้นมาบนใบหน้าของคุณ
หมั่นทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดยิ่งขึ้น

ต้นเหตุของการเกิดสิวอุดตันล้วนมาจากไขมันผสมกับสิ่งสกปรกที่เข้าไปอุดตันอยู่ในรูขุมขน นั่นหมายความคุณควรลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยความใส่ใจมากกว่าเดิม ด้วยการเลือกใช้คลีนซิ่งที่ออกแบบมาเพื่อผิวหน้าที่มีปัญหาสิวอุดตันเป็นพิเศษ เพื่อชะล้างสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่บนใบหน้าของคุณมาตลอดวัน ทั้งเครื่องสำอาง ฝุ่นควัน ให้หลุดออกไป ก่อนจะทำการล้างหน้าด้วยโฟมที่ช่วยลดความมันและป้องกันไม่ให้เกิดสิวซ้ำขึ้นมาอีก
เลือกใช้เครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน

เครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวหลายชนิดมีส่วนผสมของน้ำมันอยู่ ซึ่งนี่คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดความมันส่วนเกินบนใบหน้า และแน่นอนว่านั่นทำให้เกิดการอุดตันจนกลายเป็นสิวอุดตันได้ง่ายขึ้น ยิ่งหากคุณเป็นคนที่มีผิวหน้ามันอยู่แล้ว ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเป็นสิวเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวหากใช้เครื่องสำอางที่มีน้ำมันอยู่ในส่วนผสมจำนวนมาก ทางที่ดีคุณควรใช้เครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวที่ปราศจากน้ำมันเพื่อลดโอกาสในการเกิดสิวจะดีที่สุด
ควรทามอยส์เจอไรเซอร์กับครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง

อีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือการทามอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับใบหน้าของคุณ พร้อมกับลดความมันบนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันการทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้งก็ยังช่วยปกป้องผิวของคุณจากแสงแดด เพื่อที่ผิวจะได้ไม่ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นนั่นเอง
รีวิวรักษาสิวอุดตันจากผู้มีปัญหาสิวตัวจริง
หากคุณกำลังมีปัญหาสิวอุดตันแล้วลองทุกวิธีเพื่อกำจัดสิวเหล่านี้ออกไปแต่ก็ยังไม่เห็นผล EY Clinic เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังประสบการณ์สูงกว่า 30 ปี พร้อมให้คำแนะนำและสร้างแผนการรักษาสิวอุดตันที่มีประสิทธิภาพในเวลาอันรวดเร็ว และนี่คือรีวิวจากผู้มีปัญหาสิวอุดตันที่เคยได้รับการรักษาจากเรา



รักษาสิวอุดตันให้ใบหน้ากลับมาสดใส เห็นผลได้ไว และปลอดภัยที่ EY Clinic

คุณคงได้เข้าใจแล้วว่าจริงๆ สิวอุดตันสามารถรักษาได้หลากหลายวิธี แต่จะต้องให้คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านสิวทำการประเมินดูระดับความรุนแรงและประเภทของสิวก่อนที่จะเลือกวิธีกับยาที่ใช้ทำการรักษา เพื่อป้องกันไม่ให้สิวอุดตันลุกลามกลายเป็นสิวอักเสบเรื้อรังจนทิ้งร่องรอยเป็นหลุมสิวไว้บนใบหน้า
หากคุณอยากรักษาสิวอุดตันที่กวนใจมาโดยตลอด แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวลล์เนสที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปีจากสถาบันชั้นนำของประเทศที่ EY Clinic ยินดีจะให้คำปรึกษารวมถึงแนะนำการรักษาและการปฏิบัติตัวหลังจากการรักษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้คุณกลับมาเป็นสิวอุดตันซ้ำอีก โดยคุณสามารถติดต่อเราได้ที่ไลน์ @EYClinicTH

ฉีดสิวดีไหม?
การฉีดสิว เป็นวิธีรักษาสิวอักเสบที่ดี โดยเฉพาะกับสิวเม็ดใหญ่ที่มีรากการอักเสบที่ลึกและรุนแรง โดยการฉีดสิวจะช่วยลดการอักเสบบวมแดง และลดโอกาสการเกิดหลุมสิว
ฉีดสิวดีไหม? รวมข้อมูลทั้งหมดที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจไปฉีดสิว
บางคนสิวเห่อหนักจนถึงขั้นเจ็บระบมไปทั้งหน้า เลยคิดอยากจะฉีดสิวเพื่อให้สิวยุบเร็วๆ เพราะอยากโชว์ผิวหน้าเนียนใสไร้สิวมากวนใจ ซึ่งหากคุณยังสงสัยอยู่ว่าฉีดสิวดีไหม ทางอีวายคลินิกมีคำตอบให้ เนื่องจากไม่ใช่สิวทุกประเภทที่จะฉีดสิวแล้วช่วยให้หายได้ และยังมีรายละเอียดต่างๆ ที่รู้ไว้ก่อนฉีดสิวเอาเป็นว่าเราจะพาคุณไปทำความเข้าใจทุกเรื่องเกี่ยวกับการฉีดสิว ตั้งแต่สารที่ฉีดเข้าไปคืออะไร ใช้ได้กับสิวประเภทไหน ต้องเตรียมตัวก่อนและหลังยังไง รวมถึงผลข้างเคียงและข้อควรระวังที่คุณควรรู้ทั้งหมดผ่านทางบทความนี้
ฉีดสิวด้วยสารอะไรเข้าไปบนใบหน้าและได้ผลดีจริงไหม?

สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่าเจ้าสารที่ฉีดเข้าไปในบริเวณใบหน้าที่มีสิวนั้นคืออะไร ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจจุดประสงค์ของการฉีดสิวที่ทำเพื่อช่วยลดอาการอักเสบของสิว รวมถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน แทนที่จะรอหลายสัปดาห์ให้สิวเม็ดโตนี้หายและยุบไปเอง
โดยตัวสารที่ใช้ฉีดเข้าไปที่สิวนั้นจะเป็นสารในกลุ่มสเตียรอยด์ อย่าง ไตรแอมซิโนโลน (triamcinolone) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการอักเสบได้ดีมาก ที่สำคัญคือคนที่มีปัญหาสิวอักเสบรุนแรงหลายจุดก็สามารถฉีดสิวได้ทุกตำแหน่งที่มีปัญหาการอักเสบของสิวอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม คุณหมอผู้ทำการรักษาด้วยการฉีดสิวจะเป็นผู้ที่ประเมินว่าจะต้องฉีดมากน้อยแค่ไหน เพราะหากรับสารสเตียรอยด์เข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไปอาจส่งผลเสียถึงอวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้
ส่วนใครที่ฉีดสิวรอบแรกไปแล้วยังไม่หายขาดก็ต้องรอประมาณ 1 สัปดาห์ ถึงจะสามารถฉีดสิวซ้ำในบริเวณที่จุดเดิมที่เคยมีปัญหาสิวอักเสบรุนแรงได้
การฉีดสิวดีไหมและได้ผลกับสิวประเภทใดบ้าง?

คำถามที่ค้างคาใจคนเป็นสิวคงหนีไม่พ้นเรื่องการฉีดสิวนั้นสามารถช่วยแก้ไขปัญหาสิวประเภทใดได้บ้าง โดยก่อนหน้านี้เราได้อธิบายไปแล้วว่าการฉีดสิวจะทำก็ต่อเมื่อสิวนั้นเป็นสิวอักเสบ ที่ไม่สามารถใช้วิธีกดสิวเพื่อกำจัดและทำให้สิวยุบตัวลงได้นั่นเอง ซึ่งคุณหมอจะทำการฉีดยาที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์เข้าไปที่บริเวณสิว หลังจากนั้นสิวจะค่อยๆ ยุบและหายจากอาการเจ็บได้ภายใน 2-3 วัน ถ้าจุดไหนมีหัวหรือมีหนองคุณหมอจะทำการเอาหัวหนองออกให้ก่อน
หากสิวยุบลงเรียบร้อยแล้วก็ให้ทำการทายาแต้มสิวร่วมด้วย ในบางกรณีที่มีสิวอักเสบหลายจุดหรือมีการอักเสบเยอะคุณหมออาจมีการจ่ายยารับประทานให้เพิ่มเติม การฉีดสิวจะช่วยในเรื่องการลดอาการอักเสบเท่านั้น ถ้ามีหัวหรือมีหนองจึงอาจต้องทำการกดร่วมด้วย
นอกจากนี้ ถ้าใครไม่ได้ฉีดสิวเพื่อลดอาการอักเสบ แต่เลือกที่จะกดหรือบีบสิวอักเสบด้วยตัวเอง ก็มีโอกาสที่หนองสิวจะกระจายตัวไปสู่บริเวณอื่นๆ ได้ แถมยังเจ็บปวดมากเมื่อทำการกดและบีบสิวออกอีกด้วย และถ้าไม่ได้ฉีดสิวแล้วปล่อยให้สิวอักเสบอยู่บนใบหน้านานๆ หนองก็อาจทำให้ผิวหน้าบริเวณนั้นกลายเป็นหลุมสิวขึ้นมาได้
เรียกได้ว่าการฉีดสิวนั้นเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสิวอักเสบได้ดีที่สุด เท่านี้ใบหน้าของคุณก็จะกลับมาเรียบเนียนไร้จุดด่างดำดังเดิม
การฉีดสิว อันตรายไหม
การฉีดสิว ถือเป็นการรักษาที่ไม่อันตรายหากทำกับผู้เชี่ยวชาญ โดยผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยของการฉีดสิว ได้แก่ อาการปวด บวมช้ำ หรือมีเลือดออกบริเวณที่ฉีดเล็กน้อย
การฉีดสิว คือ การใช้ตัวยาสเตียรอยด์ในปริมาณต่ำฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนังเพื่อลดการอักเสบของสิว ความอันตรายของการฉีดสิวจึงจะอยู่ที่ การใช้ยาในโดสที่ไม่เหมาะสม หรืออาการแพ้ยากลุ่มยาสเตียรอยด์ ซึ่งเราสามารถลดความเสียงตรงนี้ได้ โดยการเข้ารับการรักษากับคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมีการซักประวัติเรื่องการใช้ยาก่อนทำการรักษา
ฉีดสิวแล้ว เป็นหลุมสิวไหม
การฉีดสิวที่ไม่ถูกวิธีอาจทำให้เกิดเป็นหลุมสิวได้
จริงอยู่ที่ การฉีดสิว ถือเป็นการรักษาสิวที่เห็นผลรวดเร็ว และช่วยลดโอกาสการเกิดหลุมสิวได้ แต่หากทำอย่างไม่ถูกวิธี เช่น ใช้ปริมาณยาไม่เหมาะสม หรือ ฉีดไม่ถูกตำแหน่ง ก็จะทำให้การรักษาไม่ประสิทธิภาพและอาจเกิดหลุมสิวได้
การเตรียมตัวก่อนรับการฉีดสิว และการดูแลตัวเองหลังฉีดสิวแล้ว

ก่อนที่จะไปฉีดสิวเพื่อลดอาการบาดเจ็บที่กวนใจคุณนั้น อย่างแรกต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสียก่อน หากคุณเพิ่งหายจากอาการเจ็บป่วยอะไรมาก็ตามควรแจ้งให้คุณหมอทราบก่อนฉีดสิว เพื่อที่จะได้วางแผนการรักษารวมถึงให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับยารวมถึงอาหารที่คุณควรหลีกเลี่ยง
โดยก่อนการฉีดสิวนั้นไม่จำเป็นต้องงดยาอะไรมาก่อนแต่บริเวณผิวหน้าใกล้เคียงมีอาการอักเสบติดเชื้อ คุณหมอจะหลีกเลี่ยงการฉีดสิว และให้รับประทานยาฆ่าเชื้อแทน
หลังจากที่เข้ารับการฉีดสิวกับคุณหมอเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาดูแลตัวเองให้ดีเพื่อที่สิวจะได้ยุบตัวเร็วไม่ทิ้งรอยดำไว้บนใบหน้า เริ่มจากทำการประคบน้ำแข็งเพื่อลดอาการปวดบริเวณที่ฉีดสิวมา และห้ามใช้น้ำร้อนหรือถุงน้ำร้อนมาประคบเด็ดขาด ต่อมาให้สังเกตดูว่าบริเวณที่ฉีดสิวมามีอาการติดเชื้อ ปวด บวม หรือแดงขึ้นหรือไม่ภายใน 48 ชั่วโมง หากยังไม่ดีขึ้นคุณก็ควรรีบไปพบคุณหมอทันที
ผลข้างเคียงและข้อควรระวังของการฉีดสิวที่คุณควรรู้
- หลังจากที่ฉีดสิวแล้วคุณอาจมีอาการปวด บวม ช้ำ หรือมีเลือกออกบริเวณที่ฉีด บางรายถึงขั้นมีผื่นแพ้จากวัตถุกันเสียหรือแอลกอฮอล์ที่ผสมอยู่ในตัวยา
- อาจทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณที่ทำการฉีดสิวขยายตัวผิดปกติ รวมถึงมีโอกาสที่ขนจะขึ้นดกกว่าปกติในบริเวณที่ฉีดสิวถ้าปริมาณโดสยาที่ใช้สูงเกินไป
- อาจเกิดรอยด่างสีขาวหรือสีน้ำตาล และมีโอกาสที่จะลามไปบริเวณผิวรอบๆ ที่ฉีดสิว โดยรอยเหล่านี้อาจหายไปเองหรือไม่หายไปก็ได้
- มีสิทธิ์ที่จะเกิดสิวสเตียรอยด์ เพราะสารสเตียรอยด์ที่ผสมในยาฉีดสิวจะเข้าไปกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน และทำให้ต่อมไขมันผลิตไขมันออกมามากเกินไปจนเกิดเป็นสิวขึ้นมาได้
- สำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาไตรแอมซิโนโลน จะเป็นข้อห้ามในการฉีดสิว
EY Clinic มีแพ็กเกจรักษาหรือฉีดสิวอะไร ราคาเท่าไรบ้าง?
ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาสิวอุดตัน สิวผด หรือสิวอักเสบที่สร้างความรำคาญใจ EY Clinic เราก็มีแพ็กเกจรักษาสิวถึง 3 แบบ ที่ช่วยจัดการกับปัญหาสิวที่แตกต่างกันดังนี้
แพ็กเกจ Acne Basic
จัดการปัญหาด้วยการกดสิวที่ช่วยเคลียร์สิวอุดตัน ต่อด้วย whitening mask มาสก์หน้าทำให้ผิวหน้านุ่มทันที หรือ acne mask ที่ก็คือมาสก์ลดสิว รวมถึง treatment rejuve ทรีตเมนต์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวแลดูกระจ่างใสยิ่งขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีสิวน้อย
- 1 ครั้ง 999 บาท
- 6 ครั้ง 4,995 บาท ตกครั้งละ 833 บาท
- 13 ครั้ง 9,990 บาท ตกครั้งละ 768 บาท
แพ็กเกจ Acne+
กดสิวเพื่อเคลียร์สิวอุดตันที่อยู่บนใบหน้า ควบคู่ไปกับ laser dermalight เลเซอร์ลดรอยแดงและรอยดำ ทั่วหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอุดตัน สิวอักเสบ และรอยแดงรอยดำจากสิวให้ใบหน้ากลับมากระจ่างใสยิ่งกว่าเดิม
- 1 ครั้ง 1,599 บาท
- 6 ครั้ง 7,995 บาท ตกครั้งละ 1,333 บาท
- 13 ครั้ง 15,990 บาท ตกครั้งละ 1,230 บาท
แพ็กเกจ Acne Advance
เริ่มด้วยการกดสิวเพื่อเคลียร์เจ้าสิวอุดตัน หรือมาสก์ขาวใสให้ใบหน้ากลับมามีสุขภาพดี รวมถึงทำทรีตเมนต์ rejuve ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใส นุ่ม และชุ่มชื้นยิ่งขึ้น และปิดท้ายด้วยการทำ laser dermalight ที่ช่วยลดรอยสิวและเพิ่มความกระจ่างใสด้วยเลเซอร์ทั่วหน้า ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวไม่มาก แต่มีรอยสิวเยอะ
- 1 ครั้ง 1,999 บาท
- 6 ครั้ง 9,995 บาท ตกครั้งละ 1,666 บาท
- 13 ครั้ง 19,990 บาท ตกครั้งละ 1,538 บาท
รีวิวฉีดสิวแก้ปัญหาสิวต่างๆ จาก EY Clinic
ใครที่ยังไม่มั่นใจว่าฉีดสิวแล้วจะไม่เห็นผล หรือใช้เวลานานกว่าใบหน้าจะกลับมาเนียนและสว่างใสดังเดิม ด้านล่างนี้คือผลลัพธ์จากผู้ที่เคยฉีดสิวกับ EY Clinic แล้วยิ้มได้กับสิวที่หายไปจนรู้สึกมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันมากกว่าที่เคย



































ฉีดสิวที่ EY Clinic มั่นใจ ปลอดภัย และคุ้มค่าทุกบาทที่คุณจ่ายไป

ทุกสิ่งที่เราอธิบายมาทั้งหมดจนถึงตรงนี้คุณตอบคำถามที่ว่าฉีดสิวดีไหมได้อย่างครบถ้วนแล้ว โดยใครที่กำลังประสบปัญหาสิวอักเสบจนเจ็บระบมทั้งหน้า ก็สามารถเข้ามาปรึกษาคุณหมอที่ EY Clinic ได้เสมอ เพราะแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวลล์เนสที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปีจากสถาบันชั้นนำของประเทศของเรา สามารถเลือกใช้ยาในปริมาณที่เหมาะสมกับขนาดและความรุนแรงของสิวได้อย่างแม่นยำ รวมถึงตำแหน่งในการฉีดและการลงระดับความลึกของเข็มฉีดที่เหมาะสม
หากคุณต้องการขจัดปัญหาสิวอักเสบเพื่อเสริมความมั่นใจก่อนจะไปทำธุระสำคัญ อย่างไปงานรับปริญญา งานแต่งงาน ไปจนถึงออกท่องเที่ยวให้สุขใจ EY Clinic ก็ยินดีที่จะช่วยฉีดสิวเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสิวอักเสบบนใบหน้าของคุณเอง ติดต่อเราได้ที่ไลน์ @EYClinicTH